ถอดรหัสกราฟราคา Forex: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และผู้เชี่ยวชาญ
ในโลกของการเทรด Forex ที่เต็มไปด้วยความผันผวนและความท้าทาย การเข้าใจและตีความกราฟราคาได้อย่างแม่นยำถือเป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินใจลงทุน เปรียบเสมือนแผนที่นำทางที่ช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นทิศทางของตลาด, ระบุโอกาส, และบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมาย ประเภท และวิธีการใช้งานกราฟราคา Forex อย่างละเอียด ตั้งแต่พื้นฐานสำหรับมือใหม่ไปจนถึงเทคนิคขั้นสูงที่ผู้เชี่ยวชาญใช้ เพื่อให้คุณสามารถใช้กราฟเหล่านี้เป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้างผลกำไรในตลาดการเงิน
กราฟราคาคืออะไร?

กราฟราคาคือการนำเสนอข้อมูลราคาของเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่สกุลเงินในตลาด Forex, ดัชนีหลักทรัพย์, หุ้นรายตัว, โลหะมีค่า เช่น ทองคำ (XAUUSD), หรือสินทรัพย์อื่นๆ ในรูปแบบภาพกราฟิก โดยจะแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ
ความสำคัญของกราฟราคาในการเทรด
สำหรับเทรดเดอร์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ กราฟราคาถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุด หากปราศจากความเข้าใจในกราฟราคา การ วิเคราะห์ทางเทคนิค ของตลาดก็จะทำได้ยากหรือไม่สามารถทำได้เลย กราฟจะแสดงข้อมูลกิจกรรมการซื้อขายที่เกิดขึ้นกับสินทรัพย์นั้นๆ ในกรอบเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งนาที ไปจนถึงหนึ่งวัน หรือแม้กระทั่งหนึ่งสัปดาห์เต็ม
โครงสร้างพื้นฐานของกราฟราคา
โดยทั่วไป กราฟราคาจะประกอบด้วยสองแกนหลัก:
- แกน X (แกนนอน): แสดงถึงมาตราส่วนเวลา ซึ่งไล่จากซ้ายไปขวา โดยข้อมูลราคาสุดท้ายและล่าสุดจะปรากฏอยู่ทางด้านขวาสุดของกราฟ
- แกน Y (แกนตั้ง): แสดงถึงมาตราส่วนราคา ซึ่งจะบอกระดับราคาที่สินทรัพย์เคลื่อนไหว
ด้วยการผสมผสานการวิเคราะห์กราฟจากซ้ายไปขวาเข้ากับ ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators) ต่างๆ เทรดเดอร์จะสามารถระบุรูปแบบราคา (Price Patterns) และประเมินความน่าจะเป็นที่ราคาของสินทรัพย์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการวางแผนการเทรด
กราฟ Forex คืออะไร?
กราฟ Forex คือกราฟราคาชนิดหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคา คู่สกุลเงิน ที่เลือกไว้เมื่อเวลาผ่านไป ไม่ว่าจะเป็น EUR/USD, GBP/JPY, หรือคู่สกุลเงินอื่นๆ โครงสร้างของกราฟ Forex ก็คล้ายคลึงกับกราฟราคาโดยทั่วไป โดยมีแกน X แสดงเวลา และแกน Y แสดงราคา

ตัวอย่าง: ภาพด้านบนแสดงตัวอย่างกราฟ Forex ของคู่สกุลเงิน EUR/USD ซึ่งบ่งชี้ว่าราคาของยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในแต่ละช่วงเวลา
กรอบเวลา (Timeframe) ของกราฟทำงานอย่างไร?
กรอบเวลา หรือ Timeframe คือการเลือกช่วงเวลาที่แต่ละ “แท่ง” หรือ “จุด” บนกราฟแสดงข้อมูลการซื้อขาย เทรดเดอร์สามารถเลือกกรอบเวลาของกราฟเพื่อให้แสดงข้อมูลการซื้อขายของเครื่องมือทางการเงินที่กำลังวิเคราะห์ได้ตามความต้องการ เช่น คู่สกุลเงินเฉพาะใดๆ
การปรับเปลี่ยนกรอบเวลา
แพลตฟอร์มการซื้อขายส่วนใหญ่มักจะตั้งค่ากรอบเวลาเริ่มต้นไว้ที่หนึ่งวัน (Daily) แต่คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ โดยมีให้เลือกตั้งแต่กรอบเวลาที่สั้นที่สุดเพียงหนึ่งนาที (M1) ไปจนถึงกรอบเวลาที่ยาวนานถึงหนึ่งเดือน (Monthly) หรือแม้กระทั่งหนึ่งปี
ตัวอย่าง: หากคุณเปลี่ยนกรอบเวลาเป็นหนึ่งชั่วโมง (H1) แต่ละแท่งเทียนหรือจุดข้อมูลบนกราฟจะแสดงกิจกรรมการซื้อขายที่เกิดขึ้นภายในหนึ่งชั่วโมงนั้นๆ โดยประกอบด้วยราคาเปิด (Open), ราคาสูงสุด (High), ราคาต่ำสุด (Low), และราคาปิด (Close) ของช่วงเวลานั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นบน แผนภูมิแท่ง กราฟเส้น หรือแท่งเทียน
การเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะส่งผลต่อมุมมองของตลาดและรูปแบบราคาที่คุณสามารถระบุได้ เช่น เทรดเดอร์ระยะสั้น (Scalper) อาจใช้กรอบเวลา 1 นาที หรือ 5 นาที ในขณะที่เทรดเดอร์ระยะยาว (Position Trader) อาจใช้กรอบเวลา 4 ชั่วโมง, รายวัน หรือรายสัปดาห์
แผนภูมิ Forex ประเภทต่างๆ
ในการวิเคราะห์ตลาด Forex และการวิเคราะห์ทางเทคนิคของสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ มีแผนภูมิหลายประเภทที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย การเลือกใช้แผนภูมิประเภทใดขึ้นอยู่กับรูปแบบการซื้อขาย (Trading Style) หรือประเภทของการวิเคราะห์ที่เทรดเดอร์ต้องการใช้งาน โดยทั่วไปแล้ว แผนภูมิบางประเภทอาจเหมาะสมกับวัตถุประสงค์บางอย่างได้ดีกว่าแผนภูมิอื่น
แผนภูมิ Forex ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 3 ประเภทหลัก ได้แก่:
- แผนภูมิเส้น (Line Chart)
- แผนภูมิแท่ง (Bar Chart)
- แผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick Chart)
1. แผนภูมิเส้น (Line Chart)

คืออะไร?
แผนภูมิเส้นเป็นแผนภูมิประเภทที่ง่ายที่สุดในการอ่านและทำความเข้าใจ โดยจะแสดงเฉพาะ ราคาปิด (Closing Price) สำหรับแต่ละกรอบเวลาที่กำหนดไว้ และเชื่อมต่อจุดราคาปิดเหล่านั้นด้วยเส้นต่อเนื่องกัน ทำให้เกิดเป็นเส้นโค้งที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง
ข้อดีของแผนภูมิเส้น
- ความเรียบง่าย: แผนภูมิเส้นนำเสนอมุมมองที่ชัดเจนและเรียบง่ายของสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน ทำให้เข้าใจง่ายแม้กระทั่งสำหรับผู้เริ่มต้น และช่วยให้สามารถมองเห็นภาพรวมอย่างรวดเร็วว่าตลาดกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด
- เหมาะสำหรับการวิเคราะห์กราฟิกขั้นพื้นฐาน: การแสดงผลที่ตรงไปตรงมาทำให้ง่ายต่อการกำหนด ระดับแนวรับและแนวต้าน รวมถึงการระบุรูปแบบกราฟขนาดใหญ่ได้อย่างชัดเจน
ข้อเสียของแผนภูมิเส้น
- ไม่แสดงช่องว่าง (Gaps): เนื่องจากแผนภูมิเส้นเชื่อมต่อเฉพาะราคาปิด จึงไม่สามารถแสดงช่องว่างของราคา (Price Gaps) ที่เกิดขึ้นระหว่างราคาปิดของวันหนึ่งกับราคาเปิดของอีกวันหนึ่งได้ เช่น ช่องว่างราคาที่มักเกิดขึ้นระหว่างการปิดตลาดวันศุกร์และการเปิดตลาดวันจันทร์
- ข้อมูลไม่ครบถ้วน: เมื่อเทียบกับแผนภูมิประเภทอื่น แผนภูมิเส้นให้ข้อมูลที่จำกัดมาก โดยแสดงเฉพาะราคาปิดเท่านั้น จึงไม่สามารถบอกรายละเอียดอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันได้ เช่น ราคาเปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับกลยุทธ์การเทรดที่ซับซ้อนขึ้น
แผนภูมิเส้นจึงเหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่ต้องการความเรียบง่ายและชัดเจน เพื่อสร้างทักษะการอ่านกราฟขั้นพื้นฐาน ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่การใช้แผนภูมิที่ให้ข้อมูลละเอียดมากขึ้นอย่าง แผนภูมิแท่งเทียน
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| ความเรียบง่าย เข้าใจง่ายแม้สำหรับผู้เริ่มต้น |
ไม่แสดงช่องว่าง ตัวอย่างเช่น ช่องว่างราคาระหว่างราคาปิดวันศุกร์และราคาเปิดวันจันทร์ |
| เหมาะสำหรับการวิเคราะห์กราฟิก แสดงระดับแนวรับและแนวต้านอย่างตรงไปตรงมา และง่ายต่อการกำหนดรูปแบบ |
ไม่ให้ข้อมูลครบถ้วน เมื่อเทียบกับแผนภูมิอื่น ๆ จะไม่แสดงรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน |
2. แผนภูมิแท่ง (Bar Chart)

คืออะไร?
แผนภูมิแท่ง หรือที่รู้จักกันในชื่อ แผนภูมิ OHLC (Open, High, Low, Close) ถือเป็นเวอร์ชันที่ได้รับการพัฒนาจากแผนภูมิเส้น โดยให้ข้อมูลที่ครบถ้วนมากขึ้นเกี่ยวกับราคา ‘เปิด’ (Open), ‘สูงสุด’ (High), ‘ต่ำสุด’ (Low) และ ‘ปิด’ (Close) ภายในแต่ละกรอบเวลาที่กำหนด
โครงสร้างของแผนภูมิแท่ง
แผนภูมิแท่งโดยทั่วไปจะแสดงด้วยเส้นแนวตั้งหนึ่งเส้น พร้อมด้วยเส้นแนวนอนเล็กๆ สองเส้นยื่นออกมาทางด้านซ้ายและด้านขวา:
- เส้นแนวตั้ง: แสดงช่วงราคาที่เคลื่อนไหวระหว่างราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดที่ไปถึงในช่วงเวลาที่กำหนด (จากบนสุดถึงล่างสุด)
- เส้นแนวนอนทางซ้าย: แสดงราคาเปิด (Open Price) ของช่วงเวลานั้น
- เส้นแนวนอนทางขวา: แสดงราคาปิด (Close Price) ของช่วงเวลานั้น
แผนภูมิแท่งสามารถใช้เพื่อแสดงช่วงเวลาใดก็ได้ ตั้งแต่ไม่กี่วินาที (เช่น M1 หรือ M5) ไปจนถึงหนึ่งสัปดาห์ (Weekly) หรือนานกว่านั้น

การใช้งานตามกรอบเวลา: เนื่องจากแต่ละแท่งแสดงถึงช่วงเวลาหนึ่ง กรอบเวลาที่แตกต่างกันจึงเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่มีกลยุทธ์และเป้าหมายที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น:
- นักลงทุนระยะยาว (Long-term Investors): อาจพบว่าการใช้กรอบเวลารายสัปดาห์ (Weekly) หรือรายวัน (Daily) มีประโยชน์มากกว่าในการระบุแนวโน้มหลัก
- เทรดเดอร์รายวัน (Day Traders): จะใช้กรอบเวลาที่สั้นกว่ามาก เช่น 30 วินาที, หนึ่งนาที (M1) หรือห้านาที (M5) เพื่อจับการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น
ข้อดีของแผนภูมิแท่ง
- ครอบคลุม: ให้มุมมองที่ยอดเยี่ยมของราคาเปิด สูงสุด ต่ำสุด และปิด ทำให้เทรดเดอร์มีข้อมูลที่จำเป็นในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาอย่างละเอียด
- ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มและรูปแบบ: สามารถสังเกตการหดตัวและการขยายตัวของช่วงราคา (Price Range) ในช่วงแนวโน้มที่กำหนดได้ ซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของแรงซื้อแรงขาย
ข้อเสียของแผนภูมิแท่ง
- อาจถูกครอบงำด้วยภาพ: เมื่อแผนภูมิเต็มไปด้วยแท่งจำนวนมาก ระดับราคาเปิด/ปิดของแต่ละแท่งอาจสังเกตเห็นได้ยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบเวลาที่สั้น
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| ครอบคลุม ให้มุมมองที่ยอดเยี่ยมของราคาเปิด สูง ต่ำ และปิด |
ช่วงครอบงำภาพ ระดับเปิด/ปิดของแต่ละแท่งจะสังเกตเห็นได้ยากขึ้นเมื่อแผนภูมิเต็มไปด้วยแท่ง |
| ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มและรูปแบบ สามารถสังเกตการหดตัวและการขยายตัวของช่วงราคาในช่วงแนวโน้มในช่วงเวลาที่กำหนด |
3. แผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick Chart)

คืออะไร?
แผนภูมิแท่งเทียน เป็นหนึ่งในประเภทแผนภูมิที่เทรดเดอร์นิยมใช้มากที่สุด ด้วยความสามารถในการแสดงข้อมูลราคาที่ครบถ้วนและเข้าใจง่าย ที่มาของแผนภูมิแท่งเทียน หรือบางครั้งเรียกว่า แท่งเทียนญี่ปุ่น มีประวัติย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยพ่อค้าข้าวชาวญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 18 ซึ่งได้จัดทำแผนภูมินี้ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ตลาดข้าว และยังคงเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนประกอบของแท่งเทียน
แท่งเทียนแต่ละแท่งประกอบด้วยสองส่วนหลักที่เรียกว่า ตัวเทียน (Body) และ เงา (Shadow) หรือไส้เทียน (Wick):
- ตัวเทียน (Body): ด้านบนและด้านล่างของตัวเทียนบอกเราถึงราคาเปิด (Open Price) และราคาปิด (Close Price) ของช่วงเวลาที่กำหนด
- เงา (Shadow) หรือ ไส้เทียน (Wick): ด้านบนและด้านล่างของเงาหรือไส้เทียนบอกเราว่าราคาได้เคลื่อนไหวไปถึงราคาสูงสุด (High Price) และราคาต่ำสุด (Low Price) เท่าใดในช่วงเวลาที่กำหนดนั้น

การตีความสีของแท่งเทียน
สีของตัวเทียนมีความสำคัญในการบ่งบอกทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา:
- แท่งเทียนสีแดงหรือสีดำ: โดยปกติ หากราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด ตัวเทียนจะเป็นสีแดงหรือสีดำ ซึ่งบ่งบอกว่าราคาของสินทรัพย์กำลังลดลง (Bearish Candlestick)
- แท่งเทียนสีเขียวหรือสีขาว: หากราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด ตัวเทียนจะเป็นสีเขียวหรือสีขาว ซึ่งบ่งบอกว่าราคาของสินทรัพย์กำลังเพิ่มขึ้น (Bullish Candlestick)
แม้ว่าสีแดงและสีเขียว หรือสีดำและสีขาว จะเป็นสีที่ใช้กันทั่วไปในการแสดงการเคลื่อนไหวของราคาขึ้นและลง แต่สีเหล่านี้สามารถปรับแต่งได้อย่างง่ายดายบนแพลตฟอร์มการซื้อขายส่วนใหญ่ เพื่อให้เหมาะสมกับความชอบส่วนบุคคลของเทรดเดอร์
ข้อดีของแผนภูมิแท่งเทียน
- ครอบคลุมและให้ข้อมูลเชิงลึก: คล้ายกับแผนภูมิแท่ง ให้มุมมองที่ยอดเยี่ยมของราคาเปิด สูงสุด ต่ำสุด และปิด ทำให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมราคาได้อย่างละเอียด
- ระบุแนวโน้มและเชื่อมโยงจิตวิทยากับรูปแบบราคาได้: รูปแบบแท่งเทียนต่างๆ สามารถบ่งชี้ถึงแนวโน้มการกลับตัวหรือต่อเนื่องของราคาได้ และยังสะท้อนถึงอารมณ์และ จิตวิทยาตลาด ของผู้ซื้อและผู้ขายในช่วงเวลานั้นๆ ตัวอย่างเช่น ไส้เทียนที่ยาวสามารถเผยให้เห็นแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางของราคาในอนาคตได้
ข้อเสียของแผนภูมิแท่งเทียน
- อาจดู overwhelming สำหรับมือใหม่: ด้วยข้อมูลที่แสดงออกมาเป็นจำนวนมากในแต่ละแท่งเทียน อาจทำให้เทรดเดอร์มือใหม่รู้สึกสับสนและยากที่จะตีความในตอนเริ่มต้น
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| ครอบคลุม คล้ายกับแผนภูมิแท่ง ให้มุมมองที่ยอดเยี่ยมของราคาเปิด สูง ต่ำ และปิดของราคา |
อาจดูซับซ้อน อาจดูเหมือนเป็นข้อมูลที่มากเกินไปสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ |
| สามารถระบุแนวโน้มและเชื่อมโยงจิตวิทยากับรูปแบบราคาได้ รูปแบบแท่งเทียนช่วยให้ผู้ค้าตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางของราคาในอนาคต |
แผนภูมิที่ดีที่สุดสำหรับ Forex คืออะไร?
แม้ว่าแผนภูมิทั้งสามประเภทจะมีประโยชน์ในแบบของตนเอง แต่แผนภูมิ Forex ที่ใช้บ่อยที่สุดและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายคือ แผนภูมิแท่งเทียน
นักเทรดทุกคนมีความชอบส่วนตัวและกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน แต่การวิเคราะห์จากแท่งเทียนสามารถให้การอ่านที่ชัดเจนและครอบคลุมเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของตลาดในปัจจุบันได้ดีกว่า ทำให้เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับนักวิเคราะห์ทางเทคนิค
ทำไมแท่งเทียนจึงมีประโยชน์และเป็นที่นิยม?
เมื่อเปรียบเทียบกับแผนภูมิเส้นและแผนภูมิแท่งแล้ว แท่งเทียน สามารถเก็บข้อมูลได้มากที่สุดและแสดงภาพการเปลี่ยนแปลงของราคาที่กว้างที่สุดในกรอบเวลาที่กำหนดได้ชัดเจนกว่ามาก นี่คือเหตุผลที่แท่งเทียนมีประโยชน์:
- ข้อมูลที่ครบถ้วนในหนึ่งเดียว: แท่งเทียนแต่ละแท่งแสดงข้อมูลราคาสำคัญสี่อย่าง (เปิด, สูง, ต่ำ, ปิด) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- บ่งบอกอารมณ์ตลาด: แท่งเทียนสามารถบอก “อารมณ์” เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคาได้ ตัวอย่างเช่น:
- “ไส้เทียน” หรือ “เงา” (Wick/Shadow) ที่ยาว: สามารถเผยให้เห็นแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่งได้ หากสังเกตเห็นเป็นระยะเวลานานๆ ไส้เทียนที่ยาวขึ้นบ่งชี้ว่าราคาพยายามที่จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางหนึ่ง แต่ถูกผลักดันกลับมาอย่างรุนแรง แสดงถึงความไม่แน่นอนหรือการปฏิเสธราคาในระดับนั้นๆ
- ตัวเทียนที่ยาว: แสดงถึงการเคลื่อนไหวที่รุนแรงและมีโมเมนตัมสูงภายในวันเดียวหรือกรอบเวลานั้นๆ
- รูปแบบแท่งเทียนเฉพาะ: มีรูปแบบแท่งเทียนมากมายที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อบ่งชี้ถึงการกลับตัวของแนวโน้ม (Reversal Patterns) หรือการต่อเนื่องของแนวโน้ม (Continuation Patterns) เช่น รูปแบบ Doji, Morning Star, Evening Star, Engulfing เป็นต้น
- เข้าใจง่ายด้วยภาพ: แม้จะมีข้อมูลมาก แต่รูปแบบของแท่งเทียนและการใช้สีช่วยให้เทรดเดอร์สามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเห็นภาพรวมของสถานการณ์ตลาดได้ทันที
แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) คืออะไร?

ระดับแนวรับ (Support Level) และแนวต้าน (Resistance Level) เป็นแนวคิดพื้นฐานแต่สำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของกราฟราคา โดยเป็นพื้นที่ที่ราคาของคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์ทางการเงินมีแนวโน้มที่จะกลับตัว (Reversal) หรือเกิดการทะลุผ่าน (Breakout)
ระดับแนวรับ (Support Level)
ระดับแนวรับคือระดับราคาที่แนวโน้มราคาขาลงของคู่สกุลเงินหยุดชั่วคราวหรือชะลอตัวลง เนื่องจากความต้องการซื้อ (Buying Demand) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ณ ระดับราคานั้นๆ ทำให้แรงขายไม่สามารถผลักดันราคาให้ต่ำลงไปได้อีก ส่งผลให้แนวโน้มมีโอกาสที่จะกลับตัวและปรับขึ้นในที่สุด
ทำไมถึงเกิดขึ้น? เกิดจากการที่ผู้ซื้อมองว่าราคาสินทรัพย์ ณ ระดับนั้น “ถูก” เกินไป และตัดสินใจเข้าซื้อ ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาหนุนราคาไม่ให้ตกลงไปอีก
ระดับแนวต้าน (Resistance Level)
ระดับแนวต้านคือระดับราคาที่โมเมนตัมราคาขาขึ้นของคู่สกุลเงินอ่อนตัวลง และราคามีแนวโน้มที่จะกลับตัวและมุ่งหน้าลง สาเหตุมาจาก ณ ระดับราคานี้ มีแรงขาย (Selling Pressure) จำนวนมากเข้าสู่ตลาด ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปได้
ทำไมถึงเกิดขึ้น? เกิดจากการที่ผู้ขายมองว่าราคาสินทรัพย์ ณ ระดับนั้น “แพง” เกินไป และตัดสินใจขายทำกำไร หรือผู้ที่ติดดอยอยู่ก่อนหน้านี้ได้โอกาสขายออก ทำให้มีแรงขายเข้ามาต้านราคาไม่ให้ขึ้นไปอีก
โอกาสในการเทรดจากแนวรับและแนวต้าน
การระบุระดับแนวรับและแนวต้านได้อย่างถูกต้องสามารถให้โอกาสที่ยอดเยี่ยมแก่เทรดเดอร์ในการเปิดสถานะการซื้อขายใหม่:
- ที่แนวรับ: หากราคาเข้าใกล้แนวรับและมีสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น เทรดเดอร์อาจพิจารณาเปิดสถานะ “ซื้อ” (Buy)
- ที่แนวต้าน: หากราคาเข้าใกล้แนวต้านและมีสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลง เทรดเดอร์อาจพิจารณาเปิดสถานะ “ขาย” (Sell)
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าแนวรับและแนวต้านไม่ใช่ระดับราคาที่ตายตัว แต่เป็น “โซน” หรือ “พื้นที่” ที่ราคาอาจตอบสนอง และบางครั้งราคาก็อาจ ทะลุผ่าน (Breakout) แนวรับหรือแนวต้านไปได้ ซึ่งบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแนวโน้มตลาด
ประโยชน์ของการใช้แผนภูมิในการเทรด
การทำความคุ้นเคยและเชี่ยวชาญในการใช้แผนภูมิประเภทต่างๆ สามารถปรับปรุงผลลัพธ์การซื้อขายของคุณได้อย่างมาก เนื่องจากแผนภูมิให้ประโยชน์มากมายที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุน:
- ภาพประกอบการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจน: แผนภูมิช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอดีตและปัจจุบันได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการระบุแนวโน้ม (Trends) และรูปแบบราคา (Patterns) ที่สำคัญ
- ช่วยระบุระดับการเข้าและออกที่เหมาะสม: แผนภูมิช่วยให้คุณสามารถระบุระดับราคาที่เป็นไปได้สำหรับการเข้าซื้อ (Entry Points) และการขายออก (Exit Points) รวมถึงการตั้ง Stop Loss และ Take Profit ซึ่งอาจไม่ชัดเจนหากไม่มีการวิเคราะห์กราฟ
- สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดและจิตวิทยาของผู้ค้า: การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงหรือรูปแบบแท่งเทียนบางอย่างที่แสดงบนแผนภูมิสามารถจับและสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของตลาดและจิตวิทยาของผู้ซื้อขายโดยรวมได้
- ความสามารถในการใช้ร่วมกับการวิเคราะห์พื้นฐาน: แม้จะเป็นเครื่องมือหลักของการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่แผนภูมิยังสามารถใช้ร่วมกับการ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เพื่อยืนยันระดับการเข้าและออกของการเทรด ทำให้การตัดสินใจมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากขึ้น
- การใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อพยากรณ์อนาคต: แผนภูมิแสดงข้อมูลในอดีต ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถศึกษาพฤติกรรมราคาที่ผ่านมาในกรอบเวลาที่แตกต่างกัน และนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ในการคาดการณ์และวางแผนการเทรดในอนาคต
กรอบเวลา Forex หลักสำหรับแผนภูมิคืออะไร และควรเลือกอย่างไร?
เทรดเดอร์ใช้กรอบเวลาที่แตกต่างกันมากมายขึ้นอยู่กับ กลยุทธ์การซื้อขาย Forex ของตน อย่างไรก็ตาม ในตลาด Forex กรอบเวลาสามารถแบ่งออกเป็นสามตัวเลือกทั่วไป:
- ระยะยาว (Long-term): สำหรับการลงทุนที่กินเวลานานหลายสัปดาห์ เดือน หรือปี
- ระยะกลาง (Medium-term): สำหรับการเทรดแบบสวิง (Swing Trading) ที่กินเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์
- ระยะสั้น (Short-term): สำหรับการเทรดรายวัน (Day Trading) หรือการเทรดแบบ Scalping ที่กินเวลาเพียงไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมง
การเลือกกรอบเวลาที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับเป้าหมายส่วนบุคคลและสไตล์การเทรดของเทรดเดอร์เอง
การวิเคราะห์กรอบเวลาหลายๆ แบบ (Multi-Timeframe Analysis)
เทรดเดอร์บางคนนิยมใช้เทคนิคที่เรียกว่า การวิเคราะห์กรอบเวลาหลายๆ แบบ แทนที่จะเลือกกรอบเวลาเดียว พวกเขาจะดูคู่สกุลเงินภายใต้กรอบเวลาที่ต่างกันหลายกรอบพร้อมกัน
ประโยชน์:
- โดยทั่วไป เทรดเดอร์จะใช้กรอบเวลาที่ยาวขึ้น (เช่น รายวัน หรือ 4 ชั่วโมง) เพื่อระบุแนวโน้มระยะยาว (Long-term Trend) หรือภาพรวมของตลาด
- ในขณะที่กรอบเวลาที่สั้นกว่า (เช่น 15 นาที หรือ 5 นาที) จะใช้เพื่อค้นหาจุดเข้า ซื้อขาย (Entry Points) ที่แม่นยำและได้เปรียบมากขึ้น
การผสมผสานกรอบเวลาเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์มีความเข้าใจที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคา และสามารถตัดสินใจเทรดได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
ดูตารางด้านล่างเพื่อดูรูปแบบการซื้อขายที่แตกต่างกันและวิธีที่เข้ากันได้ดีที่สุดกับกรอบเวลาที่เหมาะสมบนแผนภูมิการซื้อขายแลกเปลี่ยน:
| รูปแบบการเทรด (Trading Style) | เดย์เทรดดิ้ง (Day Trading) | สวิงเทรดดิ้ง (Swing Trading) | การซื้อขายตำแหน่ง (Position Trading) |
| แผนภูมิเทรนด์ (Trend Chart) (สำหรับระบุแนวโน้มหลัก) |
30 นาที – 4 ชั่วโมง | รายวัน (Daily) | รายสัปดาห์ (Weekly) |
| แผนภูมิทริกเกอร์ (Trigger Chart) (สำหรับระบุจุดเข้า/ออก) |
5 นาที – 60 นาที | 2 ชั่วโมง – 4 ชั่วโมง | รายวัน (Daily) |
ตารางนี้เป็นแนวทางทั่วไป เทรดเดอร์แต่ละคนอาจปรับใช้กรอบเวลาที่แตกต่างกันไปตามความถนัดและความเหมาะสมกับกลยุทธ์ส่วนตัว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. มือใหม่ควรเริ่มต้นเรียนรู้กราฟราคาประเภทใดก่อน?
สำหรับมือใหม่ แผนภูมิเส้น (Line Chart) เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด เนื่องจากมีความเรียบง่าย แสดงเฉพาะราคาปิด ทำให้ง่ายต่อการมองเห็นภาพรวมของแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม ควรมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้ แผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick Chart) ในลำดับต่อไป เนื่องจากเป็นแผนภูมิที่ให้ข้อมูลครบถ้วนที่สุดและเป็นที่นิยมใช้โดยมืออาชีพในการวิเคราะห์เชิงลึก
2. กราฟราคาสามารถใช้ทำอะไรได้บ้างนอกจากการระบุแนวโน้ม?
นอกจากระบุแนวโน้มแล้ว กราฟราคายังสามารถใช้เพื่อ:
- ระบุ ระดับแนวรับและแนวต้าน ที่สำคัญ
- ค้นหา รูปแบบกราฟ (Chart Patterns) ที่บ่งชี้การกลับตัวหรือต่อเนื่องของราคา
- ประเมิน ความเชื่อมั่นของตลาด และจิตวิทยาผู้ซื้อขาย
- กำหนดจุดเข้าและออกที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขาย
- ทดสอบกลยุทธ์การเทรดโดยใช้ข้อมูลในอดีต (Backtesting)
3. การวิเคราะห์กรอบเวลาหลายๆ แบบ (Multi-Timeframe Analysis) มีประโยชน์อย่างไร?
การวิเคราะห์กรอบเวลาหลายๆ แบบช่วยให้เทรดเดอร์ได้มุมมองที่ครอบคลุมของตลาด โดยใช้กรอบเวลาที่ยาวขึ้นเพื่อระบุแนวโน้มหลักและภาพรวมของตลาด เพื่อหลีกเลี่ยงการเทรดสวนแนวโน้มใหญ่ จากนั้นใช้กรอบเวลาที่สั้นลงเพื่อค้นหาจุดเข้าและออกที่แม่นยำยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดและลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดในกรอบเวลาเดียว
4. หากราคาเคลื่อนที่อยู่ระหว่างแนวรับและแนวต้านเป็นเวลานาน หมายความว่าอย่างไร?
หากราคาเคลื่อนที่อยู่ภายในกรอบระหว่างแนวรับและแนวต้านเป็นเวลานาน แสดงว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วง “รวมฐาน” (Consolidation) หรือ “ไซด์เวย์” (Sideways) ซึ่งหมายถึงแรงซื้อและแรงขายกำลังอยู่ในภาวะสมดุล ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอย่างชัดเจน ในช่วงนี้ เทรดเดอร์มักจะรอดูสัญญาณการทะลุผ่าน (Breakout) แนวรับหรือแนวต้าน เพื่อยืนยันการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่
5. แผนภูมิแท่งเทียนสีต่างๆ มีความหมายเหมือนกันในทุกแพลตฟอร์มหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว แผนภูมิแท่งเทียนจะมีสีมาตรฐานที่บ่งบอกถึงการขึ้น (เขียว/ขาว) และการลง (แดง/ดำ) แต่สีเหล่านี้ สามารถปรับแต่งได้ บนแพลตฟอร์มการซื้อขายส่วนใหญ่ เช่น MetaTrader 4 (MT4) หรือ TradingView ดังนั้น สิ่งสำคัญคือเทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจว่าสีที่ตนเห็นบนแพลตฟอร์มนั้นๆ หมายถึงอะไร เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในการตีความ
สรุป
กราฟราคาเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดในตลาด Forex การทำความเข้าใจในประเภทของกราฟ การตีความข้อมูลที่แสดง และการใช้กรอบเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบุโอกาสในการทำกำไร และบริหารความเสี่ยงได้อย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนภูมิแท่งเทียน ซึ่งให้ข้อมูลที่ละเอียดและสะท้อนถึงจิตวิทยาตลาด ได้รับความนิยมสูงสุดจากเทรดเดอร์ทั่วโลก
เราขอแนะนำให้เทรดเดอร์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ ฝึกฝนการอ่านและวิเคราะห์กราฟอย่างสม่ำเสมอ และบูรณาการความเข้าใจใน แนวรับ-แนวต้าน เข้ากับกลยุทธ์การเทรดของตน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในเส้นทางการเทรดของคุณ
หากคุณพร้อมที่จะเริ่มต้นการเดินทางในโลกของการเทรด Forex อย่างมืออาชีพ หรือต้องการพัฒนาทักษะการวิเคราะห์กราฟของคุณให้ดียิ่งขึ้น อย่ารอช้า! เริ่มต้นฝึกฝนและสำรวจกราฟราคาตั้งแต่วันนี้ เพื่อเปิดประตูสู่โอกาสในการลงทุนที่ไร้ขีดจำกัด


