TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
แจก EA & อินดิเคเตอร์

รูปแบบกราฟ Double & Triple Top-Bottom คืออะไร

มิถุนายน 15, 2022

ถอดรหัสรูปแบบกราฟ Double & Triple Top-Bottom: กลยุทธ์การเทรดเพื่อจับจุดกลับตัวของราคาอย่างมืออาชีพ

ในโลกของการเทรด ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี การทำความเข้าใจพฤติกรรมราคาเป็นหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ หนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพสูงสำหรับการระบุจุดกลับตัวของราคาคือ รูปแบบกราฟ Double Top, Triple Top, Double Bottom และ Triple Bottom รูปแบบเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นกราฟ แต่เป็นภาพสะท้อนทางจิตวิทยาของตลาดที่ส่งสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มครั้งสำคัญ บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นแท้ของรูปแบบกราฟเหล่านี้ อธิบายว่ามันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร มีความสำคัญเพียงใด และจะนำไปประยุกต์ใช้ในการเทรดให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร เพื่อเพิ่ม โอกาสทำกำไรและลดความเสี่ยง

แก่นแท้ของรูปแบบ Double & Triple Top-Bottom: จิตวิทยาเบื้องหลังการกลับตัวของราคา

รูปแบบกราฟ Double & Triple Top-Bottom เป็นรูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns) ที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มที่กำลังจะเปลี่ยนทิศทาง โดยใช้หลักการทางจิตวิทยาของตลาดเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ เมื่อราคาไม่สามารถผ่านแนวรับหรือแนวต้านสำคัญได้ซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง มันจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เล่นในตลาดว่าระดับราคานั้นเป็นระดับที่แข็งแกร่ง และมีโอกาสสูงที่ราคาจะย้อนกลับ

Double Top และ Triple Top: สัญญาณขาลงที่ชัดเจน

รูปแบบ Double Top และ Triple Top เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) และส่งสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นนั้นกำลังจะสิ้นสุดลงและเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend)

  • Double Top (สองยอด) คืออะไร: เกิดขึ้นเมื่อราคาขึ้นไปชนแนวต้านที่ระดับหนึ่ง (ยอดที่ 1) แล้วย่อตัวลงมาเล็กน้อย จากนั้นกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านเดิมอีกครั้ง (ยอดที่ 2) แต่ไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ และเริ่มย่อตัวลงมาอีกครั้ง การที่ราคาไม่สามารถผ่านแนวต้านเดิมได้สองครั้งติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงแรงขายที่เข้ามา ณ ระดับราคานั้น ๆ ซึ่งบ่งบอกถึงความอ่อนแอของแรงซื้อ ตามหลักจิตวิทยาการเทรด
  • Triple Top (สามยอด) คืออะไร: คล้ายคลึงกับ Double Top แต่มีความแข็งแกร่งของสัญญาณกลับตัวมากกว่า Triple Top เกิดขึ้นเมื่อราคาขึ้นไปทดสอบแนวต้านเดิมถึงสามครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุผ่านไปได้เลย ยิ่งราคาไม่สามารถผ่านแนวต้านได้หลายครั้งเท่าไหร่ ยิ่งตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของแนวต้านนั้น และความน่าจะเป็นที่ราคาจะกลับตัวลงก็จะยิ่งสูงขึ้น
  • ทำไมถึงเกิด: ปรากฏการณ์นี้เกิดจากนักลงทุนและเทรดเดอร์จำนวนมากเห็นว่าระดับราคานั้นเป็นจุดสูงสุดที่สำคัญ เมื่อราคาไปถึงจุดนั้น แรงซื้อเริ่มอ่อนกำลังลง และแรงขายเริ่มเข้ามา ทำให้ราคาไม่สามารถไปต่อได้ หากเกิดซ้ำหลายครั้ง ความเชื่อมั่นในแนวโน้มขาขึ้นจะลดลงอย่างมาก
  • ตัวอย่างประกอบ: ลองจินตนาการว่าหุ้น A วิ่งขึ้นไปถึง 20 บาท (ยอดที่ 1) แล้วย่อลงมา 18 บาท จากนั้นกลับขึ้นไปทดสอบ 20 บาทอีกครั้ง (ยอดที่ 2) แต่ไม่ผ่าน และเริ่มลงมาที่ 17 บาท นี่คือสัญญาณ Double Top ที่เตือนว่าหุ้น A อาจจะกำลังเปลี่ยนเป็นขาลง หากหลังจากนั้น หุ้น A พยายามขึ้นไปทดสอบ 20 บาทอีกครั้ง (ยอดที่ 3) แต่ก็ยังไม่ผ่านอีก นี่คือ Triple Top ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่รุนแรงกว่า บ่งบอกว่านักลงทุนจำนวนมากเริ่มหมดความอดทนและพร้อมจะเทขายเมื่อราคาขึ้นไปแตะ 20 บาท

Double Bottom และ Triple Bottom: สัญญาณขาขึ้นที่สดใส

รูปแบบ Double Bottom และ Triple Bottom เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง (Downtrend) และส่งสัญญาณว่าแนวโน้มขาลงนั้นกำลังจะสิ้นสุดลงและเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)

  • Double Bottom (สองฐาน) คืออะไร: เกิดขึ้นเมื่อราคาลงมาชนแนวรับที่ระดับหนึ่ง (ฐานที่ 1) แล้วเด้งกลับขึ้นไปเล็กน้อย จากนั้นกลับลงมาทดสอบแนวรับเดิมอีกครั้ง (ฐานที่ 2) แต่ไม่สามารถทะลุผ่านลงไปได้ และเริ่มเด้งกลับขึ้นไปอีกครั้ง การที่ราคาไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้สองครั้งติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่เข้ามา ณ ระดับราคานั้น ๆ ซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของแรงซื้อ
  • Triple Bottom (สามฐาน) คืออะไร: คล้ายคลึงกับ Double Bottom แต่มีความแข็งแกร่งของสัญญาณกลับตัวมากกว่า Triple Bottom เกิดขึ้นเมื่อราคาลงมาทดสอบแนวรับเดิมถึงสามครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุผ่านลงไปได้เลย ยิ่งราคาไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้หลายครั้งเท่าไหร่ ยิ่งตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของแนวรับนั้น และความน่าจะเป็นที่ราคาจะกลับตัวขึ้นก็จะยิ่งสูงขึ้น
  • ทำไมถึงเกิด: เกิดจากนักลงทุนและเทรดเดอร์มองว่าระดับราคานั้นเป็นจุดต่ำสุดที่เหมาะสมสำหรับการเข้าซื้อ เมื่อราคาลงมาถึงจุดนั้น แรงซื้อเริ่มกลับเข้ามาหนุน ทำให้ราคาไม่สามารถลงไปได้อีก หากเกิดขึ้นซ้ำหลายครั้ง ความเชื่อมั่นในแนวโน้มขาลงจะลดลง และนักลงทุนเริ่มคาดหวังว่าราคาจะกลับตัวขึ้น
  • ตัวอย่างประกอบ: หากหุ้น B ร่วงลงมาถึง 10 บาท (ฐานที่ 1) แล้วเด้งขึ้นไป 12 บาท จากนั้นร่วงลงมาทดสอบ 10 บาทอีกครั้ง (ฐานที่ 2) แต่ไม่หลุด และเริ่มขึ้นไปที่ 13 บาท นี่คือสัญญาณ Double Bottom ที่เตือนว่าหุ้น B อาจจะกำลังเปลี่ยนเป็นขาขึ้น หากหลังจากนั้น หุ้น B พยายามลงมาทดสอบ 10 บาทอีกครั้ง (ฐานที่ 3) แต่ก็ยังไม่หลุดอีก นี่คือ Triple Bottom ซึ่งเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งกว่ามาก บ่งบอกว่านักลงทุนจำนวนมากเห็นว่า 10 บาทเป็นราคาที่น่าสนใจและพร้อมจะเข้าซื้อเมื่อราคาลงมาแตะระดับนี้

องค์ประกอบสำคัญและเคล็ดลับการนำไปใช้

ลักษณะสำคัญของรูปแบบ Double & Triple Top-Bottom

  • มักเกิดบนเส้นแนวนอน (Horizontal Line): โดยส่วนใหญ่แล้ว จุดสูงสุดหรือต่ำสุดของรูปแบบเหล่านี้จะอยู่ใกล้เคียงกับระดับราคาเดียวกัน สร้างเป็นแนวรับหรือแนวต้านในแนวนอนที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม รูปแบบเหล่านี้ก็สามารถเกิดขึ้นบน เส้นแนวโน้ม (Trend Line) ได้เช่นกัน ซึ่งจะบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มย่อยในขณะนั้น
  • ไม่ใช่สัญญาณที่เกิดขึ้นเสมอไป: Double & Triple Top-Bottom เป็นเพียงรูปแบบทางเทคนิค (Pattern) หนึ่งเท่านั้น และไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นเสมอไปในทุกสภาวะตลาด ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ข่าวสาร หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สามารถส่งผลกระทบต่อราคาและทำให้รูปแบบเหล่านี้ล้มเหลวได้
  • ความแข็งแกร่งของแนวรับ-แนวต้าน: หากระดับราคาที่เกิดรูปแบบ Double & Triple Top-Bottom เคยเป็นระดับที่มีการพักตัว (Consolidation) หรือมีการซื้อขายหนาแน่นในอดีตมาก่อน จะส่งผลให้แนวรับ-แนวต้านนั้นมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และโอกาสที่ราคาจะกลับตัวก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

เคล็ดลับการประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การเทรด

เพื่อให้การนำรูปแบบ Double & Triple Top-Bottom ไปใช้มีประสิทธิภาพสูงสุด นักเทรดควรพิจารณาเคล็ดลับดังต่อไปนี้:

  1. ใช้ร่วมกับสัญญาณบ่งชี้ (Indicator) ตัวอื่น: การใช้รูปแบบกราฟเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ควรใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น Moving Average (MA), Relative Strength Index (RSI), หรือ MACD เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว ตัวอย่างเช่น หากเกิด Double Top และ RSI แสดงภาวะ Overbought (ซื้อมากเกินไป) และเริ่มมีสัญญาณ Divergence (ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่อินดิเคเตอร์ทำจุดสูงสุดต่ำลง) จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสัญญาณการกลับตัวขาลง
  2. มองหา Volume ที่สอดคล้อง: ในรูปแบบ Double Top หรือ Triple Top เมื่อราคาขึ้นไปทดสอบยอดครั้งที่สองหรือสาม ควรสังเกตว่า Volume การซื้อขายมีแนวโน้มลดลงหรือไม่ หาก Volume ลดลงในขณะที่ราคาพยายามขึ้นไปทดสอบแนวต้านอีกครั้ง แสดงว่าแรงซื้ออ่อนแอลงจริง ๆ และเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งของการกลับตัว ในทางกลับกัน สำหรับ Double Bottom หรือ Triple Bottom หาก Volume เพิ่มขึ้นเมื่อราคาเด้งกลับจากฐานครั้งที่สองหรือสาม บ่งชี้ถึงแรงซื้อที่กลับเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ
  3. รอการยืนยัน (Confirmation): สิ่งสำคัญที่สุดคือการรอให้รูปแบบได้รับการยืนยันก่อนตัดสินใจเข้าเทรด สำหรับ Double Top/Triple Top ควรจะรอให้ราคาทะลุแนว neckline (เส้นที่เชื่อมจุดต่ำสุดระหว่างยอดทั้งสองหรือสาม) ลงไปอย่างชัดเจน และสำหรับ Double Bottom/Triple Bottom ควรจะรอให้ราคาทะลุแนว neckline (เส้นที่เชื่อมจุดสูงสุดระหว่างฐานทั้งสองหรือสาม) ขึ้นไปอย่างชัดเจน การเข้าเทรดก่อนที่จะมีการยืนยันมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก
  4. กำหนดเป้าหมายราคา (Target Price): หลังจากรูปแบบได้รับการยืนยันแล้ว สามารถคำนวณเป้าหมายราคาคร่าวๆ ได้ โดยการวัดระยะทางจากจุดสูงสุด/ต่ำสุดของรูปแบบไปจนถึงแนว neckline แล้วนำระยะทางนั้นไปบวกหรือลบจากจุด breakout ของแนว neckline เช่น หาก Double Top มีระยะห่างจากยอดถึง neckline 5 บาท และราคา breakout ที่ 18 บาท เป้าหมายราคาอาจจะอยู่ที่ 13 บาท (18-5)
  5. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management): ทุกการเทรดมีความเสี่ยง การตั้งจุด Stop Loss เป็นสิ่งสำคัญเสมอ สำหรับ Double Top/Triple Top ควรตั้ง Stop Loss เหนือยอดสูงสุดของรูปแบบเล็กน้อย และสำหรับ Double Bottom/Triple Bottom ควรตั้ง Stop Loss ใต้ฐานต่ำสุดของรูปแบบเล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสียหายหากราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ การทำความเข้าใจ การบริหารความเสี่ยง เป็นปัจจัยสำคัญในการเทรดอย่างยั่งยืน

ตารางสรุปรูปแบบ Double & Triple Top-Bottom

เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองพิจารณาตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของรูปแบบเหล่านี้:

รูปแบบกราฟ ลักษณะ สัญญาณบ่งชี้ แนวโน้มเดิม แนวโน้มใหม่ที่คาดการณ์ ความแข็งแกร่ง
Double Top ราคาชนแนวต้าน 2 ครั้ง ไม่ผ่าน แรงซื้ออ่อนแอ, แรงขายเข้า ขาขึ้น ขาลง ปานกลาง
Triple Top ราคาชนแนวต้าน 3 ครั้ง ไม่ผ่าน แรงซื้ออ่อนแอมาก, แรงขายเข้ามาก ขาขึ้น ขาลง สูง
Double Bottom ราคาชนแนวรับ 2 ครั้ง ไม่หลุด แรงขายอ่อนแอ, แรงซื้อเข้า ขาลง ขาขึ้น ปานกลาง
Triple Bottom ราคาชนแนวรับ 3 ครั้ง ไม่หลุด แรงขายอ่อนแอมาก, แรงซื้อเข้ามาก ขาลง ขาขึ้น สูง

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรูปแบบ Double & Triple Top-Bottom

1. รูปแบบ Double Top/Bottom กับ Triple Top/Bottom แตกต่างกันอย่างไรในแง่ของความน่าเชื่อถือ?

รูปแบบ Triple Top/Bottom โดยทั่วไปมีความน่าเชื่อถือสูงกว่า Double Top/Bottom เนื่องจากมีการทดสอบแนวรับหรือแนวต้านถึงสามครั้งแล้วไม่สามารถผ่านไปได้ ยิ่งราคาทดสอบระดับสำคัญหลายครั้งและยังคงไม่ผ่าน ยิ่งเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของแนวรับหรือแนวต้านนั้น และเพิ่มความมั่นใจให้กับเทรดเดอร์ว่าการกลับตัวของราคามีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นจริงมากกว่า

2. ควรใช้อินดิเคเตอร์อะไรบ้างร่วมกับรูปแบบ Double & Triple Top-Bottom เพื่อเพิ่มความแม่นยำ?

เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการระบุจุดกลับตัว เทรดเดอร์ควรพิจารณาใช้อินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator เช่น RSI (Relative Strength Index) หรือ Stochastic Oscillator เพื่อดูภาวะ Overbought/Oversold และหา Divergence นอกจากนี้ การดู Volume (ปริมาณการซื้อขาย) ก็เป็นสิ่งสำคัญ หาก Volume ยืนยันการอ่อนแรงของแนวโน้มเดิม จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของสัญญาณกลับตัวได้เป็นอย่างดี

3. รูปแบบ Double & Triple Top-Bottom สามารถเกิดขึ้นได้ในทุก Timeframe หรือไม่?

ใช่ รูปแบบเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุก Timeframe ไม่ว่าจะเป็นกราฟรายนาที รายชั่วโมง รายวัน หรือรายสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ยิ่ง Timeframe ใหญ่เท่าไหร่ ความน่าเชื่อถือของรูปแบบก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น เนื่องจากรูปแบบที่เกิดขึ้นใน Timeframe ที่ใหญ่กว่ามักจะสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาของตลาดในระยะยาวที่มีนัยสำคัญมากกว่า

4. หากราคาหลุดแนว neckline แล้ว แต่กลับขึ้น/ลงไปต่อ จะเกิดอะไรขึ้น?

หากราคาหลุดแนว neckline (เส้นยืนยัน) แล้ว แต่กลับเคลื่อนที่สวนทางกับที่คาดการณ์ไว้ นั่นอาจเป็นสัญญาณของ “Fake Breakout” หรือการหลุดหลอก ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในตลาด การบริหารความเสี่ยงด้วยการตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากสัญญาณหลอกเหล่านี้

5. การทำความเข้าใจ “จิตวิทยาการเทรด” มีความสำคัญอย่างไรกับการใช้รูปแบบเหล่านี้?

จิตวิทยาการเทรดเป็นรากฐานสำคัญของรูปแบบ Double & Triple Top-Bottom โดยสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความคาดหวังของนักลงทุนในตลาด เมื่อราคาไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ซ้ำๆ นักลงทุนจะเริ่มเชื่อว่าราคากำลังจะกลับตัวลง และเมื่อราคาไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้ซ้ำๆ นักลงทุนก็จะเชื่อว่าราคากำลังจะกลับตัวขึ้น การเข้าใจจิตวิทยาเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตีความรูปแบบกราฟได้อย่างลึกซึ้งและตัดสินใจเทรดได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น

Conclusion: สรุปและ Call to Action

รูปแบบกราฟ Double Top, Triple Top, Double Bottom และ Triple Bottom เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการระบุจุดกลับตัวของราคา ด้วยการทำความเข้าใจหลักการทางจิตวิทยาเบื้องหลังของรูปแบบเหล่านี้ รวมถึงการประยุกต์ใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ และการบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้คุณสามารถเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจและสร้างโอกาสในการทำกำไรในตลาดได้อย่างยั่งยืน

อย่าลืมว่า การเรียนรู้และฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในโลกของการเทรด ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การอ่านกราฟแท่งเทียน และ กลยุทธ์การเทรดอื่น ๆ เพื่อพัฒนาทักษะของคุณให้เฉียบคมยิ่งขึ้น และหากคุณกำลังมองหาเครื่องมือช่วยเทรดอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพ ทาง FTT Investing มีระบบเทรด EA Indicator และกลุ่ม Line VIP ฟรี ที่จะช่วยสนับสนุนการเทรดของคุณ เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ที่เราแนะนำ ก็สามารถรับสิทธิพิเศษเหล่านี้ได้ทันที

รับฟรีระบบเทรดอัตโนมัติและเข้าร่วมกลุ่ม VIP ของเราวันนี้!

ฟรีระบบเทรด
สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการใช้ EA indicator และเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี
มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย
.
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงค์ด้านล่าง ก็สามารถรับ EA ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆอื่นๆได้อีกในอนาคต
XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
.
Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
.
exness – โบรคเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด
.
**”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อ
.
ขอรับ EA ได้ฟรี!”**
.
ช่องทางการพูดคุย
.
Line Id :: @ft.th
.
.
กลุ่มพูดคุย :: เทรดฟอเร็กซ์ให้ได้กําไรอย่างยั่งยืน
.
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line