TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

แนวรับและแนวต้านและอุปสงค์และอุปทาน

กันยายน 9, 2022

แนวรับ แนวต้าน อุปสงค์ และอุปทาน: กลยุทธ์การเทรด Forex ที่นักลงทุนต้องรู้

แนวรับและแนวต้าน อุปสงค์และอุปทาน

ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของตลาด Forex นั้น มีแนวคิดพื้นฐานสองประการที่นักลงทุนมือใหม่มักจะสับสนอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือ แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance – SnR) และ อุปสงค์และอุปทาน (Supply and Demand – SnD) แม้ว่าทั้งสองแนวคิดจะมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการบ่งชี้จุดกลับตัวของราคา แต่แท้จริงแล้วมีกลไกการก่อตัวและวิธีการนำไปใช้ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความแตกต่างและจุดร่วมของ SnR และ SnD พร้อมทั้งแนะนำวิธีการนำทั้งสองแนวคิดมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างชุดการซื้อขาย (Trade Setup) ที่มีความน่าจะเป็นสูง ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดได้อย่างยั่งยืน

ทำความเข้าใจอุปสงค์และอุปทาน (Supply and Demand – SnD) ในตลาด Forex

อุปสงค์และอุปทานคืออะไร?

อุปสงค์ (Demand) และ อุปทาน (Supply) เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐศาสตร์ และหลักการเดียวกันนี้สามารถนำมาอธิบายพฤติกรรมราคาในตลาด Forex ได้อย่างแม่นยำ อุปสงค์และอุปทานในบริบทของการวิเคราะห์ทางเทคนิคสะท้อนถึง “ความไม่สมดุลของราคา” (Price Imbalance) ที่เกิดขึ้นในตลาด เมื่อใดก็ตามที่ราคาอยู่ในภาวะที่ไม่สมดุล ไม่ว่าจะเป็นแรงซื้อที่มากเกินไปหรือแรงขายที่มากเกินไป ตลาดมักจะพยายามปรับตัวเพื่อกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลเสมอ พฤติกรรมธรรมชาตินี้เองที่เราเรียกว่า อุปสงค์และอุปทาน ซึ่งเป็นรากฐานของการ วิเคราะห์ทางเทคนิค ในตลาด Forex

  • โซนอุปสงค์ (Demand Zone): คือบริเวณที่แรงซื้อมีมากกว่าแรงขายอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว บ่งบอกถึงการเข้าซื้อของสถาบันหรือผู้เล่นรายใหญ่
  • โซนอุปทาน (Supply Zone): คือบริเวณที่แรงขายมีมากกว่าแรงซื้ออย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ราคาดิ่งลงอย่างรวดเร็ว บ่งบอกถึงการเข้าขายของสถาบันหรือผู้เล่นรายใหญ่

กฎพื้นฐานคือ: หลังจากภาวะที่ไม่สมดุล ย่อมตามมาด้วยภาวะที่สมดุล ดังนั้น เมื่อราคาเคลื่อนที่ออกจากโซน SnD อย่างรุนแรง มีโอกาสสูงที่ราคาจะย้อนกลับมาที่โซนนั้นอีกครั้งเพื่อเติมเต็มคำสั่งซื้อขายที่ยังค้างอยู่

ประเภทของโซนอุปสงค์และอุปทาน

โซนอุปสงค์และอุปทานจะถูกจัดหมวดหมู่ตามรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคารอบๆ โซนฐาน (Base Candle/Consolidation) โดยมี 4 รูปแบบพื้นฐานที่สำคัญดังนี้

สูตรการก่อตัวอย่างง่าย: เทียนแท่งใหญ่ (Impulse Candle) + เทียนฐาน (Base Candle/Consolidation) + เทียนแท่งใหญ่ (Impulse Candle)

การซื้อขาย zone อุปสงค์และอุปทาน

  1. Rally Base Rally (RBR):
    • ลักษณะ: ราคาวิ่งขึ้น (Rally) พักตัว (Base) แล้ววิ่งขึ้นต่อ (Rally)
    • บ่งชี้: เป็นโซนอุปสงค์ (Demand Zone) ที่แสดงถึงการสะสมคำสั่งซื้อของผู้ซื้อรายใหญ่ก่อนที่จะผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปอีก
    • การนำไปใช้: คาดการณ์ว่าเมื่อราคาย้อนกลับมาที่โซนฐานนี้ มีโอกาสสูงที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาผลักดันราคาขึ้นไปอีกครั้ง นักลงทุนสามารถพิจารณาเข้าซื้อได้
    • ตัวอย่าง: ลองจินตนาการถึงตลาดหุ้นที่ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว หยุดพักเพื่อสะสมแรง จากนั้นก็พุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งบริเวณที่พักตัวนั้นคือโซน RBR
  2. Rally Base Drop (RBD):
    • ลักษณะ: ราคาวิ่งขึ้น (Rally) พักตัว (Base) แล้วดิ่งลง (Drop)
    • บ่งชี้: เป็นโซนอุปทาน (Supply Zone) ที่แสดงถึงการกระจายคำสั่งขายของผู้ขายรายใหญ่หลังจากที่ราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น
    • การนำไปใช้: คาดการณ์ว่าเมื่อราคาย้อนกลับมาที่โซนฐานนี้ มีโอกาสสูงที่จะมีแรงขายกลับเข้ามาผลักดันราคาให้ต่ำลง นักลงทุนสามารถพิจารณาเข้าขายได้
    • ตัวอย่าง: หากสินทรัพย์หนึ่งมีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นมีการเคลื่อนไหวแบบ sideway เพื่อระบายของ ก่อนที่จะร่วงลงอย่างรุนแรง บริเวณ sideway นั้นคือโซน RBD
  3. Drop Base Rally (DBR):
    • ลักษณะ: ราคาดิ่งลง (Drop) พักตัว (Base) แล้ววิ่งขึ้น (Rally)
    • บ่งชี้: เป็นโซนอุปสงค์ (Demand Zone) ที่แสดงถึงการเข้าซื้ออย่างรุนแรงของผู้ซื้อรายใหญ่หลังจากที่ราคาได้ปรับตัวลดลงอย่างมาก
    • การนำไปใช้: คาดการณ์ว่าเมื่อราคาย้อนกลับมาที่โซนฐานนี้ มีโอกาสสูงที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาผลักดันราคาขึ้นไปอีกครั้ง นักลงทุนสามารถพิจารณาเข้าซื้อได้
    • ตัวอย่าง: ในช่วงตลาดหมี ราคาดิ่งลงอย่างรวดเร็ว มีการสร้างฐานขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่ราคาจะพุ่งกลับตัวขึ้นไปอย่างแข็งแกร่ง โซนฐานนั้นคือ DBR
  4. Drop Base Drop (DBD):
    • ลักษณะ: ราคาดิ่งลง (Drop) พักตัว (Base) แล้วดิ่งลงต่อ (Drop)
    • บ่งชี้: เป็นโซนอุปทาน (Supply Zone) ที่แสดงถึงการควบคุมตลาดโดยผู้ขายอย่างต่อเนื่อง หรือการที่ผู้ขายยังคงมีความต้องการระบายสินค้าออกไป
    • การนำไปใช้: คาดการณ์ว่าเมื่อราคาย้อนกลับมาที่โซนฐานนี้ มีโอกาสสูงที่จะมีแรงขายกลับเข้ามาผลักดันราคาให้ต่ำลง นักลงทุนสามารถพิจารณาเข้าขายได้
    • ตัวอย่าง: ตลาดที่มีแนวโน้มขาลง ราคาลงอย่างต่อเนื่อง มีการพักตัวเพียงเล็กน้อยเพื่อสะสมแรงขาย ก่อนที่จะลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่ โซนพักตัวนั้นคือ DBD

กลไกการก่อตัวของโซนอุปสงค์และอุปทาน

ความไม่สมดุลของราคาอย่างมีนัยสำคัญในตลาด Forex มักเกิดขึ้นเมื่อมีคำสั่งซื้อขายจำนวนมหาศาลเข้าสู่ตลาดในเวลาเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผู้เล่นสถาบัน (Institutional Traders) หรือที่เรียกว่า “Smart Money” สิ่งเหล่านี้มักจะปรากฏให้เห็นในรูปแบบของ “แท่งเทียน Marubozu ขนาดใหญ่” หรือแท่งเทียนที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและมีเนื้อเทียนยาว ตัวอย่างเช่น การเกิดแท่งเทียนขนาดใหญ่หลังจากช่วงที่ราคาผันผวน แสดงให้เห็นว่า ณ จุดนั้นมีการเติมเต็มคำสั่งซื้อขายจำนวนมาก แต่บ่อยครั้งที่คำสั่งของสถาบันเหล่านี้ไม่สามารถถูกเติมเต็มได้ทั้งหมดในการเคลื่อนไหวครั้งแรก ทำให้มีคำสั่งที่ยังไม่สำเร็จเหลืออยู่ใน “โซนฐาน” ที่ราคาได้เคลื่อนที่ออกมา

นี่คือเหตุผลสำคัญที่ว่าทำไมราคาจึงมักจะกลับมายังโซนฐานเหล่านี้อีกครั้งในอนาคต เพื่อ “เลือก” หรือเติมเต็มคำสั่งซื้อขายที่ยังค้างอยู่เหล่านั้น สำหรับนักลงทุนรายย่อย นี่คือโอกาสทอง! เราสามารถใช้โอกาสนี้ในการเข้าซื้อขายไปพร้อมกับสถาบัน โดยการระบุและเข้าทำกำไรในโซนอุปทานและอุปสงค์ที่ชัดเจนและ “สดใหม่” (Fresh Zone) ซึ่งหมายถึงโซนที่ราคายังไม่เคยกลับมาทดสอบเลยหลังจากที่มันถูกสร้างขึ้น โซนเหล่านี้จึงมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าและมีโอกาสในการกลับตัวของราคาที่แข็งแกร่ง

เจาะลึกแนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance – SnR) ในตลาด Forex

แนวรับและแนวต้านคืออะไร?

แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่ทำหน้าที่เสมือน “จุดดึงดูด” สำหรับผู้ซื้อและผู้ขายในตลาด Forex กล่าวคือ เป็นบริเวณที่ราคาเคยหยุดชะงักและกลับตัวในอดีต เนื่องจากมีแรงซื้อหรือแรงขายที่มากพอที่จะหยุดยั้งการเคลื่อนที่ของราคาในทิศทางนั้นๆ แนวรับคือระดับราคาที่เชื่อว่าแรงซื้อจะเข้ามามากพอที่จะทำให้ราคาหยุดลงและอาจกลับตัวขึ้น ส่วนแนวต้านคือระดับราคาที่เชื่อว่าแรงขายจะเข้ามามากพอที่จะทำให้ราคาหยุดลงและอาจกลับตัวลง

แนวคิดนี้ไม่ได้อ้างอิงจากความไม่สมดุลของคำสั่งที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มโดยตรง แต่เป็นระดับทางจิตวิทยาที่เกิดจากความทรงจำของตลาด (Market Memory) และพฤติกรรมของผู้ซื้อและผู้ขาย ตัวอย่างเช่น ตัวเลขกลม (Round Numbers) เช่น 1.5000, 100.00 หรือ 0.8000 มักจะทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ เนื่องจากเทรดเดอร์จำนวนมากมักจะตั้งคำสั่งซื้อขายไว้ที่ระดับเหล่านี้ด้วยเหตุผลทางจิตวิทยา นอกจากนี้ ระดับ Fibonacci Retracement ที่สำคัญ เช่น 0.618 ก็มักจะทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านได้เช่นกัน

ลองคิดแบบเทรดเดอร์ดูสิ: เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะชอบซื้อคู่สกุลเงินที่ราคา 1.5000 มากกว่าที่ 1.56473 เพราะ 1.5000 เป็นตัวเลขที่จดจำง่ายและดูเหมือนจะเป็นราคา “ที่เหมาะสม” กว่า ดังนั้น ระดับราคาเหล่านี้จึงกลายเป็นจุดสนใจที่ทำให้เกิดการปฏิเสธราคาและนำไปสู่การกลับตัว

วิธีการระบุและวาดแนวรับและแนวต้านที่แม่นยำ

แนวรับและแนวต้านใน forex

การวาดแนวรับและแนวต้านให้ถูกต้องเป็นทักษะสำคัญที่ต้องใช้ประสบการณ์และการสังเกต สิ่งสำคัญคือการมองหาจุดที่ราคามีการกลับตัวหรือหยุดชะงักในอดีตอย่างชัดเจน

  • จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดในอดีต (Swing Highs and Swing Lows): จุดเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดของแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง
  • ตัวเลขกลม (Round Numbers): ระดับราคาที่ลงท้ายด้วย 00 หรือ 50 มักเป็นระดับจิตวิทยาที่สำคัญ
  • ระดับ Fibonacci Retracement: ระดับ Fibonacci ที่สำคัญ เช่น 38.2%, 50%, 61.8% มักทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านได้
  • รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick Patterns): การเกิดรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกการกลับตัว เช่น Pin Bar หรือ Engulfing Candlestick ที่ระดับราคาหนึ่งๆ ยิ่งเป็นการยืนยันความสำคัญของแนวรับหรือแนวต้านนั้นๆ
  • การทดสอบซ้ำ (Retests): ยิ่งราคาทดสอบระดับใดบ่อยครั้งและไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ ระดับนั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อระดับที่แข็งแกร่งถูกทำลาย การเคลื่อนไหวของราคาอาจรุนแรง
  • กฎการเปลี่ยนบทบาท (Role Reversal Rule): แนวรับที่ถูกทำลายจะกลายเป็นแนวต้านใหม่ และแนวต้านที่ถูกทำลายจะกลายเป็นแนวรับใหม่ นี่เป็นหลักการสำคัญที่นักเทรดควรทำความเข้าใจ

กรอบเวลาที่เหมาะสมกับการวาดแนวรับและแนวต้าน

การเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมในการวาดแนวรับและแนวต้านขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้ว แนวรับแนวต้านที่วาดจากกรอบเวลาที่สูงกว่า (Higher Timeframe) จะมีความสำคัญและน่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากสะท้อนถึงมุมมองของตลาดในวงกว้าง

  • สำหรับ Swing Trader (เทรดระยะกลาง-ยาว):
    • กรอบเวลาที่สูงขึ้น (สำหรับหาภาพรวมและระดับสำคัญ): Daily (D1), H4 (4 ชั่วโมง)
    • กรอบเวลาที่ต่ำลง (สำหรับหาจุดเข้า/ออกที่แม่นยำ): H1 (1 ชั่วโมง)
  • สำหรับ Intraday Trader (เทรดรายวัน):
    • กรอบเวลาที่สูงขึ้น (สำหรับหาแนวโน้มหลัก): H4, H1
    • กรอบเวลาที่ต่ำลง (สำหรับหาจุดเข้า/ออก): M30 (30 นาที), M15 (15 นาที)
  • สำหรับ Scalper (เทรดเร็ว):
    • กรอบเวลาที่สูงขึ้น (สำหรับหาบริบทของตลาด): M15, M30
    • กรอบเวลาที่ต่ำลง (สำหรับหาจุดเข้า/ออกที่รวดเร็ว): M1 (1 นาที), M5 (5 นาที)

ความแตกต่างและความคล้ายคลึงระหว่างอุปสงค์/อุปทานและแนวรับ/แนวต้าน

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย

นักลงทุนมือใหม่จำนวนมากมักเข้าใจผิดว่าอุปสงค์และอุปทาน (SnD) กับแนวรับและแนวต้าน (SnR) เป็นแนวคิดเดียวกัน เนื่องจากทั้งคู่ต่างก็เป็นบริเวณที่ราคามีแนวโน้มที่จะกลับตัว อย่างไรก็ตาม นี่คือความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง แท้จริงแล้วทั้งสองแนวคิดนี้มีหลักการและพฤติกรรมของราคาที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

อุปทานและอุปสงค์เท่ากับแนวรับและแนวต้าน

ความคล้ายคลึงกัน

ก่อนที่จะลงลึกถึงความแตกต่าง เรามาทำความเข้าใจถึงจุดร่วมที่ทำให้ทั้งสองแนวคิดนี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน

  1. บ่งบอกถึงการกลับตัวของราคา: ทั้ง SnR และ SnD ต่างก็เป็นบริเวณที่ราคาแสดงพฤติกรรมการกลับตัว หรือมีการเปลี่ยนทิศทางของแนวโน้ม
  2. ครอบคลุมพื้นที่โซน: ทั้งคู่ไม่ได้เป็นเพียงเส้นแนวระนาบเดียว แต่เป็น “โซน” หรือ “พื้นที่” ที่มีความกว้างเล็กน้อย ซึ่งราคาสามารถเคลื่อนไหวภายในโซนนั้นก่อนที่จะเกิดการกลับตัว

ความแตกต่างที่สำคัญ

ถึงเวลาที่เราจะเจาะลึกถึงประเด็นหลักที่แยกแนวคิดทั้งสองนี้ออกจากกันอย่างชัดเจน การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้คุณใช้เครื่องมือแต่ละชนิดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่าง แนวรับและแนวต้าน
ตัวอย่าง โซนอุปสงค์และอุปทาน

คุณสมบัติ แนวรับและแนวต้าน (SnR) อุปสงค์และอุปทาน (SnD)
ที่มาของแนวคิด เกิดจากความทรงจำของตลาด (Market Memory) และพฤติกรรมทางจิตวิทยาของผู้ซื้อ/ผู้ขายที่ระดับราคาสำคัญในอดีต เกิดจากความไม่สมดุลของคำสั่งซื้อ/ขายจำนวนมหาศาลของสถาบันที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม
ลักษณะของโซน เป็น "ระดับทางจิตวิทยา" หรือ "จุดดึงดูด" ที่ราคาเคยกลับตัวหรือพักตัวมาแล้วในอดีต เป็น "โซนของคำสั่ง" ที่ถูกสร้างขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและทิ้งคำสั่งค้างไว้
การพิจารณาประวัติราคา จำเป็นต้องมองย้อนกลับไปในอดีตของกราฟ ยิ่งราคามีการปฏิเสธที่ระดับนั้นบ่อยครั้งเท่าไหร่ ระดับ SnR นั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพิจารณาประวัติราคาในอดีตมากนัก สิ่งสำคัญคือ "ความสดใหม่" ของโซน
ความแข็งแกร่งเมื่อถูกทดสอบ ยิ่งมีการทดสอบและกลับตัวหลายครั้ง ระดับ SnR จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น (จนกว่าจะถูกทำลาย) โดยทั่วไปแล้ว โซน SnD ที่ "สดใหม่" (Fresh Zone – ยังไม่เคยถูกทดสอบ) จะมีความน่าเชื่อถือสูงสุด โซนที่ถูกทดสอบไปแล้วมักจะอ่อนแอลงและอาจไม่ทำงานอีก
การเปลี่ยนบทบาท เป็นไปได้: แนวรับที่ถูกทำลายจะกลายเป็นแนวต้าน และแนวต้านที่ถูกทำลายจะกลายเป็นแนวรับ (Role Reversal) ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนบทบาทที่ชัดเจนเท่า SnR โซน SnD มักจะหมดพลังไปหลังการทดสอบครั้งแรกหรือครั้งที่สอง
ลักษณะการก่อตัวบนกราฟ สามารถเกิดจาก Swing High/Low, ตัวเลขกลม, ระดับ Fibonacci หรือเส้น Trendline เกิดจากรูปแบบ "Big Candle + Base Candle + Big Candle" (RBR, RBD, DBR, DBD)

ทำไมความแตกต่างนี้จึงสำคัญ?

การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณวางแผนการเทรดได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น หากคุณเจอแนวรับที่ถูกทดสอบมาแล้วหลายครั้งในอดีต คุณอาจจะยังคงพิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาลงมาถึงแนวรับนั้นอีกครั้ง เพราะเชื่อว่ามันเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง ในทางกลับกัน หากคุณเจอโซนอุปสงค์ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างชัดเจนและราคากลับมาทดสอบเป็นครั้งแรก คุณจะพิจารณาเข้าซื้อด้วยความมั่นใจสูง แต่หากโซนนั้นถูกทดสอบไปแล้วหลายครั้ง คุณอาจจะหลีกเลี่ยงการเทรดในโซนนั้นเพราะเชื่อว่าคำสั่งที่ค้างอยู่ได้ถูกเติมเต็มไปแล้ว

สร้างการตั้งค่าการซื้อขายที่มีความน่าจะเป็นสูงด้วย SnD และ SnR

การรวมเอาแนวคิดของอุปสงค์และอุปทาน (SnD) เข้ากับแนวรับและแนวต้าน (SnR) จะช่วยยกระดับความแม่นยำและความน่าจะเป็นในการเทรดของคุณได้อย่างมหาศาล นี่คือแนวคิดของการ “Confluence” หรือการบรรจบกันของปัจจัยทางเทคนิคหลายอย่าง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างชุดการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ

การรวมโซนอุปสงค์/อุปทานเข้ากับแนวรับ/แนวต้าน

การตั้งค่าการซื้อขาย SnD + SnR

การตั้งค่าการซื้อขายที่ทำงานได้ดีที่สุดคือเมื่อโซนอุปสงค์และอุปทานไปบรรจบกับระดับแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง นี่คือ "โซนแห่งความน่าจะเป็นสูง" (High-Probability Zone) ที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของทั้งแรงผลักดันของสถาบัน (จาก SnD) และแนวโน้มทางจิตวิทยา/ประวัติศาสตร์ของตลาด (จาก SnR) ที่ทำงานร่วมกัน

  • การตั้งค่าการซื้อ (Buy Setup): เมื่อคุณพบโซนอุปสงค์ (Demand Zone) ที่สดใหม่และชัดเจน และโซนนั้นไปปรากฏอยู่ ณ ระดับแนวรับที่แข็งแกร่ง (ซึ่งอาจจะเป็นแนวรับทางจิตวิทยา, Fibonacci, หรือ Swing Low ในอดีต) นี่คือสัญญาณซื้อที่ทรงพลัง
  • การตั้งค่าการขาย (Sell Setup): ในทางกลับกัน เมื่อคุณพบโซนอุปทาน (Supply Zone) ที่สดใหม่และชัดเจน และโซนนั้นไปปรากฏอยู่ ณ ระดับแนวต้านที่แข็งแกร่ง (ซึ่งอาจจะเป็นแนวต้านทางจิตวิทยา, Fibonacci, หรือ Swing High ในอดีต) นี่คือสัญญาณขายที่ทรงพลัง

ทำไมการรวมกันนี้ถึงทรงพลัง?

เมื่อราคากลับมายังบริเวณที่มีการบรรจบกันของ SnD และ SnR แสดงว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่สนับสนุนการกลับตัวของราคา: คำสั่งซื้อขายที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มจากสถาบัน (SnD) และความทรงจำของตลาดที่บ่งชี้ถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่เคยแข็งแกร่งในอดีต (SnR) การทำงานร่วมกันนี้สร้างจุดเข้าที่มีความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนสูง เนื่องจากคุณสามารถวาง Stop Loss ได้ค่อนข้างกระชับเหนือหรือใต้โซน/ระดับนี้

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความแม่นยำ

นอกจากการรวม SnD และ SnR แล้ว คุณยังสามารถเพิ่มปัจจัยอื่นๆ เพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของการตั้งค่าการซื้อขายของคุณ:

  1. การยืนยันด้วย Price Action: รอให้เกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวที่ชัดเจนภายในโซน SnD/SnR ที่บรรจบกัน เช่น Pin Bar, Engulfing Pattern, หรือ Morning/Evening Star สิ่งเหล่านี้เป็นการยืนยันว่าตลาดกำลังตอบสนองต่อโซนที่คุณระบุ
  2. การใช้ Indicators เสริม: คุณสามารถใช้ Indicators ประเภท Oscillator เช่น Stochastic Oscillator หรือ RSI เพื่อยืนยันภาวะ Overbought/Oversold ที่บริเวณโซน SnD/SnR ตัวอย่างเช่น หากราคาเข้าสู่ Demand Zone ที่แนวรับที่แข็งแกร่ง และ Stochastic แสดงภาวะ Oversold นี่คือสัญญาณซื้อที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
  3. การวิเคราะห์ Multi-Timeframe: ตรวจสอบโซน SnD หรือระดับ SnR ในกรอบเวลาที่แตกต่างกัน หากคุณสามารถระบุโซนหรือระดับเดียวกันในหลายกรอบเวลา (เช่น H1, H4 และ Daily) จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของการตั้งค่าการซื้อขายนั้นๆ ได้อย่างมาก เพราะมันบ่งบอกถึงฉันทามติของตลาดที่แข็งแกร่งขึ้นในระยะเวลาที่แตกต่างกัน (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิเคราะห์ Multi-Timeframe)
  4. การจัดการความเสี่ยง (Risk Management): แม้ว่าการตั้งค่าเหล่านี้จะมีความน่าจะเป็นสูง แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกัน 100% เสมอไป กำหนด Stop Loss (SL) ที่เหมาะสมเสมอ โดยวาง SL ไว้นอกโซน SnD/SnR เล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยงและป้องกันการขาดทุนที่มากเกินไป

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

1. ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง SnR และ SnD คืออะไร?

ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือ ที่มาและกลไกการทำงาน ครับ SnR เน้นที่ระดับราคาที่เคยมีการกลับตัวในอดีตซ้ำๆ โดยมีลักษณะเป็นโซนทางจิตวิทยาที่ดึงดูดผู้ซื้อและผู้ขาย สะท้อนถึง “ความทรงจำของตลาด” ในขณะที่ SnD เน้นที่บริเวณที่มีคำสั่งซื้อขายจำนวนมากของสถาบันที่ยังไม่ได้ถูกเติมเต็ม ซึ่งมักเกิดจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและคาดหวังการกลับมาเติมเต็มคำสั่งในโซน “สดใหม่” (Fresh Zone) ที่มีความไม่สมดุลของคำสั่งอย่างแท้จริง

2. ควรใช้กรอบเวลาใดในการวิเคราะห์ SnR และ SnD?

สำหรับ SnR ควรเริ่มต้นจากกรอบเวลาที่สูงขึ้น (เช่น Daily, H4) เพื่อหาแนวโน้มหลักและระดับแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งและมีความสำคัญในภาพรวม จากนั้นจึงลงไปกรอบเวลาที่ต่ำลง (เช่น H1, M30) เพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำ สำหรับ SnD ก็สามารถใช้หลักการเดียวกันได้ แต่โซน SnD ที่ชัดเจนมักปรากฏในทุกกรอบเวลา อย่างไรก็ตาม โซนที่มาจากกรอบเวลาที่สูงขึ้นมักจะมีพลังมากกว่าและน่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวของสถาบันที่ส่งผลในระยะยาว

3. โซน SnD ที่ “สดใหม่” (Fresh Zone) มีความสำคัญอย่างไร?

โซน SnD ที่ “สดใหม่” คือโซนที่ราคายังไม่เคยกลับมาทดสอบเลยหลังจากที่มันถูกสร้างขึ้น โซนเหล่านี้มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าโซนที่ถูกทดสอบไปแล้ว เนื่องจากเชื่อว่ายังมีคำสั่งซื้อขายของสถาบันที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มจำนวนมากรออยู่ เมื่อราคาเข้าใกล้โซนนี้เป็นครั้งแรก จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวหรือการเคลื่อนที่ของราคาที่รุนแรง เพื่อเติมเต็มคำสั่งที่ค้างอยู่นั้น

4. จะรวม SnR และ SnD เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดได้อย่างไร?

การรวม SnR และ SnD เข้าด้วยกันคือการมองหา การบรรจบกัน (Confluence) ของทั้งสองแนวคิดนี้ นั่นหมายถึง การระบุโซนอุปสงค์ที่เกิดขึ้นที่ระดับแนวรับที่แข็งแกร่ง หรือโซนอุปทานที่เกิดขึ้นที่ระดับแนวต้านที่สำคัญ การบรรจบกันของสองแนวคิดนี้สร้าง “โซนแห่งความน่าจะเป็นสูง” (High-Probability Zone) ที่มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัว ซึ่งช่วยให้การตั้งค่าการซื้อขายมีความแม่นยำและมีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

สรุป

แนวรับ แนวต้าน อุปสงค์ และอุปทาน เป็นเสาหลักของการวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาด Forex แม้ว่าทั้งสองแนวคิดจะมีความคล้ายคลึงกันในการบ่งชี้จุดกลับตัวของราคา แต่ก็มีหลักการก่อตัวและการนำไปใช้ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน การทำความเข้าใจในความแตกต่างและจุดร่วมเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จ

การรวมเอาโซนอุปสงค์/อุปทานที่ “สดใหม่” เข้ากับระดับแนวรับ/แนวต้านที่ได้รับการยืนยัน จะช่วยสร้างชุดการซื้อขายที่มีความน่าจะเป็นสูง ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ยังช่วยให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การฝึกฝนการระบุและประยุกต์ใช้แนวคิดเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับการยืนยันด้วย Price Action, Indicators เสริม และการวิเคราะห์ Multi-Timeframe จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับทักษะการเทรดของคุณให้ก้าวไปอีกขั้น

เราขอแนะนำให้นักลงทุนทุกท่านฝึกฝนและทดลองใช้กลยุทธ์เหล่านี้ในบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อน เพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจ ก่อนที่จะนำไปใช้ในการเทรดจริง การเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องคือหนทางสู่ความสำเร็จในตลาด Forex.

You Might Also Like

Contact Us on Line