TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

เทคนิคหาจังหวะเข้าจังหวะออกในระบบเทรด forex

กันยายน 30, 2022

ถอดรหัสจุดเข้า-ออกแม่นยำ: กลยุทธ์เทรด Forex ด้วย Oscillators CCI และ MACD

การซื้อขายค่าเงิน หรือการเทรดคู่เงินในตลาด Forex นั้น ไม่ใช่เพียงแค่การคาดเดาทิศทางราคา แต่เป็นการทำความเข้าใจจังหวะตลาดเพื่อเข้าและออกคำสั่งซื้อขาย (ออเดอร์) อย่างมีกลยุทธ์ การกำหนดจุดเข้าและออกออเดอร์ที่ดีที่สุดเปรียบเสมือนการมีชัยไปกว่าครึ่งในการลงทุน หากปราศจากความเข้าใจในหลักการนี้ นักเทรดอาจเผชิญกับการขาดทุนซ้ำซ้อน และต้องใช้เวลาอันมีค่าในการแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งท้ายที่สุดอาจนำไปสู่การยอมรับการขาดทุนในที่สุด

กราฟ Forex แสดงการใช้งานอินดิเคเตอร์ CCI และ MACD เพื่อหาจุดเข้าออก

ดังนั้น การเรียนรู้และประยุกต์ใช้เทคนิคเชิงเทคนิคเพื่อระบุจังหวะเข้าและออกออเดอร์จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรและรักษาเงินทุนให้อยู่ในตลาดได้นาน การเริ่มต้นที่ดีด้วยการวิเคราะห์ที่แม่นยำจะสร้างความได้เปรียบที่เหนือกว่า และเป็นรากฐานสู่ความสำเร็จในระยะยาวในโลกของการเทรด Forex

Oscillators CCI และ MACD: สองเครื่องมือทรงพลังสำหรับการหาจังหวะเข้าออกออเดอร์

ในบรรดาเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคมากมาย Oscillators CCI (Commodity Channel Index) และ MACD (Moving Average Convergence Divergence) ได้รับการยอมรับว่าเป็นสองเครื่องมือที่ให้สัญญาณค่อนข้างแข็งแกร่งสำหรับการระบุจุดเข้าและออกออเดอร์ในตลาด Forex การใช้สองอินดิเคเตอร์นี้ร่วมกันในหน้าต่างเดียวกัน (ทับซ้อนกัน) จะช่วยให้นักเทรดสามารถกรองสัญญาณและเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจได้มากยิ่งขึ้น

หลักการทำงานของ CCI และ MACD

ก่อนจะลงลึกถึงวิธีการใช้งาน เรามาทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของแต่ละอินดิเคเตอร์กันก่อน:

  • Commodity Channel Index (CCI): CCI เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มราคา โดยเปรียบเทียบราคาปัจจุบันกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในอดีต ยิ่งราคาแตกต่างจากค่าเฉลี่ยมากเท่าไหร่ ค่า CCI ก็จะยิ่งสูงหรือต่ำมากเท่านั้น
    • CCI ใช้บอกอะไร: CCI ช่วยระบุภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) เมื่อค่า CCI เคลื่อนที่เหนือ +100 แสดงถึงภาวะ Overbought ที่ราคามีโอกาสปรับตัวลง และเมื่อค่า CCI เคลื่อนที่ต่ำกว่า -100 แสดงถึงภาภาวะ Oversold ที่ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้น
    • ทำไมต้องใช้ CCI: การใช้ CCI ช่วยให้นักเทรดสามารถจับจังหวะการกลับตัวของราคา หรือยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มปัจจุบันได้
  • Moving Average Convergence Divergence (MACD): MACD เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Momentum ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น (EMA – Exponential Moving Average) และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของสัญญาณ (Signal Line) เพื่อระบุทิศทางและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม รวมถึงสัญญาณการกลับตัว
    • MACD ใช้บอกอะไร: MACD ประกอบด้วยเส้น MACD (ผลต่างระหว่าง EMA 12 และ EMA 26) และเส้น Signal Line (EMA 9 ของเส้น MACD) รวมถึง Histogram ที่แสดงระยะห่างระหว่างสองเส้นนี้
      • เมื่อเส้น MACD ตัดเหนือ Signal Line และ Histogram เป็นบวก มักให้สัญญาณซื้อ (Bullish Crossover)
      • เมื่อเส้น MACD ตัดใต้ Signal Line และ Histogram เป็นลบ มักให้สัญญาณขาย (Bearish Crossover)
      • MACD ยังใช้ระบุภาวะ Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มที่สำคัญ
    • ทำไมต้องใช้ MACD: MACD เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการยืนยันแนวโน้ม ระบุสัญญาณการกลับตัว และวัดแรงส่งของราคา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเทรดระยะสั้นและระยะกลาง

ไทม์เฟรมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกลยุทธ์นี้

กลยุทธ์การเทรดด้วย Oscillators CCI และ MACD นี้ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในไทม์เฟรมระยะสั้นถึงกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลยุทธ์ Scalping และ Day Trading ไทม์เฟรมที่แนะนำคือ M1 (1 นาที) ถึง H1 (1 ชั่วโมง) อย่างไรก็ตาม ไทม์เฟรมที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำและให้ประสิทธิภาพสูงสุดคือ M5 (5 นาที) ไทม์เฟรม M5 ช่วยให้สามารถจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาได้ละเอียดพอสมควร โดยไม่เกิดสัญญาณรบกวนมากเกินไปเหมือนในไทม์เฟรม M1

การตั้งค่าตัวชี้วัดที่แนะนำ

เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานกลยุทธ์นี้ ควรตั้งค่าตัวชี้วัด MACD และ CCI ดังนี้:

  • MACD:
    • Fast EMA (Exponential Moving Average): 12
    • Slow EMA: 26
    • Signal SMA (Simple Moving Average): 2

    ทำไมต้องตั้งค่าเช่นนี้? การใช้ Signal SMA ที่มีค่าต่ำ (2) จะทำให้เส้นสัญญาณตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของ MACD ได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับการจับจังหวะการเคลื่อนไหวในไทม์เฟรมที่สั้น

  • CCI:
    • Period: 14

    ทำไมต้องตั้งค่าเช่นนี้? ค่า Period 14 เป็นค่ามาตรฐานที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับ CCI เนื่องจากให้ความสมดุลระหว่างความไวของสัญญาณและการกรองสัญญาณรบกวน

ขั้นตอนการตั้งค่าตัวชี้วัดใน MetaTrader 4 (MT4) หรือ 5 (MT5)

เนื่องจากกลยุทธ์นี้ใช้อินดิเคเตอร์ 2 ตัว (MACD และ CCI) ในหน้าต่างเดียวกัน เราจึงต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง:

  1. ไปที่เมนู Navigator (หรือกด Ctrl+N)
  2. ขยายส่วน Indicators
  3. ลาก MACD ไปยังกราฟราคาหลักของคุณ
    การตั้งค่า MACD ใน MetaTrader

    อย่าลืม ตั้งค่า MACD ตามที่ระบุไว้ข้างต้น (Fast EMA – 12, slow EMA – 26, Signal SMA – 2) ในหน้าต่างการตั้งค่าที่ปรากฏขึ้น

  4. จากนั้น ลาก CCI ไปยังหน้าต่างอินดิเคเตอร์ของ MACD ที่เพิ่งสร้างขึ้นมา (ไม่ใช่บนกราฟราคาหลักโดยตรง) เพื่อให้ CCI ทับซ้อนกับ MACD ในโซนเดียวกัน
  5. ตั้งค่า CCI Period เป็น 14 ในหน้าต่างการตั้งค่าที่ปรากฏขึ้น

ตัวอย่างการตั้งค่ากราฟแสดง MACD และ CCI ทับซ้อนกัน

ภาพตัวอย่างด้านบนแสดงให้เห็นถึงการจัดเรียงอินดิเคเตอร์ทั้งสองในหน้าต่างเดียวกันอย่างถูกต้อง

กลยุทธ์การหาจังหวะเข้า-ออกออเดอร์ด้วย CCI และ MACD

เมื่อตั้งค่าอินดิเคเตอร์เรียบร้อยแล้ว เราจะมาดูกฎการเข้าและออกออเดอร์สำหรับสถานการณ์ซื้อ (Buy) และขาย (Sell) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการนำกลยุทธ์นี้ไปใช้จริง

1. การจับจังหวะหาตำแหน่งเข้า-ออกออเดอร์กรณีซื้อ (Buy)

กฎการเข้าออเดอร์ซื้อ (เปิด Buy Order):

คุณควรพิจารณาเปิดออเดอร์ซื้อเมื่อเกิดสัญญาณที่ชัดเจนจากทั้งสองอินดิเคเตอร์:

  1. เส้น CCI (สีฟ้า) ข้ามเส้น +100 จากล่างขึ้นบน: นี่คือสัญญาณเริ่มต้นที่บ่งบอกถึงแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะ Overbought อย่างรุนแรง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือเตรียมจะกลับตัวลงหลังจากทำราคาสูงสุดใหม่
  2. ตัวชี้วัด MACD จะต้องอยู่เหนือเส้นแบ่ง 0: เงื่อนไขนี้เป็นตัวยืนยันถึงแนวโน้มขาขึ้นโดยรวม เส้น MACD ที่อยู่เหนือเส้น 0 แสดงให้เห็นว่าแรงซื้อยังคงแข็งแกร่ง และทิศทางของราคาในภาพรวมยังคงเป็นขาขึ้น

ทำไมต้องมีเงื่อนไขทั้งสอง: การที่ CCI ทะลุ +100 จากล่างขึ้นบนพร้อมกับ MACD ที่อยู่เหนือ 0 เป็นการยืนยันว่าตลาดมีแรงส่งขาขึ้นที่แข็งแกร่งมาก และโมเมนตัมของราคากำลังพุ่งขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อเพื่อเกาะไปกับแนวโน้ม

กฎการปิดออเดอร์ซื้อ (ออกจาก Buy Order):

การปิดออเดอร์ซื้อเป็นสิ่งสำคัญเพื่อล็อกกำไรและป้องกันการขาดทุน คุณควรพิจารณาปิดออเดอร์เมื่อ:

  1. เส้น CCI ย้อนกลับมาที่ระดับ +100 หรือข้ามขอบ MACD:
    • CCI ย้อนกลับมาที่ +100: การที่ CCI กลับลงมาที่ระดับ +100 หรือต่ำกว่า อาจบ่งชี้ว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนแรงลง และราคาอาจกำลังจะเข้าสู่ภาวะพักตัวหรือกลับตัวลง
    • CCI ข้ามขอบ MACD (กรณีที่ CCI ถูกลากทับซ้อน MACD): เมื่อ CCI เคลื่อนที่สวนทางกับ MACD หรือข้ามผ่านเส้น MACD ในหน้าต่างเดียวกัน อาจเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าโมเมนตัมของราคาเริ่มเปลี่ยนทิศทาง และแนวโน้มขาขึ้นอาจสิ้นสุดลง
  2. คำแนะนำจากผู้เขียน: ควรปิดออเดอร์ทันทีเมื่อมองเห็นว่าราคาจะไม่ไปต่อ หรือกำลังจะสวนทาง แนวคิดนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสังเกตการณ์พฤติกรรมราคาและPrice Action นอกเหนือจากสัญญาณอินดิเคเตอร์เพียงอย่างเดียว หากคุณเห็นสัญญาณอ่อนแรง เช่น แท่งเทียนกลับตัว หรือราคามีแรงขายเข้ามารุนแรง ควรพิจารณาปิดออเดอร์เพื่อรักษาผลกำไร

ตัวอย่างการเข้าและออกออเดอร์ซื้อด้วย CCI และ MACD

ภาพตัวอย่างด้านบนแสดงให้เห็นถึงจุดที่เส้น CCI (สีฟ้า) ตัดเหนือ +100 ในขณะที่ MACD อยู่เหนือ 0 เป็นสัญญาณเข้าซื้อ และจุดที่ CCI ย้อนกลับมาที่ +100 หรือเริ่มข้ามขอบ MACD เป็นสัญญาณออก

2. การจับจังหวะหาตำแหน่งเข้า-ออกออเดอร์กรณีขาย (Sell)

กฎการเข้าออเดอร์ขาย (เปิด Sell Order):

คุณควรพิจารณาเปิดออเดอร์ขายเมื่อเกิดสัญญาณที่ชัดเจนจากทั้งสองอินดิเคเตอร์:

  1. เส้น CCI (สีฟ้า) ข้ามเส้น -100 ลงมา: นี่คือสัญญาณเริ่มต้นที่บ่งบอกถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะ Oversold อย่างรุนแรง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวลงอย่างต่อเนื่อง หรือเตรียมจะกลับตัวขึ้นหลังจากทำราคาต่ำสุดใหม่
  2. ตัวชี้วัด MACD จะต้องอยู่ต่ำกว่าเส้นแบ่ง 0: เงื่อนไขนี้เป็นตัวยืนยันถึงแนวโน้มขาลงโดยรวม เส้น MACD ที่อยู่ต่ำกว่าเส้น 0 แสดงให้เห็นว่าแรงขายยังคงแข็งแกร่ง และทิศทางของราคาในภาพรวมยังคงเป็นขาลง

ทำไมต้องมีเงื่อนไขทั้งสอง: การที่ CCI ทะลุ -100 ลงมาพร้อมกับ MACD ที่อยู่ต่ำกว่า 0 เป็นการยืนยันว่าตลาดมีแรงส่งขาลงที่แข็งแกร่งมาก และโมเมนตัมของราคากำลังดิ่งลง ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าขายเพื่อเกาะไปกับแนวโน้ม

กฎการปิดออเดอร์ขาย (ออกจาก Sell Order):

การปิดออเดอร์ขายเป็นสิ่งสำคัญเพื่อล็อกกำไรและป้องกันการขาดทุน คุณควรพิจารณาปิดออเดอร์เมื่อ:

  1. เส้น CCI ย้อนกลับมาที่ระดับ -100 หรือข้ามขอบ MACD:
    • CCI ย้อนกลับมาที่ -100: การที่ CCI กลับขึ้นมาที่ระดับ -100 หรือสูงกว่า อาจบ่งชี้ว่าแรงขายเริ่มอ่อนแรงลง และราคาอาจกำลังจะเข้าสู่ภาวะพักตัวหรือกลับตัวขึ้น
    • CCI ข้ามขอบ MACD (กรณีที่ CCI ถูกลากทับซ้อน MACD): เมื่อ CCI เคลื่อนที่สวนทางกับ MACD หรือข้ามผ่านเส้น MACD ในหน้าต่างเดียวกัน อาจเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าโมเมนตัมของราคาเริ่มเปลี่ยนทิศทาง และแนวโน้มขาลงอาจสิ้นสุดลง
  2. คำแนะนำจากผู้เขียน: ควรปิดออเดอร์ทันทีเมื่อมองเห็นว่าราคาจะไม่ไปต่อ หรือกำลังจะสวนทาง เช่นเดียวกับกรณีซื้อ การสังเกตพฤติกรรมราคาและการตัดสินใจที่รวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการกลับตัวของราคาที่อาจทำให้ผลกำไรลดลงหรือขาดทุน

(โปรดดูภาพตัวอย่างด้านบนกรณีซื้อ สำหรับหลักการเดียวกันในการหาจุดเข้าและออกในสถานการณ์ขาย โดยกลับด้านสัญญาณ)

ความสำคัญของการเฝ้าติดตามและการบริหารความเสี่ยง

สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือ กลยุทธ์นี้ไม่ได้มีฟังก์ชันในการวาง Stop Loss หรือ Take Profit แบบอัตโนมัติ ซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องเฝ้าติดตามกราฟและตัวชี้วัดอย่างใกล้ชิด การตัดสินใจในการเข้าและออกออเดอร์ด้วยกลยุทธ์นี้ต้องอาศัยการตีความสัญญาณจากอินดิเคเตอร์แบบเรียลไทม์ และการประเมินสถานการณ์ตลาด ณ เวลานั้น

การเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้คุณสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว เช่น หากราคาเคลื่อนที่สวนทางกับที่คาดการณ์ไว้ คุณสามารถปิดออเดอร์เพื่อจำกัดการขาดทุนได้ทันที หรือหากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ถูกต้อง คุณก็สามารถเลื่อนจุด Stop Loss ขึ้นมาเพื่อปกป้องกำไรได้

นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์นี้ควบคู่ไปกับการบริหารเงินทุนและบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เช่น การกำหนดขนาดล็อต (Lot Size) ที่เหมาะสมกับเงินทุน การไม่เสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง และการเข้าใจหลักการของ วินัยในการเทรด

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับกลยุทธ์การเทรดด้วย CCI และ MACD

  • ฝึกฝนในบัญชีทดลอง: ก่อนที่จะนำกลยุทธ์นี้ไปใช้ในบัญชีจริง ควรฝึกฝนใน บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อทำความคุ้นเคยกับสัญญาณและจังหวะการเทรด
  • สังเกต Divergence: อินดิเคเตอร์ทั้ง CCI และ MACD มักจะให้สัญญาณ Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณกลับตัวของราคาที่ค่อนข้างแม่นยำ ลองศึกษาและนำหลักการ Divergence มาประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติม
  • พิจารณาแนวโน้มหลัก: แม้ว่ากลยุทธ์นี้จะเหมาะกับไทม์เฟรมสั้น แต่การทำความเข้าใจแนวโน้มหลักในไทม์เฟรมที่ใหญ่ขึ้น (เช่น H4 หรือ Daily) จะช่วยให้การตัดสินใจของคุณแข็งแกร่งยิ่งขึ้น การเทรดตามแนวโน้มหลักมักจะมีความเสี่ยงต่ำกว่า
  • หลีกเลี่ยงช่วงข่าวสำคัญ: ช่วงที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ (Non-Farm Payroll, FOMC) ตลาดมักจะมีความผันผวนสูงและยากต่อการคาดเดา สัญญาณจากอินดิเคเตอร์อาจไม่แม่นยำในช่วงเวลานั้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: อินดิเคเตอร์ CCI และ MACD สามารถใช้กับการเทรดคู่เงินใดได้บ้าง?

A1: กลยุทธ์นี้สามารถนำไปใช้กับการเทรดคู่เงิน Forex ได้ทุกคู่ รวมถึง การเทรดทองคำ (XAUUSD) และสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ควรฝึกฝนและทดสอบกับสินทรัพย์ที่คุณสนใจเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมเฉพาะของสินทรัพย์นั้นๆ

Q2: การตั้งค่า MACD Signal SMA เป็น 2 มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร?

A2:

  • ข้อดี: การตั้งค่า Signal SMA เป็น 2 ทำให้เส้นสัญญาณตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของ MACD ได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับกลยุทธ์ Scalping และ Day Trading ที่ต้องการจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น
  • ข้อเสีย: ความไวที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่สัญญาณหลอก (False Signals) ที่มากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูงหรือช่วงที่ตลาด Sideways ดังนั้น การใช้ CCI เป็นตัวกรองสัญญาณร่วมด้วยจึงเป็นสิ่งสำคัญในกลยุทธ์นี้

Q3: หาก CCI ให้สัญญาณเข้าออเดอร์ แต่ MACD ยังอยู่ใต้/เหนือเส้น 0 ควรทำอย่างไร?

A3: ตามกฎของกลยุทธ์นี้ หากอินดิเคเตอร์ตัวใดตัวหนึ่งไม่ตรงตามเงื่อนไข (เช่น CCI ให้สัญญาณซื้อ แต่ MACD ยังอยู่ใต้เส้น 0 ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลง) คุณไม่ควรเข้าออเดอร์ การรอให้สัญญาณทั้งสองสอดคล้องกันจะช่วยเพิ่มความน่าจะเป็นในการเทรดที่ประสบความสำเร็จ และลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก

Q4: มีความแตกต่างกันหรือไม่ระหว่างการใช้งานใน MT4 และ MT5?

A4: โดยพื้นฐานแล้ว การใช้งานและการตั้งค่าอินดิเคเตอร์ CCI และ MACD จะเหมือนกันทั้งใน MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5) ความแตกต่างส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่ฟังก์ชันการทำงานเพิ่มเติมของแพลตฟอร์ม MT5 เช่น มีไทม์เฟรมและประเภทคำสั่งซื้อขายที่หลากหลายกว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับกลยุทธ์นี้ หลักการทำงานและสัญญาณที่ได้จะคล้ายคลึงกัน

Q5: อะไรคือความเสี่ยงหลักของการใช้กลยุทธ์นี้?

A5: ความเสี่ยงหลักของกลยุทธ์นี้คือการที่ไม่ได้มี Stop Loss หรือ Take Profit แบบอัตโนมัติ ซึ่งหมายความว่านักเทรดต้องเฝ้าติดตามตลาดอย่างต่อเนื่องและตัดสินใจด้วยตนเอง นอกจากนี้ ในตลาดที่มีความผันผวนสูง (Volatile Market) หรือตลาด Sideways อินดิเคเตอร์อาจให้สัญญาณหลอกบ่อยครั้ง การฝึกฝนและประสบการณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงเหล่านี้

สรุปและข้อคิด

กลยุทธ์การหาจังหวะเข้าและออกออเดอร์ด้วย Oscillators CCI และ MACD ที่นำเสนอมานี้ เป็นเทคนิคเชิงเทคนิคที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการความแม่นยำในการจับจังหวะตลาด โดยเฉพาะในไทม์เฟรมระยะสั้นถึงกลาง (M1-H1) โดยมีไทม์เฟรม M5 เป็นตัวเลือกที่แนะนำ การใช้สองอินดิเคเตอร์นี้ร่วมกันจะช่วยยืนยันสัญญาณและกรองสัญญาณรบกวน ทำให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการใช้กลยุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับการเฝ้าติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด การตีความสัญญาณอย่างแม่นยำ และที่สำคัญที่สุดคือวินัยในการเทรดและการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ และควรฝึกฝนกลยุทธ์นี้ในบัญชีทดลองจนเกิดความชำนาญก่อนที่จะนำไปใช้ในบัญชีจริง

สำหรับพี่ๆ ที่สนใจพัฒนาการเทรดให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น หรือต้องการเข้าถึงระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) ฟรี สามารถเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ชั้นนำที่เราแนะนำ และเข้าร่วมกลุ่มผู้ใช้งานเพื่อรับสิทธิพิเศษได้ทันที:

สำหรับพี่ๆ ที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA เปิดบัญชีคลิกที่ลิงค์
ส่งเลข MT4 รับลิงค์ได้เลย
________________________________________________
 👍สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
XM มีโบนัสสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่ $30 และมีโบนัสเงินฝาก
Exness สมัครง่ายฝากถอนเร็ว
GMI เทรดดีไม่มีสะดุด ฟรี Free Swap ทุกบัญชี
https://bit.ly/GMI-TH
________________________________________________
 ♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–
ติดตามเราได้ที่
✉️LINE: @ft.th ( https://lin.ee/u0dwlLM )
🎬Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line