TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

ประเภทของคำสั่งที่มีอยู่ในการเทรด Forex

สิงหาคม 9, 2022

เจาะลึกประเภทคำสั่งซื้อขาย Forex: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์

ประเภทคำสั่งซื้อขาย Forex

หลังจากที่คุณได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการแนะนำและ พื้นฐานของการซื้อขายฟอเร็กซ์ ไปแล้ว ขั้นตอนสำคัญถัดมาคือการเรียนรู้ “ประเภทคำสั่งซื้อขาย” ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการส่งคำสั่งเข้าและออกจากตลาด Forex อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ คำสั่งซื้อขาย (Order) ในตลาด Forex นั้นเปรียบเสมือนการที่คุณสั่งอาหารในร้านอาหารที่คุณต้องการ โดยคุณจะระบุความต้องการของคุณให้กับโบรกเกอร์ ซึ่งเป็นตัวกลางในการดำเนินการตามคำสั่งของคุณให้เกิดขึ้นจริงในตลาด คำสั่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณสามารถเปิดหรือปิดสถานะการซื้อขายได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงและวางแผนกลยุทธ์การเทรดให้ประสบความสำเร็จอีกด้วย การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในแต่ละประเภทของคำสั่งจะช่วยให้คุณสามารถตอบสนองต่อความผันผวนของตลาดได้อย่างรวดเร็วและชาญฉลาด.

ในตลาด Forex มีประเภทคำสั่งซื้อขายที่หลากหลาย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 หมวดหมู่หลัก ได้แก่:

  1. Market Order (คำสั่งซื้อขายทันที ณ ราคาตลาด)
  2. Pending Orders (คำสั่งซื้อขายล่วงหน้า)
  3. Exotic Orders (คำสั่งซื้อขายขั้นสูงและเฉพาะเจาะจง)

Market Order: คำสั่งซื้อขายทันที ณ ราคาตลาด

Market Order คือคำสั่งซื้อหรือขายคู่สกุลเงิน ณ ราคาตลาดปัจจุบันที่ดีที่สุดที่มีอยู่ทันทีในขณะนั้น นี่คือประเภทคำสั่งที่ง่ายที่สุดและเป็นที่นิยมที่สุดสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ เพราะไม่จำเป็นต้องตั้งเงื่อนไขราคาใดๆ เพิ่มเติม เมื่อคุณส่งคำสั่ง Market Order ระบบจะดำเนินการจับคู่คำสั่งของคุณกับราคา Bid (สำหรับคำสั่งขาย) หรือ Ask (สำหรับคำสั่งซื้อ) ที่ดีที่สุดในตลาด ณ เวลานั้น

Market Order ทำงานอย่างไร?

เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเปิดสถานะด้วย Market Order โบรกเกอร์จะส่งคำสั่งของคุณไปยังตลาดทันที โดยไม่คำนึงถึงราคาที่คุณคาดหวัง ขอเพียงแค่มีการจับคู่คำสั่งได้ การดำเนินการจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือความแตกต่างระหว่างราคา Bid และ Ask (หรือที่เรียกว่า Spread) ซึ่งเป็นต้นทุนที่คุณต้องจ่ายสำหรับการซื้อขาย และในบางกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง อาจเกิด Slippage (ราคาคลาดเคลื่อน) ได้ นั่นคือ ราคาที่คุณได้อาจแตกต่างจากราคาที่คุณเห็นเล็กน้อยตอนกดสั่งซื้อหรือขาย เนื่องจากความล่าช้าในการประมวลผลคำสั่งและความเร็วในการเคลื่อนที่ของราคา

ทำไมถึงควรใช้ Market Order?

  • ความรวดเร็วและง่ายดาย: เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่คุณต้องการเข้าหรือออกจากตลาดอย่างเร่งด่วน เช่น มีข่าวสำคัญประกาศ ข่าวเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างรวดเร็ว และคุณต้องการดำเนินการทันทีเพื่อจับโอกาสหรือหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
  • ความแน่นอนในการดำเนินการ: คุณมั่นใจได้ว่าคำสั่งของคุณจะถูกดำเนินการแน่นอน เพียงแต่ราคาอาจคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย

ข้อควรพิจารณาในการใช้ Market Order

  • Slippage: ในตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำหรือมีความผันผวนสูง เช่น ในช่วงที่ไม่มีข่าว แต่ราคาเคลื่อนที่รุนแรง ราคาที่คุณได้อาจไม่ตรงกับราคาที่คุณเห็นบนหน้าจอ ซึ่งอาจส่งผลให้คุณได้ราคาที่เสียเปรียบเล็กน้อย
  • ไม่สามารถกำหนดราคาที่แน่นอนได้: คุณต้องยอมรับราคาที่ตลาดเสนอให้ ณ ขณะนั้น ไม่สามารถกำหนดราคาเป้าหมายได้เหมือนกับ Pending Orders

ตัวอย่าง: สมมติว่าคู่สกุลเงิน EUR/USD มีราคา Bid ที่ 1.12000 และราคา Ask ที่ 1.12015 หากคุณต้องการ ซื้อ (Buy) EUR/USD ด้วย Market Order คำสั่งของคุณจะถูกดำเนินการที่ราคา Ask 1.12015 ทันที แต่หากคุณต้องการ ขาย (Sell) EUR/USD ด้วย Market Order คำสั่งของคุณจะถูกดำเนินการที่ราคา Bid 1.12000 ทันที โดยสถานะการซื้อขายของคุณจะเริ่มต้นขึ้นและอยู่ภายใต้ความผันผวนของตลาดนับตั้งแต่ตอนนั้น

Pending Orders: คำสั่งซื้อขายล่วงหน้า

Pending Orders คือคำสั่งที่คุณตั้งเงื่อนไขล่วงหน้าให้กับโบรกเกอร์ เพื่อให้ดำเนินการซื้อหรือขายคู่สกุลเงินก็ต่อเมื่อราคาในตลาดมาถึงระดับที่คุณกำหนดไว้เท่านั้น คำสั่งประเภทนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่ตลาดที่ราคาดีกว่าราคาปัจจุบัน การจำกัดการขาดทุน หรือการล็อกกำไร โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ ตลอดเวลา เทรดเดอร์มืออาชีพส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์จากคำสั่งเหล่านี้ในกิจกรรมการซื้อขายประจำวัน

ทำไม Pending Orders จึงสำคัญ?

  • การวางแผนกลยุทธ์: คุณสามารถกำหนดจุดเข้าและออกที่เหมาะสมกับ กลยุทธ์การซื้อขาย ของคุณได้อย่างละเอียด
  • การบริหารความเสี่ยง: การใช้ Stop Loss และ Take Profit เป็นหัวใจหลักของการบริหารเงินทุนและความเสี่ยง
  • ลดอารมณ์ในการตัดสินใจ: เมื่อตั้งคำสั่งไว้แล้ว ระบบจะดำเนินการตามเงื่อนไข ทำให้คุณไม่ต้องตัดสินใจภายใต้อารมณ์กดดันเมื่อตลาดผันผวน
  • ความยืดหยุ่น: คุณสามารถวางคำสั่งรอไว้ล่วงหน้าและปล่อยให้ระบบทำงานแทน ในขณะที่คุณไปทำกิจกรรมอื่นๆ

7 ประเภทหลักของ Pending Orders

1. Take Profit (TP) Order: คำสั่งปิดทำกำไร

Take Profit Order หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า TP คือคำสั่งที่คุณกำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อปิดสถานะการซื้อขายที่กำลังมีกำไร เมื่อราคาในตลาดเคลื่อนที่ไปถึงระดับราคาที่คุณตั้งไว้ คำสั่ง TP จะถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติ ทำให้กำไรที่คุณยังไม่ได้รับ (Unrealized Profit) กลายเป็นกำไรที่เป็นเงินสดในบัญชีของคุณทันที

  • คืออะไร: เป็นเครื่องมือสำคัญในการแปลงกำไรที่ลอยอยู่ให้กลายเป็นเงินจริงในกระเป๋าของคุณ
  • ทำงานอย่างไร: คุณจะตั้งราคา TP ที่ระดับที่คุณคาดการณ์ว่าราคาจะไปถึงและกลับตัว หรือเป็นจุดที่คุณพอใจกับกำไร หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ถูกต้องและถึงจุดนี้ สถานะของคุณจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ
  • ทำไมถึงสำคัญ:
    • ล็อกกำไร: ป้องกันไม่ให้กำไรที่กำลังมีอยู่ลดลงหรือกลายเป็นขาดทุน หากราคาเคลื่อนที่ย้อนกลับหลังจากไปถึงจุดสูงสุดแล้ว
    • ลดความเครียด: ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอเพื่อตัดสินใจปิดกำไรด้วยตัวเอง
    • เสริมสร้างวินัย: ช่วยให้คุณยึดมั่นในแผนการเทรดที่วางไว้
  • เคล็ดลับการตั้งค่า: การตั้งค่า TP ที่ดีควรพิจารณาจาก แนวรับและแนวต้าน ที่สำคัญ, ระดับ Fibonacci, หรือเป้าหมายราคาตามรูปแบบกราฟต่างๆ เช่น รูปแบบ Harmonic

ตัวอย่าง: คุณซื้อ EUR/USD ที่ 1.12000 และตั้ง TP ไว้ที่ 1.12500 หากราคา EUR/USD ขึ้นไปถึง 1.12500 สถานะของคุณจะถูกปิดและคุณจะได้รับกำไร 50 pips

2. Stop Loss (SL) Order: คำสั่งหยุดการขาดทุน

Stop Loss Order หรือ SL เป็นคำสั่งที่คุณกำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อปิดสถานะการซื้อขายโดยอัตโนมัติ เมื่อราคาในตลาดเคลื่อนที่สวนทางกับตำแหน่งของคุณจนถึงระดับราคาที่คุณตั้งไว้ คำสั่ง SL นี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการ บริหารความเสี่ยง และรักษาเงินทุนในการซื้อขายของคุณ

  • คืออะไร: เป็นเครื่องมือป้องกันเงินทุน ไม่ใช่เครื่องมือทำกำไร แต่ช่วยรักษาเงินทุนไว้
  • ทำงานอย่างไร: คุณจะตั้งราคา SL ที่ระดับที่คุณยอมรับการขาดทุนสูงสุดได้ หากราคาเคลื่อนที่สวนทางกับตำแหน่งของคุณและลงมาถึงจุดนี้ สถานะของคุณจะถูกปิดโดยอัตโนมัติเพื่อจำกัดความเสียหาย
  • ทำไมถึงสำคัญ:
    • รักษาเงินทุน: ป้องกันไม่ให้การขาดทุนเล็กน้อยบานปลายกลายเป็นหายนะที่อาจล้างพอร์ตได้
    • จัดการความเสี่ยง: ช่วยให้คุณสามารถกำหนด ความเสี่ยงต่อการเทรด แต่ละครั้งได้อย่างชัดเจน
    • ลดความกลัว: ช่วยให้คุณกล้าที่จะเข้าสู่ตลาดมากขึ้น เพราะรู้ว่ามีจุดจำกัดการขาดทุนที่ชัดเจน
  • กฎและเคล็ดลับ:
    • ต้องใช้เสมอ: ไม่มีเทรดเดอร์มืออาชีพคนใดที่ไม่ใช้ Stop Loss
    • การวางตำแหน่ง: ควรวาง SL ตามโครงสร้างตลาด, เหนือแนวต้านสำหรับ Sell Order หรือต่ำกว่าแนวรับสำหรับ Buy Order, โดยพิจารณาจากความผันผวนของตลาด
    • อย่าขยับ Stop Loss หนี: นี่คือข้อผิดพลาดร้ายแรงที่สุดที่เทรดเดอร์มือใหม่มักทำ การขยับ SL ออกไปเรื่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนจะนำไปสู่การขาดทุนที่มหาศาลได้

ตัวอย่าง: คุณซื้อ GBP/JPY ที่ 180.500 และตั้ง SL ไว้ที่ 180.000 หากราคา GBP/JPY ลดลงมาถึง 180.000 สถานะของคุณจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ และคุณจะขาดทุน 50 pips การยอมรับการขาดทุนเล็กน้อยนี้จะช่วยให้คุณพร้อมที่จะเริ่มต้นการซื้อขายใหม่ด้วยมุมมองตลาดที่สดใหม่และเงินทุนที่ยังคงอยู่

3. Buy Limit Order: คำสั่งซื้อจำกัดราคา

Buy Limit Order คือคำสั่งที่คุณใช้เพื่อซื้อคู่สกุลเงินในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน เมื่อคุณคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวลงมาถึงระดับหนึ่ง แล้วจะกลับตัวขึ้นไปอีกครั้ง

  • คืออะไร: การ “รอซื้อของถูก” หรือซื้อเมื่อราคาปรับฐานลงมา
  • ทำงานอย่างไร: คุณวางคำสั่งนี้ไว้ที่ระดับราคาที่คุณต้องการซื้อ ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน หากราคาเคลื่อนที่ลงมาถึงระดับที่คุณตั้งไว้ คำสั่ง Buy Limit จะถูกดำเนินการและคุณจะได้ซื้อในราคาที่ต่ำกว่า
  • ทำไมถึงควรใช้:
    • ได้ราคาดีกว่า: เหมาะสำหรับกลยุทธ์ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดในจุดที่ได้เปรียบ หรือเมื่อคาดการณ์ว่าตลาดจะมีการปรับฐาน (Pullback) ชั่วคราวในแนวโน้มขาขึ้น
    • ประหยัดเวลา: ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอเพื่อรอราคาปรับตัวลงมา
  • เมื่อไรที่เหมาะสม: เมื่อคุณมั่นใจว่าแนวโน้มหลักเป็นขาขึ้น แต่คาดว่าจะมีการย่อตัวลงมาที่แนวรับสำคัญก่อนจะขึ้นต่อไป (แนวรับ-แนวต้าน)

ตัวอย่าง: ราคาปัจจุบันของ USD/JPY อยู่ที่ 150.200 แต่คุณเชื่อว่าราคาจะลงมาทดสอบแนวรับที่ 150.000 ก่อนจะเด้งขึ้น คุณสามารถวางคำสั่ง Buy Limit ไว้ที่ 150.000 ได้

4. Buy Stop Order: คำสั่งซื้อหยุดราคา

Buy Stop Order คือคำสั่งที่คุณใช้เพื่อซื้อคู่สกุลเงินในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน เมื่อคุณคาดการณ์ว่าราคาจะทะลุผ่านระดับแนวต้านที่สำคัญ และจะเกิดแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง

  • คืออะไร: การ “ไล่ซื้อ” เมื่อตลาดเริ่มยืนยันแนวโน้มขาขึ้น
  • ทำงานอย่างไร: คุณวางคำสั่งนี้ไว้ที่ระดับราคาที่คุณต้องการซื้อ ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน หากราคาเคลื่อนที่ขึ้นไปถึงระดับที่คุณตั้งไว้ คำสั่ง Buy Stop จะถูกดำเนินการและคุณจะได้ซื้อในราคาที่สูงกว่า
  • ทำไมถึงควรใช้:
    • ยืนยันแนวโน้ม: เหมาะสำหรับกลยุทธ์ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดเมื่อมี การยืนยันแนวโน้ม การทะลุแนวต้าน (Breakout) ที่แข็งแกร่ง
    • จับโอกาสในตลาดมีแนวโน้ม: ใช้เพื่อเข้าร่วมเมื่อตลาดเริ่มสร้างจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
  • เมื่อไรที่เหมาะสม: เมื่อคุณต้องการเข้าสู่ตลาดหลังจากที่ราคาได้ทะลุผ่านแนวต้านสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพในการเคลื่อนที่ขึ้นไปอีก

ตัวอย่าง: ราคาปัจจุบันของ AUD/USD อยู่ที่ 0.67500 แต่คุณเชื่อว่าหากราคาทะลุ 0.67800 ขึ้นไป จะเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง คุณสามารถวางคำสั่ง Buy Stop ไว้ที่ 0.67800 ได้

5. Sell Limit Order: คำสั่งขายจำกัดราคา

Sell Limit Order คือคำสั่งที่คุณใช้เพื่อขายคู่สกุลเงินในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน เมื่อคุณคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง แล้วจะกลับตัวลงมาอีกครั้ง

  • คืออะไร: การ “รอขายของแพง” หรือขายเมื่อราคาปรับฐานขึ้นไป
  • ทำงานอย่างไร: คุณวางคำสั่งนี้ไว้ที่ระดับราคาที่คุณต้องการขาย ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน หากราคาเคลื่อนที่ขึ้นไปถึงระดับที่คุณตั้งไว้ คำสั่ง Sell Limit จะถูกดำเนินการและคุณจะได้ขายในราคาที่สูงกว่า
  • ทำไมถึงควรใช้:
    • ได้ราคาดีกว่า: เหมาะสำหรับกลยุทธ์ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดในจุดที่ได้เปรียบ หรือเมื่อคาดการณ์ว่าตลาดจะมีการปรับฐาน (Pullback) ชั่วคราวในแนวโน้มขาลง
    • ประหยัดเวลา: ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอเพื่อรอราคาปรับตัวขึ้นไป
  • เมื่อไรที่เหมาะสม: เมื่อคุณมั่นใจว่าแนวโน้มหลักเป็นขาลง แต่คาดว่าจะมีการเด้งขึ้นมาที่แนวต้านสำคัญก่อนจะลงต่อไป (แนวรับ-แนวต้าน)

ตัวอย่าง: ราคาปัจจุบันของ NZD/USD อยู่ที่ 0.62000 แต่คุณเชื่อว่าราคาจะเด้งขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ 0.62300 ก่อนจะลงต่อ คุณสามารถวางคำสั่ง Sell Limit ไว้ที่ 0.62300 ได้

6. Sell Stop Order: คำสั่งขายหยุดราคา

Sell Stop Order คือคำสั่งที่คุณใช้เพื่อขายคู่สกุลเงินในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน เมื่อคุณคาดการณ์ว่าราคาจะทะลุผ่านระดับแนวรับที่สำคัญ และจะเกิดแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง

  • คืออะไร: การ “ไล่ขาย” เมื่อตลาดเริ่มยืนยันแนวโน้มขาลง
  • ทำงานอย่างไร: คุณวางคำสั่งนี้ไว้ที่ระดับราคาที่คุณต้องการขาย ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน หากราคาเคลื่อนที่ลงไปถึงระดับที่คุณตั้งไว้ คำสั่ง Sell Stop จะถูกดำเนินการและคุณจะได้ขายในราคาที่ต่ำกว่า
  • ทำไมถึงควรใช้:
    • ยืนยันแนวโน้ม: เหมาะสำหรับกลยุทธ์ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดเมื่อมี การยืนยันแนวโน้ม การทะลุแนวรับ (Breakdown) ที่แข็งแกร่ง
    • จับโอกาสในตลาดมีแนวโน้ม: ใช้เพื่อเข้าร่วมเมื่อตลาดเริ่มสร้างจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่อง
  • เมื่อไรที่เหมาะสม: เมื่อคุณต้องการเข้าสู่ตลาดหลังจากที่ราคาได้ทะลุผ่านแนวรับสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพในการเคลื่อนที่ลงไปอีก

ตัวอย่าง: ราคาปัจจุบันของ USD/CAD อยู่ที่ 1.34000 แต่คุณเชื่อว่าหากราคาหลุด 1.33700 ลงไป จะเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง คุณสามารถวางคำสั่ง Sell Stop ไว้ที่ 1.33700 ได้

7. Trailing Stop Order: คำสั่ง Trailing Stop Loss

Trailing Stop Order เป็นคำสั่งหยุดการขาดทุนประเภทหนึ่งที่มีความพิเศษและมีความยืดหยุ่นสูงกว่า Stop Loss แบบปกติ จุดเด่นของ Trailing Stop คือมันจะเคลื่อนที่ตามราคาตลาดโดยอัตโนมัติ เพื่อปกป้องกำไรของคุณเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เป็นบวก

  • คืออะไร: เป็น Stop Loss แบบไดนามิกที่จะ “ตาม” ราคาไปเรื่อยๆ
  • ทำงานอย่างไร: คุณจะตั้งค่า Trailing Stop เป็นจำนวน pips ที่แน่นอน (เช่น 20 pips) เมื่อคุณเปิดสถานะและราคาวิ่งไปในทิศทางที่เป็นบวก Trailing Stop จะเคลื่อนที่ตามราคาไปในระยะห่าง 20 pips นั้นเสมอ แต่หากราคาหยุดนิ่งหรือกลับตัว Trailing Stop จะคงอยู่ที่จุดสูงสุด (สำหรับ Buy Order) หรือจุดต่ำสุด (สำหรับ Sell Order) ที่ราคาไปถึง และจะไม่ขยับกลับไป หากราคาย้อนกลับมาถึงจุด Trailing Stop สถานะก็จะถูกปิด
  • ทำไมถึงควรใช้:
    • ล็อกกำไรในแนวโน้ม: ช่วยให้คุณสามารถทำกำไรสูงสุดในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน โดยไม่ต้องกำหนด Take Profit ที่ตายตัว
    • ปกป้องกำไร: แม้ว่าราคาจะกลับตัวกระทันหัน แต่คุณก็ยังคงรักษากำไรส่วนใหญ่ไว้ได้
    • ลดความเสี่ยง: เมื่อกำไรเพิ่มขึ้น จุด Stop Loss ของคุณก็จะเลื่อนขึ้นตาม ทำให้ความเสี่ยงลดลงเรื่อยๆ
  • ความแตกต่างกับ SL/TP:
    • Stop Loss: เป็นจุดตัดขาดทุนที่คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง
    • Take Profit: เป็นจุดทำกำไรที่คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง
    • Trailing Stop: เป็นจุดตัดขาดทุนที่เคลื่อนไหวได้ เพื่อปกป้องกำไรและปล่อยให้กำไรวิ่งไปได้ไกลที่สุด
  • เมื่อไรที่เหมาะสม: เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการจับแนวโน้มที่แข็งแกร่งและคาดการณ์ว่าราคาจะวิ่งไปได้ไกล หรือเมื่อต้องการปกป้องกำไรในตลาดที่มีความผันผวนสูง

ตัวอย่าง: คุณซื้อคู่สกุลเงินหนึ่งที่ 1.20000 และตั้ง Trailing Stop ไว้ที่ 50 pips หากราคาขึ้นไปที่ 1.20500 Trailing Stop จะอยู่ที่ 1.20000 แต่หากราคาขึ้นไปที่ 1.21000 Trailing Stop จะเลื่อนขึ้นไปอยู่ที่ 1.20500 และถ้าหลังจากนั้นราคาลงมาถึง 1.20500 สถานะของคุณจะถูกปิดพร้อมกำไร 50 pips

Exotic Orders: คำสั่งซื้อขายขั้นสูงและเฉพาะเจาะจง

Exotic Orders คือคำสั่งซื้อขายที่มีความซับซ้อนและมีเงื่อนไขเฉพาะเจาะจงมากกว่า Market Order และ Pending Orders ทั่วไป จึงถูกเรียกว่า “คำสั่งแปลกใหม่” หรือ “คำสั่งขั้นสูง” เนื่องจากไม่ได้เป็นที่นิยมใช้ในหมู่เทรดเดอร์ทั่วไป และโบรกเกอร์บางรายอาจไม่มีคำสั่งประเภทนี้ให้ใช้งานได้ การทำความเข้าใจคำสั่งเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์สามารถสร้างกลยุทธ์ที่ซับซ้อนและตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาดที่ไม่ธรรมดาได้ดียิ่งขึ้น

ทำไม Exotic Orders ถึง “แปลกใหม่” และสำคัญสำหรับบางสถานการณ์?

คำสั่งประเภทนี้มักถูกนำมาใช้โดยเทรดเดอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการคำสั่งในระยะยาว หรือต้องการป้องกันความเสี่ยงและจับโอกาสในสถานการณ์ตลาดที่ไม่แน่นอน เช่น การประกาศข่าวสำคัญที่มีความไม่แน่นอนสูง หรือตลาดที่เคลื่อนไหวแบบ Sideways ที่ไม่มีทิศทางชัดเจน

3 ประเภทหลักของ Exotic Orders

1. GTC (Good Till Canceled) Order: คำสั่งที่ใช้ได้จนกว่าจะถูกยกเลิก

GTC Order เป็นคำสั่งที่ไม่มีวันหมดอายุโดยอัตโนมัติ คำสั่งนี้จะยังคงอยู่ในระบบของโบรกเกอร์และพร้อมที่จะดำเนินการได้ตลอดเวลา จนกว่าจะถูกดำเนินการสำเร็จหรือถูกเทรดเดอร์ยกเลิกด้วยตนเอง

  • คืออะไร: คำสั่งที่ยังคงอยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะสั่งยกเลิก
  • ทำงานอย่างไร: เมื่อคุณวางคำสั่ง GTC โบรกเกอร์จะเก็บคำสั่งนั้นไว้ในระบบโดยไม่มีการจำกัดเวลา หากคำสั่งไม่ถูกดำเนินการภายในหนึ่งวันหรือหนึ่งสัปดาห์ ก็จะยังคงอยู่ต่อไปในวันทำการถัดไป
  • ทำไมถึงควรใช้:
    • เหมาะสำหรับกลยุทธ์ระยะยาว: สำหรับเทรดเดอร์ที่วางแผนการเทรดในกรอบเวลาที่ยาวนานและรอคอยระดับราคาที่เฉพาะเจาะจงซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าจะไปถึง
    • ลดความยุ่งยาก: ไม่ต้องตั้งคำสั่งใหม่ทุกวัน
  • ข้อควรพิจารณา:
    • ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด: คุณมีหน้าที่รับผิดชอบในการติดตามและยกเลิกคำสั่ง GTC ด้วยตนเอง หากเงื่อนไขตลาดเปลี่ยนแปลงหรือคุณไม่ต้องการให้คำสั่งนั้นทำงานอีกต่อไป
    • ความเสี่ยงหากลืม: หากลืมยกเลิก คำสั่งอาจถูกดำเนินการในราคาที่ไม่พึงประสงค์ในอนาคต

ตัวอย่าง: คุณคาดว่าราคาทองคำจะลดลงอย่างมากในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเพื่อไปถึงระดับแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 1800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ คุณสามารถวางคำสั่ง Buy Limit GTC ไว้ที่ 1800 ดอลลาร์ และปล่อยให้มันรอการดำเนินการ

2. GFD (Good For Day) Order: คำสั่งที่ใช้ได้สำหรับวันนี้

GFD Order คือคำสั่งที่ถูกตั้งให้มีผลใช้งานได้เฉพาะภายในวันทำการซื้อขายปัจจุบันเท่านั้น หากคำสั่งนี้ไม่ได้รับการดำเนินการภายในสิ้นสุดวันทำการซื้อขาย คำสั่งจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ

  • คืออะไร: คำสั่งที่จะหมดอายุเมื่อสิ้นสุดวันเทรด
  • ทำงานอย่างไร: เมื่อคุณวางคำสั่ง GFD คำสั่งจะอยู่ในสถานะรอดำเนินการตลอดวัน หากตลาดไม่ถึงราคาที่คุณกำหนดไว้ภายในเวลาปิดทำการของโบรกเกอร์ คำสั่งนั้นจะถูกลบทิ้งโดยอัตโนมัติ
  • ทำไมถึงควรใช้:
    • เหมาะสำหรับ Day Trader: สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการปิดสถานะทั้งหมดก่อนสิ้นสุดวัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาข้ามคืน (Overnight Risk)
    • จำกัดความเสี่ยง: ช่วยป้องกันการเปิดสถานะโดยไม่ตั้งใจในวันถัดไป หากตลาดมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงที่ตลาดปิด
  • ข้อควรระวัง:
    • เวลาของโบรกเกอร์: คุณต้องทราบว่าโบรกเกอร์ของคุณใช้เขตเวลาใดในการกำหนด “สิ้นสุดวันทำการซื้อขาย” เนื่องจากเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของแต่ละโบรกเกอร์อาจแตกต่างกัน ทำให้คำสั่งหมดอายุไม่ตรงกับที่คุณคาดไว้

ตัวอย่าง: คุณกำลังเทรดหุ้นในตลาดนิวยอร์กและต้องการซื้อหุ้นที่ราคา 150 ดอลลาร์ แต่ราคาปัจจุบันคือ 152 ดอลลาร์ คุณวางคำสั่ง Buy Limit GFD ที่ 150 ดอลลาร์ หากราคาไม่ลงมาถึง 150 ดอลลาร์ภายในเวลา 16:00 น. EST (เวลาปิดตลาด) คำสั่งของคุณจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ

3. OCO (One Cancels Other) Order: คำสั่งหนึ่งยกเลิกอีกคำสั่ง

OCO Order คือการที่คุณวางคำสั่งซื้อขายสองคำสั่งพร้อมกัน โดยมีเงื่อนไขว่าหากคำสั่งใดคำสั่งหนึ่งได้รับการดำเนินการสำเร็จ อีกคำสั่งหนึ่งที่เหลือจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติทันที

  • คืออะไร: วางสองคำสั่งพร้อมกัน แต่ถ้าอันหนึ่งทำงาน อีกอันจะถูกยกเลิก
  • ทำงานอย่างไร: คุณจะตั้งคำสั่งสองประเภทพร้อมกัน เช่น Buy Stop และ Sell Stop หรือ Buy Limit และ Sell Limit โดยแต่ละคำสั่งมีราคาเป้าหมายที่แตกต่างกัน เมื่อราคาตลาดไปถึงจุดราคาของคำสั่งใดคำสั่งหนึ่งและมีการดำเนินการ คำสั่งที่เหลืออีกคำสั่งจะถูกลบออกจากระบบโดยอัตโนมัติ
  • ทำไมถึงควรใช้:
    • จับการ Breakout/Breakdown: มีประโยชน์อย่างมากเมื่อตลาดกำลังเคลื่อนที่แบบ Sideways (ไม่มีแนวโน้มชัดเจน) และคุณไม่แน่ใจว่าราคาจะทะลุไปในทิศทางใด แต่คาดว่าจะมีการเคลื่อนที่อย่างรุนแรงเมื่อทะลุแนวรับหรือแนวต้าน
    • จัดการความเสี่ยงรอบข่าว: ใช้เพื่อจับโอกาสและป้องกันความเสี่ยงจากการประกาศ ข่าวเศรษฐกิจ สำคัญที่อาจทำให้ราคาผันผวนรุนแรงในสองทิศทาง
  • เมื่อไรที่เหมาะสม: เมื่อคุณมีสถานการณ์ที่คาดการณ์ได้ว่าราคาจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ แต่ไม่ทราบทิศทางที่แน่นอน เช่น การรอผลการประชุมธนาคารกลาง

ตัวอย่าง: ราคาของน้ำมันกำลังเคลื่อนที่อยู่ในกรอบแคบๆ ระหว่าง 70 ถึง 72 ดอลลาร์ คุณเชื่อว่าหากราคาหลุด 70 ดอลลาร์จะลงไปต่อ หรือหากทะลุ 72 ดอลลาร์จะขึ้นไปต่อ คุณสามารถวางคำสั่ง OCO โดยมี Buy Stop ที่ 72.10 ดอลลาร์ และ Sell Stop ที่ 69.90 ดอลลาร์ หากราคาขึ้นไปถึง 72.10 ดอลลาร์ คำสั่ง Buy Stop จะถูกดำเนินการ และคำสั่ง Sell Stop จะถูกยกเลิกอัตโนมัติ

ตารางสรุปประเภทคำสั่งซื้อขายหลักใน Forex

เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือตารางสรุปประเภทคำสั่งซื้อขายหลักในตลาด Forex:

ประเภทคำสั่ง ลักษณะการทำงาน เหมาะสำหรับสถานการณ์ ข้อควรระวัง
Market Order ซื้อ/ขายทันที ณ ราคาตลาดปัจจุบัน ต้องการเข้า/ออกตลาดอย่างรวดเร็ว, มีข่าวสำคัญ อาจเกิด Slippage, ไม่สามารถกำหนดราคาแน่นอนได้
Buy Limit ซื้อเมื่อราคาลดลงต่ำกว่าราคาปัจจุบัน คาดการณ์ว่าราคาจะย่อตัวก่อนขึ้นต่อ (Pullback in Uptrend) ราคาอาจไม่ลงมาถึงจุดที่ตั้งไว้
Buy Stop ซื้อเมื่อราคาสูงขึ้นทะลุราคาปัจจุบัน ต้องการเข้าเมื่อยืนยันแนวโน้มขาขึ้น (Breakout) ราคาอาจ Breakout หลอก (False Breakout)
Sell Limit ขายเมื่อราคาสูงขึ้นเหนือราคาปัจจุบัน คาดการณ์ว่าราคาจะเด้งขึ้นก่อนลงต่อ (Pullback in Downtrend) ราคาอาจไม่ขึ้นไปถึงจุดที่ตั้งไว้
Sell Stop ขายเมื่อราคาลดลงต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ต้องการเข้าเมื่อยืนยันแนวโน้มขาลง (Breakdown) ราคาอาจ Breakdown หลอก (False Breakdown)
Take Profit (TP) ปิดสถานะอัตโนมัติเมื่อถึงราคาเป้าหมายกำไร ต้องการล็อกกำไร, ลดอารมณ์ในการตัดสินใจ ราคาอาจเลยจุด TP ไปได้อีก
Stop Loss (SL) ปิดสถานะอัตโนมัติเมื่อถึงราคากำหนดขาดทุน บริหารความเสี่ยง, รักษาเงินทุน หากตั้งแคบเกินไปอาจโดน Stop Hunt, ห้ามขยับหนี
Trailing Stop Stop Loss ที่เคลื่อนที่ตามราคาเมื่อมีกำไร ต้องการทำกำไรสูงสุดในแนวโน้มที่แข็งแกร่ง หากราคาผันผวนมากอาจปิดเร็วเกินไป
GTC (Good Till Canceled) คำสั่งมีผลจนกว่าจะถูกยกเลิกด้วยตนเอง กลยุทธ์ระยะยาว, รอราคาที่ห่างไกล ต้องติดตามและยกเลิกเอง, อาจลืมได้
GFD (Good For Day) คำสั่งมีผลเฉพาะวันทำการปัจจุบัน Day Trading, เลี่ยงความเสี่ยงข้ามคืน ต้องรู้เขตเวลาของโบรกเกอร์
OCO (One Cancels Other) สองคำสั่ง ทำงานหนึ่ง อีกหนึ่งยกเลิก จับการ Breakout ในตลาด Sideways, เทรดข่าว ต้องเข้าใจเงื่อนไขของทั้งสองคำสั่ง

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประเภทคำสั่งซื้อขาย Forex

Q1: คำสั่งซื้อขายประเภทใดที่เทรดเดอร์มือใหม่ควรเริ่มต้นทำความเข้าใจเป็นอันดับแรก?

A1: เทรดเดอร์มือใหม่ควรเริ่มต้นทำความเข้าใจและฝึกฝนการใช้ Market Order และ Stop Loss (SL) Order เป็นอันดับแรก Market Order นั้นเข้าใจง่ายที่สุดเนื่องจากเป็นการซื้อหรือขายทันทีที่ราคาตลาดปัจจุบัน ส่วน Stop Loss เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการบริหารความเสี่ยงและปกป้องเงินทุนของคุณ การเริ่มต้นด้วยสองคำสั่งนี้จะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับการส่งคำสั่งซื้อขายและสร้างวินัยในการบริหารความเสี่ยง ก่อนที่จะก้าวไปสู่คำสั่งที่ซับซ้อนขึ้น

Q2: ทำไมการใช้ Stop Loss (SL) จึงสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด Forex?

A2: Stop Loss มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด Forex ด้วยเหตุผลหลายประการ:

  1. จำกัดการขาดทุน: เป็นการกำหนดขีดจำกัดสูงสุดของการขาดทุนที่คุณยอมรับได้ในการเทรดแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นหัวใจของการ บริหารความเสี่ยง
  2. ปกป้องเงินทุน: ป้องกันไม่ให้การขาดทุนเล็กน้อยบานปลายกลายเป็นหายนะที่อาจทำให้คุณล้างพอร์ตได้
  3. ลดอารมณ์ในการตัดสินใจ: เมื่อตั้ง SL ไว้แล้ว คุณไม่ต้องตัดสินใจภายใต้อารมณ์ความกลัวเมื่อตลาดเคลื่อนที่สวนทาง ช่วยให้คุณยึดมั่นในแผนการเทรด
  4. เสริมสร้างวินัย: บังคับให้คุณต้องคิดถึงความเสี่ยงก่อนที่จะเปิดสถานะการซื้อขายเสมอ

ไม่มีเทรดเดอร์มืออาชีพคนใดที่ไม่ใช้ Stop Loss เพราะมันคือเกราะป้องกันที่สำคัญที่สุดของเงินทุนคุณ

Q3: อะไรคือความแตกต่างหลักระหว่าง Buy Limit และ Buy Stop Order?

A3: ความแตกต่างหลักอยู่ที่ระดับราคาที่คาดการณ์ว่าจะเกิดการดำเนินการ:

  • Buy Limit Order: ใช้เพื่อ ซื้อ ในราคาที่ ต่ำกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน คุณใช้คำสั่งนี้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวลงมาถึงจุดหนึ่ง (เช่น แนวรับ) แล้วจะกลับตัวขึ้นไป
  • Buy Stop Order: ใช้เพื่อ ซื้อ ในราคาที่ สูงกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน คุณใช้คำสั่งนี้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะทะลุผ่านแนวต้านสำคัญขึ้นไป และจะเกิดแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง

สรุปง่ายๆ คือ Buy Limit ใช้ “รอซื้อของถูก” ส่วน Buy Stop ใช้ “ไล่ซื้อเมื่อราคายืนยันการทะลุขึ้น”

Q4: เมื่อใดที่ควรพิจารณาใช้ Trailing Stop Order?

A4: ควรพิจารณาใช้ Trailing Stop Order ในสถานการณ์ต่อไปนี้:

  • ตลาดมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง: เมื่อคุณมั่นใจว่าตลาดกำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงที่ชัดเจน และต้องการปล่อยให้กำไรวิ่งไปได้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
  • ต้องการปกป้องกำไรโดยไม่ปิดเร็วเกินไป: Trailing Stop ช่วยให้คุณล็อกกำไรส่วนหนึ่งไว้ได้โดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกันก็ยังเปิดโอกาสให้กำไรเพิ่มขึ้นได้ หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการ
  • ลดการเฝ้าหน้าจอ: เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่สามารถเฝ้าหน้าจอได้ตลอดเวลา แต่ยังต้องการจัดการความเสี่ยงและกำไรอย่างมีประสิทธิภาพ

Trailing Stop เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรในตลาดที่มีแนวโน้ม แต่ก็ต้องระมัดระวังในการตั้งค่าระยะห่างของ Trailing Stop ให้เหมาะสมกับความผันผวนของคู่สกุลเงินนั้นๆ

Q5: Exotic Orders จำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ทุกคนหรือไม่?

A5: ไม่จำเป็นเสมอไป Exotic Orders เช่น GTC, GFD และ OCO นั้นมีความซับซ้อนมากกว่าและมักใช้สำหรับกลยุทธ์การเทรดขั้นสูงหรือสถานการณ์ตลาดเฉพาะเจาะจง เทรดเดอร์มือใหม่ไม่จำเป็นต้องรีบทำความเข้าใจหรือใช้คำสั่งเหล่านี้ในทันที การเริ่มต้นด้วย Market Order และ Pending Orders พื้นฐาน (Limit, Stop, TP, SL) ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเทรดส่วนใหญ่ เมื่อคุณมีประสบการณ์มากขึ้นและต้องการพัฒนากลยุทธ์ที่ซับซ้อนขึ้น จึงค่อยศึกษาและนำ Exotic Orders มาปรับใช้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการคำสั่งของคุณได้

สรุป

การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งใน ประเภทคำสั่งซื้อขาย ต่างๆ ในตลาด Forex ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณสามารถดำเนินการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นหัวใจหลักในการบริหารจัดการความเสี่ยงและวางแผนกลยุทธ์ให้ประสบความสำเร็จอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Market Order ที่ให้ความรวดเร็ว, Pending Orders ที่มอบความแม่นยำและการควบคุม, ไปจนถึง Exotic Orders ที่ตอบโจทย์กลยุทธ์ขั้นสูงและเฉพาะเจาะจง การเลือกใช้คำสั่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์และแผนการเทรดของคุณจะส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์การลงทุนในระยะยาว

เราขอแนะนำให้เทรดเดอร์ทุกระดับ โดยเฉพาะมือใหม่ ได้ฝึกฝนการใช้คำสั่งเหล่านี้บน บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อสร้างความคุ้นเคยและมั่นใจในความสามารถของคุณก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดจริง การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถประยุกต์ใช้คำสั่งต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาดและเป็นส่วนหนึ่งของการ สร้างวินัยในการเทรด ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในตลาด Forex

เริ่มต้นเรียนรู้และฝึกฝนวันนี้ เพื่อก้าวสู่การเป็นเทรดเดอร์ที่ควบคุมเกมได้ ไม่ใช่ถูกเกมควบคุม!

You Might Also Like

Contact Us on Line