TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

Market Maker คือ อะไร ?

มิถุนายน 13, 2022

Market Maker คืออะไร? เจาะลึกบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพคล่องตลาดการเงิน

Market Maker

ในโลกของการลงทุนและ ตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดฟอเร็กซ์ หรือตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ตลาดเหล่านี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยุติธรรมคือ “สภาพคล่อง” (Liquidity) และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างสภาพคล่องนี้คือ “Market Maker” (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่น ราคาเคลื่อนไหวในกรอบที่สมเหตุสมผล และลดโอกาสในการเกิดการปั่นตลาด การทำความเข้าใจหน้าที่และประโยชน์ของ Market Maker จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของกลไกตลาดได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

Market Maker คืออะไร? ทำความเข้าใจผู้สร้างสภาพคล่องตลาด

Market Maker หรือผู้ดูแลสภาพคล่อง คือ สถาบันการเงิน ธนาคารขนาดใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ หรือแม้แต่บุคคลที่มีเงินทุนสูง ซึ่งเข้ามาทำหน้าที่สำคัญในการส่งคำสั่งซื้อ (Bid) และคำสั่งขาย (Ask) สินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ อย่างต่อเนื่องในตลาด เพื่อสร้างและรักษาปริมาณการซื้อขาย (Volume) ให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้เข้าร่วมตลาดรายอื่น ๆ

ลองจินตนาการถึงตลาดที่ไม่มีผู้เสนอซื้อและผู้เสนอขายตลอดเวลา เมื่อคุณต้องการซื้อหุ้น แต่ไม่มีใครอยากขายในราคานั้นทันที หรือคุณต้องการขาย แต่ไม่มีใครอยากซื้อ ตลาดก็จะหยุดนิ่ง การที่ Market Maker เข้ามาเสนอราคา Bid (ราคารับซื้อ) และ Ask (ราคาเสนอขาย) ตลอดเวลา ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีคู่ค้าพร้อมเสมอสำหรับการทำธุรกรรม ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายก็ตาม

เป้าหมายหลักของ Market Maker คือการทำกำไรจากส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask (หรือที่เรียกว่า Bid-Ask Spread) โดยพวกเขายอมรับความเสี่ยงในการถือครองสินทรัพย์ชั่วคราว เพื่อแลกกับการอำนวยความสะดวกในการซื้อขายให้กับตลาดโดยรวม

ประโยชน์ของ Market Maker: เหตุผลที่ตลาดต้องการผู้ดูแลสภาพคล่อง

บทบาทของ Market Maker ส่งผลดีต่อ ตลาดการลงทุน และนักลงทุนโดยรวมหลายประการ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:

1. สร้างและรักษาสภาพคล่อง (Enhanced Liquidity)

  • ซื้อขายได้ตลอดเวลา: Market Maker ทำให้มั่นใจว่าจะมีราคาซื้อและราคาขายสำหรับสินทรัพย์ต่างๆ อยู่เสมอ ทำให้ นักลงทุน สามารถเข้าและออกจากสถานะการลงทุนได้ทุกเมื่อที่ต้องการ โดยไม่ต้องรอนาน
  • ลดความผันผวน: การมีสภาพคล่องสูงช่วยลดความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขายปริมาณมากในคราวเดียว เพราะมีผู้รองรับคำสั่งซื้อขายได้ทันที
  • ต้นทุนการทำธุรกรรมต่ำลง: เมื่อตลาดมีสภาพคล่องสูงและมี Bid-Ask Spread ที่แคบลง นักลงทุนจะสามารถซื้อขายได้ในราคาที่ดีกว่า เนื่องจากไม่ต้องรอราคาที่เหมาะสมนาน และไม่ต้องยอมรับราคาที่แตกต่างจากราคาตลาดมากเกินไป
  • กระตุ้นการซื้อขาย: การเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นจากการทำงานของ Market Maker ดึงดูดให้ผู้เข้าร่วมตลาดรายอื่น ๆ เข้ามาทำการซื้อขายมากขึ้น ทำให้ตลาดมีชีวิตชีวาและน่าสนใจ

2. สร้างความสมเหตุสมผลและยุติธรรมให้กับราคา (Price Rationality and Fairness)

  • ป้องกันการปั่นตลาด: Market Maker ช่วยให้ ราคา เคลื่อนไหวในกรอบที่สมเหตุสมผล โดยการเข้าซื้อเมื่อราคาต่ำเกินไปและขายเมื่อราคาสูงเกินไป ทำให้กลไกตลาดทำงานได้ดีขึ้น และยากต่อการที่กลุ่มคนใดคนหนึ่งจะเข้ามา “ปั่นหุ้น” หรือปั่นราคาให้ผิดเพี้ยนไปจากมูลค่าที่แท้จริงอย่างจงใจ
  • สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง: ด้วยการซื้อขายอย่างต่อเนื่องตามอุปสงค์และอุปทาน Market Maker ช่วยให้ราคาที่แสดงในตลาดสะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ การวิเคราะห์ทางเทคนิค และพื้นฐาน

Market Maker มีหน้าที่อะไรบ้าง? บทบาทหลักในระบบนิเวศการซื้อขาย

เพื่อทำความเข้าใจบทบาทของ Market Maker ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เรามาดูหน้าที่หลักของพวกเขาอย่างละเอียด:

1. ช่วยเสริมสภาพคล่องของตลาด (Facilitating Market Liquidity)

หน้าที่สำคัญที่สุดของ Market Maker คือการเป็น “ผู้จัดหาสภาพคล่อง” โดยตรง พวกเขาทำสิ่งนี้โดยการพร้อมที่จะซื้อ (Bid) และขาย (Ask) สินทรัพย์จำนวนมากในเวลาเดียวกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าตลาดจะมีผู้ซื้อหรือผู้ขายเพียงพอหรือไม่

  • การเสนอราคา Bid/Ask อย่างต่อเนื่อง: Market Maker จะแสดงราคาที่พวกเขายินดีซื้อ (Bid price) และราคาที่พวกเขายินดีขาย (Ask price) เสมอ ทำให้ผู้เข้าร่วมตลาดรายอื่น ๆ สามารถดำเนินการซื้อหรือขายได้ทันทีที่ต้องการ โดยไม่ต้องเสียเวลารอคู่ค้า
  • เติมเต็มช่องว่างของอุปสงค์และอุปทาน: ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความเงียบสงบหรือมีคำสั่งซื้อขายไม่มากพอ Market Maker จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อเมื่อไม่มีผู้ซื้อรายอื่น หรือเป็นผู้ขายเมื่อไม่มีผู้ขายรายอื่น สิ่งนี้ทำให้เกิด “Volume” (ปริมาณการซื้อขาย) ขึ้นมา ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ตลาดกลับมามีการเคลื่อนไหวและดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั่วไป
  • ความแตกต่างจาก “การปั่นหุ้น”: แม้ว่าการกระทำของ Market Maker อาจดูคล้ายกับการปั่นหุ้นในแง่ของการทำให้เกิดการเคลื่อนไหว แต่หัวใจสำคัญที่แตกต่างคือ “เจตนา” Market Maker มีเจตนาเพื่อรักษาประสิทธิภาพและสภาพคล่องของตลาด ไม่ใช่เพื่อบิดเบือนราคาเพื่อประโยชน์ของตนเองแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งการกระทำของ Market Maker มักอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

2. ทำให้เกิดราคา Bid และ Offer ที่ชัดเจน (Maintaining Transparent Bid-Ask Spreads)

การมีอยู่ของ Market Maker ทำให้ราคา Bid และ Offer (หรือ Bid-Ask Spread) ของสินทรัพย์นั้นๆ มีความชัดเจนและคงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อ นักลงทุนรายย่อย

  • ความโปร่งใสของราคา: Market Maker จะแสดงราคา Bid และ Ask ที่พวกเขายินดีซื้อและขาย ทำให้ นักเทรด รายย่อยสามารถเห็นมูลค่าของการซื้อขายได้อย่างชัดเจน ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง และสามารถตัดสินใจเข้าซื้อหรือขายได้ทันที
  • ป้องกันตลาดนิ่ง: หากไม่มี Market Maker เข้ามาเสนอราคา ตลาดอาจเข้าสู่ภาวะ “นิ่ง” หรือ “ไม่มีสภาพคล่อง” ซึ่งหมายความว่าไม่มีใครเสนอราคาซื้อหรือขายเลย ทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อหรือขายไม่สามารถทำธุรกรรมได้ หรือต้องยอมรับราคาที่แย่มากเพื่อที่จะทำการซื้อขายได้
  • รักษาการแกว่งตัวของราคา: การมี Bid และ Offer ที่ต่อเนื่อง ทำให้ราคาของ คู่เงิน หรือหุ้นมีการแกว่งตัวในกรอบที่เหมาะสม ไม่ใช่การหยุดนิ่ง ทำให้เกิดโอกาสในการทำกำไรสำหรับ นักลงทุน ที่ใช้กลยุทธ์ต่างๆ

คุณสมบัติสำคัญและเส้นทางสู่การเป็น Market Maker

การเป็น Market Maker ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ลองมาดูว่าคุณสมบัติสำคัญเหล่านี้มีอะไรบ้าง:

1. เงินทุนจำนวนมหาศาล (Substantial Capital)

สิ่งสำคัญที่สุดในการเป็น Market Maker คือการมีเงินทุนสำรองจำนวนมหาศาล เหตุผลก็คือ:

  • รองรับการซื้อขายปริมาณมาก: Market Maker ต้องพร้อมที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์จำนวนมากได้ตลอดเวลา ซึ่งหมายถึงต้องมีเงินสดหรือสินทรัพย์ที่พร้อมเปลี่ยนเป็นเงินสดในปริมาณที่สูงมาก เพื่อรองรับคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่จากลูกค้าหรือสถาบัน
  • ควบคุมความเสี่ยง: การถือครองสินทรัพย์เพื่อสร้างสภาพคล่องย่อมมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา Market Maker ต้องมีเงินทุนมากพอที่จะดูดซับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่คาดคิด
  • รักษาเสถียรภาพราคา: เงินทุนที่มากทำให้ Market Maker สามารถเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อทำให้ราคากลับสู่กรอบที่สมเหตุสมผลได้ เช่น การเข้าซื้อเมื่อราคาตกฮวบลงอย่างรวดเร็ว หรือการเข้าขายเมื่อราคาพุ่งสูงเกินจริง ซึ่งเป็นการช่วยพยุงและรักษาเสถียรภาพของตลาดโดยรวม

2. เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง (Advanced Technology and Infrastructure)

Market Maker ต้องลงทุนอย่างมากในเทคโนโลยีและระบบที่ทันสมัย เพื่อให้สามารถดำเนินการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ:

  • ระบบการจับคู่คำสั่งซื้อขายความเร็วสูง: เพื่อประมวลผลคำสั่งซื้อขายจำนวนมหาศาลในเวลาอันสั้น
  • การเชื่อมต่อโดยตรงกับตลาด: เพื่อลดความล่าช้าในการส่งคำสั่ง (latency) และเข้าถึงข้อมูลราคาแบบเรียลไทม์
  • อัลกอริทึมการเทรดอัตโนมัติ (Algorithmic Trading): เพื่อวิเคราะห์ตลาดและส่งคำสั่งซื้อขายตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำและรวดเร็ว

3. ความรู้และประสบการณ์เชิงลึก (In-depth Knowledge and Experience)

ทีมงานของ Market Maker ต้องประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตลาดการเงิน กลยุทธ์การเทรด และการบริหารความเสี่ยง:

  • การวิเคราะห์ตลาด: ความสามารถในการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อราคา เช่น ข่าวสารเศรษฐกิจ เหตุการณ์ทางการเมือง และแนวโน้มตลาด
  • การบริหารความเสี่ยง: กลยุทธ์ที่ซับซ้อนในการจัดการความเสี่ยงจากการถือครองสินทรัพย์และจากความผันผวนของตลาด
  • ความเชี่ยวชาญด้านกฎระเบียบ: การปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับของหน่วยงานกำกับดูแลอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและหลีกเลี่ยงข้อพิพาท

4. ใบอนุญาตและการกำกับดูแล (Licensing and Regulation)

การเป็น Market Maker เป็นธุรกิจที่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด พวกเขาต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินที่เกี่ยวข้อง และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ เพื่อป้องกันการเอาเปรียบลูกค้าและรักษาความยุติธรรมของตลาด

Market Maker กับโบรกเกอร์: ความแตกต่างที่สำคัญ

เป็นที่เข้าใจผิดกันบ่อยว่า โบรกเกอร์ Forex ทุกรายคือ Market Maker แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ทั้งหมด แม้ว่าโบรกเกอร์บางประเภทจะเป็น Market Maker แต่ก็มีโบรกเกอร์ประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่นี้โดยตรง

โบรกเกอร์ที่เป็น Market Maker (Dealing Desk Broker):
โบรกเกอร์ประเภทนี้จะทำหน้าที่เป็นคู่ค้าโดยตรงกับลูกค้า นั่นคือ พวกเขาจะ “สร้างตลาด” ให้กับลูกค้าเอง เมื่อลูกค้าต้องการซื้อ โบรกเกอร์ก็จะขายให้ และเมื่อลูกค้าต้องการขาย โบรกเกอร์ก็จะซื้อจากลูกค้า การทำเช่นนี้ทำให้โบรกเกอร์สามารถควบคุมราคา Bid/Ask และ Spread ได้เอง และมีความเป็นไปได้ที่จะมีผลประโยชน์ขัดแย้งกับลูกค้า (Conflict of Interest) แต่ก็มักจะเสนอ Fixed Spread และการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็ว

โบรกเกอร์ที่ไม่เป็น Market Maker (Non-Dealing Desk Broker):
โบรกเกอร์ประเภทนี้จะส่งคำสั่งซื้อขายของลูกค้าไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Providers) หลายราย เช่น ธนาคารขนาดใหญ่ หรือสถาบันการเงินอื่น ๆ ที่ทำหน้าที่เป็น Market Maker จริงๆ โบรกเกอร์เหล่านี้ไม่ได้เป็นคู่ค้ากับลูกค้าโดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อลูกค้าเข้ากับตลาดจริง โดยปกติแล้วจะมี Variable Spread และคิดค่าคอมมิชชั่นแทน ซึ่งแบ่งย่อยได้อีกเป็น STP (Straight Through Processing) และ ECN (Electronic Communication Network) Brokers

ดังนั้น Market Maker จึงเป็นบทบาทที่กว้างกว่า และมีโบรกเกอร์บางประเภทที่รับบทบาทเป็น Market Maker ในขณะที่บางประเภทเป็นเพียงผู้เชื่อมต่อลูกค้ากับ Market Maker ตัวจริง

คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับ Market Maker

Market Maker แตกต่างจากการปั่นหุ้นอย่างไร?

ความแตกต่างหลักอยู่ที่ “เจตนา” และ “วัตถุประสงค์” ครับ Market Maker มีเจตนาที่จะสร้างสภาพคล่องและรักษาเสถียรภาพของตลาด เพื่อให้การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานทางการเงิน พวกเขาทำกำไรจากส่วนต่าง Bid-Ask Spread ส่วนการปั่นหุ้น (Market Manipulation) คือการกระทำที่มีเจตนาบิดเบือนราคาหรือปริมาณการซื้อขายอย่างไม่เป็นธรรม เพื่อสร้างผลกำไรให้แก่ตนเองโดยไม่สนใจผลกระทบต่อตลาดหรือนักลงทุนรายอื่น ซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมายและผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงครับ

นักลงทุนรายย่อยสามารถเป็น Market Maker ได้หรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนรายย่อย หรือ เทรดเดอร์ทั่วไป ไม่สามารถเป็น Market Maker ได้โดยตรงในความหมายที่แท้จริงครับ เนื่องจากต้องใช้เงินทุนมหาศาล, เทคโนโลยีขั้นสูง, การเชื่อมต่อโดยตรงกับตลาด, และใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแล อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรายย่อยสามารถใช้ประโยชน์จากสภาพคล่องที่ Market Maker สร้างขึ้นมาในการซื้อขายได้อย่างอิสระ

ถ้าไม่มี Market Maker จะเกิดอะไรขึ้นกับตลาด?

หากไม่มี Market Maker ตลาดการเงินจะประสบปัญหา “ขาดสภาพคล่อง” อย่างรุนแรงครับ การซื้อขายจะเป็นไปได้ยากและช้ามาก เพราะจะไม่มีใครพร้อมที่จะซื้อหรือขายในทันทีที่คุณต้องการ อาจทำให้เกิดช่องว่างราคา (Gaps) ขนาดใหญ่ ราคาผันผวนอย่างรุนแรง และ Bid-Ask Spread ที่กว้างมาก ทำให้ต้นทุนการซื้อขายสูงขึ้นมากและยากต่อการทำกำไร นอกจากนี้ ตลาดอาจหยุดนิ่งและไม่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมครับ

โบรกเกอร์ Forex ทุกรายเป็น Market Maker หรือไม่?

ไม่ใช่ทุกรายครับ โบรกเกอร์ Forex แบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆ คือ:

  1. Market Maker (Dealing Desk Broker): โบรกเกอร์ประเภทนี้จะรับคำสั่งซื้อขายของลูกค้าไว้เอง และทำหน้าที่เป็นคู่ค้าโดยตรงกับลูกค้า
  2. Non-Dealing Desk Broker: โบรกเกอร์ประเภทนี้จะส่งคำสั่งซื้อขายของลูกค้าไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องภายนอก (ซึ่งอาจเป็น Market Maker ตัวจริง) โดยที่โบรกเกอร์ไม่ได้เป็นคู่ค้าโดยตรงกับลูกค้า ประเภทนี้ยังแบ่งย่อยเป็น STP และ ECN ครับ

คุณควรศึกษาประเภทของโบรกเกอร์ที่คุณใช้บริการเพื่อให้เข้าใจถึงกลไกการดำเนินการคำสั่งซื้อขายของโบรกเกอร์นั้นๆ

Bid-Ask Spread เกี่ยวข้องกับ Market Maker อย่างไร?

Bid-Ask Spread คือส่วนต่างระหว่างราคา Bid (ราคาสูงสุดที่ Market Maker ยินดีซื้อ) และราคา Ask (ราคาต่ำสุดที่ Market Maker ยินดีขาย) ครับ Market Maker เป็นผู้กำหนดและรักษา Spread นี้ไว้ในตลาด และนี่คือแหล่งรายได้หลักของพวกเขา ยิ่งตลาดมีสภาพคล่องสูงและมีการแข่งขันจาก Market Maker หลายราย Spread ก็จะยิ่งแคบลง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ นักเทรด รายย่อยเพราะหมายถึงต้นทุนการทำธุรกรรมที่ต่ำลง

สรุป: ความสำคัญของ Market Maker ในตลาดการเงินยุคใหม่

Market Maker คือกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดการเงินให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างสภาพคล่อง ความยุติธรรม และความโปร่งใส พวกเขาเป็นผู้ที่ทำให้การซื้อขายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างสมเหตุสมผล และช่วยลดความเสี่ยงที่ตลาดจะหยุดนิ่งหรือถูกบิดเบือน แม้ว่าบทบาทนี้จะสงวนไว้สำหรับสถาบันการเงินขนาดใหญ่เป็นหลัก แต่ประโยชน์จากการมีอยู่ของ Market Maker นั้นส่งผลโดยตรงต่อ นักลงทุน ทุกระดับ ทำให้เราสามารถเข้าถึงตลาดและทำการซื้อขายได้อย่างมั่นใจ

การเข้าใจกลไกเบื้องหลังนี้ จะช่วยให้คุณเห็นคุณค่าของการมีสภาพคล่องและกลไกราคาที่เป็นธรรมในตลาดการเงิน และสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น

ฟรี! ระบบเทรดอัตโนมัติ และเข้ากลุ่ม Line VIP
สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการใช้ EA indicator ระบบเทรดอัตโนมัติ และเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี
มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงค์ด้านล่าง ก็สามารถรับ EA ระบบเทรดอัตโนมัติ ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆอื่นๆได้อีกในอนาคต
XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
exness – โบรคเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด
**”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อ
ขอรับ EA ได้ฟรี!”**
.
ช่องทางการพูดคุย
.
Line Id :: @ft.th
.
.
กลุ่มพูดคุย :: เทรดฟอเร็กซ์ให้ได้กําไรอย่างยั่งยืน
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like