TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

4 กลยุทธ์ Position Trading

มิถุนายน 28, 2022

Position Trading คืออะไร? เจาะลึกกลยุทธ์ทำกำไรระยะยาวในตลาด Forex และหุ้น

การซื้อขายในตลาดการเงินมีหลากหลายรูปแบบ แต่สำหรับนักลงทุนที่มองหากำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะยาว Position Trading คือกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ โดยเป็นการถือครองสินทรัพย์นานนับสัปดาห์ เดือน หรือกระทั่งปี เพื่อเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากแนวโน้มหลักของตลาด บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นแท้ของ Position Trading, ลักษณะสำคัญ, ข้อดีและข้อควรระวัง พร้อมแนะนำ 4 กลยุทธ์ที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้คุณนำไปปรับใช้และประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว

Position Trading คืออะไร

ทำความเข้าใจ Position Trading: การลงทุนระยะยาวเพื่อกำไรสูงสุด

Position Trading คืออะไร?

Position Trading คือ รูปแบบการซื้อขาย ที่เน้นการถือครองสินทรัพย์เป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่หลายสัปดาห์ เดือน ไปจนถึงหลายปี โดยมีเป้าหมายหลักในการทำกำไรจาก แนวโน้มหลัก (Major Trend) ของตลาด ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายระยะสั้นอย่าง Scalping หรือ Day Trading ที่มุ่งเน้นความผันผวนของราคาในกรอบเวลาที่สั้นกว่ามาก ผู้ที่ใช้กลยุทธ์นี้จะถูกเรียกว่า Position Traders

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ Position Trading

  • ในตลาด Forex: Position Traders อาจถือคำสั่งซื้อขายคู่สกุลเงินเป็นระยะเวลาตั้งแต่สองสามสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือนหรือเป็นปี ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนคาดการณ์ว่าค่าเงิน EUR/USD จะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีก 6 เดือนข้างหน้า ก็จะเข้าซื้อและถือสถานะไว้โดยไม่สนใจความผันผวนรายวัน
  • ในตลาดหุ้น: การถือครองหุ้นเป็นเวลา 1 ปีถึงหลายสิบปีถือเป็นเรื่องปกติใน Position Trading นักลงทุนจะทำการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างลึกซึ้ง เช่น ผลประกอบการ, แนวโน้มอุตสาหกรรม, ความสามารถในการแข่งขัน เพื่อระบุหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว แล้วเข้าซื้อและถือครองไว้

ทำไมถึงต้องใช้ Position Trading? หาก Swing Trading ช่วยให้ผู้เทรดจับคลื่นราคาได้เพียงลูกเดียว (ในระยะกลาง) กลยุทธ์ Position Trading นั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้เทรดจับคลื่นได้มากกว่านั้น คือสามารถอยู่ในเทรนด์หลักของตลาดได้นานขึ้นโดยไม่ถูกหยุด หรือออกจากตลาดไปเสียก่อนที่แนวโน้มใหญ่จะสิ้นสุดลง การทำเช่นนี้เป็นการเพิ่มโอกาสในการทำกำไรมหาศาลเมื่อตลาดเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง

ลักษณะสำคัญของกลยุทธ์ Position Trading

Position Trading มีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากรูปแบบการเทรดระยะสั้นหลายประการ ซึ่งทำให้เหมาะกับนักลงทุนที่มีวินัยและความอดทนสูง:

  • ไม่สนใจความผันผวนระยะสั้น: หัวใจของ Position Trading คือการมองภาพรวมของตลาดในระยะยาว ดังนั้นความผันผวนของราคาเพียงเล็กน้อยในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์จึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ นักเทรดจะไม่ตื่นตระหนกกับข่าวสารหรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อราคาในชั่วคราว
  • การวิเคราะห์เชิงลึก: เพื่อดำเนินการตามกลยุทธ์ Position Trading ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เทรดจะต้องทำการวิจัยและศึกษาประเด็นและข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้ง การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เพื่อระบุแนวโน้มใหญ่และจุดเข้าซื้อที่เหมาะสม
  • การถือครองยาวนาน: หลังจากเข้าซื้อแล้ว แนวคิดคือ “ซื้อจนเกือบลืม” และรอจนกว่าจะถึงกำไรที่คาดไว้จึงค่อยขาย ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปี การลงทุนลักษณะนี้ต้องอาศัยความอดทนและวินัยในการไม่เข้าไปยุ่งกับการซื้อขายบ่อยครั้ง
  • ความนิยมในตลาดหุ้น: Position Trading จะเห็นได้ทั่วไปในตลาดหุ้นมากกว่าในตลาด Forex เนื่องจากตลาดหุ้นมักมีแนวโน้มระยะยาวที่ชัดเจนกว่าและปัจจัยพื้นฐานของบริษัทสามารถเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่าคู่สกุลเงิน
  • การกระจายความเสี่ยงและเงินทุน: ผู้เทรดที่ใช้กลยุทธ์นี้มักจะมีเงินทุนจำนวนมาก และลงทุนเพียงเล็กน้อยในแต่ละสินทรัพย์หรือแต่ละคำสั่งซื้อขาย เพื่อกระจายความเสี่ยง หากตลาดเคลื่อนไหวผิดทางในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อพอร์ตโดยรวมมากนัก และมีโอกาสชนะรางวัลใหญ่เมื่อตลาดอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง

4 กลยุทธ์ Position Trading ที่ดีที่สุด (และทำไมถึงสำคัญ)

ไม่มีกลยุทธ์ใดที่ “ดีที่สุด” สำหรับทุกคน แต่กลยุทธ์ Position Trading ที่เรากำลังจะแนะนำต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ได้รับการยืนยันว่าใช้เทรดทำกำไรได้จริงและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดที่ต้องการทำความเข้าใจหลักการและนำไปต่อยอด กลยุทธ์ที่ดีที่สุดของคุณคือกลยุทธ์ที่เหมาะกับรูปแบบการเทรดและจิตวิทยาของคุณมากที่สุด

1. กลยุทธ์ Position Trading โดยใช้แนวรับและแนวต้าน

กลยุทธ์นี้ใช้หลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) บทบาทสำคัญของแนวรับและแนวต้านคือการพิจารณาหาความเคลื่อนไหวของราคาแบบง่ายๆ ในกรอบราคาระหว่างเส้นแนวรับ (ซึ่งอยู่ต่ำกว่าลิมิตราคา) และเส้นแนวต้าน (ซึ่งอยู่ด้านบน) แนวรับคือระดับราคาที่เชื่อว่าแรงซื้อจะเข้ามาหยุดยั้งการลดลงของราคา ในขณะที่แนวต้านคือระดับราคาที่เชื่อว่าแรงขายจะเข้ามาหยุดยั้งการเพิ่มขึ้นของราคา

สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อใช้กลยุทธ์แนวรับแนวต้าน:

  1. การศึกษาและระบุระดับที่แม่นยำ: ท่านสามารถศึกษาราคาย้อนหลังได้โดยใช้ indicator เชิงเทคนิค เพื่อหาระดับแนวรับและแนวต้านที่แม่นยำ ตัวอย่างเช่น การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือจุดสูงสุด/ต่ำสุดในอดีต จะช่วยให้ท่านพิจารณาระดับที่ควรตัดขาดทุน (Stop Loss) และจังหวะในการทำกำไร (Take Profit) ได้อย่างมีเหตุผล และสามารถวางแผนการเทรดล่วงหน้าได้อย่างเป็นระบบ
  2. ความสำคัญของการ Breakout: การพิจารณาระดับแนวรับและแนวต้านที่ผ่านๆ มาเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากมันจะช่วยให้ท่านสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของราคาหลังมีการ Breakout หรือเบรคทะลุแนวรับแนวต้านไปได้ การทะลุแนวรับลงไปอาจเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่การทะลุแนวต้านขึ้นไปอาจเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งขึ้น
  3. การใช้ Fibonacci Retracement: เทรดเดอร์บางรายอาจใช้ Fibonacci Retracement เพื่อเข้าใจความเคลื่อนไหวของราคาในกรอบแนวรับและแนวต้านได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ระดับ Fibonacci สามารถช่วยระบุแนวรับและแนวต้านที่มีศักยภาพเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาพักตัว

ตัวอย่าง: หากหุ้นตัวหนึ่งมีการเคลื่อนไหวในกรอบ 100-120 บาทมานานหลายเดือน และนักลงทุนเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานกำลังดีขึ้น อาจพิจารณาเข้าซื้อใกล้แนวรับที่ 100 บาท หรือรอสัญญาณการ Breakout เหนือ 120 บาท เพื่อยืนยันแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว

2. กลยุทธ์ Position Trading โดยติดตามการ Breakout

กลยุทธ์ Breakout เป็นการเข้าเทรดเมื่อราคาทะลุผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญอย่างมีนัยยะสำคัญ พูดง่ายๆ ก็คือ เทรดเดอร์จะต้องรอให้ราคาเบรคทะลุผ่านเส้นแนวรับและแนวต้านไปให้ได้เสียก่อน โดยเมื่อท่านเห็นราคาทะลุผ่านระดับใดระดับหนึ่งไปได้ นั่นคือจังหวะที่เหมาะสมในการเปิดออเดอร์ Long (หากราคาพุ่งทะลุเส้นแนวต้านขึ้นไป) และออเดอร์ Short (หากราคาร่วงทะลุเส้นแนวรับลงมา)

หลักการสำคัญของกลยุทธ์ Breakout:

  • การระบุแนวรับแนวต้านที่ถูกต้อง: การจะใช้กลยุทธ์ Breakout นั้น เทรดเดอร์จะต้องเข้าใจหลักการของแนวรับแนวต้าน และสามารถระบุแนวรับแนวต้านที่ถูกต้องและมีความแข็งแกร่งได้ เพราะการ Breakout ที่แท้จริงมักเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านระดับเหล่านี้
  • ปริมาณการซื้อขาย (Volume): การ Breakout ที่มีคุณภาพมักจะมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นสัญญาณยืนยันถึงความแข็งแกร่งของแรงซื้อหรือแรงขายที่ผลักดันราคาให้ทะลุผ่านระดับสำคัญ
  • การยืนยัน (Confirmation): บางครั้งราคาอาจมีการ “Fake Breakout” หรือทะลุผ่านแนวรับแนวต้านเพียงชั่วคราวแล้วกลับเข้ามาในกรอบเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้ เทรดเดอร์อาจรอยืนยันด้วยการปิดของแท่งเทียนนอกแนวรับ/แนวต้าน หรือรอดูการทดสอบแนวรับ/แนวต้านที่เพิ่งทะลุไป (Retest)

ตัวอย่าง: หากหุ้นตัวหนึ่งติดอยู่ในกรอบแนวต้านที่ 150 บาทมาหลายเดือน และวันหนึ่งราคาพุ่งทะลุ 150 บาทขึ้นไปพร้อม Volume ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล นี่คือสัญญาณ Breakout ที่ Position Trader อาจเข้าซื้อเพื่อหวังทำกำไรจากแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว

3. กลยุทธ์ Position Trading โดยอาศัยการวิ่งสวนเทรนด์ (Pullback)

กลยุทธ์ Pullback เป็นการเข้าเทรดเมื่อราคาเกิดการพักตัวหรือย่อตัวลงมาในระหว่างที่อยู่ในแนวโน้มหลัก เมื่อราคาพุ่งขึ้นไปได้สักระยะหนึ่ง อาจมีจังหวะที่ราคาเกิดการกลับตัวลงมาได้เช่นกัน (Pullback) โดยเมื่อเทรดเดอร์สังเกตเห็นการกลับตัว (ในระยะสั้น) ก็อาจนับว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเปิดออเดอร์ โดยหลักการสำคัญคือการเปิดออเดอร์ Sell ที่ราคา High (เมื่อราคา Pullback ในเทรนด์ขาลง) และ Buy ที่ราคา Low (เมื่อราคา Pullback ในเทรนด์ขาขึ้น)

ข้อควรระวังและการประยุกต์ใช้ Pullback:

  • การยืนยันแนวโน้ม: สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าการ Pullback นั้นเป็นเพียงการพักตัวชั่วคราว ไม่ใช่การกลับตัวของแนวโน้มหลัก การใช้ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือ MACD สามารถช่วยยืนยันแนวโน้มได้
  • การป้องกันความเสี่ยง: อย่างไรก็ตาม อย่าลืมป้องกันความเสี่ยงด้วยการวาง Stop Loss เพราะอย่าลืมว่าราคาไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง แต่เคลื่อนที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นรูปคลื่นอยู่เสมอ ดังนั้น ราคาก็อาจเกิดการกลับตัวขึ้นลงและเทรนด์ก็เปลี่ยนได้ทุกเมื่อเช่นกัน
  • การใช้ Fibonacci: เราขอแนะนำให้ลองใช้ เส้น Fibonacci Retracement ก็จะช่วยคาดการณ์ระดับราคาที่อาจเกิดการ Pullback ได้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น ระดับ Fibonacci ที่นิยมใช้คือ 38.2%, 50% และ 61.8%

ตัวอย่าง: หากคู่สกุลเงิน EUR/USD อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง และราคาเกิดการย่อตัวลงมาเล็กน้อยถึงระดับ Fibonacci 50% Position Trader อาจเข้าซื้อที่จุดนี้ โดยตั้ง Stop Loss ใต้ระดับ Fibonacci ถัดไป และ Take Profit ที่จุดสูงสุดเดิมหรือสูงกว่า

4. กลยุทธ์ Position Trading โดยอาศัยกรอบราคา (Range Trading)

บางครั้งแนวโน้มที่ชัดเจนอาจไม่จำเป็นเท่าไหร่นัก หากเทรดเดอร์รู้จักใช้เครื่องมือทางเทคนิคและทักษะในการระบุระดับราคาด้วยตนเอง (โดยอาศัยระดับ High และ Low) กลยุทธ์นี้เป็นการเทรดในตลาดที่ราคาเคลื่อนที่อยู่ในกรอบแคบๆ ระหว่างแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจน โดยไม่มีแนวโน้มที่แข็งแกร่งเกิดขึ้น

หลักการและข้อพิจารณาของ Range Trading:

  • ระบุกรอบราคา: ท่านจะต้องพิจารณากรอบราคาของสินทรัพย์ต่างๆ รวมถึงปริมาณการซื้อขาย (Volume) ของสินทรัพย์นั้นๆ โดยอาศัยการระบุจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ที่ราคาเคยไปถึงซ้ำๆ
  • สัญญาณ Overbought/Oversold: เมื่อท่านเห็นว่าจังหวะนั้นมีการขายมากเกินไป (Oversold) โดยดูจาก Indicator เช่น Stochastic Oscillator หรือ RSI นั่นคือสัญญาณในการเปิดออเดอร์ Buy และหากมีการซื้อมากเกินไป (Overbought) ก็เตรียม Sell ได้เลยครับ
  • ความผันผวน: กลยุทธ์นี้จะทำกำไรได้ดีในตลาดที่มีความผันผวนต่ำถึงปานกลางและไม่มีข่าวสำคัญที่อาจส่งผลให้เกิดการ Breakout
  • การบริหารความเสี่ยง: การวาง Stop Loss นอกกรอบราคาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันความเสียหายหากราคาเกิดการ Breakout ออกจากกรอบโดยไม่คาดคิด

ตัวอย่าง: หากสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำเคลื่อนไหวในกรอบ 1800-1850 ดอลลาร์ต่อออนซ์มาเป็นเวลานาน Position Trader อาจเข้าซื้อเมื่อราคาย่อลงมาใกล้ 1800 ดอลลาร์ (บริเวณ Oversold) และขายเมื่อราคาขึ้นไปใกล้ 1850 ดอลลาร์ (บริเวณ Overbought) โดยใช้กรอบเวลารายวันหรือรายสัปดาห์ในการตัดสินใจ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Position Trading

Q1: Position Trading เหมาะกับนักลงทุนประเภทไหน?

A1: Position Trading เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความอดทนสูง มีวินัยในการรอคอย ไม่ชอบการเฝ้าหน้าจอเทรดบ่อยๆ และมีความเข้าใจในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคในระยะยาวเป็นอย่างดี รวมถึงมีเงินทุนที่สามารถรับความเสี่ยงจากการถือครองสถานะระยะยาวได้ กลยุทธ์นี้ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการทำกำไรอย่างรวดเร็วหรือผู้ที่จิตใจไม่มั่นคงกับความผันผวนของตลาด

Q2: Position Trading แตกต่างจาก Swing Trading อย่างไร?

A2: Position Trading และ Swing Trading เป็นกลยุทธ์การเทรดระยะกลางถึงยาว แต่มีช่วงเวลาการถือครองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน Position Trading มุ่งเน้นการจับแนวโน้มหลักของตลาดโดยถือสถานะนานหลายสัปดาห์ เดือน หรือปี ในขณะที่ Swing Trading จะเน้นการจับ “คลื่น” ของราคาในแนวโน้มรอง โดยถือสถานะเพียงไม่กี่วันถึงสองสามสัปดาห์ เน้นการทำกำไรจากการสวิงของราคาในระยะสั้น-กลาง

Q3: ควรใช้ Indicator ตัวไหนบ้างในการทำ Position Trading?

A3: สำหรับ Position Trading ควรเน้น Indicator ที่ช่วยยืนยันแนวโน้มระยะยาวและจุดกลับตัวที่สำคัญ เช่น:

  • Moving Averages (MA): โดยเฉพาะ Exponential Moving Average (EMA) หรือ Simple Moving Average (SMA) ในช่วงเวลายาวๆ (เช่น MA 50, MA 100, MA 200) เพื่อระบุแนวโน้มหลักและแนวรับแนวต้านแบบพลวัต (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Moving Average)
  • Relative Strength Index (RSI) และ Stochastic Oscillator: ใช้เพื่อระบุภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) ในกรอบเวลารายสัปดาห์หรือรายเดือน ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการพักตัวหรือการกลับตัวของแนวโน้มในระยะยาว (เทคนิคทำกำไรด้วย Stochastic)
  • MACD (Moving Average Convergence Divergence): ใช้เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มและสัญญาณการกลับตัว (MACD คืออะไร)
  • Fibonacci Retracement: ใช้เพื่อระบุระดับแนวรับแนวต้านที่เป็นไปได้ในการพักตัวของราคา

Q4: ความเสี่ยงหลักของ Position Trading คืออะไร และจะบริหารจัดการอย่างไร?

A4: ความเสี่ยงหลักคือการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มตลาดในระยะยาวโดยไม่คาดคิด ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง (เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ, การเปลี่ยนแปลงนโยบาย) หรือเหตุการณ์ Black Swan การบริหารความเสี่ยงทำได้โดย:

  • การกระจายความเสี่ยง (Diversification): ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไป
  • การกำหนด Stop Loss: แม้จะเป็นการเทรดระยะยาว แต่การตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสม (อาจจะกว้างกว่าการเทรดระยะสั้น) ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจำกัดความเสียหายหากแนวโน้มเปลี่ยน
  • การติดตามข่าวสารและปัจจัยพื้นฐาน: แม้จะไม่สนใจความผันผวนระยะสั้น แต่ Position Trader ยังคงต้องติดตามข่าวสารเศรษฐกิจมหภาคและปัจจัยพื้นฐานที่มีผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่ถือครองอย่างใกล้ชิด
  • การบริหารขนาดการลงทุน (Position Sizing): ลงทุนในแต่ละสถานะด้วยขนาดที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ (กลยุทธ์บริหารความเสี่ยง)

Q5: Position Trading ทำกำไรได้จริงหรือ?

A5: Position Trading สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงมากได้ หากนักลงทุนสามารถระบุแนวโน้มหลักที่ถูกต้องและถือครองสถานะไว้ตลอดช่วงที่ราคาวิ่งตามแนวโน้มนั้นๆ โดยไม่ถูกความผันผวนระยะสั้นรบกวน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการลงทุนในหุ้นเติบโตสูงที่ถือครองเป็นระยะเวลานานหลายปี ซึ่งสามารถให้ผลตอบแทนเป็นหลายร้อยหรือหลายพันเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม การทำกำไรได้จริงนั้นขึ้นอยู่กับความรู้, ประสบการณ์, วินัย และการบริหารความเสี่ยงของแต่ละบุคคล

บทสรุป

Position Trading เป็นกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวที่ทรงพลัง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองเห็นภาพรวมของตลาดและต้องการทำกำไรจากแนวโน้มใหญ่ การทำความเข้าใจแก่นแท้ของกลยุทธ์นี้, ลักษณะสำคัญ และการนำ 4 กลยุทธ์หลักไปประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ แนวรับและแนวต้าน, การติดตาม Breakout, การอาศัยการ Pullback, หรือการเทรดในกรอบราคา จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในตลาดการเงิน

เราขอย้ำอีกครั้งว่ากลยุทธ์ Position Trading ที่ดีที่สุดคือกลยุทธ์ที่เหมาะกับรูปแบบการเทรดของท่านมากที่สุด โดยอาศัยการใช้งานเครื่องมือ, Indicator และกราฟราคาในการพิจารณาและทำความเข้าใจความเคลื่อนไหวของตลาดและทิศทางราคา ซึ่งถึงแม้ว่ากลยุทธ์บางรูปแบบที่เราได้นำเสนอมานั้นอาจมีความซับซ้อนอยู่บ้าง แต่เชื่อเถอะครับว่าถ้าหากท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคมากเพียงพอ ท่านก็พร้อมที่จะเผชิญกับทุกอุปสรรคในการเทรดได้อย่างแน่นอน และหากท่านสนใจระบบเทรดอัตโนมัติหรือปรึกษาเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ตามช่องทางด้านล่างนี้

…………………………………………………………………………………………………

แจกฟรีระบบเทรด

สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการใช้ EA indicator และเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี
มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย
.
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงค์ด้านล่าง ก็สามารถรับ EA ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆอื่นๆได้อีกในอนาคต
XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
.
Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
.
exness – โบรคเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด
.
**”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อ
.
ขอรับ EA ได้ฟรี!”**
.
ช่องทางการพูดคุย
.
Line Id :: @ft.th
.
.
กลุ่มพูดคุย :: เทรดฟอเร็กซ์ให้ได้กําไรอย่างยั่งยืน
.
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line