TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

กลยุทธ์การเทรด รูปแบบแนวโน้มขาลง

มิถุนายน 28, 2022

เข้าใจ Downtrend: แนวโน้มขาลงในตลาด Forex และกลยุทธ์ทำกำไรที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม

ในโลกของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือ ตลาด Forex การทำความเข้าใจทิศทางของตลาดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในแนวโน้มพื้นฐานที่นักลงทุนต้องทำความคุ้นเคยคือ “Downtrend” หรือ “แนวโน้มขาลง” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง การรู้จักและเข้าใจ Downtrend อย่างลึกซึ้ง ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการขาดทุน แต่ยังสามารถสร้างโอกาสในการทำกำไรได้อีกด้วย บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของ Downtrend ตั้งแต่ความหมาย ลักษณะสำคัญ รูปแบบยอดนิยม สัญญาณการเข้าเทรด ไปจนถึงกลยุทธ์การทำกำไรที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง

Downtrend คืออะไร? ทำความเข้าใจแก่นแท้ของตลาดขาลง

Downtrend หรือที่นักลงทุนมักเรียกกันว่า “ตลาดหมี” (Bear Market) คือภาวะตลาดที่ราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เกิดจากการที่แรงขายมีมากกว่าแรงซื้ออย่างชัดเจน ส่งผลให้ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Lows) และจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Highs) อย่างสม่ำเสมอ

ทำไมถึงเรียกว่าตลาดหมี?

ชื่อ “ตลาดหมี” มีที่มาจากลักษณะการโจมตีของหมีที่จะตะปบเหยื่อลงสู่พื้น ซึ่งเปรียบเสมือนราคาที่ร่วงลงนั่นเอง ในทางตรงกันข้าม หากราคาปรับตัวสูงขึ้น เราจะเรียกว่า ตลาดกระทิง (Bull Market) ที่มาจากลักษณะการขวิดเหยื่อขึ้นฟ้าของกระทิง

Downtrend คืออะไร

ลักษณะสำคัญของแนวโน้มขาลง (Key Characteristics of Downtrend)

การระบุ Downtrend ที่แท้จริงต้องอาศัยการสังเกตโครงสร้างราคาที่ชัดเจน โดยมีคุณสมบัติหลักสองประการดังนี้:

  1. การทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Lows – LL): ราคาสินทรัพย์จะสร้างจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น หากจุดต่ำสุดแรก (A) อยู่ที่ 100 บาท จุดต่ำสุดถัดไป (B) จะต่ำกว่า 100 บาท เช่น 90 บาท และจุดต่ำสุดที่สาม (C) ก็จะต่ำกว่า 90 บาทอีก เช่น 80 บาท
  2. การทำจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Highs – LH): หลังจากที่ราคาปรับตัวลงและสร้างจุดต่ำสุดใหม่แล้ว จะมีการดีดตัวขึ้นชั่วคราว (Pullback) ซึ่งจุดสูงสุดของการดีดตัวครั้งนี้จะต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า ตัวอย่างเช่น หากจุดสูงสุดแรก (1) อยู่ที่ 120 บาท จุดสูงสุดถัดไป (2) จะต่ำกว่า 120 บาท เช่น 110 บาท และจุดสูงสุดที่สาม (3) ก็จะต่ำกว่า 110 บาทอีก เช่น 100 บาท

เมื่อปรากฏการณ์ทั้งสองนี้เกิดขึ้นพร้อมกันอย่างสอดคล้อง คุณจะสามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจว่าตลาดได้เข้าสู่ภาวะแนวโน้มขาลงแล้ว และนี่คือสัญญาณสำคัญที่นักเทรดควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

ลักษณะของแนวโน้มขาลง

รูปแบบแนวโน้มขาลงยอดนิยมที่ควรรู้ (Popular Downtrend Patterns)

การทำความเข้าใจรูปแบบของ Downtrend จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์พฤติกรรมราคาและวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นี่คือ 4 รูปแบบแนวโน้มขาลงที่พบบ่อยในตลาด:

1. รูปแบบคลาสสิก: แนวโน้มขาลงที่สามารถวาดเส้นแนวโน้มได้ (Classic Downtrend with Trendline)

นี่คือรูปแบบที่พื้นฐานและคลาสสิกที่สุดในการวิเคราะห์แนวโน้มขาลง ในรูปแบบนี้ ราคาจะเคลื่อนไหวเป็นคลื่นโดยมีการสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และสามารถลาก เส้นแนวโน้ม (Trendline) เชื่อมจุดสูงสุดเหล่านี้ได้

  • เส้นแนวโน้ม (Trendline) คืออะไร? ในบริบทของ Downtrend, เส้นแนวโน้มขาลง (Downtrend Line) คือเส้นตรงที่ลากเชื่อมจุดสูงสุด (Peaks หรือ Highs) อย่างน้อย 2-3 จุดเข้าด้วยกัน โดยที่จุดสูงสุดถัดไปจะต้องต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า เส้นแนวโน้มนี้จะทำหน้าที่เป็น “แนวต้าน” (Resistance) ที่สำคัญ
  • การทำงาน: เมื่อราคาสินทรัพย์ดีดตัวขึ้นและแตะเส้นแนวโน้มขาลง มักจะเกิดแรงขายเข้ามากดดันให้ราคาถอยกลับลงไปอีกครั้ง นักลงทุนสามารถใช้เส้นแนวโน้มนี้เป็นจุดอ้างอิงในการพิจารณาเข้า เปิดสถานะขาย (Short Position) ได้อย่างมีหลักการ

ตัวอย่าง: คุณลากเส้นตรงเชื่อมจุดสูงสุด (1), (2), และ (3) ที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ เส้นนี้จะเป็นแนวต้านที่ชัดเจน ซึ่งเมื่อราคาพยายามจะขึ้นไปแตะเส้นนี้แล้วกลับตัวลง นั่นคือสัญญาณยืนยันแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง

รูปแบบที่ 1: แนวโน้มขาลงซึ่งคุณสามารถวาดเส้นแนวโน้มได้

2. รูปแบบการทะลุแนวรับ (Breakout of Support and Downtrend)

รูปแบบนี้เป็นสัญญาณที่ทรงพลังบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาลง หรือการกลับมาดำเนินต่อของแนวโน้มขาลงเดิม โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  1. ราคาทะลุแนวรับ: เดิมทีราคามีการเคลื่อนไหวอยู่เหนือ แนวรับ (Support Level) ที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อเกิดแรงขายจำนวนมาก ราคาก็จะปรับตัวลดลงจนทะลุผ่านแนวรับนั้นไปได้อย่างรุนแรง
  2. การทดสอบแนวรับที่กลายเป็นแนวต้าน (Retest): หลังจากราคาทะลุแนวรับลงมาแล้ว มักจะมีการดีดตัวกลับขึ้นไปเพื่อ “ทดสอบ” ระดับแนวรับเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้แนวรับเดิมจะเปลี่ยนบทบาทกลายเป็น “แนวต้าน” แทน หากราคายังคงไม่สามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือระดับนี้ได้และมีการกลับตัวลง นั่นคือการยืนยันว่าแนวโน้มขาลงได้เริ่มต้นขึ้นหรือดำเนินต่อไปอย่างแข็งแกร่ง

รูปแบบนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักเทรดเนื่องจากให้สัญญาณที่ชัดเจนและมักจะตามมาด้วยการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรง

รูปแบบที่ 2: ราคาทะลุแนวรับ ลดลง และเข้าสู่แนวโน้มขาลง

3. รูปแบบแนวโน้มขาลงและการทดสอบซ้ำ (Downtrend and Retest)

รูปแบบนี้เป็นการยืนยันแนวโน้มขาลงที่ต่อเนื่องและแข็งแกร่ง โดยราคาจะแสดงพฤติกรรมที่ซ้ำๆ กันดังนี้:

  1. การสร้างจุดต่ำสุดใหม่: ราคาจะร่วงลงและสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า (Lower Low)
  2. การทดสอบซ้ำ (Retest): หลังจากที่ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่และอาจมีการดีดตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อ “ทดสอบ” ระดับแนวรับที่เพิ่งถูกทะลุลงมา หรือระดับราคาสำคัญที่เคยเป็นแนวรับมาก่อนหน้านี้ ซึ่งระดับนี้จะกลายเป็นแนวต้านใหม่
  3. การปรับตัวลงต่อเนื่อง: เมื่อการทดสอบแนวต้านใหม่ไม่สำเร็จ ราคาจะกลับตัวลงไปอีกครั้งเพื่อสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม

กระบวนการ “ลดลง > ทดสอบซ้ำ > ลดลงต่อไป” นี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆ กันหลายครั้งตลอดแนวโน้มขาลง นักลงทุนที่เข้าใจรูปแบบนี้สามารถใช้จังหวะการทดสอบซ้ำเป็นจุดเข้า เปิดสถานะ Short ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

รูปแบบที่ 3: แนวโน้มขาลงและการทดสอบซ้ำ

4. รูปแบบแนวโน้มบันไดลง (Ladder Downward Trend Pattern)

รูปแบบนี้แสดงถึงแนวโน้มขาลงที่มีลักษณะเฉพาะคือ การเคลื่อนไหวแบบ “ลง > ออกด้านข้าง (Sideways) > ลงอีกครั้ง” ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนมือใหม่สับสนได้

  • ลักษณะ: ราคาสินทรัพย์จะปรับตัวลงมาเป็นช่วงๆ สลับกับการเคลื่อนที่ออกด้านข้างในกรอบแคบๆ ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดกำลังสะสมแรง (Consolidation) ก่อนที่จะตัดสินใจไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอีกครั้ง
  • ความท้าทาย: แม้ว่านักลงทุนจะรับรู้ได้ว่านี่คือแนวโน้มขาลง แต่การระบุจุดเข้าซื้อขาย (เช่น การ Scalping สั้นๆ ในช่วง Sideways หรือการรอสัญญาณ Breakout ที่ชัดเจน) เพื่อเปิดคำสั่ง Short อย่างปลอดภัย อาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากช่วง Sideways อาจทำให้เกิดความลังเลและสัญญาณหลอกได้

การเข้าใจรูปแบบนี้ช่วยให้นักลงทุนเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนและรอจังหวะที่เหมาะสมที่สุดในการเทรด

แบบที่ 4: รูปแบบแนวโน้มบันไดลง

แนวโน้มขาลงสิ้นสุดเมื่อใด? (When Does a Downtrend End?)

การรู้ว่า Downtrend จะสิ้นสุดลงเมื่อใดมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการตัดสินใจในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการปิดสถานะ Short หรือการเตรียมตัวสำหรับการกลับตัวเป็นขาขึ้น แนวโน้มขาลงจะถือว่าสิ้นสุดลงเมื่อ “หลักการของแนวโน้มขาลงถูกทำลาย”

  • การทำลายหลักการ: หลักการของแนวโน้มขาลงคือการสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Lows) และจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Highs) อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เมื่อราคาสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher High) หรือจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Low) ได้ นั่นหมายความว่าโครงสร้างของ Downtrend ได้ถูกทำลายลงแล้ว และแนวโน้มขาลงได้สิ้นสุดลง
  • หลังจาก Downtrend สิ้นสุด:
    1. เคลื่อนที่ออกด้านข้าง (Sideways/Consolidation): ราคาอาจเข้าสู่ช่วงที่ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน โดยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ เพื่อสะสมแรงก่อนจะเลือกทิศทางใหม่
    2. กลับสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): หากมีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่องและราคาสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้นและจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้นได้ ตลาดก็จะเปลี่ยนกลับเข้าสู่ภาวะ Uptrend หรือตลาดกระทิงอีกครั้ง

นักลงทุนควรสังเกตสัญญาณเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

แนวโน้มขาลงสิ้นสุดเมื่อใด

3 สัญญาณเข้าเทรดที่สำคัญในแนวโน้มขาลง (3 Key Entry Signals in a Downtrend)

เมื่อตลาดอยู่ในช่วง Downtrend กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมที่สุดคือการเน้นไปที่การเปิดสถานะขาย (Short/Down Order) เพื่อทำกำไรจากการที่ราคาปรับตัวลดลง การระบุสัญญาณเข้าที่แม่นยำจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นี่คือ 3 สัญญาณหลักที่คุณควรเฝ้าระวัง:

สัญญาณเข้าในแนวโน้มขาลง

1. รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง (Bearish Reversal Candlestick Patterns)

เมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาลง การค้นหารูปแบบแท่งเทียนที่บ่งชี้ถึงการกลับตัวลงจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความแม่นยำในการเข้าเทรดได้อย่างมาก รูปแบบเหล่านี้มักปรากฏขึ้นเมื่อราคามีการดีดตัวขึ้นชั่วคราวแล้วชนแนวต้านหรือเส้นแนวโน้มขาลง และแรงขายเริ่มกลับเข้ามาเหนือกว่าแรงซื้อ

3 รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่มีความแม่นยำสูงสุด:

  • Bearish Pin Bar (Shooting Star): มีลักษณะเป็นแท่งเทียนที่มีไส้เทียนยาวด้านบนและตัวเทียนสั้นๆ อยู่ด้านล่าง บ่งบอกถึงแรงซื้อที่พยายามผลักดันราคาขึ้นไปแต่ถูกแรงขายกดดันกลับลงมาอย่างรุนแรง
  • Bearish Engulfing: ประกอบด้วยแท่งเทียนขาขึ้นขนาดเล็กตามด้วยแท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่ที่กลืนกินแท่งแรกทั้งหมด บ่งชี้ถึงการครอบงำของแรงขาย
  • Evening Star: เป็นรูปแบบที่ประกอบด้วยสามแท่งเทียน เริ่มต้นด้วยแท่งขาขึ้นขนาดใหญ่ ตามด้วยแท่งขนาดเล็ก (Doji หรือ Spinning Top) และปิดท้ายด้วยแท่งขาลงขนาดใหญ่ บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนทิศทางจากขาขึ้นเป็นขาลง

การปรากฏของรูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้ในขณะที่ตลาดยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลง ถือเป็นสัญญาณที่น่าเชื่อถืออย่างยิ่งในการ เปิดคำสั่งขาย (DOWN order)

รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นหมี

2. ราคาทะลุแนวรับและลดลงอย่างต่อเนื่อง (Price Breaks Support and Continues Downtrend)

สัญญาณนี้เป็นสัญญาณที่ทรงพลังบ่งบอกถึงการเริ่มต้นหรือการดำเนินต่อของแนวโน้มขาลง โดยเฉพาะเมื่อเห็นแท่งเทียนขนาดใหญ่ที่ทะลุแนวรับ

  • การทะลุแนวรับที่แข็งแกร่ง: เมื่อราคาเคลื่อนที่ลงมาและสามารถทะลุผ่านระดับแนวรับสำคัญได้อย่างเด็ดขาด มักจะเกิดจากการที่แรงขายมีมากเกินกว่าที่แรงซื้อจะต้านทานได้
  • การสร้าง Downtrend ที่ชัดเจน: การทะลุแนวรับด้วยแท่งเทียนขนาดใหญ่ (เช่น Marubozu ขาลง) เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าแนวโน้มขาลงกำลังจะดำเนินไปอย่างแข็งแกร่ง และนี่คือจังหวะที่นักลงทุนควรพิจารณาเปิดสถานะ Short เพื่อทำกำไรจากการปรับตัวลงของราคา

การสังเกตการเคลื่อนที่ของราคาในลักษณะนี้เป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาลง

สัญญาณที่ 2: ราคาทะลุแนวรับและลดลงจากแนวโน้มขาลง

3. การทดสอบซ้ำในแนวโน้มขาลง (Retest in a Downtrend)

สัญญาณนี้มีความคล้ายคลึงกับรูปแบบที่ 3 ของแนวโน้มขาลง และเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าเทรดเมื่อแนวโน้มได้รับการยืนยัน

  • การสร้างจุดต่ำสุดที่ต่ำลง: เมื่อตลาดอยู่ในช่วง Downtrend ราคาจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า (Lower Lows)
  • การทดสอบระดับที่ถูกทะลุ (Retest): หลังจากที่ราคาได้ทะลุผ่านแนวรับสำคัญลงไปแล้ว มักจะมีการดีดตัวขึ้นมาเพื่อ “ทดสอบ” ระดับแนวรับที่เพิ่งถูกทำลายไปอีกครั้ง ระดับนี้จะทำหน้าที่เป็น “แนวต้าน” ใหม่ ซึ่งหากราคาไม่สามารถทะลุกลับขึ้นไปได้และมีการกลับตัวลง นั่นคือสัญญาณที่ยืนยันว่าแรงขายยังคงแข็งแกร่ง และเป็นจังหวะที่ดีในการเปิดสถานะ Short

นักเทรดที่มีประสบการณ์มักจะรอสัญญาณ Retest นี้เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มและเข้าเทรดด้วยความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

สัญญาณ 3: ทดสอบซ้ำในแนวโน้มขาลง

3 กลยุทธ์การซื้อขายในแนวโน้มขาลงที่ทำกำไรได้จริง (3 Trading Strategies in a Downtrend)

การเข้าใจสัญญาณการเข้าเทรดเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของสมการ อีกครึ่งหนึ่งคือการนำสัญญาณเหล่านั้นมาผนวกเข้ากับกลยุทธ์การเทรดที่แข็งแกร่ง เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม นี่คือ 3 กลยุทธ์ยอดนิยมที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้ในตลาดขาลง:

1. กลยุทธ์เส้นแนวโน้มรวมกับแท่งเทียนกลับตัว (Trendline + Doji / Bearish Pin Bar)

กลยุทธ์นี้เป็นการผสมผสานการวิเคราะห์จากเส้นแนวโน้มเข้ากับรูปแบบแท่งเทียนเพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัวลง โดยมีหลักการดังนี้:

  • เส้นแนวโน้มเป็นแนวต้าน: ในแนวโน้มขาลง เส้นแนวโน้ม จะทำหน้าที่เป็นโซนแนวต้านที่สำคัญ เมื่อราคาดีดตัวขึ้นมาและแตะเส้นแนวโน้มนี้ มักจะพบกับแรงขาย
  • แท่งเทียนกลับตัวยืนยัน: การปรากฏของ แท่งเทียน Doji (บ่งชี้ถึงความไม่แน่ใจของตลาดและการสมดุลระหว่างแรงซื้อแรงขาย) หรือ Bearish Pin Bar (Shooting Star) ที่บริเวณเส้นแนวโน้ม เป็นสัญญาณที่น่าเชื่อถืออย่างยิ่งว่าราคาจะกลับตัวลง

กฎการเข้าเทรด: เปิดสถานะขาย (DOWN order) เมื่อพบแท่งเทียน Doji หรือ Bearish Pin Bar ปรากฏขึ้นบนเส้นแนวโน้มขาลง

ทำไมถึงมีประสิทธิภาพ? การที่ราคาทดสอบแนวต้าน (เส้นแนวโน้ม) และถูกปฏิเสธด้วยรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาลง และแรงขายที่เข้ามาควบคุมตลาดอีกครั้ง

เส้นแนวโน้มรวมกับแท่งเทียน Doji และ Bearish Pin Bar

2. กลยุทธ์การซื้อขาย TLS (Trend, Level, Signal)

กลยุทธ์ TLS เป็นการรวมองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่างเข้าด้วยกัน ได้แก่ Trend (แนวโน้ม), Level (ระดับราคาสำคัญ เช่น แนวรับแนวต้าน), และ Signal (สัญญาณจากแท่งเทียน) เพื่อสร้างจุดเข้าเทรดที่มีความแม่นยำสูง

  • Trend (แนวโน้ม): ยืนยันว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง
  • Level (ระดับ): ราคาได้เคลื่อนที่กลับขึ้นไปทดสอบระดับราคาสำคัญที่เคยเป็นแนวรับมาก่อนหน้านี้ (ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแนวต้าน) หรือทดสอบเส้นแนวโน้มขาลง
  • Signal (สัญญาณ): ปรากฏรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง (เช่น Bearish Engulfing, Shooting Star) ที่บริเวณระดับราคานั้น

กฎการเข้าเทรด: เปิดสถานะขาย (DOWN order) เมื่อราคาทดสอบระดับแนวต้านในแนวโน้มขาลง และเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง

ทำไมถึงมีประสิทธิภาพ? กลยุทธ์นี้เป็นการกรองสัญญาณที่ผิดพลาดออกไปได้มาก เพราะต้องอาศัยการยืนยันจากหลายปัจจัย ทำให้จุดเข้าเทรดมีความน่าเชื่อถือสูงขึ้น

กลยุทธ์การซื้อขาย TLS

3. กลยุทธ์ TS (Trend, Signal)

กลยุทธ์ TS เป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยเน้นไปที่การระบุแนวโน้มและสัญญาณจากแท่งเทียนโดยตรง ถือเป็นกลยุทธ์ที่นักเทรดหลายคนนิยมใช้เนื่องจากความตรงไปตรงมาและเข้าใจง่าย

  • Trend (แนวโน้ม): ตลาดยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน
  • Signal (สัญญาณ): มีการก่อตัวของรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่เชื่อถือได้ (เช่น Bearish Pin Bar, Bearish Engulfing, Evening Star)

กฎการเข้าเทรด: เปิดสถานะขาย (DOWN order) เมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง และปรากฏรูปแบบแท่งเทียนการกลับตัวของตลาดหมีที่เชื่อถือได้

ทำไมถึงมีประสิทธิภาพ? กลยุทธ์นี้ทำงานได้ดีเพราะใช้หลักการพื้นฐานของการเทรดตามแนวโน้ม โดยการยืนยันจากรูปแบบแท่งเทียนจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเข้าเทรด และลดโอกาสในการเข้าเทรดสวนแนวโน้มที่อาจนำไปสู่การขาดทุน

กลยุทธ์ TS


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Downtrend (FAQ)

Downtrend กับ Bear Market ต่างกันอย่างไร?

Downtrend คือการเคลื่อนไหวของราคาที่ทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Lows) และจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Highs) ในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มใหญ่ขึ้นหรือเป็นแนวโน้มระยะสั้นก็ได้

Bear Market (ตลาดหมี) คือสภาวะตลาดที่ราคาโดยรวมของสินทรัพย์หรือดัชนีตลาดลดลงอย่างน้อย 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด และกินเวลานานหลายเดือนถึงหลายปี Bear Market มักจะครอบคลุมถึง Downtrend หลายครั้งภายในช่วงเวลาดังกล่าว

กล่าวคือ Downtrend เป็นแนวโน้มทางเทคนิคที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุก Timeframe ส่วน Bear Market คือการบ่งชี้ภาวะตลาดโดยรวมในระยะยาว

ทำไมนักลงทุนถึงสนใจ Downtrend ในตลาด Forex ทั้งที่ราคาลง?

ในตลาด Forex นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งจากการที่ราคาขึ้น (Buy/Long) และจากการที่ราคาลง (Sell/Short) การเข้าใจ Downtrend ช่วยให้นักลงทุนสามารถ:

  • เปิดสถานะขาย (Short Position): ทำกำไรเมื่อคู่สกุลเงินอ่อนค่าลง
  • หลีกเลี่ยงการขาดทุน: ปิดสถานะซื้อที่มีอยู่เพื่อป้องกันการขาดทุนเพิ่มเติม
  • วางแผนการเข้าซื้อ: รอจังหวะที่ Downtrend สิ้นสุดลงและราคาเริ่มกลับตัวเป็นขาขึ้นเพื่อเข้าซื้อในราคาที่ต่ำลง

การวิเคราะห์ Downtrend เป็นส่วนสำคัญของ กลยุทธ์การเทรด Forex ที่ครอบคลุม

สามารถใช้ Indicator ใดบ้างในการยืนยัน Downtrend?

นอกจากการวิเคราะห์ Price Action (การเคลื่อนไหวของราคา) แล้ว ยังมี Indicator หลายตัวที่ช่วยยืนยัน Downtrend ได้ เช่น:

  • Moving Averages (MA): เมื่อเส้น MA ระยะสั้นตัดลงใต้เส้น MA ระยะยาว และเส้น MA ทุกเส้นชี้ลง แสดงถึงแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง (เช่น EMA 50 ตัดใต้ EMA 200)
  • RSI (Relative Strength Index): เมื่อค่า RSI เคลื่อนที่ต่ำกว่า 50 และทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลงอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ถึงแรงขายที่ครอบงำ
  • MACD (Moving Average Convergence Divergence): เมื่อเส้น MACD ตัดลงใต้ Signal Line และ Histogram อยู่ต่ำกว่าเส้นศูนย์ แสดงถึงโมเมนตัมขาลง

การใช้ Indicator ร่วมกับการวิเคราะห์ Price Action จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการระบุและยืนยัน Downtrend ได้ดียิ่งขึ้น

จะจัดการความเสี่ยงอย่างไรเมื่อเทรดใน Downtrend?

การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรดทุกสภาวะตลาด โดยเฉพาะใน Downtrend:

  • กำหนด Stop Loss (SL) อย่างเคร่งครัด: วาง Stop Loss เหนือจุดสูงสุดล่าสุด (Lower High) ที่ราคาทำไว้ เพื่อจำกัดการขาดทุนหากตลาดกลับตัวขึ้นผิดคาด
  • ใช้ Position Sizing ที่เหมาะสม: คำนวณขนาดการเทรดให้สอดคล้องกับขนาดบัญชีและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อไม่ให้การขาดทุนในแต่ละครั้งมีผลกระทบต่อบัญชีมากเกินไป
  • ติดตามข่าวสาร: เหตุการณ์ข่าวเศรษฐกิจสำคัญอาจส่งผลให้เกิดการกลับตัวของแนวโน้มได้อย่างรวดเร็ว ควรติดตามปฏิทินเศรษฐกิจและข่าวสารที่เกี่ยวข้อง
  • อย่าเทรดสวนแนวโน้มบ่อย: ในช่วง Downtrend การพยายามเข้าซื้อ (Buy) มักจะมีความเสี่ยงสูงกว่า ควรเน้นการเปิดสถานะขายตามแนวโน้มหลัก

การมีวินัยในการบริหารความเสี่ยงจะช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาดได้ในระยะยาว

สรุป: การเป็นนักลงทุนที่เชี่ยวชาญ Downtrend

Downtrend ไม่ใช่สิ่งที่นักลงทุนควรหวาดกลัว แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตลาดที่สามารถสร้างโอกาสในการทำกำไรได้ หากคุณมีความรู้ความเข้าใจและกลยุทธ์ที่เหมาะสม การทำความเข้าใจแก่นแท้ของ Downtrend ซึ่งประกอบด้วยการสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Lows) และจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Highs) เป็นรากฐานสำคัญในการวิเคราะห์

นอกจากนี้ การศึกษา รูปแบบแนวโน้มขาลงยอดนิยม เช่น การลากเส้นแนวโน้ม การทะลุแนวรับ และการทดสอบซ้ำ จะช่วยให้คุณสามารถระบุจังหวะเข้าเทรดได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และเมื่อผนวกเข้ากับสัญญาณจากรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง คุณก็จะมีชุดเครื่องมือที่ทรงพลังในการตัดสินใจ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกฝนและทดลองใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนที่จะนำไปใช้จริง เพื่อสร้างความคุ้นเคยและมั่นใจในระบบการเทรดของคุณ อย่าลืมบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด เพราะแม้แต่กลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็ไม่สามารถรับประกันกำไร 100% ได้ แต่การจัดการความเสี่ยงที่ดีจะช่วยปกป้องเงินลงทุนของคุณได้เสมอ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการเทรดในทุกสภาวะตลาด!

You Might Also Like

Contact Us on Line