9 รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) ที่นักเทรด Forex มืออาชีพใช้คาดการณ์ทิศทางตลาด: Ultimate Guide ฉบับสมบูรณ์
การทำความเข้าใจ รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) ถือเป็นทักษะสำคัญที่นักเทรดทุกคนในตลาด Forex ต้องมี ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ รูปแบบเหล่านี้เปรียบเสมือนภาษาของตลาดที่บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อ (กระทิง) และผู้ขาย (หมี) ในแต่ละช่วงเวลา การอ่านและตีความรูปแบบแท่งเทียนได้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต และกำหนดจุดเข้าออกที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในบทความนี้ เราจะเจาะลึก 9 รูปแบบแท่งเทียนยอดนิยมที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งในการ วิเคราะห์ตลาด Forex เราจะอธิบายแต่ละรูปแบบอย่างละเอียด ตั้งแต่ลักษณะการก่อตัว สัญญาณที่บ่งบอก ไปจนถึงกลยุทธ์การเทรดที่ควรนำไปใช้ รวมถึงข้อควรระวังต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการเทรดจริงได้อย่างมั่นใจ

ความสำคัญของรูปแบบแท่งเทียนในการเทรด Forex
ก่อนที่จะลงลึกในแต่ละรูปแบบ เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานที่ทำให้รูปแบบแท่งเทียนเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาด Forex กันก่อน
ประวัติและความเป็นมาของแท่งเทียน
แท่งเทียนญี่ปุ่น (Japanese Candlesticks) มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดยพ่อค้าข้าวชาวญี่ปุ่นชื่อ Munehisa Homma เขาได้พัฒนากราฟชนิดนี้ขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์ราคาข้าวและทำนายแนวโน้มในอนาคต ซึ่งแนวคิดนี้ได้ถูกนำมาปรับใช้ในตลาดการเงินตะวันตกในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 โดย Steve Nison และกลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักเทรดทั่วโลก ด้วยความสามารถในการแสดงข้อมูลราคาที่ครบถ้วนและเข้าใจง่าย
หลักการทำงานของแท่งเทียน
แท่งเทียนแต่ละแท่งแสดงข้อมูลราคาสำคัญ 4 จุดภายในกรอบเวลาที่กำหนด ได้แก่ ราคาเปิด (Open), ราคาสูงสุด (High), ราคาต่ำสุด (Low) และราคาปิด (Close) หรือที่เรียกว่า OHLC ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาสร้างเป็นส่วนประกอบหลักของแท่งเทียน:
- ลำตัวแท่งเทียน (Real Body): แสดงถึงช่วงระหว่างราคาเปิดและราคาปิด ขนาดของลำตัวบ่งบอกถึงแรงซื้อหรือแรงขายในกรอบเวลานั้นๆ
- แท่งเทียนสีเขียว (Bullish Candlestick): โดยทั่วไปหมายถึงราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แสดงถึงแรงซื้อที่เข้ามาในตลาด หากลำตัวยาว หมายถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
- แท่งเทียนสีแดง (Bearish Candlestick): โดยทั่วไปหมายถึงราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด แสดงถึงแรงขายที่เข้ามาในตลาด หากลำตัวยาว หมายถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง
- ไส้เทียน/เงาเทียน (Wicks/Shadows): เส้นเล็กๆ ที่ยื่นออกมาจากลำตัวแท่งเทียน แสดงถึงราคาสูงสุด (Upper Wick) และราคาต่ำสุด (Lower Wick) ที่เกิดขึ้นในกรอบเวลานั้นๆ ความยาวของไส้เทียนสามารถบอกถึงความผันผวนและความไม่แน่นอนของราคา
การรวมตัวกันของแท่งเทียนหลายแท่งจะสร้างเป็น รูปแบบ (Patterns) ที่มีนัยสำคัญทางจิตวิทยาตลาด ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถ วิเคราะห์แนวโน้ม การกลับตัว หรือความต่อเนื่องของราคาได้
9 รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) ยอดนิยมสำหรับการคาดการณ์ทิศทางตลาด Forex
ต่อไปนี้คือ 9 รูปแบบแท่งเทียนที่นักเทรด Forex มักใช้ในการวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางตลาด โดยแต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะและนัยยะที่แตกต่างกันออกไป พร้อมเปอร์เซ็นต์ความแม่นยำโดยประมาณจากการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง:
1. Bullish Engulfing (82%)
Bullish Engulfing คืออะไร?
รูปแบบ Bullish Engulfing เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นที่ทรงพลัง ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งที่เกิดขึ้นเมื่อตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend)

ลักษณะที่สังเกต:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งสีแดงขนาดเล็ก แสดงถึงแรงขายที่อ่อนตัวลง
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งสีเขียวขนาดใหญ่ที่กลืนกิน (Engulfs) ลำตัวของแท่งเทียนสีแดงก่อนหน้าทั้งหมด หมายความว่าราคาเปิดของแท่งที่สองต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแรก และราคาปิดของแท่งที่สองสูงกว่าราคาเปิดของแท่งแรก
- โดยปกติ ไส้เทียนของแท่งที่สองอาจจะครอบคลุมไส้เทียนของแท่งแรกด้วย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือลำตัวแท่งเทียน
ทำไมถึงสำคัญ:
รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมอย่างรุนแรงจากแรงขายเป็นแรงซื้อ หลังจากที่ผู้ขายพยายามผลักดันราคาลงมา แต่ผู้ซื้อกลับเข้ามาควบคุมตลาดและปิดราคาได้สูงกว่าราคาเปิดของแท่งก่อนหน้าอย่างชัดเจน เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาลงกำลังจะสิ้นสุดลงและอาจมีการกลับตัวเป็นขาขึ้น
วิธีการเทรดและกฎ:
- การยืนยัน: ควรรอยืนยันด้วยแท่งเทียนถัดไปว่าเป็นแท่งสีเขียวที่ต่อเนื่อง หรือมีตัวบ่งชี้อื่นๆ เช่น RSI ที่แสดงภาวะ Overbought/Oversold หรือ MACD ที่กำลังจะตัดขึ้น ดูการใช้อินดิเคเตอร์เพิ่มเติม
- จุดเข้า: เข้าซื้อ (Long) เมื่อแท่งเทียน Bullish Engulfing ปิด และแท่งถัดไปเริ่มเป็นขาขึ้น
- จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียน Bullish Engulfing
- จุดทำกำไร (Take Profit): อาจใช้แนวต้านถัดไป หรือ ระดับ Fibonacci Retracement เป็นเป้าหมาย
ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้:
หากรูปแบบนี้ปรากฏขึ้นที่แนวรับที่แข็งแกร่ง หรือในภาวะตลาดที่มี Volume การซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความแม่นยำในการกลับตัวยิ่งสูงขึ้น การเทรดตามสัญญาณนี้มีโอกาสทำกำไรสูงหากเป็นจุดกลับตัวจริง
ถ้าไม่เป็นไปตามคาดการณ์:
หากหลังจากเกิด Bullish Engulfing แล้ว ราคาไม่สามารถขึ้นต่อได้และกลับลงมาต่ำกว่าจุด Stop Loss แสดงว่าสัญญาณกลับตัวล้มเหลว อาจเป็นเพราะแรงขายยังมีอยู่ หรือเกิดเหตุการณ์ข่าวสารสำคัญที่เปลี่ยนแปลง Sentiment ตลาด ควรปฏิบัติตามแผนการ Stop Loss อย่างเคร่งครัดเพื่อ บริหารความเสี่ยง
2. Bearish Engulfing (79%)
Bearish Engulfing คืออะไร?
รูปแบบ Bearish Engulfing เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลงที่แข็งแกร่งเช่นกัน เกิดขึ้นเมื่อตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)

ลักษณะที่สังเกต:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งสีเขียวขนาดเล็ก แสดงถึงแรงซื้อที่อ่อนตัวลง
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งสีแดงขนาดใหญ่ที่กลืนกินลำตัวของแท่งเทียนสีเขียวก่อนหน้าทั้งหมด โดยราคาเปิดของแท่งที่สองสูงกว่าราคาปิดของแท่งแรก และราคาปิดของแท่งที่สองต่ำกว่าราคาเปิดของแท่งแรก
ทำไมถึงสำคัญ:
เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าแรงซื้อที่เคยผลักดันราคาขึ้นกำลังหมดลง และแรงขายได้เข้ามายึดครองตลาดอย่างสมบูรณ์ ทำให้ราคามีโอกาสกลับตัวเป็นขาลง
วิธีการเทรดและกฎ:
- การยืนยัน: ควรรอยืนยันด้วยแท่งเทียนถัดไปว่าเป็นแท่งสีแดงที่ต่อเนื่อง หรือมีตัวบ่งชี้อื่นๆ เช่น RSI ที่แสดงภาวะ Overbought หรือ MACD ที่กำลังจะตัดลง
- จุดเข้า: เข้าขาย (Short) เมื่อแท่งเทียน Bearish Engulfing ปิด และแท่งถัดไปเริ่มเป็นขาลง
- จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้สูงกว่าราคา candlestick pattern สูงสุดของแท่งเทียน Bearish Engulfing
- จุดทำกำไร (Take Profit): อาจใช้แนวรับถัดไป หรือระดับ Fibonacci Retracement เป็นเป้าหมาย
ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้:
หากรูปแบบนี้ปรากฏขึ้นที่แนวต้านที่แข็งแกร่ง หรือในภาวะตลาดที่มี Volume การซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความแม่นยำในการกลับตัวยิ่งสูงขึ้น การเทรดตามสัญญาณนี้มีโอกาสทำกำไรสูงหากเป็นการกลับตัวจริง
ถ้าไม่เป็นไปตามคาดการณ์:
หากหลังจากเกิด Bearish Engulfing แล้ว ราคาไม่สามารถลงต่อได้และกลับขึ้นมาสูงกว่าจุด Stop Loss แสดงว่าสัญญาณกลับตัวล้มเหลว อาจเป็นเพราะแรงซื้อยังมีอยู่ หรือเกิดเหตุการณ์ข่าวสารสำคัญที่เปลี่ยนแปลง Sentiment ตลาด ควรปฏิบัติตามแผนการ Stop Loss อย่างเคร่งครัด
3. Morning Star (75%)
Morning Star คืออะไร?
Morning Star เป็นรูปแบบแท่งเทียน 3 แท่งที่บ่งบอกถึงการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น พบเห็นได้บ่อยครั้งที่บริเวณจุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง

ลักษณะที่สังเกต:
- แท่งเทียนแรก: แท่งสีแดงขนาดใหญ่ แสดงถึงแรงขายที่ยังคงควบคุมตลาด
- แท่งเทียนที่สอง: แท่งขนาดเล็ก (อาจเป็น Doji, Spinning Top หรือ Hammer) ซึ่งเปิดและปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแรกเล็กน้อย (มี Gap Down) บ่งบอกถึงความลังเลและความไม่แน่นอนในตลาด
- แท่งเทียนที่สาม: แท่งสีเขียวขนาดใหญ่ที่เปิดด้วย Gap Up (สูงกว่าราคาปิดของแท่งที่สอง) และปิดอยู่ภายในลำตัวของแท่งแรกอย่างน้อยกึ่งหนึ่ง แสดงถึงแรงซื้อที่เข้ามาอย่างรุนแรงและเอาชนะแรงขายได้
ทำไมถึงสำคัญ:
รูปแบบนี้แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากผู้ขายไปสู่ผู้ซื้อ หลังจากที่ราคาถูกกดดันลงมา แท่งกลางบ่งบอกถึงจุดที่แรงขายเริ่มหมดและเกิดความไม่แน่ใจ จากนั้นแท่งที่สามก็ยืนยันการกลับตัวด้วยแรงซื้อที่แข็งแกร่ง เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นยามเช้าหลังความมืดมิด
วิธีการเทรดและกฎ:
- การยืนยัน: รอให้แท่งเทียนที่สามปิดสมบูรณ์ และอาจใช้ Volume การซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งที่สามเป็นสัญญาณยืนยันเพิ่มเติม
- จุดเข้า: เข้าซื้อ (Long) เมื่อแท่งเทียน Morning Star ปิดสมบูรณ์ หรือเมื่อราคาเริ่มขึ้นในแท่งถัดไป
- จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียนกลาง (แท่งที่สอง) เล็กน้อย
- จุดทำกำไร (Take Profit): ใช้แนวต้านสำคัญถัดไป หรือพิจารณาจากอัตราส่วน Risk-Reward ที่เหมาะสม
ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้:
Morning Star เป็นสัญญาณกลับตัวที่มีความน่าเชื่อถือสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดขึ้นที่บริเวณแนวรับสำคัญ หรือเมื่ออินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น Stochastic หรือ RSI บ่งชี้ภาวะ Oversold การกลับตัวมักจะนำไปสู่แนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน
ถ้าไม่เป็นไปตามคาดการณ์:
หากราคาไม่สามารถรักษาระดับการขึ้นได้หลังจากเกิด Morning Star และกลับลงมาต่ำกว่าจุด Stop Loss ควรปิดสถานะเพื่อลดความเสียหาย การเกิดรูปแบบนี้ที่บริเวณที่ไม่ใช่แนวรับ หรือในตลาดที่ไม่มี Volume อาจทำให้สัญญาณอ่อนแอลงได้
4. Evening Star (73%)
Evening Star คืออะไร?
Evening Star เป็นรูปแบบแท่งเทียน 3 แท่งที่บ่งบอกถึงการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง ตรงข้ามกับ Morning Star มักพบเห็นที่บริเวณจุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น

ลักษณะที่สังเกต:
- แท่งเทียนแรก: แท่งสีเขียวขนาดใหญ่ แสดงถึงแรงซื้อที่ยังคงควบคุมตลาด
- แท่งเทียนที่สอง: แท่งขนาดเล็ก (อาจเป็น Doji, Spinning Top หรือ Shooting Star) ซึ่งเปิดและปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งแรกเล็กน้อย (มี Gap Up) บ่งบอกถึงความลังเลและความไม่แน่นอนที่เริ่มเข้ามาในตลาด
- แท่งเทียนที่สาม: แท่งสีแดงขนาดใหญ่ที่เปิดด้วย Gap Down (ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งที่สอง) และปิดอยู่ภายในลำตัวของแท่งแรกอย่างน้อยกึ่งหนึ่ง แสดงถึงแรงขายที่เข้ามาอย่างรุนแรงและเอาชนะแรงซื้อได้
ทำไมถึงสำคัญ:
รูปแบบนี้ส่งสัญญาณว่าแรงซื้อที่เคยขับเคลื่อนราคาขึ้นกำลังอ่อนแรงลง แท่งกลางแสดงถึงจุดที่ผู้ซื้อเริ่มลังเลและไม่สามารถผลักดันราคาขึ้นไปได้อีก แท่งที่สามเป็นการยืนยันว่าผู้ขายได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์และกำลังจะกดดันราคาลง เป็นสัญญาณการสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น
วิธีการเทรดและกฎ:
- การยืนยัน: รอให้แท่งเทียนที่สามปิดสมบูรณ์ และอาจใช้ Volume การซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในแท่งที่สามเป็นสัญญาณยืนยันเพิ่มเติม
- จุดเข้า: เข้าขาย (Short) เมื่อแท่งเทียน Evening Star ปิดสมบูรณ์ หรือเมื่อราคาเริ่มลงในแท่งถัดไป
- จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้สูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งเทียนกลาง (แท่งที่สอง) เล็กน้อย
- จุดทำกำไร (Take Profit): ใช้แนวรับสำคัญถัดไป หรือพิจารณาจากอัตราส่วน Risk-Reward ที่เหมาะสม
ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้:
Evening Star เป็นสัญญาณกลับตัวที่มีความน่าเชื่อถือสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดขึ้นที่บริเวณแนวต้านสำคัญ หรือเมื่ออินดิเคเตอร์อื่นๆ บ่งชี้ภาวะ Overbought การกลับตัวมักจะนำไปสู่แนวโน้มขาลงที่ชัดเจน
ถ้าไม่เป็นไปตามคาดการณ์:
หากราคาไม่สามารถรักษาระดับการลงได้หลังจากเกิด Evening Star และกลับขึ้นมาสูงกว่าจุด Stop Loss ควรปิดสถานะ การเกิดรูปแบบนี้ที่บริเวณที่ไม่ใช่แนวต้าน หรือในตลาดที่ไม่มี Volume อาจทำให้สัญญาณอ่อนแอลง
5. Inverted Hammer (68%)
Inverted Hammer คืออะไร?
Inverted Hammer หรือค้อนกลับหัว เป็นรูปแบบแท่งเทียนเดียวที่บ่งบอกถึงการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น มักปรากฏที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง

ลักษณะที่สังเกต:
- มีลำตัวแท่งเทียนขนาดเล็ก (สีเขียวหรือแดงก็ได้)
- มีไส้เทียนด้านบนที่ยาวมาก (ยาวเป็น 2-3 เท่าของลำตัว)
- มีไส้เทียนด้านล่างสั้นมากหรือไม่มีเลย
ทำไมถึงสำคัญ:
Inverted Hammer แสดงให้เห็นว่าในช่วงเวลาหนึ่ง ราคาถูกผลักดันขึ้นไปสูงมาก แต่กลับถูกกดดันลงมาจนปิดใกล้กับราคาเปิด แม้แรงขายจะกลับมาช่วงปลาย แต่การที่ราคาเคยขึ้นไปสูงมากบ่งบอกว่าผู้ซื้อพยายามเข้ามาควบคุมตลาดแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณแรกของการสิ้นสุดแนวโน้มขาลง
วิธีการเทรดและกฎ:
- การยืนยัน: จำเป็นต้องมีแท่งเทียนยืนยัน (Confirmation Candlestick) ที่เป็นแท่งสีเขียวขนาดใหญ่ปิดสูงกว่า Inverted Hammer ในแท่งถัดไป เพื่อยืนยันว่าแรงซื้อเข้ามาแล้วจริงๆ
- จุดเข้า: เข้าซื้อ (Long) เมื่อแท่งยืนยันปิดสมบูรณ์
- จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของ Inverted Hammer เล็กน้อย
- จุดทำกำไร (Take Profit): ใช้แนวต้านถัดไป หรือตามกลยุทธ์ Risk-Reward
ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้:
หาก Inverted Hammer เกิดขึ้นที่แนวรับที่แข็งแกร่ง และมีแท่งยืนยันที่ชัดเจน โอกาสในการกลับตัวเป็นขาขึ้นจะสูงมาก
ถ้าไม่เป็นไปตามคาดการณ์:
หากไม่มีแท่งยืนยัน หรือราคาลดลงต่อเนื่องหลังจาก Inverted Hammer แสดงว่าสัญญาณล้มเหลว ควรพิจารณาปิดสถานะและหาสัญญาณอื่น
6. Shooting Star (66%)
Shooting Star คืออะไร?
Shooting Star เป็นรูปแบบแท่งเทียนเดียวที่บ่งบอกถึงการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง มักปรากฏที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น ตรงข้ามกับ Inverted Hammer

ลักษณะที่สังเกต:
- มีลำตัวแท่งเทียนขนาดเล็ก (สีเขียวหรือแดงก็ได้)
- มีไส้เทียนด้านบนที่ยาวมาก (ยาวเป็น 2-3 เท่าของลำตัว)
- มีไส้เทียนด้านล่างสั้นมากหรือไม่มีเลย
ทำไมถึงสำคัญ:
Shooting Star แสดงให้เห็นว่าในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้ซื้อพยายามผลักดันราคาขึ้นไปสูงมาก แต่กลับถูกแรงขายที่แข็งแกร่งกดดันลงมาอย่างรวดเร็วจนปิดใกล้กับราคาเปิดหรือต่ำกว่าราคาเปิด บ่งบอกว่าผู้ขายได้เข้าควบคุมตลาดแล้ว และมีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาลง
วิธีการเทรดและกฎ:
- การยืนยัน: จำเป็นต้องมีแท่งเทียนยืนยัน (Confirmation Candlestick) ที่เป็นแท่งสีแดงขนาดใหญ่ปิดต่ำกว่า Shooting Star ในแท่งถัดไป เพื่อยืนยันว่าแรงขายเข้ามาแล้วจริงๆ
- จุดเข้า: เข้าขาย (Short) เมื่อแท่งยืนยันปิดสมบูรณ์
- จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้สูงกว่าราคา candlestick pattern สูงสุดของ Shooting Star เล็กน้อย
- จุดทำกำไร (Take Profit): ใช้แนวรับถัดไป หรือตามกลยุทธ์ Risk-Reward
ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้:
หาก Shooting Star เกิดขึ้นที่แนวต้านที่แข็งแกร่ง และมีแท่งยืนยันที่ชัดเจน โอกาสในการกลับตัวเป็นขาลงจะสูงมาก
ถ้าไม่เป็นไปตามคาดการณ์:
หากไม่มีแท่งยืนยัน หรือราคากลับขึ้นต่อเนื่องหลังจาก Shooting Star แสดงว่าสัญญาณล้มเหลว ควรพิจารณาปิดสถานะและหาสัญญาณอื่น
7. Bullish Harami (63%)
Bullish Harami คืออะไร?
Bullish Harami เป็นรูปแบบแท่งเทียน 2 แท่งที่บ่งบอกถึงการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น มักพบเห็นที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง คำว่า “Harami” ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “ตั้งครรภ์” ซึ่งอธิบายลักษณะของรูปแบบที่แท่งเทียนที่สองถูก “กลืนกิน” โดยแท่งแรก

ลักษณะที่สังเกต:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งสีแดงขนาดใหญ่ แสดงถึงแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งสีเขียวขนาดเล็ก โดยลำตัวของแท่งที่สองอยู่ภายในลำตัวของแท่งแรกทั้งหมด
ทำไมถึงสำคัญ:
หลังจากที่แรงขายครอบงำมาตลอด แท่งเทียนที่สองที่มีขนาดเล็กลงและอยู่ภายในแท่งแรก บ่งบอกถึงการลดลงของแรงขายและความไม่แน่ใจในตลาด ผู้ซื้อเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถสร้างแรงผลักดันที่แข็งแกร่งพอที่จะกลืนกินแท่งแรกได้ทั้งหมด ถือเป็นสัญญาณเตือนแรกของการกลับตัว
วิธีการเทรดและกฎ:
- การยืนยัน: Bullish Harami ไม่ใช่สัญญาณที่แข็งแกร่งเท่า Engulfing จึงจำเป็นต้องมีแท่งยืนยันที่เป็นแท่งสีเขียวขนาดใหญ่ในแท่งถัดไป หรือมีสัญญาณจากอินดิเคเตอร์อื่นๆ
- จุดเข้า: เข้าซื้อ (Long) หลังจากมีแท่งยืนยันปิดเหนือแท่งที่สอง
- จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียนแรกเล็กน้อย
- จุดทำกำไร (Take Profit): ใช้แนวต้านถัดไป
ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้:
เมื่อเกิดที่แนวรับที่แข็งแกร่ง พร้อมด้วย Volume การซื้อขายที่สูงในแท่งยืนยัน Bullish Harami จะมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น การเทรดตามสัญญาณนี้อาจนำไปสู่การกลับตัวของแนวโน้ม
ถ้าไม่เป็นไปตามคาดการณ์:
หากไม่มีแท่งยืนยัน หรือราคายังคงลดลงหลังจากรูปแบบนี้ แสดงว่าสัญญาณอ่อนแอและอาจไม่ใช่การกลับตัวที่แท้จริง ควรระมัดระวังและรอสัญญาณที่ชัดเจนกว่า
8. Bearish Harami (61%)
Bearish Harami คืออะไร?
Bearish Harami เป็นรูปแบบแท่งเทียน 2 แท่งที่บ่งบอกถึงการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง มักพบเห็นที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น ตรงข้ามกับ Bullish Harami

ลักษณะที่สังเกต:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งสีเขียวขนาดใหญ่ แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งสีแดงขนาดเล็ก โดยลำตัวของแท่งที่สองอยู่ภายในลำตัวของแท่งแรกทั้งหมด
ทำไมถึงสำคัญ:
หลังจากที่แรงซื้อครอบงำตลาดมา แท่งเทียนที่สองที่มีขนาดเล็กลงและอยู่ภายในแท่งแรก บ่งบอกถึงการลดลงของแรงซื้อและความไม่แน่ใจในตลาด ผู้ขายเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถสร้างแรงกดดันที่แข็งแกร่งพอที่จะกลืนกินแท่งแรกได้ทั้งหมด ถือเป็นสัญญาณเตือนแรกของการกลับตัว
วิธีการเทรดและกฎ:
- การยืนยัน: Bearish Harami ต้องการแท่งยืนยันที่เป็นแท่งสีแดงขนาดใหญ่ในแท่งถัดไป หรือมีสัญญาณจากอินดิเคเตอร์อื่นๆ
- จุดเข้า: เข้าขาย (Short) หลังจากมีแท่งยืนยันปิดต่ำกว่าแท่งที่สอง
- จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้สูงกว่าราคา candlestick pattern สูงสุดของแท่งเทียนแรกเล็กน้อย
- จุดทำกำไร (Take Profit): ใช้แนวรับถัดไป
ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้:
เมื่อเกิดที่แนวต้านที่แข็งแกร่ง พร้อมด้วย Volume การซื้อขายที่สูงในแท่งยืนยัน Bearish Harami จะมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น การเทรดตามสัญญาณนี้อาจนำไปสู่การกลับตัวของแนวโน้ม
ถ้าไม่เป็นไปตามคาดการณ์:
หากไม่มีแท่งยืนยัน หรือราคายังคงเพิ่มขึ้นหลังจากรูปแบบนี้ แสดงว่าสัญญาณอ่อนแอและอาจไม่ใช่การกลับตัวที่แท้จริง ควรระมัดระวังและรอสัญญาณที่ชัดเจนกว่า
9. Piercing Pattern (59%)
Piercing Pattern คืออะไร?
Piercing Pattern เป็นรูปแบบแท่งเทียน 2 แท่งที่บ่งบอกถึงการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น มักเกิดขึ้นที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง

ลักษณะที่สังเกต:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งสีแดงขนาดใหญ่ แสดงถึงแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งสีเขียวที่เปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแรก (มี Gap Down) แต่ปิดสูงกว่าจุดกึ่งกลางของลำตัวแท่งเทียนสีแดงแรก
ทำไมถึงสำคัญ:
รูปแบบนี้แสดงถึงความพยายามของแรงขายที่จะกดราคาลงไปอีกในตอนเปิดแท่งที่สอง แต่กลับถูกแรงซื้อที่แข็งแกร่งสวนกลับจนสามารถดันราคาปิดขึ้นมาได้เกินกึ่งกลางของแท่งแดงก่อนหน้า บ่งชี้ว่าผู้ซื้อได้เข้ามามีอำนาจและมีศักยภาพที่จะผลักดันราคาให้กลับตัวเป็นขาขึ้นได้
วิธีการเทรดและกฎ:
- การยืนยัน: ควรมีแท่งเทียนยืนยันที่เป็นแท่งสีเขียวต่อเนื่องในแท่งถัดไป หรือมีสัญญาณจากอินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น Volume ที่เพิ่มขึ้น
- จุดเข้า: เข้าซื้อ (Long) เมื่อแท่งเทียน Piercing Pattern ปิดสมบูรณ์ หรือเมื่อแท่งยืนยันปรากฏ
- จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียนที่สอง (แท่งสีเขียว)
- จุดทำกำไร (Take Profit): ใช้แนวต้านถัดไป หรือตามกลยุทธ์ Risk-Reward
ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้:
Piercing Pattern มีความน่าเชื่อถือสูงเมื่อเกิดที่แนวรับสำคัญ และบ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้นที่ชัดเจน มักจะนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของราคา
ถ้าไม่เป็นไปตามคาดการณ์:
หากราคากลับลดลงต่ำกว่าจุด Stop Loss แสดงว่าสัญญาณกลับตัวล้มเหลว อาจเป็นเพราะแรงขายยังคงแข็งแกร่ง หรือปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกแซง ควรพิจารณาปิดสถานะและวิเคราะห์ตลาดใหม่

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความแม่นยำของรูปแบบแท่งเทียน
แม้ว่ารูปแบบแท่งเทียนจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ความแม่นยำของมันไม่ได้สมบูรณ์ 100% และขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้:
- Timeframe (กรอบเวลา): รูปแบบที่เกิดขึ้นใน Timeframe ที่ใหญ่กว่า (เช่น Daily, Weekly) มักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่ารูปแบบที่เกิดขึ้นใน Timeframe ที่เล็กกว่า (เช่น M5, M15) เนื่องจากสะท้อนถึงการตัดสินใจของนักลงทุนกลุ่มใหญ่กว่า
- Volume การซื้อขาย: รูปแบบกลับตัวที่มาพร้อมกับ Volume การซื้อขายที่สูง มักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากบ่งบอกถึงการมีส่วนร่วมของตลาดที่มากขึ้นในการเปลี่ยนแปลงทิศทาง
- แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance): รูปแบบกลับตัวที่เกิดขึ้นบริเวณแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง จะมีนัยยะสำคัญมากกว่าการเกิดในพื้นที่กลางๆ ที่ไม่มีนัยยะทางเทคนิค
- การยืนยันจากอินดิเคเตอร์อื่นๆ: การใช้รูปแบบแท่งเทียนร่วมกับ อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค อื่นๆ เช่น Moving Averages, RSI, MACD หรือ Stochastic สามารถช่วยเพิ่มความแม่นยำของสัญญาณได้
- บริบทของตลาด: สถานการณ์ตลาดโดยรวม เช่น ตลาดอยู่ในช่วง Sideways, มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญ หรืออยู่ในภาวะ Risk-on/Risk-off ก็ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของรูปแบบแท่งเทียนได้
เคล็ดลับการใช้รูปแบบแท่งเทียนอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้รูปแบบแท่งเทียนในการเทรด Forex ควรปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้:
- ยืนยันสัญญาณเสมอ: อย่าเพิ่งตัดสินใจเทรดทันทีที่เห็นรูปแบบ ให้รอแท่งเทียนถัดไปเพื่อยืนยันทิศทาง หรือใช้เครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ ประกอบการตัดสินใจ
- ใช้หลาย Timeframe: วิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนในหลาย Timeframe เพื่อให้เห็นภาพรวมของตลาดและยืนยันแนวโน้มที่แข็งแกร่งขึ้น
- บริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด: กำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit ที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรดทุกครั้ง เพื่อปกป้องเงินทุนของคุณ และรักษาอัตราส่วน Risk-Reward ที่เหมาะสม
- ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ: การอ่านและตีความรูปแบบแท่งเทียนต้องอาศัยประสบการณ์ ลองฝึกฝนกับบัญชี Demo บ่อยๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและความมั่นใจ
- ติดตามข่าวสาร: เหตุการณ์ข่าวเศรษฐกิจสำคัญสามารถทำให้รูปแบบแท่งเทียนถูกทำลายได้ ดังนั้นควรติดตามปฏิทินเศรษฐกิจและข่าวสารที่สำคัญอยู่เสมอ
FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียน Forex
Q1: รูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้เหมาะกับ Timeframe ไหนมากที่สุด?
A1: โดยทั่วไป รูปแบบแท่งเทียนที่เกิดขึ้นใน Timeframe ที่ใหญ่กว่า เช่น H4 (4 ชั่วโมง), Daily (รายวัน), หรือ Weekly (รายสัปดาห์) จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า Timeframe ที่เล็กกว่า (เช่น M5, M15) เพราะสัญญาณใน Timeframe ที่ใหญ่กว่ามักสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของ Sentiment ตลาดที่แท้จริงและได้รับการยืนยันจากผู้เล่นในตลาดจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม นักเทรดสาย Scalping หรือ Day Trading อาจใช้รูปแบบเหล่านี้ใน Timeframe ที่เล็กลงได้ แต่ต้องระวัง False Signals และใช้การยืนยันจากอินดิเคเตอร์และ Price Action อื่นๆ ร่วมด้วยอย่างเคร่งครัด
Q2: ควรใช้รูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้เพียงอย่างเดียวในการเทรดหรือไม่?
A2: ไม่แนะนำให้ใช้รูปแบบแท่งเทียนเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจเทรด เนื่องจากการพึ่งพาเครื่องมือเดียวอาจทำให้เกิด False Signals ได้ง่าย ควรใช้รูปแบบแท่งเทียนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเทรดที่ครอบคลุม โดยการรวมเข้ากับการวิเคราะห์แนวรับแนวต้าน (Support and Resistance), การวิเคราะห์ Volume, การยืนยันจากอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่นๆ (เช่น RSI, MACD, Moving Averages), และการพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของตลาด สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความแม่นยำของสัญญาณและลดความเสี่ยงในการเทรด
Q3: เปอร์เซ็นต์ความแม่นยำที่ระบุมีความหมายอย่างไร และเชื่อถือได้แค่ไหน?
A3: เปอร์เซ็นต์ความแม่นยำที่ระบุเป็นค่าสถิติโดยประมาณที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง (Backtesting) ของรูปแบบแท่งเทียนนั้นๆ ในบริบทตลาดที่แตกต่างกัน ซึ่งหมายถึงความถี่ที่รูปแบบนั้นๆ นำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม เปอร์เซ็นต์เหล่านี้เป็นเพียงค่าเฉลี่ยและไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ในอนาคตได้ 100% ความแม่นยำจริงจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น Timeframe ที่ใช้, คู่สกุลเงินที่เทรด, สภาพตลาดในขณะนั้น, และการยืนยันจากเครื่องมืออื่นๆ ดังนั้น ควรใช้ตัวเลขเหล่านี้เป็นแนวทางและไม่ยึดติดจนเกินไป แต่ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจบริบทและการยืนยันสัญญาณเพิ่มเติมเป็นหลัก
Q4: ถ้าเห็นรูปแบบกลับตัว แต่ราคากลับไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ควรทำอย่างไร?
A4: หากเกิดรูปแบบกลับตัวแต่ราคาไม่ได้เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ และเริ่มเคลื่อนไหวสวนทางจนเกินจุด Stop Loss ที่ตั้งไว้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องปฏิบัติตามแผนการเทรดและปิดสถานะเพื่อจำกัดการขาดทุน อย่าพยายาม “ถัวเฉลี่ย” หรือ “ถือทน” โดยหวังว่าราคาจะกลับตัวในที่สุด เพราะนั่นอาจนำไปสู่การขาดทุนที่ใหญ่ขึ้นได้ การที่สัญญาณล้มเหลวอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ข่าวสารสำคัญที่ออกมา, การเปลี่ยนแปลงของ Sentiment ตลาดอย่างกะทันหัน หรือ Volume การซื้อขายที่ไม่เพียงพอ การยอมรับการขาดทุนเล็กน้อยเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยงที่ดี
Q5: รูปแบบแท่งเทียน Doji แตกต่างจากรูปแบบอื่นๆ อย่างไร?
A5: รูปแบบแท่งเทียน Doji (Doji Candlestick) มีความแตกต่างจากรูปแบบอื่นๆ ที่กล่าวมาตรงที่ลำตัวแท่งเทียนมีขนาดเล็กมาก หรือไม่มีเลย (ราคาเปิดและราคาปิดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก) Doji บ่งบอกถึงความลังเลและความไม่แน่ใจในตลาดอย่างรุนแรง โดยที่แรงซื้อและแรงขายมีความสมดุลกัน ต่างจากรูปแบบ Engulfing หรือ Star ที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมที่ชัดเจน Doji มักจะเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มปัจจุบันอาจกำลังจะจบลงและอาจมีการกลับตัว แต่ต้องรอการยืนยันจากแท่งเทียนถัดไปที่ชัดเจนมากกว่า เพราะ Doji เพียงอย่างเดียวแสดงถึงความไม่แน่ใจ ไม่ใช่การกลับตัวที่สมบูรณ์
สรุป
การเข้าใจและนำ รูปแบบแท่งเทียน ทั้ง 9 รูปแบบนี้ไปใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ จะช่วยให้คุณมีมุมมองที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด Forex รูปแบบเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจ การฝึกฝน การบริหารความเสี่ยง และการมีวินัยในการเทรดคือปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว
จงจำไว้ว่าไม่มีรูปแบบใดที่แม่นยำ 100% การรวมสัญญาณจากหลายแหล่งข้อมูล การวิเคราะห์ Timeframe ที่เหมาะสม และการจัดการเงินทุนอย่างรอบคอบ จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับทักษะการเทรดของคุณให้เป็นมืออาชีพ
หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการเทรดหรือระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ หรือเข้าร่วมกลุ่ม Free EA Trading System ของเราเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับนักเทรดท่านอื่นๆ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการเทรด!


