TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

จะวางตำแหน่งการซื้อขาย forex ได้อย่างไร?

กันยายน 15, 2022

เปิดเผยกลยุทธ์: การวางตำแหน่งการซื้อขาย Forex อย่างมืออาชีพเพื่อโอกาสในการทำกำไรสูงสุด

ภาพรวมการซื้อขาย Forex

ในโลกของการลงทุนที่ผันผวน ตลาด Forex (Foreign Exchange) หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ถือเป็นหนึ่งในตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม การจะประสบความสำเร็จในตลาดนี้ได้นั้น ไม่ได้อาศัยเพียงแค่โชค แต่ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในกลไกตลาดและคำศัพท์พื้นฐานที่สำคัญ การวางตำแหน่งการซื้อขาย Forex อย่างมีประสิทธิภาพคือหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นบวก บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักการพื้นฐาน กลไกการทำงาน และกลยุทธ์ที่จำเป็นในการวางตำแหน่งการซื้อขาย Forex เพื่อให้คุณสามารถเทรดได้อย่างมั่นใจและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรสูงสุด

ทำความเข้าใจ “ตำแหน่ง” ในการซื้อขาย Forex: Long, Short และ Flat

เมื่อเข้าสู่การซื้อขายในตลาด Forex เทรดเดอร์ทุกคนจะต้องเผชิญกับการตัดสินใจพื้นฐานที่สุดคือ “จะซื้อหรือจะขาย” การตัดสินใจนี้จะกำหนด “ตำแหน่ง” ของคุณในตลาด ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของคุณต่อทิศทางราคาของคู่สกุลเงินนั้นๆ

Long Position (สถานะซื้อ): คาดการณ์ราคาจะสูงขึ้น

การเปิดสถานะ Long หรือ “ซื้อ” (Going Long) คือการที่คุณคาดการณ์ว่าสกุลเงินหลัก (Base Currency) ในคู่สกุลเงินที่คุณกำลังจะซื้อขายจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency) ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อคู่สกุลเงิน EUR/USD นั่นหมายความว่าคุณกำลังซื้อเงินยูโรและขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ออกไปพร้อมกัน คุณกำลังเดิมพันว่าค่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ หากราคาของ EUR/USD เพิ่มขึ้นตามที่คุณคาดการณ์ คุณก็จะสามารถขายคืนเพื่อทำกำไรได้ในภายหลัง

  • ทำไมถึงเปิดสถานะ Long? เทรดเดอร์จะเปิดสถานะ Long เมื่อการวิเคราะห์ทางเทคนิคและ/หรือปัจจัยพื้นฐานชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มราคาของสกุลเงินหลักกำลังจะปรับตัวสูงขึ้น อาจเป็นผลจากข่าวเศรษฐกิจเชิงบวก อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศเจ้าของสกุลเงินหลัก
  • อย่างไร? คุณจะ “ซื้อ” คู่สกุลเงินนั้นๆ ผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายของคุณ โดยหวังว่าจะขายได้ในราคาที่สูงกว่าในอนาคต
  • ผลลัพธ์: หากราคาคู่สกุลเงินเพิ่มขึ้น คุณจะได้กำไร แต่หากราคาลดลง คุณจะขาดทุน

Short Position (สถานะขาย): คาดการณ์ราคาจะต่ำลง

ในทางกลับกัน การเปิดสถานะ Short หรือ “ขาย” (Going Short) คือการที่คุณคาดการณ์ว่าสกุลเงินหลักจะมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง ตัวอย่างเช่น หากคุณขายคู่สกุลเงิน GBP/JPY นั่นหมายความว่าคุณกำลังขายเงินปอนด์อังกฤษและซื้อเงินเยนญี่ปุ่น คุณกำลังเดิมพันว่าค่าเงินปอนด์จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน หากราคาของ GBP/JPY ลดลง คุณก็จะสามารถซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่าเพื่อทำกำไรได้

  • ทำไมถึงเปิดสถานะ Short? เทรดเดอร์จะเปิดสถานะ Short เมื่อมีสัญญาณบ่งชี้ว่าสกุลเงินหลักมีแนวโน้มอ่อนค่าลง เช่น ข่าวเศรษฐกิจเชิงลบ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรือความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศเจ้าของสกุลเงินหลัก
  • อย่างไร? คุณจะ “ขาย” คู่สกุลเงินนั้นๆ ผ่านแพลตฟอร์ม โดยหวังว่าจะซื้อคืนได้ในราคาที่ต่ำกว่าเพื่อทำกำไรส่วนต่าง
  • ผลลัพธ์: หากราคาคู่สกุลเงินลดลง คุณจะได้กำไร แต่หากราคาเพิ่มขึ้น คุณจะขาดทุน

Forex vs หุ้น ความแตกต่างกันยังไง

Flat หรือ Square Position: สถานะที่ไม่มีการเปิดออเดอร์

นอกจากสถานะ Long และ Short แล้ว ยังมีสถานะที่เรียกว่า Flat หรือ Square หมายถึงสถานะที่คุณไม่มีการเปิดคำสั่งซื้อขายใดๆ ค้างอยู่ในตลาด ณ ขณะนั้น หรือคุณได้ปิดสถานะที่เปิดอยู่ทั้งหมดแล้ว การเป็น Flat หมายถึงคุณไม่มีความเสี่ยงต่อการเคลื่อนไหวของราคาคู่สกุลเงินในตลาด

  • ทำไมถึงเป็น Flat? เทรดเดอร์อาจเลือกเป็น Flat เมื่อตลาดมีความไม่แน่นอนสูง ไม่ต้องการรับความเสี่ยง หรือเพียงแค่รอจังหวะที่ดีในการเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง

กลไกราคาในตลาด Forex: Bid Price และ Ask Price

ในการซื้อขาย Forex ทุกคู่สกุลเงินจะถูกเสนอราคาในสองรูปแบบเสมอ นั่นคือราคา Bid และราคา Ask ความเข้าใจในสองราคานี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันกำหนดราคาที่คุณสามารถเข้าหรือออกจากตลาดได้

Bid Price (ราคาเสนอซื้อ): ราคาที่คุณสามารถ “ขาย” ได้

ราคา Bid คือราคาที่โบรกเกอร์ของคุณยินดีที่จะ “ซื้อ” สกุลเงินหลักจากคุณ ณ เวลานั้นๆ หากคุณต้องการเปิดสถานะ Short (ขาย) คุณจะทำรายการที่ราคา Bid เสมอ เพราะคุณกำลังขายสกุลเงินหลักให้กับโบรกเกอร์

  • ทำไมถึงเป็นราคา Bid? โบรกเกอร์จะกำหนดราคา Bid เพื่อแสดงถึงราคาที่พวกเขายินดีที่จะรับซื้อสกุลเงินจากเทรดเดอร์ การเทรดในสถานะ Short หมายถึงคุณกำลัง “ขาย” สิ่งที่คุณ “มี” ให้กับโบรกเกอร์
  • อย่างไร? เมื่อคุณคลิกปุ่ม “Sell” หรือ “Short” บนแพลตฟอร์มการซื้อขาย คำสั่งของคุณจะถูกดำเนินการที่ราคา Bid ที่แสดงอยู่

Ask Price (ราคาเสนอขาย): ราคาที่คุณสามารถ “ซื้อ” ได้

ราคา Ask (หรือบางครั้งเรียกว่า Offer Price) คือราคาที่โบรกเกอร์ของคุณยินดีที่จะ “ขาย” สกุลเงินหลักให้กับคุณ ณ เวลานั้นๆ หากคุณต้องการเปิดสถานะ Long (ซื้อ) คุณจะต้องทำรายการที่ราคา Ask เสมอ เพราะคุณกำลังซื้อสกุลเงินหลักจากโบรกเกอร์

  • ทำไมถึงเป็นราคา Ask? โบรกเกอร์จะกำหนดราคา Ask เพื่อแสดงถึงราคาที่พวกเขายินดีที่จะขายสกุลเงินให้กับเทรดเดอร์ การเทรดในสถานะ Long หมายถึงคุณกำลัง “ซื้อ” สิ่งที่คุณ “ยังไม่มี” จากโบรกเกอร์
  • อย่างไร? เมื่อคุณคลิกปุ่ม “Buy” หรือ “Long” บนแพลตฟอร์มการซื้อขาย คำสั่งของคุณจะถูกดำเนินการที่ราคา Ask ที่แสดงอยู่

กฎสำคัญ: ราคา Bid จะต่ำกว่าราคา Ask เสมอ ความแตกต่างระหว่างสองราคานี้คือ “สเปรด” (Spread) ซึ่งเป็นต้นทุนการซื้อขายและค่าธรรมเนียมสำหรับโบรกเกอร์

ความหมายและผลกระทบของ Spread ในตลาด Forex

Spread ใน Forex คือส่วนต่างระหว่างราคา Bid และราคา Ask ของคู่สกุลเงินนั้นๆ นี่คือค่าใช้จ่ายหลักในการซื้อขายที่คุณต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์ทุกครั้งที่เปิดสถานะ

คืออะไร?

Spread คือช่องว่างระหว่างราคาที่คุณสามารถขายได้ (Bid) และราคาที่คุณสามารถซื้อได้ (Ask) ซึ่งโบรกเกอร์ใช้เป็นค่าธรรมเนียมหรือกำไรจากการให้บริการ ตัวอย่างเช่น หาก GBP/USD มีราคา Bid ที่ 1.37264 และราคา Ask ที่ 1.37276 Spread คือ 0.00012 หรือ 1.2 pips

  • ทำไมถึงมี Spread? Spread เป็นรายได้หลักของโบรกเกอร์ Forex สำหรับการอำนวยความสะดวกในการซื้อขายและเข้าถึงสภาพคล่องในตลาด
  • ประเภทของ Spread:
    • Fixed Spread (สเปรดคงที่): ค่า Spread จะคงที่ ไม่ว่าสภาพตลาดจะเป็นอย่างไร มักพบในบัญชีซื้อขายประเภท Standard หรือสำหรับโบรกเกอร์ที่รับความเสี่ยง Spread เอง
    • Variable Spread (สเปรดผันแปร): ค่า Spread จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพคล่องและความผันผวนของตลาด หากตลาดมีความผันผวนสูง Spread อาจกว้างขึ้น และแคบลงเมื่อตลาดสงบ มักพบในบัญชีประเภท ECN/STP

ผลกระทบต่อการซื้อขาย

Spread มีผลกระทบโดยตรงต่อกำไรขาดทุนของคุณ เพราะทันทีที่คุณเปิดสถานะซื้อขาย คุณจะเริ่มต้นด้วยการ “ติดลบ” ทันทีด้วยจำนวนที่เท่ากับ Spread ที่คุณจ่ายไป

  • หากคุณต้องการขาย GBP ของคุณ: คุณจะคลิก “Sell” และโบรกเกอร์จะซื้อ GBP จากคุณที่ราคาเสนอซื้อ (Bid) 1.37264
  • หากคุณต้องการซื้อ GBP ของคุณ: คุณจะคลิก “Buy” และโบรกเกอร์จะขาย GBP ให้คุณที่ราคาเสนอขาย (Ask) 1.37276

ในตัวอย่างข้างต้น ส่วนต่างของราคา (Spread) คือ 1.37276 – 1.37264 = 0.00012 หรือ 1.2 pips ซึ่งหมายความว่า หากคุณเปิดสถานะซื้อ (Long) คุณจะต้องรอให้ราคาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1.2 pips เพื่อให้เท่าทุนก่อนที่จะเริ่มทำกำไร การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread ต่ำ จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลยุทธ์การเทรดระยะสั้นเช่น Scalping

พลังของ Compounding ในการซื้อขาย Forex

สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ การทำความเข้าใจและนำหลักการของ Compounding หรือ “ผลตอบแทนทบต้น” มาใช้ คือกุญแจสำคัญในการเร่งการเติบโตของเงินทุนในบัญชีซื้อขายของคุณ

compounding ใน Forex คืออะไร?

Compounding คือเทคนิคที่คุณนำกำไรที่ได้จากการซื้อขายกลับไปลงทุนซ้ำร่วมกับเงินลงทุนเริ่มต้น หลักการนี้ช่วยเพิ่มขนาดเงินทุนของคุณ ทำให้ในแต่ละรอบการเทรด เงินทุนที่มากขึ้นจะสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นตามไปด้วย

  • ทำไมถึงมีพลัง? Compounding เป็นหลักการที่ทำให้เงินทุนของคุณเติบโตแบบทวีคูณ ไม่ใช่แบบเชิงเส้นตรง ยิ่งคุณลงทุนนานเท่าไหร่ และยิ่งมีอัตราผลตอบแทนที่สม่ำเสมอเท่าไหร่ พลังของการทบต้นก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
  • อย่างไร?
    1. เริ่มต้นด้วยเงินทุน: สมมติคุณมีเงินทุน 1,000 USD
    2. ทำกำไร: คุณทำกำไรได้ 10% ในเดือนแรก ทำให้มีเงิน 1,100 USD
    3. reinvest กลับ: ในเดือนที่สอง คุณไม่ได้เทรดด้วยเงิน 1,000 USD แต่คุณเทรดด้วยเงิน 1,100 USD
    4. ผลลัพธ์: หากคุณยังทำกำไรได้ 10% ในเดือนที่สอง คุณจะมีเงิน 1,100 USD + (1,100 USD * 10%) = 1,210 USD จะเห็นได้ว่ากำไรในเดือนที่สอง (110 USD) มากกว่าเดือนแรก (100 USD) แม้ว่าเปอร์เซ็นต์กำไรจะเท่ากัน

    เมื่อเวลาผ่านไป กำไรที่ถูกนำกลับไปลงทุนซ้ำจะสร้างกำไรบนตัวมันเอง ทำให้บัญชีของคุณเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

  • เคล็ดลับสำหรับการใช้ Compounding:
    • ความสม่ำเสมอ: การทำกำไรอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการทบต้นที่มีประสิทธิภาพ
    • การบริหารความเสี่ยง: เนื่องจาก Compounding สามารถเร่งการเติบโตได้ แต่ก็สามารถเร่งการขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้น การมี การบริหารความเสี่ยง ที่ดีเยี่ยมจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปกป้องเงินทุนของคุณ
    • วินัย: มีวินัยในการรักษากลยุทธ์การซื้อขายและไม่ถอนกำไรออกไปทั้งหมด

ข้อควรระวัง: มุมมองและกลยุทธ์ทั้งหมดนี้เป็นไปตามหลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเป็นเพียงเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจ การซื้อขาย Forex มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบและไม่ควรนำเงินที่ไม่สามารถสูญเสียได้มาลงทุน

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวางตำแหน่งการซื้อขาย Forex

เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวางตำแหน่งการซื้อขายในตลาด Forex พร้อมคำตอบที่กระชับและชัดเจน

Q1: การวางตำแหน่งการซื้อขาย Forex คืออะไร?

A1: การวางตำแหน่งการซื้อขาย Forex คือการตัดสินใจของคุณว่าจะ “ซื้อ” (Long Position) หรือ “ขาย” (Short Position) คู่สกุลเงินหนึ่งๆ โดยอิงจากการคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต หากคุณคาดว่าราคาจะสูงขึ้น คุณจะเปิดสถานะ Long และหากคุณคาดว่าราคาจะลดลง คุณจะเปิดสถานะ Short การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงมุมมองของคุณต่อแนวโน้มตลาดและเป็นรากฐานของการเทรดแต่ละครั้ง

Q2: ความแตกต่างระหว่างราคา Bid และ Ask คืออะไร?

A2: ราคา Bid คือราคาที่โบรกเกอร์ยินดี “ซื้อ” สกุลเงินหลักจากคุณ (ดังนั้นคุณจึงสามารถ “ขาย” ได้ที่ราคานี้) ในขณะที่ราคา Ask คือราคาที่โบรกเกอร์ยินดี “ขาย” สกุลเงินหลักให้คุณ (ดังนั้นคุณจึงสามารถ “ซื้อ” ได้ที่ราคานี้) ราคา Ask จะสูงกว่าราคา Bid เสมอ และส่วนต่างระหว่างสองราคานี้คือ “Spread” ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมของคุณ

Q3: Spread ใน Forex มีผลต่อการซื้อขายอย่างไร?

A3: Spread คือต้นทุนที่คุณต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์ทุกครั้งที่เปิดสถานะการซื้อขาย โดยทันทีที่คุณเปิดออเดอร์ คุณจะเริ่มต้นด้วยการติดลบเท่ากับจำนวน Spread ที่จ่ายไป ยิ่ง Spread กว้างเท่าไหร่ ต้นทุนของคุณก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์ระยะสั้น การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread ต่ำและมีความโปร่งใสจึงเป็นสิ่งสำคัญ

Q4: การใช้ Compounding ใน Forex มีประโยชน์อย่างไร?

A4: Compounding หรือการทบต้น คือการนำกำไรที่ได้จากการเทรดกลับไปลงทุนซ้ำ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมหาศาลในการเร่งการเติบโตของเงินทุนในบัญชีของคุณอย่างทวีคูณ แทนที่จะเติบโตแบบเชิงเส้นตรง การทบต้นทำให้กำไรของคุณสร้างกำไรเพิ่มขึ้นอีก ส่งผลให้เงินทุนสะสมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเวลาผ่านไป หากบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม

Q5: มือใหม่ควรเริ่มต้นวางตำแหน่งการซื้อขาย Forex อย่างไร?

A5: สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้และทำความเข้าใจพื้นฐานของตลาด Forex อย่างถ่องแท้ จากนั้น ควรฝึกฝนการซื้อขายบน บัญชี Demo เพื่อทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มการซื้อขายและทดลองกลยุทธ์ต่างๆ โดยไม่ต้องใช้เงินจริง การเริ่มต้นด้วยเงินทุนขนาดเล็กและเน้นการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด นอกจากนี้ การศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญยังช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้อีกด้วย

สรุป: ก้าวแรกสู่การเป็นเทรดเดอร์ Forex ที่ประสบความสำเร็จ

การวางตำแหน่งการซื้อขาย Forex ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนหากคุณมีความเข้าใจในหลักการพื้นฐานที่ถูกต้อง การเลือกเปิดสถานะ Long หรือ Short อย่างชาญฉลาดนั้นขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ตลาดที่แม่นยำและการบริหารความเสี่ยงที่เป็นระบบ การทำความเข้าใจกลไกราคา Bid และ Ask รวมถึงบทบาทของ Spread จะช่วยให้คุณประเมินต้นทุนและโอกาสในการทำกำไรได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ การนำพลังของการทบต้น (Compounding) มาใช้ในระยะยาว จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเร่งการเติบโตของเงินทุนในพอร์ตการลงทุนของคุณได้

การเป็นเทรดเดอร์ Forex ที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยทั้งความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และวินัย การเริ่มต้นด้วยการสร้างรากฐานความเข้าใจที่แข็งแกร่ง และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถนำพาตนเองก้าวเข้าสู่โลกของการซื้อขาย Forex ได้อย่างมั่นใจและยั่งยืน ขอให้คุณโชคดีในการเดินทางสู่การเป็นเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญ!

หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ กลยุทธ์การซื้อขาย Forex หรือต้องการทดลองใช้ ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) เพื่อช่วยในการตัดสินใจ โปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ของเรา

You Might Also Like

Contact Us on Line