TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
จิตวิทยา การบริหารเงิน

วิธีอ่านแผนภูมิ forex: ประเภทของแผนภูมิ forex

กันยายน 26, 2022

ถอดรหัสกราฟราคา Forex: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และผู้เชี่ยวชาญ

ในโลกของการเทรด Forex ที่เต็มไปด้วยความผันผวนและความท้าทาย การเข้าใจและตีความกราฟราคาได้อย่างแม่นยำถือเป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินใจลงทุน เปรียบเสมือนแผนที่นำทางที่ช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นทิศทางของตลาด, ระบุโอกาส, และบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมาย ประเภท และวิธีการใช้งานกราฟราคา Forex อย่างละเอียด ตั้งแต่พื้นฐานสำหรับมือใหม่ไปจนถึงเทคนิคขั้นสูงที่ผู้เชี่ยวชาญใช้ เพื่อให้คุณสามารถใช้กราฟเหล่านี้เป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้างผลกำไรในตลาดการเงิน

กราฟราคาคืออะไร?

กราฟราคาคือการนำเสนอข้อมูลราคาของเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่สกุลเงินในตลาด Forex, ดัชนีหลักทรัพย์, หุ้นรายตัว, โลหะมีค่า เช่น ทองคำ (XAUUSD), หรือสินทรัพย์อื่นๆ ในรูปแบบภาพกราฟิก โดยจะแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ

ความสำคัญของกราฟราคาในการเทรด

สำหรับเทรดเดอร์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ กราฟราคาถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุด หากปราศจากความเข้าใจในกราฟราคา การ วิเคราะห์ทางเทคนิค ของตลาดก็จะทำได้ยากหรือไม่สามารถทำได้เลย กราฟจะแสดงข้อมูลกิจกรรมการซื้อขายที่เกิดขึ้นกับสินทรัพย์นั้นๆ ในกรอบเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งนาที ไปจนถึงหนึ่งวัน หรือแม้กระทั่งหนึ่งสัปดาห์เต็ม

โครงสร้างพื้นฐานของกราฟราคา

โดยทั่วไป กราฟราคาจะประกอบด้วยสองแกนหลัก:

  • แกน X (แกนนอน): แสดงถึงมาตราส่วนเวลา ซึ่งไล่จากซ้ายไปขวา โดยข้อมูลราคาสุดท้ายและล่าสุดจะปรากฏอยู่ทางด้านขวาสุดของกราฟ
  • แกน Y (แกนตั้ง): แสดงถึงมาตราส่วนราคา ซึ่งจะบอกระดับราคาที่สินทรัพย์เคลื่อนไหว

ด้วยการผสมผสานการวิเคราะห์กราฟจากซ้ายไปขวาเข้ากับ ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators) ต่างๆ เทรดเดอร์จะสามารถระบุรูปแบบราคา (Price Patterns) และประเมินความน่าจะเป็นที่ราคาของสินทรัพย์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการวางแผนการเทรด

กราฟ Forex คืออะไร?

กราฟ Forex คือกราฟราคาชนิดหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคา คู่สกุลเงิน ที่เลือกไว้เมื่อเวลาผ่านไป ไม่ว่าจะเป็น EUR/USD, GBP/JPY, หรือคู่สกุลเงินอื่นๆ โครงสร้างของกราฟ Forex ก็คล้ายคลึงกับกราฟราคาโดยทั่วไป โดยมีแกน X แสดงเวลา และแกน Y แสดงราคา

กราฟฟอเร็กซ์คู่สกุลเงิน EUR/USD

ตัวอย่าง: ภาพด้านบนแสดงตัวอย่างกราฟ Forex ของคู่สกุลเงิน EUR/USD ซึ่งบ่งชี้ว่าราคาของยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในแต่ละช่วงเวลา

กรอบเวลา (Timeframe) ของกราฟทำงานอย่างไร?

กรอบเวลา หรือ Timeframe คือการเลือกช่วงเวลาที่แต่ละ “แท่ง” หรือ “จุด” บนกราฟแสดงข้อมูลการซื้อขาย เทรดเดอร์สามารถเลือกกรอบเวลาของกราฟเพื่อให้แสดงข้อมูลการซื้อขายของเครื่องมือทางการเงินที่กำลังวิเคราะห์ได้ตามความต้องการ เช่น คู่สกุลเงินเฉพาะใดๆ

การปรับเปลี่ยนกรอบเวลา

แพลตฟอร์มการซื้อขายส่วนใหญ่มักจะตั้งค่ากรอบเวลาเริ่มต้นไว้ที่หนึ่งวัน (Daily) แต่คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ โดยมีให้เลือกตั้งแต่กรอบเวลาที่สั้นที่สุดเพียงหนึ่งนาที (M1) ไปจนถึงกรอบเวลาที่ยาวนานถึงหนึ่งเดือน (Monthly) หรือแม้กระทั่งหนึ่งปี

ตัวอย่าง: หากคุณเปลี่ยนกรอบเวลาเป็นหนึ่งชั่วโมง (H1) แต่ละแท่งเทียนหรือจุดข้อมูลบนกราฟจะแสดงกิจกรรมการซื้อขายที่เกิดขึ้นภายในหนึ่งชั่วโมงนั้นๆ โดยประกอบด้วยราคาเปิด (Open), ราคาสูงสุด (High), ราคาต่ำสุด (Low), และราคาปิด (Close) ของช่วงเวลานั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นบน แผนภูมิแท่ง กราฟเส้น หรือแท่งเทียน

การเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะส่งผลต่อมุมมองของตลาดและรูปแบบราคาที่คุณสามารถระบุได้ เช่น เทรดเดอร์ระยะสั้น (Scalper) อาจใช้กรอบเวลา 1 นาที หรือ 5 นาที ในขณะที่เทรดเดอร์ระยะยาว (Position Trader) อาจใช้กรอบเวลา 4 ชั่วโมง, รายวัน หรือรายสัปดาห์

แผนภูมิ Forex ประเภทต่างๆ

ในการวิเคราะห์ตลาด Forex และการวิเคราะห์ทางเทคนิคของสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ มีแผนภูมิหลายประเภทที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย การเลือกใช้แผนภูมิประเภทใดขึ้นอยู่กับรูปแบบการซื้อขาย (Trading Style) หรือประเภทของการวิเคราะห์ที่เทรดเดอร์ต้องการใช้งาน โดยทั่วไปแล้ว แผนภูมิบางประเภทอาจเหมาะสมกับวัตถุประสงค์บางอย่างได้ดีกว่าแผนภูมิอื่น

แผนภูมิ Forex ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 3 ประเภทหลัก ได้แก่:

  1. แผนภูมิเส้น (Line Chart)
  2. แผนภูมิแท่ง (Bar Chart)
  3. แผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick Chart)

1. แผนภูมิเส้น (Line Chart)

แผนภูมิเส้นใน MetaTrader 4

คืออะไร?

แผนภูมิเส้นเป็นแผนภูมิประเภทที่ง่ายที่สุดในการอ่านและทำความเข้าใจ โดยจะแสดงเฉพาะ ราคาปิด (Closing Price) สำหรับแต่ละกรอบเวลาที่กำหนดไว้ และเชื่อมต่อจุดราคาปิดเหล่านั้นด้วยเส้นต่อเนื่องกัน ทำให้เกิดเป็นเส้นโค้งที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง

ข้อดีของแผนภูมิเส้น

  • ความเรียบง่าย: แผนภูมิเส้นนำเสนอมุมมองที่ชัดเจนและเรียบง่ายของสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน ทำให้เข้าใจง่ายแม้กระทั่งสำหรับผู้เริ่มต้น และช่วยให้สามารถมองเห็นภาพรวมอย่างรวดเร็วว่าตลาดกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด
  • เหมาะสำหรับการวิเคราะห์กราฟิกขั้นพื้นฐาน: การแสดงผลที่ตรงไปตรงมาทำให้ง่ายต่อการกำหนด ระดับแนวรับและแนวต้าน รวมถึงการระบุรูปแบบกราฟขนาดใหญ่ได้อย่างชัดเจน

ข้อเสียของแผนภูมิเส้น

  • ไม่แสดงช่องว่าง (Gaps): เนื่องจากแผนภูมิเส้นเชื่อมต่อเฉพาะราคาปิด จึงไม่สามารถแสดงช่องว่างของราคา (Price Gaps) ที่เกิดขึ้นระหว่างราคาปิดของวันหนึ่งกับราคาเปิดของอีกวันหนึ่งได้ เช่น ช่องว่างราคาที่มักเกิดขึ้นระหว่างการปิดตลาดวันศุกร์และการเปิดตลาดวันจันทร์
  • ข้อมูลไม่ครบถ้วน: เมื่อเทียบกับแผนภูมิประเภทอื่น แผนภูมิเส้นให้ข้อมูลที่จำกัดมาก โดยแสดงเฉพาะราคาปิดเท่านั้น จึงไม่สามารถบอกรายละเอียดอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันได้ เช่น ราคาเปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับกลยุทธ์การเทรดที่ซับซ้อนขึ้น

แผนภูมิเส้นจึงเหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่ต้องการความเรียบง่ายและชัดเจน เพื่อสร้างทักษะการอ่านกราฟขั้นพื้นฐาน ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่การใช้แผนภูมิที่ให้ข้อมูลละเอียดมากขึ้นอย่าง แผนภูมิแท่งเทียน

ข้อดี ข้อเสีย
ความเรียบง่าย
เข้าใจง่ายแม้สำหรับผู้เริ่มต้น
ไม่แสดงช่องว่าง
ตัวอย่างเช่น ช่องว่างราคาระหว่างราคาปิดวันศุกร์และราคาเปิดวันจันทร์
เหมาะสำหรับการวิเคราะห์กราฟิก
แสดงระดับแนวรับและแนวต้านอย่างตรงไปตรงมา และง่ายต่อการกำหนดรูปแบบ
ไม่ให้ข้อมูลครบถ้วน
เมื่อเทียบกับแผนภูมิอื่น ๆ จะไม่แสดงรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน

2. แผนภูมิแท่ง (Bar Chart)

แผนภูมิแท่งใน MetaTrader 4

คืออะไร?

แผนภูมิแท่ง หรือที่รู้จักกันในชื่อ แผนภูมิ OHLC (Open, High, Low, Close) ถือเป็นเวอร์ชันที่ได้รับการพัฒนาจากแผนภูมิเส้น โดยให้ข้อมูลที่ครบถ้วนมากขึ้นเกี่ยวกับราคา ‘เปิด’ (Open), ‘สูงสุด’ (High), ‘ต่ำสุด’ (Low) และ ‘ปิด’ (Close) ภายในแต่ละกรอบเวลาที่กำหนด

โครงสร้างของแผนภูมิแท่ง

แผนภูมิแท่งโดยทั่วไปจะแสดงด้วยเส้นแนวตั้งหนึ่งเส้น พร้อมด้วยเส้นแนวนอนเล็กๆ สองเส้นยื่นออกมาทางด้านซ้ายและด้านขวา:

  • เส้นแนวตั้ง: แสดงช่วงราคาที่เคลื่อนไหวระหว่างราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดที่ไปถึงในช่วงเวลาที่กำหนด (จากบนสุดถึงล่างสุด)
  • เส้นแนวนอนทางซ้าย: แสดงราคาเปิด (Open Price) ของช่วงเวลานั้น
  • เส้นแนวนอนทางขวา: แสดงราคาปิด (Close Price) ของช่วงเวลานั้น

แผนภูมิแท่งสามารถใช้เพื่อแสดงช่วงเวลาใดก็ได้ ตั้งแต่ไม่กี่วินาที (เช่น M1 หรือ M5) ไปจนถึงหนึ่งสัปดาห์ (Weekly) หรือนานกว่านั้น

แผนภาพแผนภูมิแท่งแสดงค่าสูง ต่ำ เปิดและปิดบนแถบสีเขียวและสีแดง

การใช้งานตามกรอบเวลา: เนื่องจากแต่ละแท่งแสดงถึงช่วงเวลาหนึ่ง กรอบเวลาที่แตกต่างกันจึงเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่มีกลยุทธ์และเป้าหมายที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น:

  • นักลงทุนระยะยาว (Long-term Investors): อาจพบว่าการใช้กรอบเวลารายสัปดาห์ (Weekly) หรือรายวัน (Daily) มีประโยชน์มากกว่าในการระบุแนวโน้มหลัก
  • เทรดเดอร์รายวัน (Day Traders): จะใช้กรอบเวลาที่สั้นกว่ามาก เช่น 30 วินาที, หนึ่งนาที (M1) หรือห้านาที (M5) เพื่อจับการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น

ข้อดีของแผนภูมิแท่ง

  • ครอบคลุม: ให้มุมมองที่ยอดเยี่ยมของราคาเปิด สูงสุด ต่ำสุด และปิด ทำให้เทรดเดอร์มีข้อมูลที่จำเป็นในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาอย่างละเอียด
  • ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มและรูปแบบ: สามารถสังเกตการหดตัวและการขยายตัวของช่วงราคา (Price Range) ในช่วงแนวโน้มที่กำหนดได้ ซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของแรงซื้อแรงขาย

ข้อเสียของแผนภูมิแท่ง

  • อาจถูกครอบงำด้วยภาพ: เมื่อแผนภูมิเต็มไปด้วยแท่งจำนวนมาก ระดับราคาเปิด/ปิดของแต่ละแท่งอาจสังเกตเห็นได้ยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบเวลาที่สั้น
ข้อดี ข้อเสีย
ครอบคลุม
ให้มุมมองที่ยอดเยี่ยมของราคาเปิด สูง ต่ำ และปิด
ช่วงครอบงำภาพ
ระดับเปิด/ปิดของแต่ละแท่งจะสังเกตเห็นได้ยากขึ้นเมื่อแผนภูมิเต็มไปด้วยแท่ง
ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มและรูปแบบ
สามารถสังเกตการหดตัวและการขยายตัวของช่วงราคาในช่วงแนวโน้มในช่วงเวลาที่กำหนด

3. แผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick Chart)

แผนภูมิแท่งเทียนใน MetaTrader 4

คืออะไร?

แผนภูมิแท่งเทียน เป็นหนึ่งในประเภทแผนภูมิที่เทรดเดอร์นิยมใช้มากที่สุด ด้วยความสามารถในการแสดงข้อมูลราคาที่ครบถ้วนและเข้าใจง่าย ที่มาของแผนภูมิแท่งเทียน หรือบางครั้งเรียกว่า แท่งเทียนญี่ปุ่น มีประวัติย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยพ่อค้าข้าวชาวญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 18 ซึ่งได้จัดทำแผนภูมินี้ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ตลาดข้าว และยังคงเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน

ส่วนประกอบของแท่งเทียน

แท่งเทียนแต่ละแท่งประกอบด้วยสองส่วนหลักที่เรียกว่า ตัวเทียน (Body) และ เงา (Shadow) หรือไส้เทียน (Wick):

  • ตัวเทียน (Body): ด้านบนและด้านล่างของตัวเทียนบอกเราถึงราคาเปิด (Open Price) และราคาปิด (Close Price) ของช่วงเวลาที่กำหนด
  • เงา (Shadow) หรือ ไส้เทียน (Wick): ด้านบนและด้านล่างของเงาหรือไส้เทียนบอกเราว่าราคาได้เคลื่อนไหวไปถึงราคาสูงสุด (High Price) และราคาต่ำสุด (Low Price) เท่าใดในช่วงเวลาที่กำหนดนั้น

แผนภูมิแท่งเทียนแสดงร่างกายและไส้ตะเกียง และราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด เปิดและปิด

การตีความสีของแท่งเทียน

สีของตัวเทียนมีความสำคัญในการบ่งบอกทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา:

  • แท่งเทียนสีแดงหรือสีดำ: โดยปกติ หากราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด ตัวเทียนจะเป็นสีแดงหรือสีดำ ซึ่งบ่งบอกว่าราคาของสินทรัพย์กำลังลดลง (Bearish Candlestick)
  • แท่งเทียนสีเขียวหรือสีขาว: หากราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด ตัวเทียนจะเป็นสีเขียวหรือสีขาว ซึ่งบ่งบอกว่าราคาของสินทรัพย์กำลังเพิ่มขึ้น (Bullish Candlestick)

แม้ว่าสีแดงและสีเขียว หรือสีดำและสีขาว จะเป็นสีที่ใช้กันทั่วไปในการแสดงการเคลื่อนไหวของราคาขึ้นและลง แต่สีเหล่านี้สามารถปรับแต่งได้อย่างง่ายดายบนแพลตฟอร์มการซื้อขายส่วนใหญ่ เพื่อให้เหมาะสมกับความชอบส่วนบุคคลของเทรดเดอร์

ข้อดีของแผนภูมิแท่งเทียน

  • ครอบคลุมและให้ข้อมูลเชิงลึก: คล้ายกับแผนภูมิแท่ง ให้มุมมองที่ยอดเยี่ยมของราคาเปิด สูงสุด ต่ำสุด และปิด ทำให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมราคาได้อย่างละเอียด
  • ระบุแนวโน้มและเชื่อมโยงจิตวิทยากับรูปแบบราคาได้: รูปแบบแท่งเทียนต่างๆ สามารถบ่งชี้ถึงแนวโน้มการกลับตัวหรือต่อเนื่องของราคาได้ และยังสะท้อนถึงอารมณ์และ จิตวิทยาตลาด ของผู้ซื้อและผู้ขายในช่วงเวลานั้นๆ ตัวอย่างเช่น ไส้เทียนที่ยาวสามารถเผยให้เห็นแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางของราคาในอนาคตได้

ข้อเสียของแผนภูมิแท่งเทียน

  • อาจดู overwhelming สำหรับมือใหม่: ด้วยข้อมูลที่แสดงออกมาเป็นจำนวนมากในแต่ละแท่งเทียน อาจทำให้เทรดเดอร์มือใหม่รู้สึกสับสนและยากที่จะตีความในตอนเริ่มต้น
ข้อดี ข้อเสีย
ครอบคลุม
คล้ายกับแผนภูมิแท่ง ให้มุมมองที่ยอดเยี่ยมของราคาเปิด สูง ต่ำ และปิดของราคา
อาจดูซับซ้อน
อาจดูเหมือนเป็นข้อมูลที่มากเกินไปสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่
สามารถระบุแนวโน้มและเชื่อมโยงจิตวิทยากับรูปแบบราคาได้
รูปแบบแท่งเทียนช่วยให้ผู้ค้าตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางของราคาในอนาคต

แผนภูมิที่ดีที่สุดสำหรับ Forex คืออะไร?

แม้ว่าแผนภูมิทั้งสามประเภทจะมีประโยชน์ในแบบของตนเอง แต่แผนภูมิ Forex ที่ใช้บ่อยที่สุดและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายคือ แผนภูมิแท่งเทียน

นักเทรดทุกคนมีความชอบส่วนตัวและกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน แต่การวิเคราะห์จากแท่งเทียนสามารถให้การอ่านที่ชัดเจนและครอบคลุมเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของตลาดในปัจจุบันได้ดีกว่า ทำให้เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับนักวิเคราะห์ทางเทคนิค

ทำไมแท่งเทียนจึงมีประโยชน์และเป็นที่นิยม?

เมื่อเปรียบเทียบกับแผนภูมิเส้นและแผนภูมิแท่งแล้ว แท่งเทียน สามารถเก็บข้อมูลได้มากที่สุดและแสดงภาพการเปลี่ยนแปลงของราคาที่กว้างที่สุดในกรอบเวลาที่กำหนดได้ชัดเจนกว่ามาก นี่คือเหตุผลที่แท่งเทียนมีประโยชน์:

  • ข้อมูลที่ครบถ้วนในหนึ่งเดียว: แท่งเทียนแต่ละแท่งแสดงข้อมูลราคาสำคัญสี่อย่าง (เปิด, สูง, ต่ำ, ปิด) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค
  • บ่งบอกอารมณ์ตลาด: แท่งเทียนสามารถบอก “อารมณ์” เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคาได้ ตัวอย่างเช่น:
    • “ไส้เทียน” หรือ “เงา” (Wick/Shadow) ที่ยาว: สามารถเผยให้เห็นแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่งได้ หากสังเกตเห็นเป็นระยะเวลานานๆ ไส้เทียนที่ยาวขึ้นบ่งชี้ว่าราคาพยายามที่จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางหนึ่ง แต่ถูกผลักดันกลับมาอย่างรุนแรง แสดงถึงความไม่แน่นอนหรือการปฏิเสธราคาในระดับนั้นๆ
    • ตัวเทียนที่ยาว: แสดงถึงการเคลื่อนไหวที่รุนแรงและมีโมเมนตัมสูงภายในวันเดียวหรือกรอบเวลานั้นๆ
    • รูปแบบแท่งเทียนเฉพาะ: มีรูปแบบแท่งเทียนมากมายที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อบ่งชี้ถึงการกลับตัวของแนวโน้ม (Reversal Patterns) หรือการต่อเนื่องของแนวโน้ม (Continuation Patterns) เช่น รูปแบบ Doji, Morning Star, Evening Star, Engulfing เป็นต้น
  • เข้าใจง่ายด้วยภาพ: แม้จะมีข้อมูลมาก แต่รูปแบบของแท่งเทียนและการใช้สีช่วยให้เทรดเดอร์สามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเห็นภาพรวมของสถานการณ์ตลาดได้ทันที

แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) คืออะไร?

แผนภาพแนวรับและแนวต้าน

ระดับแนวรับ (Support Level) และแนวต้าน (Resistance Level) เป็นแนวคิดพื้นฐานแต่สำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของกราฟราคา โดยเป็นพื้นที่ที่ราคาของคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์ทางการเงินมีแนวโน้มที่จะกลับตัว (Reversal) หรือเกิดการทะลุผ่าน (Breakout)

ระดับแนวรับ (Support Level)

ระดับแนวรับคือระดับราคาที่แนวโน้มราคาขาลงของคู่สกุลเงินหยุดชั่วคราวหรือชะลอตัวลง เนื่องจากความต้องการซื้อ (Buying Demand) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ณ ระดับราคานั้นๆ ทำให้แรงขายไม่สามารถผลักดันราคาให้ต่ำลงไปได้อีก ส่งผลให้แนวโน้มมีโอกาสที่จะกลับตัวและปรับขึ้นในที่สุด

ทำไมถึงเกิดขึ้น? เกิดจากการที่ผู้ซื้อมองว่าราคาสินทรัพย์ ณ ระดับนั้น “ถูก” เกินไป และตัดสินใจเข้าซื้อ ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาหนุนราคาไม่ให้ตกลงไปอีก

ระดับแนวต้าน (Resistance Level)

ระดับแนวต้านคือระดับราคาที่โมเมนตัมราคาขาขึ้นของคู่สกุลเงินอ่อนตัวลง และราคามีแนวโน้มที่จะกลับตัวและมุ่งหน้าลง สาเหตุมาจาก ณ ระดับราคานี้ มีแรงขาย (Selling Pressure) จำนวนมากเข้าสู่ตลาด ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปได้

ทำไมถึงเกิดขึ้น? เกิดจากการที่ผู้ขายมองว่าราคาสินทรัพย์ ณ ระดับนั้น “แพง” เกินไป และตัดสินใจขายทำกำไร หรือผู้ที่ติดดอยอยู่ก่อนหน้านี้ได้โอกาสขายออก ทำให้มีแรงขายเข้ามาต้านราคาไม่ให้ขึ้นไปอีก

โอกาสในการเทรดจากแนวรับและแนวต้าน

การระบุระดับแนวรับและแนวต้านได้อย่างถูกต้องสามารถให้โอกาสที่ยอดเยี่ยมแก่เทรดเดอร์ในการเปิดสถานะการซื้อขายใหม่:

  • ที่แนวรับ: หากราคาเข้าใกล้แนวรับและมีสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น เทรดเดอร์อาจพิจารณาเปิดสถานะ “ซื้อ” (Buy)
  • ที่แนวต้าน: หากราคาเข้าใกล้แนวต้านและมีสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลง เทรดเดอร์อาจพิจารณาเปิดสถานะ “ขาย” (Sell)

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าแนวรับและแนวต้านไม่ใช่ระดับราคาที่ตายตัว แต่เป็น “โซน” หรือ “พื้นที่” ที่ราคาอาจตอบสนอง และบางครั้งราคาก็อาจ ทะลุผ่าน (Breakout) แนวรับหรือแนวต้านไปได้ ซึ่งบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแนวโน้มตลาด

ประโยชน์ของการใช้แผนภูมิในการเทรด

การทำความคุ้นเคยและเชี่ยวชาญในการใช้แผนภูมิประเภทต่างๆ สามารถปรับปรุงผลลัพธ์การซื้อขายของคุณได้อย่างมาก เนื่องจากแผนภูมิให้ประโยชน์มากมายที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุน:

  • ภาพประกอบการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจน: แผนภูมิช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอดีตและปัจจุบันได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการระบุแนวโน้ม (Trends) และรูปแบบราคา (Patterns) ที่สำคัญ
  • ช่วยระบุระดับการเข้าและออกที่เหมาะสม: แผนภูมิช่วยให้คุณสามารถระบุระดับราคาที่เป็นไปได้สำหรับการเข้าซื้อ (Entry Points) และการขายออก (Exit Points) รวมถึงการตั้ง Stop Loss และ Take Profit ซึ่งอาจไม่ชัดเจนหากไม่มีการวิเคราะห์กราฟ
  • สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดและจิตวิทยาของผู้ค้า: การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงหรือรูปแบบแท่งเทียนบางอย่างที่แสดงบนแผนภูมิสามารถจับและสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของตลาดและจิตวิทยาของผู้ซื้อขายโดยรวมได้
  • ความสามารถในการใช้ร่วมกับการวิเคราะห์พื้นฐาน: แม้จะเป็นเครื่องมือหลักของการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่แผนภูมิยังสามารถใช้ร่วมกับการ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เพื่อยืนยันระดับการเข้าและออกของการเทรด ทำให้การตัดสินใจมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากขึ้น
  • การใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อพยากรณ์อนาคต: แผนภูมิแสดงข้อมูลในอดีต ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถศึกษาพฤติกรรมราคาที่ผ่านมาในกรอบเวลาที่แตกต่างกัน และนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ในการคาดการณ์และวางแผนการเทรดในอนาคต

กรอบเวลา Forex หลักสำหรับแผนภูมิคืออะไร และควรเลือกอย่างไร?

เทรดเดอร์ใช้กรอบเวลาที่แตกต่างกันมากมายขึ้นอยู่กับ กลยุทธ์การซื้อขาย Forex ของตน อย่างไรก็ตาม ในตลาด Forex กรอบเวลาสามารถแบ่งออกเป็นสามตัวเลือกทั่วไป:

  1. ระยะยาว (Long-term): สำหรับการลงทุนที่กินเวลานานหลายสัปดาห์ เดือน หรือปี
  2. ระยะกลาง (Medium-term): สำหรับการเทรดแบบสวิง (Swing Trading) ที่กินเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์
  3. ระยะสั้น (Short-term): สำหรับการเทรดรายวัน (Day Trading) หรือการเทรดแบบ Scalping ที่กินเวลาเพียงไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมง

การเลือกกรอบเวลาที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับเป้าหมายส่วนบุคคลและสไตล์การเทรดของเทรดเดอร์เอง

การวิเคราะห์กรอบเวลาหลายๆ แบบ (Multi-Timeframe Analysis)

เทรดเดอร์บางคนนิยมใช้เทคนิคที่เรียกว่า การวิเคราะห์กรอบเวลาหลายๆ แบบ แทนที่จะเลือกกรอบเวลาเดียว พวกเขาจะดูคู่สกุลเงินภายใต้กรอบเวลาที่ต่างกันหลายกรอบพร้อมกัน

ประโยชน์:

  • โดยทั่วไป เทรดเดอร์จะใช้กรอบเวลาที่ยาวขึ้น (เช่น รายวัน หรือ 4 ชั่วโมง) เพื่อระบุแนวโน้มระยะยาว (Long-term Trend) หรือภาพรวมของตลาด
  • ในขณะที่กรอบเวลาที่สั้นกว่า (เช่น 15 นาที หรือ 5 นาที) จะใช้เพื่อค้นหาจุดเข้า ซื้อขาย (Entry Points) ที่แม่นยำและได้เปรียบมากขึ้น

การผสมผสานกรอบเวลาเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์มีความเข้าใจที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคา และสามารถตัดสินใจเทรดได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

ดูตารางด้านล่างเพื่อดูรูปแบบการซื้อขายที่แตกต่างกันและวิธีที่เข้ากันได้ดีที่สุดกับกรอบเวลาที่เหมาะสมบนแผนภูมิการซื้อขายแลกเปลี่ยน:

รูปแบบการเทรด (Trading Style) เดย์เทรดดิ้ง (Day Trading) สวิงเทรดดิ้ง (Swing Trading) การซื้อขายตำแหน่ง (Position Trading)
แผนภูมิเทรนด์ (Trend Chart)
(สำหรับระบุแนวโน้มหลัก)
30 นาที – 4 ชั่วโมง รายวัน (Daily) รายสัปดาห์ (Weekly)
แผนภูมิทริกเกอร์ (Trigger Chart)
(สำหรับระบุจุดเข้า/ออก)
5 นาที – 60 นาที 2 ชั่วโมง – 4 ชั่วโมง รายวัน (Daily)

ตารางนี้เป็นแนวทางทั่วไป เทรดเดอร์แต่ละคนอาจปรับใช้กรอบเวลาที่แตกต่างกันไปตามความถนัดและความเหมาะสมกับกลยุทธ์ส่วนตัว

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. มือใหม่ควรเริ่มต้นเรียนรู้กราฟราคาประเภทใดก่อน?

สำหรับมือใหม่ แผนภูมิเส้น (Line Chart) เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด เนื่องจากมีความเรียบง่าย แสดงเฉพาะราคาปิด ทำให้ง่ายต่อการมองเห็นภาพรวมของแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม ควรมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้ แผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick Chart) ในลำดับต่อไป เนื่องจากเป็นแผนภูมิที่ให้ข้อมูลครบถ้วนที่สุดและเป็นที่นิยมใช้โดยมืออาชีพในการวิเคราะห์เชิงลึก

2. กราฟราคาสามารถใช้ทำอะไรได้บ้างนอกจากการระบุแนวโน้ม?

นอกจากระบุแนวโน้มแล้ว กราฟราคายังสามารถใช้เพื่อ:

3. การวิเคราะห์กรอบเวลาหลายๆ แบบ (Multi-Timeframe Analysis) มีประโยชน์อย่างไร?

การวิเคราะห์กรอบเวลาหลายๆ แบบช่วยให้เทรดเดอร์ได้มุมมองที่ครอบคลุมของตลาด โดยใช้กรอบเวลาที่ยาวขึ้นเพื่อระบุแนวโน้มหลักและภาพรวมของตลาด เพื่อหลีกเลี่ยงการเทรดสวนแนวโน้มใหญ่ จากนั้นใช้กรอบเวลาที่สั้นลงเพื่อค้นหาจุดเข้าและออกที่แม่นยำยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดและลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดในกรอบเวลาเดียว

4. หากราคาเคลื่อนที่อยู่ระหว่างแนวรับและแนวต้านเป็นเวลานาน หมายความว่าอย่างไร?

หากราคาเคลื่อนที่อยู่ภายในกรอบระหว่างแนวรับและแนวต้านเป็นเวลานาน แสดงว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วง “รวมฐาน” (Consolidation) หรือ “ไซด์เวย์” (Sideways) ซึ่งหมายถึงแรงซื้อและแรงขายกำลังอยู่ในภาวะสมดุล ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอย่างชัดเจน ในช่วงนี้ เทรดเดอร์มักจะรอดูสัญญาณการทะลุผ่าน (Breakout) แนวรับหรือแนวต้าน เพื่อยืนยันการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่

5. แผนภูมิแท่งเทียนสีต่างๆ มีความหมายเหมือนกันในทุกแพลตฟอร์มหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว แผนภูมิแท่งเทียนจะมีสีมาตรฐานที่บ่งบอกถึงการขึ้น (เขียว/ขาว) และการลง (แดง/ดำ) แต่สีเหล่านี้ สามารถปรับแต่งได้ บนแพลตฟอร์มการซื้อขายส่วนใหญ่ เช่น MetaTrader 4 (MT4) หรือ TradingView ดังนั้น สิ่งสำคัญคือเทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจว่าสีที่ตนเห็นบนแพลตฟอร์มนั้นๆ หมายถึงอะไร เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในการตีความ

สรุป

กราฟราคาเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดในตลาด Forex การทำความเข้าใจในประเภทของกราฟ การตีความข้อมูลที่แสดง และการใช้กรอบเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบุโอกาสในการทำกำไร และบริหารความเสี่ยงได้อย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนภูมิแท่งเทียน ซึ่งให้ข้อมูลที่ละเอียดและสะท้อนถึงจิตวิทยาตลาด ได้รับความนิยมสูงสุดจากเทรดเดอร์ทั่วโลก

เราขอแนะนำให้เทรดเดอร์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ ฝึกฝนการอ่านและวิเคราะห์กราฟอย่างสม่ำเสมอ และบูรณาการความเข้าใจใน แนวรับ-แนวต้าน เข้ากับกลยุทธ์การเทรดของตน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในเส้นทางการเทรดของคุณ

หากคุณพร้อมที่จะเริ่มต้นการเดินทางในโลกของการเทรด Forex อย่างมืออาชีพ หรือต้องการพัฒนาทักษะการวิเคราะห์กราฟของคุณให้ดียิ่งขึ้น อย่ารอช้า! เริ่มต้นฝึกฝนและสำรวจกราฟราคาตั้งแต่วันนี้ เพื่อเปิดประตูสู่โอกาสในการลงทุนที่ไร้ขีดจำกัด

You Might Also Like

Contact Us on Line