TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
แจก EA & อินดิเคเตอร์

คนหรือ Bot ลงทุนให้เราดีกว่ากัน?

ตุลาคม 3, 2022

Robot Trading หรือ AI Trading: ทางเลือกอัจฉริยะสำหรับการลงทุนในตลาดการเงิน

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต การลงทุนในตลาดการเงินก็ได้รับอิทธิพลจากการพัฒนาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติเช่นกัน คำถามที่นักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจคือ ระหว่าง Robot Trading (หุ่นยนต์เทรด) หรือ AI Trading (การเทรดด้วย AI) กับการตัดสินใจลงทุนโดยมนุษย์ แบบไหนจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากัน? บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักการทำงาน ข้อดี ข้อเสีย และปัจจัยสำคัญที่คุณควรพิจารณาในการเลือกระหว่างสองทางเลือกนี้ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบด้านและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลงทุน

ภาพรวม Robot Trading

ทำไมแนวคิด Robot Trading และ AI Trading จึงถือกำเนิดขึ้น?

แนวคิดในการนำระบบเทรดอัตโนมัติ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Robot Trading, Algorithmic Trading, Program Trading, Automated Trading, System Trading และ AI Trading เข้ามาใช้ในการลงทุนนั้น เกิดขึ้นจาก “จุดอ่อนสำคัญของมนุษย์” ในฐานะนักลงทุน.

ปัญหาทางจิตวิทยาและอารมณ์

มนุษย์มีจิตใจ ซึ่งส่งผลให้การวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนนั้นมีอคติ (Bias) และอ่อนไหวง่ายต่อปัจจัยทางอารมณ์ เช่น ความกลัว ความโลภ ความหวัง หรือความตื่นตระหนก อารมณ์เหล่านี้มักจะเข้ามาครอบงำการตัดสินใจ ทำให้เกิดการกระทำที่ไม่มีเหตุผลและขัดต่อหลักการลงทุนที่วางไว้ล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น การ “กอดหุ้นที่ขาดทุน” โดยหวังว่าราคาจะกลับมา หรือการ “ขายหมู” (ขายทำกำไรเร็วเกินไป) ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากอารมณ์ที่เข้าแทรกแซงหลักการ การควบคุมอารมณ์ในตลาดที่ผันผวนจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่เป็นมนุษย์

ข้อจำกัดด้านเวลาและวินัย

นอกจากนี้ มนุษย์ยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่มัก “ขี้เกียจ” และไม่ชอบทำงานที่ต้องใช้เวลามาก หรืองานที่ต้องทำซ้ำ ๆ แบบเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา การเฝ้าติดตามตลาดตลอดเวลา การวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล และการส่งคำสั่งซื้อขายตามเงื่อนไขที่ซับซ้อนอย่างสม่ำเสมอ เป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนและวินัยสูง ซึ่งนักลงทุนมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ที่สำคัญ มนุษย์ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่การลงทุนเท่านั้น การโฟกัสหรือสมาธิมักจะถูกดึงออกไปจากปัจจัยภายนอกได้ง่าย ทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้เสมอ

เปรียบเทียบ Robot และคน

ดังนั้น จึงเกิดไอเดียการนำ Robot หรือคอมพิวเตอร์มาลงทุนแทนมนุษย์ โดยการสร้างระบบการเทรดอัตโนมัติขึ้นมา ระบบเหล่านี้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกเขียนขึ้นโดยมนุษย์ เพื่อส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ได้ด้วยตัวมันเองทันที เมื่อราคาหุ้น สภาวะตลาด หรือตัวแปรอื่น ๆ เข้าเงื่อนไขของโมเดลที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ด้วยเหตุนี้ Robot Trading และ AI Trading จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดอิทธิพลของอารมณ์ เพิ่มวินัย และประสิทธิภาพในการลงทุน

Robot Trading หรือ AI Trading ทำงานได้ดีกว่าคนได้อย่างไร?

ระบบ Robot Trading และ AI Trading มีคุณสมบัติเด่นหลายประการที่ทำให้พวกมันมีความได้เปรียบเหนือการตัดสินใจของมนุษย์ในการลงทุน:

1. Robot ไร้อารมณ์ (Emotionless Trading)

จุดแข็งที่โดดเด่นที่สุดของ Robot คือการ “ไร้อารมณ์” ซึ่งทำให้มันมีความโดดเด่นในด้าน “ความคงที่ของการตัดสินใจ” (Consistency in Decision Making) หุ่นยนต์ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความกลัว ไม่มีความโลภ และไม่ตื่นตระหนก จึงสามารถทนต่อแรงกดดันจากสภาวะตลาดที่ผันผวนได้อย่างไม่กระทบต่อการคิดและตัดสินใจ ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์อย่างสิ้นเชิง

  • ความคงที่: หุ่นยนต์จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และกลยุทธ์ที่ถูกโปรแกรมไว้ล่วงหน้าอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นในตลาด
  • ปราศจากอคติ: การตัดสินใจซื้อขายจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเชิงปริมาณและเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น ไม่มีอคติส่วนตัว หรืออารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
  • การจัดการกับการขาดทุนและกำไร: นักลงทุนส่วนใหญ่ที่อ่อนไหวกับการเทรดมักจะ “กอดหุ้นที่ขาดทุน” โดยหวังว่าจะกลับมาในอนาคต ซึ่งมักนำไปสู่การขาดทุนที่ลึกขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อได้กำไรก็มักจะ “รีบขาย” ทำกำไรน้อยเกินไป (ขายหมู) ไม่สามารถเก็บกำไรก้อนใหญ่ได้ ซึ่งจะต่างกับหุ่นยนต์ที่จะซื้อขายตามโปรแกรมที่กำหนดเท่านั้น ไม่มีการเสียดายเมื่อตัดขาดทุน หรือหลงระเริงเมื่อได้กำไร

2. Robot ไม่ขี้เกียจ (Disciplined and Tireless Work)

Robot ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ “ทำงานตามคำสั่งอย่างมีวินัย” (Disciplined Work) และไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยหรือขี้เกียจ การทำงานของ Robot เป็นไปตามกลยุทธ์การลงทุนและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นอย่างอัตโนมัติอย่างไม่มีอิดออดแม้ว่าจะอยู่ในช่วงตลาดผันผวนหรือต้องเฝ้ารอโอกาสนานแค่ไหนก็ตาม

  • ความสม่ำเสมอ: หุ่นยนต์จะทำงานตลอด 24 ชั่วโมง (ในตลาดที่เปิดตลอดเวลา เช่น Forex) โดยไม่พักผ่อนหรือหยุดงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้
  • ปฏิบัติตามกลยุทธ์: มันจะปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่วางไว้ทุกประการ ไม่ว่าสถานการณ์จะชวนให้ไขว้เขวแค่ไหน ทำให้เกิดวินัยในการลงทุนอย่างแท้จริง
  • ปราศจากความเสียใจ: เวลาได้กำไรก็จะไม่หลงระเริง เวลา ตัดขาดทุน ก็จะไม่มีอาการเสียดาย และเวลา ขายหมู ก็จะไม่มานั่งคร่ำครวญเสียใจ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้การลงทุนเป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ (Robust Backtesting Capabilities)

หนึ่งในข้อดีที่สำคัญของ Robot Trading คือความสามารถในการ “ตรวจสอบย้อนหลัง” (Backtesting) ได้อย่างละเอียด โดยส่วนใหญ่แล้ว โปรแกรมจะนำข้อมูลราคาย้อนหลังมาทำการพิสูจน์ไอเดียหรือกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย และนำไปออกแบบระบบเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติ

  • การประเมินกลยุทธ์: การนำข้อมูลมาพิสูจน์ย้อนหลัง หรือ Backtesting นั้น จะช่วยให้เห็นภาพว่าผลตอบแทนและความเสี่ยงของกลยุทธ์นั้น ๆ เป็นอย่างไร หากเราใช้กลยุทธ์แบบนี้แล้ว ความเป็นไปได้ที่จะได้กำไรนั้นมีมากน้อยแค่ไหน รวมถึง Drawdown สูงสุดที่เป็นไปได้ด้วย
  • การปรับปรุงประสิทธิภาพ: นักพัฒนาสามารถปรับแต่งและปรับปรุงพารามิเตอร์ของระบบได้ตามผลลัพธ์จากการ Backtesting เพื่อให้ได้กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดก่อนนำไปใช้งานจริง
  • ลดความเสี่ยง: การเห็นข้อมูลเชิงประวัติช่วยให้เราเข้าใจถึงศักยภาพและข้อจำกัดของระบบ ทำให้ลดความเสี่ยงในการนำไปใช้ในตลาดจริง

4. มีประสิทธิภาพมากกว่า (Enhanced Efficiency and Speed)

Robot จะตัดสินใจและส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นเข้าไปในระบบอัตโนมัติ จึงทำงานได้อย่าง “รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” (Rapid and Efficient Execution) มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอเพื่อ Day Trade หรือ Scalping ให้เสียเวลา หรือต้องส่งคำสั่งซื้อขายเองด้วยมือ

  • ความแม่นยำ: หุ่นยนต์สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้อย่างแม่นยำตามเงื่อนไขที่กำหนด ลดความผิดพลาดจากการกดคำสั่งผิดพลาดที่มนุษย์อาจทำได้
  • การบริหารจัดการเวลา: นักลงทุนสามารถเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีคุณค่ามากกว่า เช่น ค้นหากลยุทธ์ในการลงทุนใหม่ ๆ พัฒนาความรู้ หรือใช้ชีวิตส่วนตัว โดยไม่ต้องกังวลกับการเฝ้าหน้าจอ

5. เพิ่มความเร็วในการซื้อขายได้ดีกว่า (Superior Execution Speed)

หุ่นยนต์ทำได้ “เร็วกว่าแน่นอน” เพราะถูกป้อนคำสั่งไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อเกิดสัญญาณซื้อหรือขายก็จะทำตามคำสั่งทันที ต่างจากมนุษย์ที่ต้องประมวลผลการตัดสินใจในสมองก่อน ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวินาทีหรือเป็นนาทีในสถานการณ์ที่ตลาดเคลื่อนไหวเร็ว

  • High Frequency Trading (HFT): ปัจจุบันเทคโนโลยีการเทรดความเร็วสูง (High Frequency Trading) พัฒนาไปเร็วมากถึงขั้นส่งคำสั่งได้หลายครั้งในช่วงเวลาแค่กะพริบตา ระบบเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากความเร็วที่เหนือกว่า เพื่อทำกำไรจากความผันผวนเล็กน้อยของราคา
  • โอกาสที่มากขึ้น: ความเร็วที่เหนือกว่านี้ทำให้เราสามารถเทรดหุ้นหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ได้มากขึ้น บ่อยขึ้น เทรดข้ามตลาดหุ้น หรือแม้แต่เทรดตลอด 24 ชม. ในบางตลาด เช่น Forex ซึ่งเปิดทำการตลอดเวลา ยกเว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

6. กระจายความเสี่ยงได้ดีและเลือกลงทุนได้หลายกลยุทธ์ (Diversification and Multi-Strategy Capabilities)

การใช้ Robot เทรดหุ้นนั้นจะอนุญาตให้เราเทรดได้หลายบัญชีและหลากกลยุทธ์ (Multi-Strategy) เพื่อเป็นการ “กระจายความเสี่ยง” (Diversification) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการลงทุน

  • พอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย: ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสแกนเพื่อหาโอกาสการลงทุนข้ามตลาดได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทองคำ สกุลเงินดิจิทัล หรือสินทรัพย์อื่น ๆ พร้อมส่งคำสั่งซื้อและเฝ้าสังเกตให้กับเรา
  • ลดความผันผวน: การใช้หลายกลยุทธ์พร้อมกันช่วยลดความผันผวนของผลตอบแทนโดยรวม หากกลยุทธ์หนึ่งไม่ทำงานได้ดี อีกกลยุทธ์หนึ่งอาจทำกำไรได้ดี ทำให้พอร์ตโฟลิโอมีความเสถียรมากขึ้น

ข้อควรพิจารณาและข้อเสียของ Robot Trading และ AI Trading

แม้ว่า Robot Trading และ AI Trading จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจนำมาใช้งาน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม

1. ระบบคอมพิวเตอร์อาจล้มเหลว (System Failure Risk)

แม้จะบอกว่าการเทรดด้วย Robot ทำให้เรามีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอทั้งวัน แต่จริง ๆ แล้ว การทำงานอย่างอัตโนมัติก็ต้องมีการ “ตรวจสอบดูแลตลอดเวลา” (Constant Monitoring) เพราะอาจเกิดเหตุระบบล้มเหลวได้

  • ปัญหาทางเทคนิค: เช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตขัดข้อง, เซิร์ฟเวอร์มีปัญหา, โปรแกรมแฮงค์ หรือไฟฟ้าดับ สิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลทำให้การส่งคำสั่งซื้อขาย Error ตกหล่น หรือทำซ้ำคำสั่งโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งนำไปสู่การขาดทุนที่ไม่คาดคิดได้
  • ความสำคัญของการสำรองข้อมูลและระบบ: นักลงทุนควรมีระบบสำรอง (Backup System) และแผนฉุกเฉิน (Contingency Plan) ในกรณีที่ระบบหลักมีปัญหา รวมถึงการเลือกใช้ VPS (Virtual Private Server) ที่มีความเสถียรสูงเพื่อลดความเสี่ยงนี้

2. Robot ทำงานตามคำสั่งเป๊ะมากเกินไป (Lack of Adaptability to Unforeseen Events)

ด้วยความ “เถรตรงเกินไป” ของหุ่นยนต์ มันจะทำงานตามเงื่อนไขที่ถูกโปรแกรมไว้เท่านั้น และอาจไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์หรือทฤษฎีได้ ซึ่งตลาดการเงินมักมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ (Black Swan Events)

  • เหตุการณ์ Black Monday ปี 1987: เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความผิดพลาดที่เกิดจากการทำงานของระบบอัตโนมัติที่ไม่ได้คำนวณแรงเทขายที่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก ส่งผลให้ Robot ถล่มขายหุ้นออกจากตลาด กดดันให้ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งต่ำลงถึง 22% ในวันเดียว และใช้เวลานานถึง 14 เดือนกว่าตลาดจะฟื้นตัวกลับมาดังเดิม
  • การขาดการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ: หุ่นยนต์ไม่สามารถเข้าใจถึงปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น ข่าวสารทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์ภัยพิบัติ ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้ดีกว่า
  • ความจำเป็นของการแทรกแซงโดยมนุษย์: ในบางสถานการณ์ การแทรกแซงและตัดสินใจโดยมนุษย์อาจเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนมหาศาลหรือใช้โอกาสที่ระบบอัตโนมัติมองไม่เห็น

3. ความปลอดภัยและข้อมูลที่อาจรั่วไหล (Security and Data Leakage Risks)

การใช้ระบบเทรดอัตโนมัติเกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลจำนวนมาก รวมถึงกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งมีความเสี่ยงด้าน “ความปลอดภัยและข้อมูลที่อาจรั่วไหล” (Security and Data Leakage)

  • การดักทางกลยุทธ์: ในกรณีที่มีผู้ล่วงรู้ถึงรูปแบบ ช่วงราคาการซื้อและขายของโปรแกรม ก็อาจซื้อหรือขายหุ้นเพื่อดักทาง (Front-running) จนสร้างความเสียหายแก่นักลงทุนที่ใช้ระบบได้
  • การป้องกันข้อมูล: ระบบเทรดอัตโนมัติจึงต้องมีการพัฒนาระบบบนมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด มีการป้องกันการเจาะข้อมูล (Hacking) และการรั่วไหลของข้อมูลเป็นอย่างดี เพื่อรักษาความได้เปรียบและความปลอดภัยของเงินทุนนักลงทุน

ตารางเปรียบเทียบ: Robot/AI Trading vs. Human Trading

คุณสมบัติ Robot/AI Trading Human Trading
อารมณ์ ไร้อารมณ์ ตัดสินใจตามโปรแกรม 100% มีอารมณ์ (ความกลัว, ความโลภ) ส่งผลต่อการตัดสินใจ
วินัย ปฏิบัติตามกลยุทธ์อย่างเคร่งครัด สม่ำเสมอ ไม่เหน็ดเหนื่อย ผันผวนได้ ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจและวินัยส่วนบุคคล
ความเร็วในการดำเนินการ รวดเร็วมาก ระดับมิลลิวินาที เหมาะสำหรับ HFT ช้ากว่ามาก ต้องใช้เวลาประมวลผลและตัดสินใจ
การวิเคราะห์ข้อมูล ประมวลผลข้อมูลเชิงปริมาณจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว จำกัดด้วยความสามารถของมนุษย์ อาจตกหล่นข้อมูลสำคัญ
ความสามารถในการ Backtest สามารถทดสอบกลยุทธ์ย้อนหลังได้อย่างละเอียดและรวดเร็ว ทำได้ยากและใช้เวลานาน มีข้อจำกัด
ความสามารถในการปรับตัว จำกัดเฉพาะสิ่งที่ถูกโปรแกรมไว้ ไม่เข้าใจปัจจัยเชิงคุณภาพ มีความยืดหยุ่นสูง สามารถวิเคราะห์และปรับตัวตามสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน
ความเสี่ยงระบบล้มเหลว มีโอกาสเกิดปัญหาทางเทคนิค ต้องมีการเฝ้าระวัง ไม่มีความเสี่ยงจากระบบล่ม (แต่มีความเสี่ยงจากมนุษย์ผิดพลาด)
ความปลอดภัยของกลยุทธ์ เสี่ยงต่อการถูกดักทางหากไม่มีระบบป้องกันที่ดี ขึ้นอยู่กับการรักษาความลับของแต่ละบุคคล

สรุป: ควรเลือก Robot Trading หรือ Human Trading ดีกว่ากัน?

จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าทั้ง Robot Trading/AI Trading และ Human Trading ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียที่เป็นเอกลักษณ์ การตัดสินใจว่าจะเลือกใช้แบบใด ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน สไตล์การลงทุน และระดับความเข้าใจในเทคโนโลยีของแต่ละบุคคล

สำหรับ Robot Trading / AI Trading เหมาะกับ:

  • นักลงทุนที่ต้องการความสม่ำเสมอและวินัยสูง: ผู้ที่ต้องการให้การตัดสินใจเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างเคร่งครัด ปราศจากอิทธิพลของอารมณ์
  • นักลงทุนที่มีกลยุทธ์ชัดเจน: ผู้ที่สามารถกำหนดเงื่อนไขการซื้อขายที่แม่นยำและเป็นระบบ เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถปฏิบัติตามได้
  • นักลงทุนที่มีเวลาจำกัด: ผู้ที่ไม่สามารถเฝ้าหน้าจอได้ตลอดเวลา และต้องการระบบที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ
  • นักลงทุนที่ต้องการความเร็วในการซื้อขาย: ผู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็ว โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง
  • นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง: ผู้ที่ต้องการใช้หลายกลยุทธ์หรือเทรดในหลายตลาดพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่เลือกใช้ Robot Trading ควรมีความรู้ความเข้าใจในหลักการทำงานของระบบเป็นอย่างดี และไม่ควรละเลยการเฝ้าระวังและตรวจสอบระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันปัญหาทางเทคนิคที่อาจเกิดขึ้น.

สำหรับ Human Trading เหมาะกับ:

  • นักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่นและปรับตัวตามสถานการณ์: ผู้ที่ต้องการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น ข่าวสาร นโยบายเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์สำคัญที่อยู่นอกเหนือการประมวลผลของระบบอัตโนมัติ
  • นักลงทุนที่เชื่อมั่นในสัญชาตญาณและประสบการณ์: ผู้ที่เชื่อว่าประสบการณ์และความรู้สึกของมนุษย์สามารถสร้างความได้เปรียบในบางสถานการณ์ของตลาด
  • นักลงทุนที่ต้องการควบคุมการตัดสินใจอย่างเต็มที่: ผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการลงทุน

ทางออกที่ดีที่สุด: การผสานรวม (Hybrid Approach)

ในความเป็นจริง “การผสานรวม” หรือ Hybrid Approach ระหว่างการใช้ Robot Trading และ Human Trading อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด นักลงทุนสามารถใช้ Robot เพื่อจัดการกับงานประจำที่ต้องใช้ความสม่ำเสมอและรวดเร็ว เช่น การส่งคำสั่งซื้อขายตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า หรือการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอเบื้องต้น

ในขณะเดียวกัน นักลงทุนมนุษย์ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการ:

  • การพัฒนากลยุทธ์: กำหนดและปรับปรุงกลยุทธ์การลงทุนให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
  • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและข่าวสาร: ประเมินผลกระทบของข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญต่อตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ Robot ทำได้ไม่ดีเท่า
  • การเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาระบบ: ตรวจสอบการทำงานของ Robot และเข้าแทรกแซงเมื่อเกิดเหตุผิดปกติหรือระบบล้มเหลว
  • การบริหารความเสี่ยงโดยรวม: กำหนดกรอบการบริหารความเสี่ยงและตัดสินใจในสถานการณ์วิกฤตที่ Robot ไม่สามารถรับมือได้

การผสมผสานจุดแข็งของทั้งสองแนวทางจะช่วยให้นักลงทุนสามารถลดจุดอ่อนของแต่ละวิธี และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในตลาดการเงินที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา. ผู้ที่สนใจระบบเทรดอัตโนมัติ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ระบบเทรดฟรี และ EA (Expert Advisor) ได้จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ.

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเทรดด้วย Robot และ AI

Q1: Robot Trading คืออะไร และแตกต่างจาก AI Trading อย่างไร?

A1: Robot Trading หรือ Algorithmic Trading คือระบบที่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการส่งคำสั่งซื้อขายตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างเคร่งครัด ตัวอย่างเช่น ซื้อเมื่อราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยขึ้น หรือขายเมื่อ RSI เกิน 70

ส่วน AI Trading เป็นวิวัฒนาการขั้นสูงกว่า โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ Machine Learning หรือ Deep Learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลตลาดที่ซับซ้อน ทำนายแนวโน้ม และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การซื้อขายได้ด้วยตัวเองตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป AI สามารถเรียนรู้จากข้อมูลใหม่ ๆ และปรับปรุงประสิทธิภาพได้ตลอดเวลา ต่างจาก Robot ทั่วไปที่ทำตามกฎตายตัวที่ถูกโปรแกรมไว้เท่านั้น

Q2: การใช้ Robot Trading ปลอดภัยหรือไม่ และมีโอกาสขาดทุนหรือไม่?

A2: การใช้ Robot Trading มีความปลอดภัยในแง่ของการลดอคติทางอารมณ์และเพิ่มวินัยในการซื้อขาย แต่ก็มีความเสี่ยงเช่นกันครับ โอกาสขาดทุนมีอยู่เสมอ เนื่องจาก Robot ทำงานตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนด หากเงื่อนไขนั้นไม่เหมาะสมกับสภาวะตลาด หรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน (เช่น Black Monday) ระบบก็อาจทำงานผิดพลาดได้ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากปัญหาทางเทคนิค เช่น ระบบล่ม การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลุด ดังนั้น แม้ใช้ Robot ก็ยังคงต้องมีการเฝ้าระวังและบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

Q3: นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นใช้ Robot Trading หรือไม่?

A3: โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้พื้นฐานการลงทุน การวิเคราะห์ตลาด และ การบริหารความเสี่ยง ด้วยตนเองก่อน การทำความเข้าใจหลักการเหล่านี้จะช่วยให้สามารถเลือกและปรับแต่ง Robot Trading ได้อย่างเหมาะสมในอนาคต หากมือใหม่ต้องการใช้ Robot ควรเริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อทดสอบประสิทธิภาพและทำความเข้าใจการทำงานของระบบก่อนลงทุนด้วยเงินจริง และเลือก Robot ที่มีประวัติผลงานที่โปร่งใสและได้รับการพิสูจน์แล้ว

Q4: จะเลือก Robot Trading ที่มีคุณภาพได้อย่างไร?

A4: การเลือก Robot Trading ที่มีคุณภาพต้องพิจารณาหลายปัจจัย ดังนี้:

  1. ผลงาน Backtesting: ตรวจสอบผลลัพธ์การทดสอบย้อนหลังว่ามีกำไรสม่ำเสมอหรือไม่ และมี Drawdown (การขาดทุนสูงสุด) ที่ยอมรับได้หรือไม่
  2. ประวัติการใช้งานจริง (Live Performance): ดูว่า Robot มีผลงานจริงในตลาดจริงอย่างไร ไม่ใช่แค่ผลจาก Backtesting เท่านั้น
  3. กลยุทธ์การเทรด: ทำความเข้าใจว่า Robot ใช้กลยุทธ์แบบใด (เช่น Trend Following, Scalping, Grid Trading) และกลยุทธ์นั้นเหมาะสมกับสภาวะตลาดปัจจุบันหรือไม่
  4. ผู้พัฒนา/ผู้ให้บริการ: เลือกผู้พัฒนาที่มีชื่อเสียง มีความน่าเชื่อถือ และมี Support ที่ดี
  5. ความยืดหยุ่นและการปรับแต่ง: Robot บางตัวสามารถปรับแต่งพารามิเตอร์ได้ ซึ่งช่วยให้ปรับใช้กับสภาวะตลาดที่แตกต่างกันได้
  6. ความเสี่ยง: ทำความเข้าใจระดับความเสี่ยงที่ Robot จะสร้างขึ้น เช่น มีการตั้ง Stop Loss และ Take Profit หรือไม่

Q5: มนุษย์จะยังคงมีบทบาทในการลงทุนในยุค AI Trading หรือไม่?

A5: มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการลงทุนในยุค AI Trading โดยเฉพาะในด้านการกำหนดกลยุทธ์ การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพ การตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน และการบริหารจัดการความเสี่ยงโดยรวม AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ไม่สามารถแทนที่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์เชิงลึก สัญชาตญาณ และการตัดสินใจเชิงจริยธรรมของมนุษย์ได้ทั้งหมด นักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจในทั้งสองส่วน จะสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น

***

สำหรับพี่ๆที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA เปิดบัญชีคลิกที่ลิงค์
ส่งเลข MT4 รับลิงค์ได้เลย
________________________________________________
✅ ??สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
XM มีโบนัสสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่ $30 และมีโบนัสเงินฝาก
Exness สมัครง่ายฝากถอนเร็ว
GMI เทรดดีไม่มีสะดุด ฟรี Free Swap ทุกบัญชี
https://bit.ly/GMI-TH
________________________________________________
✅ ♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–
ติดตามเราได้ที่
?LINE: @ft.th ( https://lin.ee/u0dwlLM )
?Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

***

You Might Also Like

Contact Us on Line