TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

วิธีอ่านแผนภูมิ Forex: 5 สิ่งที่คุณต้องรู้

มกราคม 21, 2022

วิธีอ่านแผนภูมิ Forex: 5 สิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องรู้เพื่อความสำเร็จ

วิธีอ่านแผนภูมิ Forex

ในโลกของการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ตลาด Forex การอ่านและทำความเข้าใจแผนภูมิราคาเป็นหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ เปรียบเสมือนแผนที่นำทางสำหรับนักเดินเรือ หากปราศจากความเข้าใจในแผนภูมิ เทรดเดอร์ก็อาจหลงทางในมหาสมุทรแห่งความผันผวนของราคาได้ง่ายดาย บทความนี้จะนำเสนอ 5 สิ่งสำคัญที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวิธีอ่านแผนภูมิ Forex อย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถวิเคราะห์ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมือใหม่ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

พื้นฐานสำคัญของตลาด Forex ที่เชื่อมโยงกับการอ่านแผนภูมิ

ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึงเทคนิคการอ่านแผนภูมิ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทบทวนพื้นฐานการซื้อขาย Forex เนื่องจากหลักการเหล่านี้เป็นรากฐานของการเคลื่อนไหวของราคาที่ปรากฏบนแผนภูมิ

คู่สกุลเงิน (Currency Pairs) คืออะไรและทำงานอย่างไร?

ในตลาด Forex เราจะซื้อขาย “คู่สกุลเงิน” เสมอ ไม่ใช่สกุลเงินเดี่ยว ๆ ซึ่งประกอบด้วยสองส่วนหลัก:

  • สกุลเงินหลัก (Base Currency): สกุลเงินที่อยู่ข้างหน้าของคู่สกุลเงิน (เช่น EUR ใน EUR/USD) นี่คือสกุลเงินที่คุณกำลังซื้อหรือขาย
  • สกุลเงินอ้างอิง (Quote/Counter Currency): สกุลเงินที่อยู่ข้างหลังของคู่สกุลเงิน (เช่น USD ใน EUR/USD) นี่คือมูลค่าที่แสดงว่าต้องใช้สกุลเงินอ้างอิงเท่าไรเพื่อซื้อสกุลเงินหลัก 1 หน่วย

ตัวอย่าง: หากราคาของคู่สกุลเงิน EUR/USD แสดงที่ 1.2155 หมายความว่า 1 ยูโร (EUR) สามารถแลกเปลี่ยนได้กับ 1.2155 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) การทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการเคลื่อนไหวของกราฟจะสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของสกุลเงินหลักเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง

ขนาดการซื้อขาย (Lot Size) และมูลค่า Pip

ขนาดการซื้อขาย หรือ Lot Size คือปริมาณของสกุลเงินหลักที่คุณต้องการซื้อขาย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าการเคลื่อนไหวของราคา (Pip) การเคลื่อนที่ของราคาในตลาด Forex วัดเป็น “Pip” ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของการเปลี่ยนแปลงราคา การทำความเข้าใจ Pip มีความสำคัญอย่างยิ่งในการคำนวณกำไรและขาดทุน

ตัวอย่าง: หากคุณซื้อขาย 1 Standard Lot ของ EUR/USD ซึ่งเท่ากับ 100,000 ยูโร ทุกการเคลื่อนไหว 1 Pip จะมีมูลค่าประมาณ 10 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น หากราคาขยับขึ้น 10 Pip คุณจะทำกำไรได้ 100 ดอลลาร์ (ยังไม่รวมค่าสเปรด) การจัดการ Lot Size ให้เหมาะสมกับ การบริหารความเสี่ยง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน

5 ขั้นตอนสำคัญในการอ่านแผนภูมิ Forex อย่างมืออาชีพ

เพื่อให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมั่นใจ การทำความเข้าใจองค์ประกอบสำคัญบนแผนภูมิ Forex ทั้ง 5 ประการนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของตลาดและแนวโน้มราคาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

1. ทำความเข้าใจตำแหน่งซื้อ (Long) และขาย (Short) ในแผนภูมิ

การเข้าใจทิศทางของการเทรดเป็นพื้นฐานแรกในการตีความแผนภูมิ การเคลื่อนไหวของราคาบนแผนภูมิจะบอกคุณว่ากลยุทธ์ของคุณจะนำไปสู่กำไรหรือขาดทุน

  • ตำแหน่งซื้อ (Long Position): เมื่อคุณ “ซื้อ” คู่สกุลเงิน (เช่น EUR/USD) คุณกำลังคาดการณ์ว่าสกุลเงินหลัก (EUR) จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง (USD) ดังนั้น หากคุณอยู่ในตำแหน่ง Long คุณจะต้องการให้กราฟของคู่สกุลเงินนั้นขยับขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อทำกำไร

    ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น: การซื้อหมายถึงคุณกำลังแลกสกุลเงินอ้างอิงเพื่อรับสกุลเงินหลัก เมื่อสกุลเงินหลักมีมูลค่าสูงขึ้น คุณก็สามารถขายกลับคืนได้ในราคาที่แพงกว่า ทำให้เกิดกำไร

  • ตำแหน่งขาย (Short Position): ในทางกลับกัน เมื่อคุณ “ขาย” คู่สกุลเงิน คุณกำลังคาดการณ์ว่าสกุลเงินหลักจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง หรือสกุลเงินอ้างอิงจะแข็งค่าขึ้น ดังนั้น หากคุณอยู่ในตำแหน่ง Short คุณจะต้องการให้กราฟของคู่สกุลเงินนั้นขยับลงมา เพื่อทำกำไรจากการที่มูลค่าของสกุลเงินหลักลดลง

    ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น: การขายหมายถึงคุณกำลังยืมสกุลเงินหลักมาขายเพื่อรับสกุลเงินอ้างอิง เมื่อสกุลเงินหลักอ่อนค่าลง คุณก็สามารถซื้อคืนได้ในราคาที่ถูกลง เพื่อคืนเงินที่ยืมมา และเก็บส่วนต่างไว้เป็นกำไร

เคล็ดลับ: การกำหนดทิศทางที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรด จะช่วยให้คุณโฟกัสกับการวิเคราะห์กราฟได้แม่นยำยิ่งขึ้น และควรมีการวางแผน Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP) อย่างรอบคอบ

2. ความสำคัญของกรอบเวลา (Timeframe) ในการวิเคราะห์แผนภูมิ

กรอบเวลาคือช่วงเวลาที่แท่งเทียนแต่ละแท่งบนแผนภูมิแสดงการเคลื่อนไหวของราคา การเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันส่งผลต่อมุมมองและการวิเคราะห์ของคุณอย่างมาก เทรดเดอร์มืออาชีพมักใช้เทคนิค Multi-Timeframe Analysis เพื่อดูภาพรวมและรายละเอียดของตลาด

  • กรอบเวลาสั้น (เช่น M1, M5, M15, M30): เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่เน้นการ Scalping หรือ Day Trading ซึ่งต้องการเข้าและออกจากการเทรดอย่างรวดเร็วเพื่อเก็บกำไรเล็กน้อยแต่บ่อยครั้ง การเคลื่อนไหวของราคาจะดูผันผวนมากในกรอบเวลาเหล่านี้

    ตัวอย่างการใช้งาน: ใช้ M5 เพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำ หลังจากที่วิเคราะห์แนวโน้มหลักในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า

  • กรอบเวลากลาง (เช่น H1, H4): มักใช้ในการระบุแนวโน้มหลักและรูปแบบราคาที่สำคัญ เหมาะสำหรับ Swing Trading ที่ถือออเดอร์นานขึ้นเล็กน้อย

    ตัวอย่างการใช้งาน: ใช้ H4 เพื่อกำหนดแนวโน้มหลักของคู่สกุลเงิน เช่น ใช้ Moving Average หรือ MACD เพื่อยืนยันเทรนด์

  • กรอบเวลายาว (เช่น D1, W1, MN): ใช้เพื่อดูภาพรวมขนาดใหญ่ของตลาด แนวโน้มระยะยาว และระดับ แนวรับแนวต้าน ที่แข็งแกร่ง เหมาะสำหรับ Position Trading

    ตัวอย่างการใช้งาน: ใช้ D1 หรือ W1 เพื่อระบุเทรนด์ใหญ่และระดับแนวรับแนวต้านสำคัญที่ราคามักจะตอบสนอง

กฎสำคัญ: ควรเริ่มต้นการวิเคราะห์จากกรอบเวลาที่ใหญ่ที่สุด (ภาพรวม) ค่อย ๆ ลดลงมายังกรอบเวลาที่เล็กลง (รายละเอียด) เพื่อหาจุดเข้าที่เหมาะสม สิ่งนี้ช่วยให้คุณไม่หลงทางไปกับสัญญาณรบกวนในกรอบเวลาสั้น ๆ เพียงอย่างเดียว

3. เข้าใจราคา Bid และ Ask (ค่า Spread)

บนแผนภูมิ Forex ส่วนใหญ่จะแสดงเพียงราคา Bid ซึ่งเป็นราคาที่คุณสามารถ “ขาย” คู่สกุลเงินได้ อย่างไรก็ตาม มีอีกราคาหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือราคา Ask ซึ่งเป็นราคาที่คุณสามารถ “ซื้อ” คู่สกุลเงินได้ ความแตกต่างระหว่างสองราคานี้เรียกว่า Spread ซึ่งเป็นต้นทุนการทำธุรกรรมที่คุณต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์

ตัวอย่าง: หาก EUR/USD มีราคา Bid ที่ 1.2055 และราคา Ask ที่ 1.2058

  • หากคุณต้องการ “ซื้อ” (เปิดตำแหน่ง Long) คุณจะซื้อที่ราคา Ask: 1.2058
  • หากคุณต้องการ “ขาย” (เปิดตำแหน่ง Short) คุณจะขายที่ราคา Bid: 1.2055

ผลกระทบต่อการเทรด:

  • จุดเข้าและออก: เมื่อคุณวางคำสั่งซื้อหรือขาย ราคาที่คุณเห็นบนแผนภูมิ (มักจะเป็น Bid) อาจไม่ใช่ราคาที่ออเดอร์ของคุณถูกดำเนินการจริงเสมอไป คุณจะซื้อที่ราคา Ask และขายที่ราคา Bid เสมอ ทำให้คุณเริ่มต้นการเทรดด้วย “ติดลบ” เล็กน้อยเสมอเท่ากับค่าสเปรด
  • Slippage: ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่มีการประกาศข่าวสำคัญ ราคาอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนคำสั่งซื้อขายของคุณไม่สามารถจับคู่กับราคาที่ตั้งไว้ได้พอดี ทำให้เกิด Slippage (การคลาดเคลื่อนของราคา) ซึ่งอาจทำให้คุณได้ราคาที่แย่กว่าที่คาดไว้เล็กน้อย
  • คำสั่ง Stop Loss/Take Profit: โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะกำหนดให้คำสั่ง Stop Loss สำหรับตำแหน่งซื้อถูกกระตุ้นเมื่อราคา Bid แตะระดับที่คุณกำหนด และคำสั่ง Take Profit สำหรับตำแหน่งซื้อถูกกระตุ้นเมื่อราคา Ask แตะระดับที่คุณกำหนด ตรงกันข้ามสำหรับตำแหน่งขาย การเข้าใจความแตกต่างนี้ช่วยให้คุณวางแผนการเทรดได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

เคล็ดลับ: โบรกเกอร์บางรายอาจมีฟังก์ชันที่ให้คุณแสดงทั้งราคา Bid และ Ask บนแผนภูมิพร้อมกันได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการมองเห็นค่าสเปรดและวางแผนการเทรด.

4. การปรับเวลาในแผนภูมิให้สอดคล้องกับเขตเวลาท้องถิ่น

เวลาที่แสดงอยู่ด้านล่างของแผนภูมิ Forex มักจะเป็นเขตเวลาที่เซิร์ฟเวอร์ของโบรกเกอร์ตั้งอยู่ (เช่น GMT, GMT+2, New York Time) ซึ่งอาจแตกต่างจากเขตเวลาท้องถิ่นของคุณ การทำความเข้าใจและปรับเทียบเวลานี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องการเทรดตามเหตุการณ์ข่าวเศรษฐกิจสำคัญ

  • ทำไมถึงสำคัญ: ข้อมูลข่าวเศรษฐกิจสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด Forex จะมีการประกาศในเวลาที่กำหนดตายตัว หากคุณไม่ทราบว่าเวลานั้นตรงกับเวลาท้องถิ่นของคุณเมื่อไหร่ คุณอาจพลาดโอกาสในการเทรด หรือที่แย่กว่านั้นคือถูกจับในตลาดที่มีความผันผวนสูงโดยไม่ตั้งใจ

    ตัวอย่าง: การประกาศอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจเกิดขึ้นเวลา 14:00 น. ตามเวลานิวยอร์ก หากคุณอยู่ในประเทศไทย คุณต้องแปลงเวลานี้เป็นเวลาท้องถิ่นเพื่อให้ทราบว่าการประกาศจะมีขึ้นเมื่อใด

  • วิธีปฏิบัติ:

    1. ตรวจสอบเขตเวลาของแผนภูมิที่คุณใช้งาน (มักระบุไว้ในการตั้งค่าแพลตฟอร์ม)
    2. ใช้เว็บไซต์ปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar) ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งมักจะมีฟังก์ชันแปลงเวลาอัตโนมัติตามเขตเวลาท้องถิ่นของคุณ
    3. จดบันทึกเวลาสำคัญและปรับเทียบกับเวลาบนแผนภูมิของคุณเสมอ เพื่อให้คุณพร้อมรับมือกับการเคลื่อนไหวของราคาที่อาจเกิดขึ้น

การซิงค์เวลาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและการตัดสินใจเทรดที่ผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์ News Trading.

5. ความแม่นยำของเวลาเปิด-ปิดแท่งเทียนกับเหตุการณ์สำคัญ

ความแตกต่างเล็กน้อยแต่สำคัญระหว่างแพลตฟอร์มการสร้างแผนภูมิคือ “เวลาที่แท่งเทียนเปิด” และ “เวลาที่แท่งเทียนปิด” บางแพลตฟอร์มอาจแสดงแท่งเทียน M1 (1 นาที) ที่ปิดเมื่อนาทีนั้นสิ้นสุดลง ในขณะที่บางแพลตฟอร์มอาจแสดงการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง การทำความเข้าใจจุดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อคุณเทรดในช่วงเวลาที่มี ข่าวสำคัญทางเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์ที่มีความผันผวนสูง

  • ทำไมถึงสำคัญมาก:

    การเคลื่อนไหวของราคาหลังการประกาศข่าวสำคัญมักจะรุนแรงและรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อภายในไม่กี่วินาทีหรือนาทีแรก หากคุณต้องการเข้าเทรดเพื่อเกาะกระแสการเคลื่อนไหวนี้ หรือต้องการออกจากตลาดก่อนที่ข่าวจะออกเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง คุณต้องมีความแม่นยำสูงถึงระดับนาที

    ตัวอย่าง: หากคุณวางแผนจะเข้าเทรดหลังการประกาศข่าว NFP (Non-Farm Payroll) คุณอาจต้องการเข้าภายใน 10-30 วินาทีแรกของการเคลื่อนไหวที่แท้จริง ไม่ใช่รอจนกว่าแท่งเทียน M1 แรกจะปิด เพราะราคาอาจวิ่งไปไกลเกินกว่าจุดเข้าที่คุณต้องการแล้ว

  • ผลลัพธ์จากการไม่แม่นยำ:

    • พลาดโอกาส: หากระบบแผนภูมิของคุณมีการหน่วงเวลา หรือคุณเข้าใจผิดเกี่ยวกับเวลาเปิด/ปิดแท่งเทียน คุณอาจพลาดจุดเข้าที่ดีที่สุดในช่วงที่มีความผันผวนสูง
    • ถูก Stop Out โดยไม่จำเป็น: หากคุณวาง Stop Loss ไว้ใกล้กับราคาปัจจุบัน การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในช่วงข่าวอาจทำให้ Stop Loss ของคุณถูกชนไปแล้ว ก่อนที่คุณจะทันได้เห็นการตอบสนองที่แท้จริงของตลาด

เคล็ดลับ: ทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มการเทรดของคุณเป็นอย่างดี ทดลองใน บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อดูว่าแท่งเทียนแสดงผลอย่างไรเมื่อมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็ว การสังเกตพฤติกรรมของแผนภูมิในสถานการณ์จริงจะช่วยให้คุณมีความพร้อมมากขึ้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการอ่านแผนภูมิ Forex

Q1: การอ่านแผนภูมิ Forex จำเป็นสำหรับมือใหม่หรือไม่?

A1: จำเป็นอย่างยิ่ง! การอ่านแผนภูมิ Forex เป็นทักษะพื้นฐานที่ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ก็ต้องเชี่ยวชาญ แผนภูมิเป็นตัวแทนข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของตลาด ระบุแนวโน้ม และหาจุดเข้า-ออกที่มีศักยภาพ หากปราศจากการอ่านแผนภูมิที่ถูกต้อง คุณจะเหมือนคนขับรถที่ไม่มีแผนที่หรือสัญญาณนำทาง ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและขาดทุนได้ในที่สุด การฝึกฝนใน บัญชี Demo จะช่วยพัฒนาทักษะนี้ได้ดีที่สุด

Q2: ควรใช้กรอบเวลา (Timeframe) ใดในการวิเคราะห์แผนภูมิ Forex?

A2: ไม่มีการเลือกกรอบเวลาที่ดีที่สุดเพียงกรอบเดียว การเลือกกรอบเวลาขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของคุณ เช่น Scalping, Day Trading, Swing Trading หรือ Position Trading อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ใช้เทคนิค Multi-Timeframe Analysis โดยเริ่มต้นจากกรอบเวลาที่ใหญ่ที่สุด (เช่น D1 หรือ H4) เพื่อกำหนดแนวโน้มหลักของตลาด จากนั้นค่อย ๆ ลดลงมายังกรอบเวลาที่เล็กลง (เช่น H1 หรือ M15) เพื่อหารายละเอียดและจุดเข้าที่แม่นยำ วิธีนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและรายละเอียดการเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างครบถ้วนและลดสัญญาณรบกวน

Q3: ราคา Bid และ Ask มีผลต่อการเทรดอย่างไร?

A3: ราคา Bid และ Ask มีผลอย่างมากต่อการเทรด เพราะเป็นตัวกำหนดราคาที่คุณสามารถซื้อหรือขายได้จริง ความแตกต่างระหว่างสองราคานี้คือ ค่าสเปรด (Spread) ซึ่งเป็นต้นทุนที่คุณต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์เมื่อเปิดตำแหน่งเทรด เมื่อคุณซื้อ คุณจะซื้อที่ราคา Ask (ราคาสูงกว่า) และเมื่อคุณขาย คุณจะขายที่ราคา Bid (ราคาต่ำกว่า) ซึ่งหมายความว่าทุกครั้งที่คุณเปิดออเดอร์ คุณจะเริ่มต้นด้วยการ “ติดลบ” เท่ากับค่าสเปรดทันที การเข้าใจเรื่องนี้ช่วยให้คุณบริหารจัดการต้นทุนการเทรดและวางแผนจุดเข้า-ออกได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจาก Slippage ที่อาจเกิดขึ้น

Q4: แผนภูมิ Forex แสดงผลในเขตเวลาใด?

A4: แผนภูมิ Forex โดยทั่วไปจะแสดงผลตามเขตเวลาของเซิร์ฟเวอร์โบรกเกอร์ของคุณ ซึ่งอาจเป็น GMT, GMT+2 หรือเวลาท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น New York Time สิ่งสำคัญคือคุณต้องทราบว่าเขตเวลาของแผนภูมิที่คุณกำลังดูคืออะไร และแปลงให้สอดคล้องกับเขตเวลาท้องถิ่นของคุณเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ (Economic News Release) การไม่ปรับเทียบเวลาอาจทำให้คุณพลาดข้อมูลสำคัญหรือตัดสินใจเข้า/ออกจากการเทรดผิดเวลา ซึ่งนำไปสู่การขาดทุนได้

Q5: อะไรคือข้อผิดพลาดทั่วไปที่มือใหม่มักทำเมื่ออ่านแผนภูมิ Forex?

A5: มือใหม่มักทำข้อผิดพลาดหลายประการเมื่ออ่านแผนภูมิ Forex ได้แก่:

  1. มองข้ามกรอบเวลา: เน้นดูแต่กรอบเวลาสั้น ๆ ทำให้พลาดภาพรวมและแนวโน้มหลักของตลาด
  2. ไม่เข้าใจ Bid/Ask: ไม่ทราบว่ากำลังซื้อที่ราคา Ask และขายที่ราคา Bid ทำให้ประเมินต้นทุนและกำไรคลาดเคลื่อน
  3. ไม่สนใจ Time Zone: ไม่ปรับเวลาแผนภูมิให้ตรงกับเวลาท้องถิ่น ทำให้พลาดข่าวสำคัญหรือตัดสินใจผิดจังหวะ
  4. ยึดติดกับอินดิเคเตอร์มากเกินไป: พึ่งพาอินดิเคเตอร์เพียงอย่างเดียวโดยไม่ทำความเข้าใจ Price Action หรือพื้นฐานของแผนภูมิ
  5. ขาดการบริหารความเสี่ยง: เข้าเทรดโดยไม่กำหนด Stop Loss หรือ Take Profit ทำให้เสี่ยงต่อการขาดทุนมหาศาล

การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอใน บัญชีทดลอง และการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านี้จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการอ่านแผนภูมิได้อย่างรวดเร็ว

สรุป

การอ่านแผนภูมิ Forex ไม่ได้เป็นเพียงการมองเห็นแท่งเทียนและเส้นกราฟเท่านั้น แต่เป็นการทำความเข้าใจภาษาของตลาด การเคลื่อนไหวของราคา และจิตวิทยาของผู้เล่นในตลาดทั้งหมด ด้วย 5 สิ่งสำคัญที่คุณได้เรียนรู้ในบทความนี้ ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจในตำแหน่งซื้อ-ขาย การเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสม การตระหนักถึงราคา Bid/Ask และค่าสเปรด การปรับเทียบเขตเวลาของแผนภูมิ และความแม่นยำของเวลาเปิด-ปิดแท่งเทียน คุณจะมีเครื่องมือพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการวิเคราะห์ตลาด

ทักษะเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปที่เทรดเดอร์มือใหม่มักเผชิญ และเร่งความก้าวหน้าของคุณในการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในตลาด Forex อย่าหยุดที่จะเรียนรู้และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการทดลองใช้ความรู้เหล่านี้ใน บัญชีทดลอง ก่อนที่จะนำไปใช้กับการเทรดจริง การลงทุนในความรู้คือการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตทางการเงินของคุณ

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like