Stop-Loss (SL) คืออะไร? สุดยอดกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงในการเทรด Forex ที่เทรดเดอร์มืออาชีพต้องรู้
ในการเทรด Forex ตลาดที่มีความผันผวนสูง การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ถือเป็นหัวใจสำคัญที่นักลงทุนทุกระดับไม่ควรมองข้าม และหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการบริหารความเสี่ยงคือการตั้งค่า Stop-Loss (SL) หรือจุดตัดขาดทุนนั่นเอง บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของ Stop-Loss ตั้งแต่ความหมาย หลักการทำงาน ข้อดี ไปจนถึงเคล็ดลับการตั้งค่าอย่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเทรดได้อย่างมั่นใจและเพิ่มโอกาสในการรักษากำไร ลดการขาดทุน และสร้างวินัยการเทรดที่ยั่งยืน

Stop-Loss (SL) คืออะไร และทำงานอย่างไร?
Stop-Loss (SL) คือคำสั่งที่นักลงทุนใช้เพื่อจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการเทรด โดยการกำหนดราคาที่แน่นอนไว้ล่วงหน้าว่า หากราคาของสินทรัพย์เคลื่อนที่ไปถึงจุดนั้น ระบบจะทำการปิดสถานะการเทรดโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไม่ให้คุณขาดทุนมากไปกว่าที่ยอมรับได้
ความหมายเชิงลึกของ Stop-Loss
โดยพื้นฐานแล้ว Stop-Loss ทำหน้าที่เหมือนรั้วป้องกันสำหรับเงินทุนของคุณ มันช่วยให้คุณสามารถควบคุมความเสี่ยงในแต่ละการเทรดได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าคุณจะกำลังเทรดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือ คู่สกุลเงิน Forex การมี Stop-Loss เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
- จุดตัดขาดทุน (Loss Limit): นี่คือการใช้งานหลักของ Stop-Loss หากคุณเข้าซื้อ (Buy) สกุลเงินคู่หนึ่งที่ 1.2000 และตั้ง Stop-Loss ที่ 1.1950 หมายความว่าหากราคาตกลงมาถึง 1.1950 ระบบจะขายสถานะของคุณทันที เพื่อจำกัดการขาดทุนไม่ให้เกิน 50 จุด (Pips)
- จุดตัดกำไร (Profit Protection): Stop-Loss ไม่ได้จำกัดแค่การขาดทุนเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เพื่อปกป้องกำไรได้อีกด้วย หรือที่เรียกว่า “Trailing Stop-Loss” สมมติว่าคุณซื้อสกุลเงินและราคากำลังพุ่งขึ้น คุณสามารถเลื่อนจุด Stop-Loss ขึ้นไปเหนือราคาเข้าซื้อ หรือแม้กระทั่งเลื่อนตามกำไรที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น หากตอนนี้คุณบวกอยู่ 100 จุด แต่คุณตั้ง Trailing Stop-Loss ไว้ที่ 50 จุด หากราคากลับตัวลงมาและชนที่จุด +50 จุด ระบบก็จะปิดสถานะและรักษากำไร 50 จุดนั้นไว้ให้คุณ สิ่งนี้มีประโยชน์มากในการป้องกันไม่ให้กำไรที่คุณมีอยู่แล้วกลับกลายเป็นขาดทุนเมื่อตลาดเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว (Peak Dips).
กลไกการทำงานของ Stop-Loss
เมื่อคุณวางคำสั่ง Stop-Loss มันจะเป็นคำสั่งที่รออยู่ในระบบของโบรกเกอร์ โดยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดโดยตรงในขณะนั้น แต่เมื่อราคาของสินทรัพย์ที่คุณเทรดเคลื่อนที่ไปถึงหรือผ่านจุดที่คุณกำหนดไว้ คำสั่ง Stop-Loss จะถูกเปลี่ยนเป็นคำสั่ง Market Order ทันที และจะถูกดำเนินการที่ราคาตลาดปัจจุบัน นี่คือเหตุผลที่บางครั้งราคาที่ปิดจริงอาจแตกต่างจากราคา Stop-Loss ที่ตั้งไว้เล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือมีช่องว่างราคา (Gap) ที่เรียกว่า Slippage
ความสำคัญและข้อดีของการใช้ Stop-Loss (SL) ในการเทรด
การใช้ Stop-Loss ไม่ใช่แค่กลยุทธ์ แต่เป็นวินัยที่สำคัญยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด Forex ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาตลอด 24 ชั่วโมง การมี Stop-Loss ติดตัวไว้ในทุกการเทรดเสมือนมีเกราะป้องกันเงินลงทุนของคุณ
1. ปกป้องเงินทุนของคุณ (Capital Protection)
นี่คือประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดและสำคัญที่สุดของการตั้ง Stop-Loss มันทำหน้าที่เป็นเส้นตายที่คุณกำหนดเอง เพื่อป้องกันไม่ให้การขาดทุนบานปลาย เมื่อตลาดเกิดความผันผวนรุนแรง, มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญ (Trading News) หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้กราฟราคาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว (Flash Crash หรือ Requotes) การมี Stop-Loss จะช่วยให้คุณออกจากตลาดก่อนที่เงินทุนในบัญชีจะเสียหายหนัก ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินทุน 1,000 ดอลลาร์ และตั้ง Stop-Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยงแต่ละครั้งไม่ให้เกิน 2% (20 ดอลลาร์) คุณจะรู้ว่าในทุกการเทรด คุณจะไม่มีทางเสียเงินเกิน 20 ดอลลาร์ไปโดยไม่จำเป็น สิ่งนี้ช่วยให้คุณสามารถเทรดได้อย่างสบายใจมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าการขาดทุนเพียงครั้งเดียวจะทำให้พอร์ตของคุณล้มเหลว
2. ปกป้องกำไรของคุณ (Profit Protection)
ดังที่กล่าวไปข้างต้น Stop-Loss สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการปกป้องกำไรได้ด้วย การใช้ Trailing Stop-Loss ช่วยให้คุณล็อกกำไรบางส่วนไว้ได้ เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คุณต้องการแล้ว คุณสามารถเลื่อนจุด Stop-Loss ขึ้นไปเหนือจุดคุ้มทุน (Break-even) หรือตามระดับกำไรที่เหมาะสม หากราคายังคงขึ้นไปเรื่อยๆ Trailing Stop-Loss ก็จะเลื่อนตามขึ้นไป ทำให้คุณสามารถรันกำไรได้สูงสุด แต่ในทางกลับกัน หากราคากลับตัวลงมา มันจะปิดสถานะของคุณที่จุด Stop-Loss ที่ถูกเลื่อนขึ้นมานั้น เพื่อรักษากำไรบางส่วนไว้ คุณจะไม่ต้องมานั่งเสียดายว่าทำไมถึงไม่ปิดทำกำไรตอนที่ราคาสูงสุด ซึ่งเป็นกับดักทางจิตวิทยาที่พบบ่อยสำหรับเทรดเดอร์
3. ช่วยสร้างระบบการเทรดที่เป็นระเบียบและมีวินัย (Systematic & Disciplined Trading)
การกำหนด Stop-Loss ล่วงหน้าบังคับให้คุณต้องวางแผนการเทรดอย่างเป็นระบบก่อนเข้าสู่ตลาด คุณจะต้องประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ คำนวณขนาดการเทรด (Lot Size) และกำหนดจุดเข้าออกที่ชัดเจน การมีระบบจะช่วยลดการตัดสินใจที่อิงกับอารมณ์หรือความรู้สึก (Emotional Trading) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เทรดเดอร์มือใหม่ล้างพอร์ต เมื่อคุณทำตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่แรก จิตวิทยาการเทรดของคุณจะแข็งแกร่งขึ้น คุณจะมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเองมากขึ้น เพราะรู้ว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการบริหารความเสี่ยง
- ลดความเครียดและอารมณ์: เมื่อคุณรู้ว่าความเสี่ยงสูงสุดของการเทรดครั้งนี้คือเท่าไหร่ คุณจะเทรดด้วยความสบายใจมากขึ้น ลดความเครียดจากการเฝ้าจอตลอดเวลา และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่ผิดพลาดจากอารมณ์กลัวหรือโลภ
- สร้างวินัย: การตั้ง Stop-Loss เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างวินัยในการเทรด วินัย คือสิ่งที่แยกเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จออกจากผู้ที่ล้มเหลว
4. อิสระจากการเฝ้าหน้าจอ (Freedom from Constant Monitoring)
เมื่อคุณได้กำหนดจุด Stop-Loss และ Take-Profit (TP) หรือจุดทำกำไรไว้เรียบร้อยแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา การเทรดของคุณจะดำเนินไปตามระบบที่คุณตั้งค่าไว้ เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึงจุดใดจุดหนึ่ง ระบบจะทำการปิดสถานะให้โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการตัดขาดทุนหรือทำกำไร สิ่งนี้ช่วยให้คุณมีเวลาไปทำกิจกรรมอื่นๆ หรือพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ลดความกดดันจากการต้องติดตามตลาดตลอดเวลา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพจิตที่ดีของเทรดเดอร์ นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่สามารถเฝ้าจอได้ตลอดเวลา เช่น พนักงานประจำ หรือผู้ที่มีภารกิจอื่นๆ
5. การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด (Learning from Mistakes)
แม้ว่า Stop-Loss จะปิดการเทรดของคุณด้วยการขาดทุน แต่มันก็เป็นโอกาสในการเรียนรู้ที่สำคัญ ทุกครั้งที่ Stop-Loss ทำงาน คุณสามารถกลับมาทบทวนการเทรดนั้นได้ว่า:
- คุณเข้าผิดจังหวะหรือไม่?
- การวิเคราะห์ของคุณผิดพลาดอย่างไร?
- จุด Stop-Loss ที่ตั้งไว้เหมาะสมแล้วหรือไม่?
การวิเคราะห์ย้อนหลัง (Backtesting) และการเรียนรู้จากประสบการณ์ จะช่วยให้คุณพัฒนา กลยุทธ์การเทรด ของคุณให้ดีขึ้นในอนาคต
ประเภทของ Stop-Loss และวิธีการตั้งค่า
การตั้งค่า Stop-Loss มีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรด สไตล์การเทรด และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคล
1. Fixed Stop-Loss (Stop-Loss แบบคงที่)
เป็น Stop-Loss ที่ง่ายที่สุด คือการกำหนดจุดราคาที่แน่นอนไว้ตั้งแต่แรกเมื่อเปิดสถานะ โดยมักจะอิงจากระดับแนวรับ-แนวต้าน (Support and Resistance), โครงสร้างราคา หรือระดับความผันผวนของตลาด
- ตัวอย่าง: คุณซื้อ EUR/USD ที่ 1.1200 และระบุว่ายอมรับความเสี่ยงได้ 50 Pips จึงตั้ง Stop-Loss ที่ 1.1150
- ข้อดี: ง่ายต่อการคำนวณความเสี่ยงที่แน่นอน เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่
- ข้อเสีย: หากตลาดมีความผันผวนสูง Stop-Loss อาจถูกชนได้ง่าย (Stop-Hunted) หากตั้งแคบเกินไป
2. Trailing Stop-Loss (Stop-Loss แบบเลื่อนตาม)
เป็น Stop-Loss ที่จะเลื่อนตามราคาไปในทิศทางที่ได้กำไร เมื่อราคายังคงเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการ Trailing Stop-Loss ก็จะเลื่อนตามขึ้นไป (หรือลงมา) แต่ถ้าเมื่อใดที่ราคากลับตัวและไปชนกับ Trailing Stop-Loss ที่ตั้งไว้ สถานะก็จะถูกปิดลงโดยอัตโนมัติ เพื่อรักษากำไรบางส่วนไว้
- ตัวอย่าง: คุณเปิดสถานะ Long และตั้ง Trailing Stop-Loss ไว้ 50 Pips หากราคาเคลื่อนที่ขึ้นไป 100 Pips Trailing Stop-Loss ก็จะขยับขึ้นไป 100 Pips เช่นกัน หากหลังจากนั้นราคาลงมา 50 Pips สถานะก็จะถูกปิดที่กำไร 50 Pips
- ข้อดี: ช่วยให้รันกำไรได้สูงสุดโดยไม่ต้องเฝ้าจอ ป้องกันไม่ให้กำไรกลับมาเป็นขาดทุน
- ข้อเสีย: อาจถูกปิดเร็วเกินไปหากตลาดมีการย่อตัวเล็กน้อยก่อนจะไปต่อ
3. Stop-Loss ตาม Technical Analysis (การวิเคราะห์ทางเทคนิค)
เทรดเดอร์มืออาชีพมักจะตั้ง Stop-Loss โดยอ้างอิงจากเครื่องมือและรูปแบบทางเทคนิคต่างๆ เพื่อให้จุด Stop-Loss มีความสมเหตุสมผลและไม่ถูกชนง่ายเกินไป
- แนวรับ-แนวต้าน: ตั้ง Stop-Loss ไว้ใต้แนวรับที่แข็งแกร่งสำหรับการเปิดสถานะ Long หรือเหนือแนวต้านที่แข็งแกร่งสำหรับการเปิดสถานะ Short เพราะหากราคาทะลุแนวเหล่านี้ไปได้ แสดงว่าแนวโน้มอาจเปลี่ยน
- ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages – MA): ตั้ง Stop-Loss ไว้ใต้เส้น Moving Average ที่สำคัญ เช่น MA 20, MA 50 หรือ MA 200
- รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns): ใช้รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว (Candlestick Reversal Patterns) หรือแท่งเทียน Pin Bar Pin Bar Candlestick เป็นจุดอ้างอิงในการตั้ง Stop-Loss
- ความผันผวน (Volatility): ใช้ Indicator เช่น Average True Range (ATR) ในการคำนวณระยะ Stop-Loss ที่เหมาะสมกับความผันผวนของคู่สกุลเงินนั้นๆ ณ ปัจจุบัน
- โครงสร้างตลาด (Market Structure): ตั้ง Stop-Loss ไว้ใต้ Swing Low สำหรับขาขึ้น หรือเหนือ Swing High สำหรับขาลง หากราคาหลุดจากโครงสร้าง แสดงว่าทิศทางอาจเปลี่ยน
เคล็ดลับและกฎเหล็กในการตั้ง Stop-Loss อย่างมืออาชีพ
- ตั้ง Stop-Loss ในทุกการเทรดเสมอ (Never Trade Without SL): นี่คือกฎเหล็กข้อแรกและสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะมั่นใจในสัญญาณแค่ไหน คุณก็ต้องมี Stop-Loss เสมอ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
- ไม่เลื่อน Stop-Loss ออกไป (Don’t Move Your SL Further): เมื่อตั้ง Stop-Loss แล้ว ห้ามเลื่อนมันออกไปเด็ดขาด! การทำเช่นนั้นเป็นการเพิ่มความเสี่ยงและทำลายวินัยการเทรดอย่างร้ายแรง หากราคาชน Stop-Loss ให้ยอมรับการขาดทุนนั้นและเรียนรู้จากมัน
- ตั้ง Stop-Loss ก่อน Take-Profit: ก่อนที่จะคิดถึงกำไร ให้คิดถึงความเสี่ยงก่อนเสมอ กำหนดจุด Stop-Loss ก่อนเสมอ แล้วค่อยหาจุด Take-Profit ที่เหมาะสมตามอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ที่ดี (Risk-Reward Ratio)
- พิจารณาความผันผวนของตลาด: หากตลาดมีความผันผวนสูง (High Volatility) คุณอาจต้องตั้ง Stop-Loss ให้กว้างขึ้นเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกชนโดยไม่จำเป็น แต่หากตลาดนิ่ง ก็สามารถตั้งให้แคบลงได้
- หลีกเลี่ยงการตั้ง Stop-Loss ที่จุดตัวเลขกลมๆ: เช่น 1.2000, 1.2100 เพราะเป็นจุดที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะตั้ง Stop-Loss ทำให้มักจะถูกชนโดย Market Makers หรือเกิด Stop-Hunt ได้ ควรตั้งเผื่อไว้เล็กน้อย เช่น 1.1995 หรือ 1.2005
- ใช้ Stop-Loss ร่วมกับ Money Management ที่ดี: กำหนดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้งไม่ให้เกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด เพื่อให้คุณยังคงมีเงินทุนเพียงพอที่จะเทรดต่อไปได้ แม้จะขาดทุนหลายครั้งติดต่อกัน
- ทบทวนและปรับปรุง: หลังจากการเทรดแต่ละครั้ง ให้ทบทวนว่า Stop-Loss ที่ตั้งไว้นั้นเหมาะสมหรือไม่ มีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้มันถูกชน หรือควรจะตั้งแบบไหนถึงจะดีขึ้น การเรียนรู้จากประสบการณ์จริงเป็นสิ่งสำคัญ
สรุป: Stop-Loss (SL) คือเครื่องมือป้องกันที่ขาดไม่ได้
Stop-Loss (SL) ไม่ใช่เพียงแค่จุดตัดขาดทุน แต่เป็นหัวใจของการบริหารความเสี่ยงและการสร้างวินัยในการเทรด จิตวิทยาการเทรด ที่มั่นคง การทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้ Stop-Loss อย่างถูกวิธีจะช่วยให้คุณ:
- ปกป้องเงินทุนของคุณจากการขาดทุนที่รุนแรง
- ปกป้องกำไรที่ทำได้แล้วไม่ให้สูญหาย
- สร้างระบบการเทรดที่เป็นระเบียบและมีวินัย
- ลดความเครียดจากการเฝ้าจอและเทรดด้วยอารมณ์
- เรียนรู้และพัฒนาทักษะการเทรดของคุณอย่างต่อเนื่อง
ในฐานะเทรดเดอร์ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ การตั้ง Stop-Loss คือสิ่งที่คุณต้องทำในทุกการเทรด เพื่อให้การเดินทางในโลกของการลงทุนของคุณเป็นไปอย่างยั่งยืนและประสบความสำเร็จ
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Stop-Loss (SL)
Q1: Stop-Loss แตกต่างจาก Take-Profit อย่างไร?
A1: Stop-Loss (SL) คือจุดที่คุณกำหนดเพื่อ จำกัดการขาดทุนสูงสุด ที่คุณยอมรับได้ หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามที่คุณคาดการณ์ ระบบจะปิดสถานะเพื่อลดความเสียหาย ในทางกลับกัน Take-Profit (TP) คือจุดที่คุณกำหนดเพื่อ ล็อกกำไร หากราคาเคลื่อนที่ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ระบบจะปิดสถานะเพื่อรับกำไร ทั้งสองเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทน
Q2: ควรตั้ง Stop-Loss ให้ห่างจากจุดเข้าเท่าไหร่ดี?
A2: ไม่มีกฎตายตัวสำหรับการตั้งระยะ Stop-Loss ที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:
- ความผันผวนของสินทรัพย์: สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง (เช่น ทองคำ หรือคู่เงินที่มีค่า Volatility สูง) อาจต้องการ Stop-Loss ที่กว้างกว่า
- กรอบเวลาที่ใช้เทรด: การเทรดในกรอบเวลาสั้นๆ (Scalping, Day Trade) มักจะมี Stop-Loss ที่แคบกว่าการเทรดในกรอบเวลาที่ยาวขึ้น (Swing Trade, Position Trade)
- กลยุทธ์การเทรด: เทรดเดอร์บางคนใช้ แนวรับ-แนวต้าน, รูปแบบกราฟ, หรือ Indicator ต่างๆ เช่น Average True Range (ATR) มาช่วยในการกำหนดจุด Stop-Loss ที่เหมาะสม สิ่งสำคัญคือต้องตั้งในจุดที่สมเหตุสมผลทางเทคนิค และไม่ใช่จุดที่คุณ “รู้สึก” ว่ามันควรจะอยู่
Q3: การใช้ Trailing Stop-Loss ดีกว่า Fixed Stop-Loss เสมอไปหรือไม่?
A3: ไม่เสมอไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสไตล์การเทรด Trailing Stop-Loss มีข้อดีคือช่วยให้คุณสามารถรันกำไรได้สูงสุดโดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ และปกป้องกำไรที่ได้มาแล้ว อย่างไรก็ตาม ในตลาดที่มีการเคลื่อนไหวแบบย่อตัวแล้วไปต่อบ่อยๆ Trailing Stop-Loss อาจถูกชนเร็วเกินไป ทำให้คุณพลาดโอกาสในการทำกำไรที่มากกว่าเดิม ในขณะที่ Fixed Stop-Loss นั้นเรียบง่ายและช่วยให้คุณกำหนดความเสี่ยงที่แน่นอนได้ตั้งแต่ต้น เทรดเดอร์บางคนอาจใช้ทั้งสองรูปแบบร่วมกัน หรือเลือกใช้ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม
Q4: Stop-Loss สามารถป้องกัน Slippage ได้หรือไม่?
A4: Stop-Loss ไม่สามารถป้องกัน Slippage ได้ 100% Slippage คือปรากฏการณ์ที่คำสั่งซื้อขายของคุณถูกดำเนินการที่ราคาแตกต่างจากที่คุณตั้งใจไว้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง มีข่าวสำคัญ หรือปริมาณการซื้อขายเบาบาง คำสั่ง Stop-Loss จะถูกเปลี่ยนเป็น Market Order และจะดำเนินการที่ราคาตลาดที่ดีที่สุดในขณะนั้น ซึ่งอาจไม่ใช่ราคาที่คุณตั้ง Stop-Loss ไว้พอดี อย่างไรก็ตาม การมี Stop-Loss ก็ยังดีกว่าไม่มี เพราะมันยังคงช่วยจำกัดการขาดทุนให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้
Q5: หากไม่ตั้ง Stop-Loss จะเกิดอะไรขึ้น?
A5: การไม่ตั้ง Stop-Loss ในการเทรด Forex ถือเป็นการกระทำที่เสี่ยงอย่างยิ่ง หากราคาเคลื่อนที่สวนทางกับสถานะของคุณอย่างรวดเร็วและรุนแรง คุณอาจประสบกับการขาดทุนมหาศาลที่เกินกว่าจะรับไหว และอาจนำไปสู่ภาวะ Margin Call หรือการล้างพอร์ต (Account Blow-out) ได้อย่างรวดเร็ว การไม่ตั้ง Stop-Loss เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ล้มเหลวในตลาดนี้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………


