TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

Trader คือ อะไร ?

มิถุนายน 2, 2022

Trader คืออะไร? เจาะลึกบทบาทสำคัญในตลาดการเงิน และเส้นทางสู่ความสำเร็จ

ในโลกของการเงินและการลงทุนที่ซับซ้อน คำว่า “Trader” หรือ “เทรดเดอร์” เป็นคำที่เรามักได้ยินอยู่เสมอ แต่ความหมายที่แท้จริงและบทบาทหน้าที่ของพวกเขานั้นลึกซึ้งกว่าแค่การซื้อขายสินทรัพย์ บทความนี้จะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงความหมายของเทรดเดอร์ วิธีการทำงาน ความสำคัญในตลาด Forex และกลยุทธ์สำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ พร้อมทั้งแนะนำแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจก้าวเข้าสู่เส้นทางอาชีพนี้

Trader คืออะไร? นิยามและขอบเขต

คำว่า “Trader” โดยทั่วไปในพจนานุกรมอังกฤษ-ไทย หมายถึง “ผู้ที่ทำกิจกรรมเกี่ยวกับการเงิน” อย่างไรก็ตาม ในบริบททางการเงินโดยเฉพาะ เทรดเดอร์มีความหมายที่เจาะจงและลึกซึ้งกว่านั้นมาก

นิยามของ Trader ในทางการเงิน

ในแวดวงการเงิน Trader คือ บุคคลหรือนิติบุคคลที่ทำหน้าที่ในการซื้อและขายสินทรัพย์ทางการเงินหลากหลายประเภทในตลาด เพื่อสร้างผลกำไรจากความผันผวนของราคา ไม่ว่าจะเป็น:

  • หุ้น (Stocks): ตราสารแสดงความเป็นเจ้าของในบริษัท
  • ตราสารหนี้ (Bonds): หลักทรัพย์ที่แสดงถึงการให้เงินกู้แก่ผู้ออก
  • สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): เช่น ทองคำ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่เงิน
  • ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives): สัญญาที่มูลค่าขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิง เช่น Futures, Options, CFD
  • สกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Exchange – Forex): การซื้อขายคู่สกุลเงินต่างๆ เพื่อหากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

กล่าวโดยสรุป เทรดเดอร์จึงเป็น “นักเทรด” หรือ “ผู้ที่ทำการเทรด” นั่นเอง พวกเขาใช้ความรู้ ทักษะ และเครื่องมือต่างๆ เพื่อวิเคราะห์ตลาด ตัดสินใจซื้อขาย และจัดการความเสี่ยง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้

Trader ทำงานอย่างไร? กลไกและบทบาทในตลาด

การเป็นเทรดเดอร์นั้นไม่ใช่แค่การ “คลิกซื้อ” หรือ “คลิกขาย” แต่เป็นการดำเนินงานที่มีกลไกซับซ้อนและต้องอาศัยความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง เทรดเดอร์สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทของตลาดและเป้าหมายส่วนบุคคล

บทบาทและวิธีการทำงานของ Trader

เทรดเดอร์มีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพคล่อง (Liquidity) ให้กับตลาด พวกเขาเป็นผู้ที่พร้อมจะซื้อเมื่อมีคนต้องการขาย และพร้อมจะขายเมื่อมีคนต้องการซื้อ ทำให้การแลกเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

  • สถาบันการเงิน (Financial Institutions): เทรดเดอร์จำนวนมากทำงานให้กับธนาคารเพื่อการลงทุน กองทุนเฮดจ์ฟันด์ หรือบริษัทจัดการสินทรัพย์ พวกเขาทำหน้าที่บริหารพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่ ใช้เงินทุนของสถาบันหรือของลูกค้าเพื่อสร้างผลกำไร
  • บริษัทเอกชน (Private Companies): บางบริษัทอาจมีเทรดเดอร์ภายในเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนหรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตน
  • นักลงทุนกลุ่มบุคคล (Individual Traders / Retail Traders): นี่คือเทรดเดอร์ที่ใช้เงินทุนส่วนตัวในการซื้อขายสินทรัพย์ต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน

ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด เทรดเดอร์จะใช้ การวิเคราะห์ตลาด เพื่อหาโอกาสในการทำกำไร โดยอาศัยทั้ง การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ซึ่งเป็นการศึกษาพฤติกรรมราคาและปริมาณการซื้อขายในอดีต และ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ซึ่งเป็นการประเมินมูลค่าสินทรัพย์จากข้อมูลเศรษฐกิจ ข่าวสาร และเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบ

Trader กับ Forex: โลกแห่งการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน

ในบรรดาสินทรัพย์ทางการเงินที่เทรดเดอร์ทำการซื้อขาย ตลาด Forex (Foreign Exchange Market) หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่และมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก และเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับเทรดเดอร์

หน้าที่ของ Trader ในตลาด Forex

ในตลาด Forex เทรดเดอร์มีหน้าที่หลักคือ การซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนคู่สกุลเงินต่างๆ เพื่อสร้างกำไรจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์คาดการณ์ว่าค่าเงิน EUR จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ USD พวกเขาก็จะทำการ “ซื้อ” คู่เงิน EUR/USD โดยหวังว่าจะสามารถขายคืนได้ในราคาที่สูงขึ้นในอนาคต

จุดเด่นของการเป็น Trader Forex ที่ประสบความสำเร็จคือความสามารถในการทำกำไรได้ภายในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากตลาด Forex มีการเคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์

คุณสมบัติสำคัญของ Trader Forex ที่ประสบความสำเร็จ

การจะประสบความสำเร็จในตลาด Forex นั้น เทรดเดอร์ต้องมีคุณสมบัติและทักษะพิเศษหลายประการ:

  • ความสุขุมและการควบคุมอารมณ์: ตลาด Forex มีความผันผวนสูง อารมณ์อย่างความโลภและความกลัวสามารถส่งผลเสียต่อการตัดสินใจได้ง่าย เทรดเดอร์ที่เก่งกาจจะต้องสามารถควบคุมอารมณ์และตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและแผนการที่วางไว้
  • การบริหารความเสี่ยง (Risk Management): นี่คือหัวใจสำคัญของการเทรด ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร เทรดเดอร์ต้องรู้จักกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และขนาดการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อปกป้องเงินทุนของตนเอง
  • ความเข้าใจกลไกตลาด: เทรดเดอร์ต้องเข้าใจว่าปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงิน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายทางการเงินของธนาคารกลาง ข่าวเศรษฐกิจสำคัญ หรือเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
  • ความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์: ตลาดไม่เคยหยุดนิ่ง เทรดเดอร์ต้องมีความยืดหยุ่นและพร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เมื่อสถานการณ์ตลาดเปลี่ยนแปลงไป

การเทรด: วิชาชีพที่เหมาะกับการลงทุน

ดังที่เราได้ทำความเข้าใจกันไปแล้วว่าเทรดเดอร์คืออะไร และมีบทบาทหน้าที่อย่างไรในตลาด การเป็นเทรดเดอร์นั้นถือเป็นหนึ่งในวิชาชีพที่น่าสนใจและท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการลงทุน

เหตุผลที่การเป็น Trader เหมาะกับการลงทุน

การเทรดไม่เพียงแต่เป็นเส้นทางในการสร้างผลกำไร แต่ยังมอบประสบการณ์และความท้าทายที่ไม่เหมือนใคร:

  • โอกาสสร้างผลกำไรสูง: ด้วยความผันผวนของตลาด การเทรดเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างรวดเร็ว หากมีกลยุทธ์ที่แม่นยำและการบริหารความเสี่ยงที่ดี
  • ความยืดหยุ่นในการทำงาน: เทรดเดอร์สามารถทำงานได้จากทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต และสามารถกำหนดเวลาการทำงานของตนเองได้
  • การเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง: การเทรดเป็นอาชีพที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวอยู่เสมอ ทำให้เทรดเดอร์ได้พัฒนาความรู้และทักษะใหม่ๆ ตลอดเวลา
  • ความท้าทายทางปัญญา: การวิเคราะห์ตลาด การวางแผนกลยุทธ์ และการตัดสินใจภายใต้สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน เป็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการใช้ความคิด

พื้นฐานของ Trader ที่จะประสบความสำเร็จ: เคล็ดลับและกลยุทธ์

แม้ว่าการเทรดจะดูน่าสนใจและมีโอกาสสร้างผลกำไร แต่การจะก้าวไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการเตรียมตัวอย่างรอบด้านและวินัยอย่างเคร่งครัด

เคล็ดลับสำคัญสู่ความสำเร็จในการเป็น Trader

  1. มีความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน:
  2. พัฒนากลยุทธ์การลงทุนของตนเอง:
    • ไม่มีกลยุทธ์ใดที่เหมาะกับทุกคน เทรดเดอร์ต้องทดลองและปรับปรุงกลยุทธ์ให้เข้ากับสไตล์การเทรด ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และเป้าหมายของตนเอง
    • กลยุทธ์ที่ดีควรมีกฎการเข้า (Entry) และออก (Exit) จากตลาดที่ชัดเจน รวมถึงกฎการบริหารความเสี่ยง
  3. รู้จักการประเมินต้นทุน ความเสี่ยง และผลตอบแทน:
    • การบริหารความเสี่ยง: ก่อนเข้าเทรดทุกครั้ง ต้องกำหนดจุด Stop Loss เพื่อจำกัดการขาดทุน และคำนวณขนาด Position Size ให้เหมาะสมกับเงินทุน
    • อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio): ควรตั้งเป้าหมายการทำกำไรที่สูงกว่าความเสี่ยงที่ยอมรับได้เสมอ เช่น Risk-Reward Ratio 1:2 หมายความว่า หากยอมเสี่ยง 1 หน่วย ควรคาดหวังกำไร 2 หน่วย
  4. มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาและปรับตัว:
    • ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เทรดเดอร์ต้องสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและปรับเปลี่ยนแผนการเทรดให้เข้ากับตลาด
    • หากเกิดข้อผิดพลาด ต้องเรียนรู้จากมันและไม่ทำซ้ำเดิม
  5. มีวินัยและจิตวิทยาการเทรดที่ดี:
    • วินัย: ปฏิบัติตามแผนการเทรดอย่างเคร่งครัด ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
    • ความอดทน: รอคอยจังหวะที่เหมาะสม ไม่รีบร้อนเข้าเทรด
    • การยอมรับการขาดทุน: การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจะยอมรับการขาดทุนเล็กน้อยเพื่อรักษาเงินทุนไว้สำหรับโอกาสครั้งต่อไป

ฟรี! ระบบเทรดอัตโนมัติ

สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการใช้ EA indicator ระบบเทรดอัตโนมัติ และเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี
มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงค์ด้านล่าง ก็สามารถรับ EA ระบบเทรดอัตโนมัติ ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆอื่นๆได้อีกในอนาคต
XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
exness – โบรคเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด
**”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อ
ขอรับ EA ได้ฟรี!”**
.
ช่องทางการพูดคุย
.
Line Id :: @ft.th
.
.
กลุ่มพูดคุย :: เทรดฟอเร็กซ์ให้ได้กําไรอย่างยั่งยืน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Trader

Q1: Trader กับ Investor แตกต่างกันอย่างไร?

A: แม้จะเกี่ยวข้องกับการลงทุนเหมือนกัน แต่ Trader และ Investor มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในเรื่องของระยะเวลาและเป้าหมาย

  • Trader (เทรดเดอร์): มุ่งเน้นการทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้นถึงปานกลาง (Day Trading, Swing Trading) โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก และมีการซื้อขายบ่อยครั้ง เพื่อให้ได้กำไรจากส่วนต่างราคาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • Investor (นักลงทุน): มุ่งเน้นการเติบโตของสินทรัพย์ในระยะยาว โดยอาศัยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก และถือครองสินทรัพย์เป็นระยะเวลานานหลายเดือนถึงหลายปี เพื่อได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัท เงินปันผล หรือมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ในอนาคต

Q2: การเป็น Trader จำเป็นต้องมีเงินทุนเยอะหรือไม่?

A: ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนจำนวนมหาศาลในการเริ่มต้นเป็นเทรดเดอร์ในยุคปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทำให้สามารถเปิดบัญชีเทรดด้วยเงินทุนเริ่มต้นที่ค่อนข้างน้อยในหลายๆ โบรกเกอร์ (เช่น XM, Mtrading, Exness) นอกจากนี้ บัญชี Cent (เซ็นต์) ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงสำหรับมือใหม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญกว่าจำนวนเงินทุนคือ การบริหารจัดการเงินทุนและความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

Q3: มือใหม่ควรเริ่มต้นเป็น Trader Forex อย่างไร?

A: สำหรับมือใหม่ที่สนใจการเป็น Trader Forex ควรเริ่มต้นด้วยขั้นตอนเหล่านี้:

  1. ศึกษาหาความรู้พื้นฐาน: ทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาด Forex, คำศัพท์ที่ใช้, รูปแบบกราฟ, และอินดิเคเตอร์พื้นฐาน
  2. ทดลองเทรดในบัญชี Demo Account: ฝึกฝนการซื้อขายโดยใช้เงินจำลอง เพื่อให้คุ้นเคยกับแพลตฟอร์มและกลไกตลาด โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน
  3. พัฒนากลยุทธ์การเทรด: ค้นหากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเอง และทดสอบประสิทธิภาพของกลยุทธ์นั้นๆ
  4. เริ่มต้นด้วยเงินจริงจำนวนน้อย: เมื่อมั่นใจในกลยุทธ์แล้ว ให้เริ่มต้นด้วยเงินทุนจำนวนน้อยที่สุดที่รับความเสี่ยงได้
  5. สร้างวินัยและควบคุมอารมณ์: เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรด ไม่ว่าจะเป็นการยึดมั่นในแผนการ การยอมรับการขาดทุน และไม่ปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำการตัดสินใจ

Q4: Trader ควรใช้ Indicator ตัวไหนบ้าง?

A: ไม่มี Indicator ตัวใดตัวหนึ่งที่ “ดีที่สุด” เสมอไป การเลือกใช้ Indicator ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดและสไตล์ของเทรดเดอร์ แต่ Indicator ยอดนิยมที่เทรดเดอร์หลายคนใช้และควรศึกษา ได้แก่:

  • Moving Average (MA): ใช้เพื่อระบุแนวโน้มและหาจุดกลับตัวของราคา
  • Relative Strength Index (RSI): ใช้เพื่อวัดภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
  • Moving Average Convergence Divergence (MACD): ใช้เพื่อระบุความแข็งแกร่งของแนวโน้มและสัญญาณการกลับตัว
  • Bollinger Bands: ใช้เพื่อวัดความผันผวนและระบุแนวรับแนวต้านที่เป็นไปได้

สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ที่จะรวม Indicator หลายๆ ตัวเข้าด้วยกัน และใช้มันเพื่อยืนยันสัญญาณการซื้อขาย แทนที่จะพึ่งพา Indicator เพียงตัวเดียว

Q5: การบริหารความเสี่ยงสำคัญแค่ไหนสำหรับ Trader?

A: การบริหารความเสี่ยงเป็น สิ่งสำคัญที่สุด สำหรับการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว หากไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี แม้แต่เทรดเดอร์ที่มีกลยุทธ์ทำกำไรสูงก็อาจล้มเหลวได้ เพราะการขาดทุนครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียวก็สามารถล้างพอร์ตทั้งหมดได้ การบริหารความเสี่ยงช่วยให้เทรดเดอร์:

  • ปกป้องเงินทุน: จำกัดการขาดทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
  • อยู่รอดในตลาด: สามารถกลับมาเทรดได้ใหม่แม้จะขาดทุน
  • สร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน: ทำให้สามารถสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

กฎพื้นฐานของการบริหารความเสี่ยงคือ การกำหนด Stop Loss อย่างชัดเจน และไม่เสี่ยงเงินทุนเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดต่อการเทรดหนึ่งครั้ง

สรุป

การเป็น Trader เป็นเส้นทางอาชีพที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยโอกาสในการสร้างผลกำไร แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องอาศัยความรู้ ทักษะ วินัย และการบริหารความเสี่ยงที่ดี การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า Trader คืออะไร ทำงานอย่างไร และต้องมีพื้นฐานแบบไหนจึงจะประสบความสำเร็จ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้ที่สนใจสามารถก้าวเข้าสู่โลกของการเทรดได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

หากคุณพร้อมที่จะเริ่มต้นเส้นทางการเป็นเทรดเดอร์ หรือต้องการพัฒนาทักษะการเทรดของคุณให้ดียิ่งขึ้น อย่าลังเลที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ และนำหลักการบริหารความเสี่ยงไปใช้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้คุณสามารถประสบความสำเร็จในตลาดการเงินที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line