พจนานุกรมรูปแบบแท่งเทียน 37 แบบ: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ

การทำความเข้าใจรูปแบบแท่งเทียนเป็นหัวใจสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็น Forex, หุ้น, หรือสินค้าโภคภัณฑ์ พจนานุกรมรูปแบบแท่งเทียนฉบับนี้รวบรวม 37 รูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีอัตราความแม่นยำในการคาดการณ์ทิศทางราคาในตลาด บทความนี้จะเจาะลึกรายละเอียดของแต่ละรูปแบบ ตั้งแต่ลักษณะการก่อตัวไปจนถึงกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสม โดยเน้นการเพิ่มจุดบรรจบ (confluence) กับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อยกระดับความน่าจะเป็นในการทำกำไรของคุณ
รูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพกราฟราคา แต่เป็นเสมือน “ภาษา” ที่บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในแต่ละช่วงเวลา การทำความเข้าใจจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลังการก่อตัวของแต่ละแท่งเทียนจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีเหตุผลและมั่นใจมากยิ่งขึ้น การเรียนรู้จากพจนานุกรมนี้จะวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการวิเคราะห์ตลาดของคุณ

แท่งเทียน (Candlesticks) คืออะไร? และมีความสำคัญอย่างไรในการวิเคราะห์ตลาด?
แท่งเทียน หรือ Candlesticks คือรูปแบบการแสดงข้อมูลราคาที่พัฒนาขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเมื่อหลายร้อยปีก่อน โดยพ่อค้าข้าวชาวญี่ปุ่นชื่อ มุเนฮิสะ ฮอมมะ (Munehisa Homma) ปัจจุบันเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เนื่องจากให้ข้อมูลที่สำคัญถึง 4 ส่วนภายในแท่งเดียว ทำให้เทรดเดอร์สามารถเข้าใจถึงการเคลื่อนไหวของราคาและจิตวิทยาตลาดได้อย่างรวดเร็ว
องค์ประกอบหลักของแท่งเทียน:
แท่งเทียนแต่ละแท่งประกอบด้วย 3 จุดหลักที่สำคัญ ดังนี้:
- ราคาเปิด (Open Price): ราคาเปิดหมายถึงราคาแรกที่มีการซื้อขายสินทรัพย์คู่ใดคู่หนึ่งในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น หากเราดูกราฟรายวัน ราคาเปิดคือราคาแรกที่มีการซื้อขายเมื่อตลาดเปิดทำการในวันนั้นๆ
- ราคาปิด (Close Price): ราคาปิดแสดงถึงราคาซื้อขายสุดท้ายของสินทรัพย์นั้นๆ ในช่วงเวลาที่กำหนด เป็นราคาที่สำคัญมาก เพราะมักจะสะท้อนถึงการตัดสินใจของเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ในช่วงท้ายของกรอบเวลานั้น หากราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แท่งเทียนจะเป็นสีเขียวหรือขาว (Bullish) บ่งบอกถึงแรงซื้อที่เหนือกว่า แต่หากราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด แท่งเทียนจะเป็นสีแดงหรือดำ (Bearish) บ่งบอกถึงแรงขายที่เหนือกว่า
- ไส้เทียน (Wick/Shadow): ไส้เทียน หรือที่เรียกว่า “เงา” แสดงถึงช่วงความผันผวนของราคาสูงสุดและต่ำสุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งเมื่อเทียบกับราคาเปิดและปิด ไส้เทียนด้านบน (Upper Wick) แสดงถึงราคาสูงสุดที่สินทรัพย์เคยไปถึง แต่ถูกผลักดันลงมา ส่วนไส้เทียนด้านล่าง (Lower Wick) แสดงถึงราคาต่ำสุดที่สินทรัพย์เคยลงไป แต่ถูกผลักดันกลับขึ้นมา ไส้เทียนที่ยาวเป็นพิเศษสามารถบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจของตลาด หรือการปฏิเสธราคาอย่างรุนแรง
ความสำคัญของแท่งเทียนในการตัดสินใจซื้อขาย:
การทำความเข้าใจองค์ประกอบเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถอ่าน “อารมณ์” ของตลาดได้ หากแท่งเทียนมีลำตัวยาวและไส้เทียนสั้น แสดงว่ามีแรงซื้อหรือแรงขายที่แข็งแกร่งและชัดเจน ในทางกลับกัน หากลำตัวสั้นและไส้เทียนยาว อาจบ่งบอกถึงความลังเลหรือการต่อสู้ที่สูสีระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงการกลับตัวของแนวโน้มหรือการเคลื่อนที่แบบไร้ทิศทาง
การรวมเอาความเข้าใจเกี่ยวกับแท่งเทียนเข้ากับการวิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance) หรือเครื่องมืออื่น ๆ เช่น Moving Average (MA), RSI และ MACD จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเทรดได้อย่างมาก คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เทคนิคการอ่านกราฟแท่งเทียน เพื่อจุดเข้าซื้อ-ขายที่แม่นยำ
ประเภทของรูปแบบแท่งเทียน: การจำแนกเพื่อการวิเคราะห์แนวโน้ม
รูปแบบแท่งเทียนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามทิศทางและผลลัพธ์ของแนวโน้มที่บ่งชี้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางกลยุทธ์การเทรด:
- รูปแบบแท่งเทียน Bullish (ขาขึ้น): รูปแบบเหล่านี้บ่งบอกถึงศักยภาพที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น มักจะปรากฏในระหว่างหรือท้ายแนวโน้มขาลง เพื่อส่งสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น หรือยืนยันความต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น ตัวอย่างเช่น Hammer, Bullish Engulfing, Morning Star ซึ่งล้วนสะท้อนถึงแรงซื้อที่เริ่มเข้ามาครอบงำตลาด
- รูปแบบแท่งเทียน Bearish (ขาลง): รูปแบบเหล่านี้บ่งบอกถึงศักยภาพที่ราคาจะปรับตัวต่ำลง มักจะปรากฏในระหว่างหรือท้ายแนวโน้มขาขึ้น เพื่อส่งสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลง หรือยืนยันความต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง ตัวอย่างเช่น Hanging Man, Bearish Engulfing, Evening Star ซึ่งสะท้อนถึงแรงขายที่เริ่มเข้ามาครอบงำตลาด
นอกจากนี้ รูปแบบทั้ง 2 ประเภทยังสามารถจำแนกย่อยได้อีกตามลักษณะการส่งสัญญาณ ได้แก่:
- รูปแบบการกลับตัวของแนวโน้ม (Reversal Patterns): รูปแบบที่บ่งบอกว่าแนวโน้มปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลงและเปลี่ยนทิศทาง ตัวอย่างเช่น Pin Bar, Engulfing, Doji Star
- รูปแบบความต่อเนื่องของแนวโน้ม (Continuation Patterns): รูปแบบที่บ่งบอกว่าแนวโน้มปัจจุบันจะยังคงดำเนินต่อไปหลังจากช่วงพักตัวระยะสั้น ตัวอย่างเช่น Rising/Falling Three Methods, Tasuki Gap
- รูปแบบตลาดที่หลากหลาย (Indecision Patterns): รูปแบบที่บ่งบอกถึงความไม่แน่ใจของตลาด ไม่มีฝ่ายใดมีอำนาจเหนือกว่าอย่างชัดเจน มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่ผันผวนหรือไม่แน่นอนในระยะสั้น ตัวอย่างเช่น Doji, High Wave Candlestick
การทำความเข้าใจการจำแนกประเภทเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตีความสัญญาณที่ได้รับจากกราฟราคาได้อย่างถูกต้องและวางแผนการเทรดได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดจริง คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว ได้อีกด้วย
รูปแบบแท่งเทียน 37 แบบที่สำคัญสำหรับการเทรด
ต่อไปนี้คือรายละเอียดของรูปแบบแท่งเทียน 37 แบบ พร้อมคำอธิบายเชิงลึกและแนวทางการนำไปใช้ในการเทรด:
1. Pin Bar (พินบาร์)
คืออะไร? แท่งเทียน Pin Bar เป็นรูปแบบการกลับตัวของแนวโน้มที่โดดเด่นด้วยลำตัวขนาดเล็กและมีไส้เทียน (หาง) ที่ยาวมากอยู่ด้านหนึ่ง (ด้านบนหรือด้านล่าง) ในขณะที่อีกด้านหนึ่งมีไส้เทียนสั้นมากหรือไม่มีเลย สีของลำตัวแท่งเทียนไม่สำคัญเท่ากับตำแหน่งและความยาวของไส้เทียน
ประเภทของ Pin Bar:
- Bullish Pin Bar: มีไส้เทียนยาวอยู่ด้านล่างลำตัว แสดงถึงแรงซื้อที่เข้ามาอย่างแข็งแกร่งหลังจากที่ราคาพยายามลงไปต่ำสุด บ่งชี้ว่าราคาอาจจะกลับตัวเป็นขาขึ้น มักเกิดขึ้นที่บริเวณแนวรับสำคัญ
- Bearish Pin Bar: มีไส้เทียนยาวอยู่ด้านบนลำตัว แสดงถึงแรงขายที่เข้ามาอย่างรุนแรงหลังจากที่ราคาพยายามขึ้นไปสูงสุด บ่งชี้ว่าราคาอาจจะกลับตัวเป็นขาลง มักเกิดขึ้นที่บริเวณแนวต้านสำคัญ
ทำไมจึงสำคัญ? Pin Bar สะท้อนถึงการปฏิเสธราคาอย่างรุนแรงในระดับใดระดับหนึ่ง หากเกิด Bullish Pin Bar แสดงว่าผู้ซื้อสามารถผลักดันราคาขึ้นมาได้มากหลังจากลงไปต่ำสุด ทำให้แรงขายอ่อนกำลังลง ในทางกลับกัน หากเกิด Bearish Pin Bar แสดงว่าผู้ขายสามารถกดราคาลงมาได้มากหลังจากขึ้นไปสูงสุด ทำให้แรงซื้ออ่อนกำลังลง
การเทรดด้วย Pin Bar:
มักใช้เป็นสัญญาณเข้าเทรดเมื่อปรากฏที่แนวรับ/แนวต้านที่แข็งแกร่ง หรือเส้นเทรนด์ไลน์ (Trendline) กลยุทธ์การเทรด Scalping ด้วย Pin Bar แนะนำให้เข้าซื้อเมื่อ Bullish Pin Bar ปิดเหนือแนวรับ หรือเข้าขายเมื่อ Bearish Pin Bar ปิดต่ำกว่าแนวต้าน โดยตั้ง Stop Loss ไว้นอกปลายไส้เทียนที่ยาวและ Take Profit ตามเป้าหมายราคาถัดไป

2. Engulfing (กลืนกิน)
คืออะไร? รูปแบบ Engulfing เป็นรูปแบบการกลับตัวที่ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่ง โดยแท่งเทียนที่สองจะมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่าและ “กลืน” แท่งเทียนแรกทั้งหมด
ประเภทของ Engulfing:
- Bullish Engulfing: เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง แท่งเทียนแรกเป็นแท่งแดงขนาดเล็ก (หรือเขียวเล็กก็ได้) ตามด้วยแท่งเขียวขนาดใหญ่ที่เปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแรกและปิดสูงกว่าราคาเปิดของแท่งแรก บ่งชี้ว่าแรงซื้อเข้ามาอย่างรุนแรงและครอบงำแรงขายอย่างสมบูรณ์
- Bearish Engulfing: เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น แท่งเทียนแรกเป็นแท่งเขียวขนาดเล็ก (หรือแดงเล็กก็ได้) ตามด้วยแท่งแดงขนาดใหญ่ที่เปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งแรกและปิดต่ำกว่าราคาเปิดของแท่งแรก บ่งชี้ว่าแรงขายเข้ามาอย่างรุนแรงและครอบงำแรงซื้ออย่างสมบูรณ์
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบ Engulfing เป็นสัญญาณการกลับตัวที่แข็งแกร่งมาก เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของอำนาจในตลาดอย่างชัดเจนจากฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง “การกลืนกิน” ที่สมบูรณ์แบบของแท่งเทียนที่สองบ่งบอกถึงโมเมนตัมที่รุนแรง
การเทรดด้วย Engulfing:
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น แท่งเทียนที่สองควรจะกลืนแท่งเทียนแรกได้อย่างสมบูรณ์และมีขนาดใหญ่กว่ามาก ยิ่งลำตัวของแท่งเทียนที่สองยาวมากเท่าไหร่ สัญญาณก็จะยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น มักใช้เข้าเทรดเมื่อเกิดที่แนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้นอกปลายแท่งเทียนที่สอง และ Take Profit ตามเป้าหมายที่เหมาะสม

3. Inside Bar
คืออะไร? รูปแบบ Inside Bar ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่ง โดยแท่งเทียนที่สอง (Inside Bar) จะมีช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุดที่อยู่ภายในช่วงของแท่งเทียนแรก (Mother Bar) อย่างสมบูรณ์
ทำไมจึงสำคัญ? Inside Bar แสดงถึงความไม่แน่นอนหรือการหยุดพักตัวของตลาดชั่วคราวหลังจากที่มีการเคลื่อนไหวที่รุนแรง แท่งเทียนขนาดเล็กที่อยู่ภายในแท่งใหญ่บ่งบอกว่าตลาดกำลังรวบรวมกำลังก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะไปในทิศทางใดต่อไป รูปแบบ Inside Bar นี้มักจะเป็นสัญญาณของความผันผวนที่ลดลงก่อนที่จะมีการ breakout (ทะลุออก) หรือ continuation (ต่อเนื่อง) ของแนวโน้ม
การเทรดด้วย Inside Bar:
ตลาดจะตัดสินใจทิศทางโดยการทะลุผ่าน (breakout) ช่วงของ Inside Bar เทรดเดอร์มักจะวางคำสั่งซื้อขายแบบรอ (pending orders) ไว้เหนือราคาสูงสุดและต่ำสุดของ Mother Bar หากราคา breakout ขึ้นเหนือ Mother Bar ก็จะเป็นสัญญาณซื้อ (Bullish) และหาก breakout ลงต่ำกว่า Mother Bar ก็จะเป็นสัญญาณขาย (Bearish) Stop Loss มักจะวางไว้ตรงกลางของ Mother Bar หรืออีกด้านหนึ่งของ Inside Bar

4. Morning Doji Star
คืออะไร? Morning Doji Star เป็นรูปแบบแท่งเทียน 3 แท่งที่บ่งบอกถึงการกลับตัวเป็นขาขึ้น มักจะปรากฏที่ก้นของแนวโน้มขาลง
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งแดงขนาดใหญ่ (Bearish) ซึ่งยืนยันแนวโน้มขาลงที่กำลังดำเนินอยู่
- แท่งเทียนที่สองคือแท่ง Doji ที่เปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแรก และมีลำตัวที่เล็กมากหรือไม่มีเลย (ราคาเปิดเท่ากับราคาปิด) ซึ่งบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจของตลาด ไส้เทียนอาจจะยาวหรือไม่ยาวก็ได้
- แท่งเทียนที่สามเป็นแท่งเขียวขนาดใหญ่ (Bullish) ที่เปิดสูงกว่าแท่ง Doji และปิดเข้าไปในลำตัวของแท่งแดงแรก
ทำไมจึงสำคัญ? Morning Doji Star เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้นที่แข็งแกร่ง Morning Doji Star แสดงให้เห็นว่าแรงขายที่เคยครอบงำได้อ่อนกำลังลงในแท่ง Doji และแรงซื้อได้เข้าควบคุมตลาดอย่างเต็มที่ในแท่งเทียนที่สาม
การเทรดด้วย Morning Doji Star:
เป็นสัญญาณเข้าซื้อที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่บริเวณแนวรับที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่ง Doji และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายไปที่แนวต้านถัดไป การยืนยันด้วย Volume ที่สูงในแท่งเทียนที่สามจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับรูปแบบนี้

5. Long-legged Doji (โดจิขายาว)
คืออะไร? Long-legged Doji เป็นแท่งเทียน Doji ชนิดหนึ่งที่มีไส้เทียนบนและล่างที่ยาวมาก ในขณะที่ลำตัวแท่งเทียน (ส่วนที่แสดงราคาเปิดและปิด) มีขนาดเล็กมาก หรือราคาเปิดและปิดเท่ากัน
ทำไมจึงสำคัญ? Long-legged Doji แสดงถึงความไม่แน่ใจอย่างรุนแรงในตลาด ในช่วงเวลาที่เกิดแท่งเทียนนี้ ราคาได้เคลื่อนไหวขึ้นและลงอย่างมาก แต่ท้ายที่สุดก็กลับมาปิดใกล้เคียงกับราคาเปิด ซึ่งบ่งชี้ว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างฝ่ายต่างผลักดันราคาอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีฝ่ายใดสามารถครองอำนาจได้อย่างชัดเจน
การเทรดด้วย Long-legged Doji:
รูปแบบนี้มักจะปรากฏที่จุดกลับตัวของแนวโน้ม หรือในช่วงที่ตลาดกำลังหาทิศทางใหม่หลังจากมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรง หาก Long-legged Doji ปรากฏขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้นที่ยาวนาน อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าโมเมนตัมขาขึ้นกำลังอ่อนแรงลง และอาจมีการกลับตัว ในทางกลับกัน หากปรากฏหลังแนวโน้มขาลง อาจบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแรงขายและโอกาสในการกลับตัวเป็นขาขึ้น เทรดเดอร์ควรระมัดระวังและรอการยืนยันจากแท่งเทียนถัดไปก่อนตัดสินใจเข้าเทรด

6. Three Outside Down
คืออะไร? Three Outside Down เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง มักจะเกิดขึ้นที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งเขียวขนาดเล็ก (Bullish)
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งแดงขนาดใหญ่ (Bearish) ที่กลืนแท่งเทียนแรกอย่างสมบูรณ์ (เป็นรูปแบบ Bearish Engulfing)
- แท่งเทียนที่สามเป็นแท่งแดงขนาดเล็ก (Bearish) ที่ปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่สอง
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงการกลับตัวของแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงอย่างชัดเจน Three Inside Down แสดงถึงการที่แรงขายเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญจนสามารถครอบงำแรงซื้อได้ (ผ่านแท่ง Engulfing) และได้รับการยืนยันเพิ่มเติมด้วยการทำจุดต่ำสุดใหม่ในแท่งเทียนที่สาม
การเทรดด้วย Three Outside Down:
เป็นสัญญาณขายที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดขึ้นที่บริเวณแนวต้านที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่สอง และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายไปที่แนวรับถัดไป ควรพิจารณา Volume การซื้อขายร่วมด้วย หาก Volume สูงในแท่งเทียนที่สองและสาม จะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสัญญาณนี้

7. Bullish Belt Hold
คืออะไร? Bullish Belt Hold เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาขึ้นที่ประกอบด้วยแท่งเทียนเดียว โดยมีลักษณะเด่นคือเป็นแท่งเทียนเขียวขนาดใหญ่ (Marubozu หรือใกล้เคียง Marubozu) ที่เปิดที่จุดต่ำสุดของแท่ง (หรือใกล้เคียง) โดยมีไส้เทียนด้านล่างสั้นมากหรือไม่มีเลย และปิดใกล้จุดสูงสุดของแท่งหลังจากที่ราคาได้ปรับตัวลงมาหลายแท่งก่อนหน้า
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้เป็นสัญญาณกลับตัวที่แข็งแกร่งหลังจากแนวโน้มขาลง Bullish Belt Hold แสดงถึงการเข้ามาของแรงซื้อที่รุนแรงและฉับพลัน ซึ่งสามารถพลิกสถานการณ์จากแรงขายที่เคยครอบงำให้กลับมาเป็นแรงซื้อได้อย่างรวดเร็ว การเปิดที่จุดต่ำสุด (หรือ Gap down) แล้วปิดสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกว่าผู้ซื้อได้เข้าควบคุมตลาดและผลักดันราคาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
การเทรดด้วย Bullish Belt Hold:
มักจะปรากฏที่ก้นของแนวโน้มขาลงหรือใกล้กับแนวรับที่สำคัญ เป็นสัญญาณเข้าซื้อที่ดี Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่งเทียนนี้ และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายไปที่แนวต้านถัดไป การยืนยันด้วย Volume ที่สูงจะเพิ่มความน่าเชื่อถือ ควรพิจารณาควบคู่กับ Timeframe ที่ใหญ่ขึ้นเพื่อยืนยันแนวโน้ม

8. Bullish Piercing
คืออะไร? รูปแบบ Bullish Piercing เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาขึ้นที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งแดงขนาดใหญ่ (Bearish) ซึ่งยืนยันแนวโน้มขาลง
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งเขียว (Bullish) ที่เปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแดงแรก (Gap down) และปิดสูงกว่าระดับ 50% ของลำตัวแท่งแดงแรก
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย หลังจากที่ผู้ขายครอบงำตลาดด้วยแท่งแดงขนาดใหญ่ ผู้ซื้อได้เข้ามาและผลักดันราคาให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจนปิดลึกเข้าไปในลำตัวของแท่งแดงแรก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมที่อาจนำไปสู่การกลับตัวเป็นขาขึ้น
การเทรดด้วย Bullish Piercing:
เป็นสัญญาณเข้าซื้อที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่แนวรับที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่สอง และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายไปที่แนวต้านถัดไป การยืนยันด้วยแท่งเทียนเขียวถัดไปที่ปิดสูงกว่าแท่งเขียวของ Piercing จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ

9. Bearish Belt Hold
คืออะไร? Bearish Belt Hold เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่ประกอบด้วยแท่งเทียนเดียว โดยมีลักษณะเด่นคือเป็นแท่งเทียนแดงขนาดใหญ่ (Marubozu หรือใกล้เคียง Marubozu) ที่เปิดที่จุดสูงสุดของแท่ง (หรือใกล้เคียง) โดยมีไส้เทียนด้านบนสั้นมากหรือไม่มีเลย และปิดใกล้จุดต่ำสุดของแท่งหลังจากที่ราคาได้ปรับตัวขึ้นมาหลายแท่งก่อนหน้า
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้เป็นสัญญาณกลับตัวที่แข็งแกร่งหลังจากแนวโน้มขาขึ้น Bearish Belt Hold แสดงถึงการเข้ามาของแรงขายที่รุนแรงและฉับพลัน ซึ่งสามารถพลิกสถานการณ์จากแรงซื้อที่เคยครอบงำให้กลับมาเป็นแรงขายได้อย่างรวดเร็ว การเปิดที่จุดสูงสุด (หรือ Gap up) แล้วปิดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกว่าผู้ขายได้เข้าควบคุมตลาดและผลักดันราคาลงอย่างแข็งแกร่ง
การเทรดด้วย Bearish Belt Hold:
มักจะปรากฏที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้นหรือใกล้กับแนวต้านที่สำคัญ เป็นสัญญาณเข้าขายที่ดี Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนนี้ และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายไปที่แนวรับถัดไป การยืนยันด้วย Volume ที่สูงจะเพิ่มความน่าเชื่อถือ ควรพิจารณาควบคู่กับ Timeframe ที่ใหญ่ขึ้นเพื่อยืนยันแนวโน้ม

10. Rising Window
คืออะไร? Rising Window เป็นรูปแบบความต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้นที่ประกอบด้วยแท่งเทียน Bullish สองแท่ง โดยมีช่องว่าง (Gap) ระหว่างราคาสูงสุดของแท่งเทียนแรกกับราคาต่ำสุดของแท่งเทียนที่สอง
ทำไมจึงสำคัญ? ช่องว่างนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความผันผวนในการซื้อขายสูงและมีแรงซื้อที่รุนแรงมากจนราคาข้ามช่วงราคาหนึ่งไปโดยไม่มีการซื้อขายใดๆ Gap นี้บ่งชี้ถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่งและต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อยังคงครอบงำตลาดอย่างชัดเจน
การเทรดด้วย Rising Window:
Rising Window ถือเป็นแนวรับที่สำคัญ หากราคาย้อนกลับลงมาปิดช่องว่างนี้ อาจเป็นสัญญาณว่าโมเมนตัมขาขึ้นกำลังอ่อนแอลง แต่โดยทั่วไปแล้ว การเกิด Rising Window บ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นจะดำเนินต่อไป เทรดเดอร์สามารถใช้รูปแบบนี้เป็นสัญญาณในการถือสถานะซื้อ หรือพิจารณาเข้าซื้อหากราคาเกิดการย่อตัวลงมาใกล้ช่องว่างแต่ไม่ปิดช่องว่างลง

11. Falling Window
คืออะไร? Falling Window เป็นรูปแบบความต่อเนื่องของแนวโน้มขาลงที่ประกอบด้วยแท่งเทียน Bearish สองแท่ง โดยมีช่องว่าง (Gap) ระหว่างราคาต่ำสุดของแท่งเทียนแรกกับราคาสูงสุดของแท่งเทียนที่สอง
ทำไมจึงสำคัญ? ช่องว่างนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีแรงขายที่รุนแรงมากจนราคาข้ามช่วงราคาหนึ่งไปโดยไม่มีการซื้อขายใดๆ Gap นี้บ่งชี้ถึงโมเมนตัมขาลงที่แข็งแกร่งและต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าผู้ขายยังคงครอบงำตลาดอย่างชัดเจน
การเทรดด้วย Falling Window:
Falling Window ถือเป็นแนวต้านที่สำคัญ หากราคาย้อนกลับขึ้นไปปิดช่องว่างนี้ อาจเป็นสัญญาณว่าโมเมนตัมขาลงกำลังอ่อนแอลง แต่โดยทั่วไปแล้ว การเกิด Falling Window บ่งชี้ว่าแนวโน้มขาลงจะดำเนินต่อไป เทรดเดอร์สามารถใช้รูปแบบนี้เป็นสัญญาณในการถือสถานะขาย หรือพิจารณาเข้าขายหากราคาเกิดการดีดตัวขึ้นมาใกล้ช่องว่างแต่ไม่ปิดช่องว่างลง

12. Tweezer Top
คืออะไร? Tweezer Top เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่งที่มีจุดสูงสุดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งเขียว (Bullish)
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งแดง (Bearish) โดยที่ราคาสูงสุดของทั้งสองแท่งอยู่ในระดับเดียวกัน
ทำไมจึงสำคัญ? Tweezer Top บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาในระดับสูงสุดเดียวกันถึงสองครั้ง แสดงให้เห็นว่าตลาดไม่สามารถผลักดันราคาให้สูงขึ้นกว่าระดับนั้นได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแรงซื้อกำลังหมดแรงและแรงขายกำลังเข้ามาครอบงำตลาด ทำให้เกิดการกลับตัวเป็นขาลง Tweezer Top นี้เป็นสัญญาณที่สำคัญเมื่อเกิดขึ้นที่แนวต้านแข็งแกร่ง
การเทรดด้วย Tweezer Top:
เป็นสัญญาณขายที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่แนวต้านสำคัญ Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของรูปแบบ Tweezer Top และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายไปที่แนวรับถัดไป การยืนยันด้วย Volume ที่สูงในแท่งเทียนที่สองจะเพิ่มความน่าเชื่อถือ

13. Tweezer Bottom
คืออะไร? Tweezer Bottom เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาขึ้นที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่งที่มีจุดต่ำสุดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งแดง (Bearish)
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งเขียว (Bullish) โดยที่ราคาต่ำสุดของทั้งสองแท่งอยู่ในระดับเดียวกัน
ทำไมจึงสำคัญ? Tweezer Bottom บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาในระดับต่ำสุดเดียวกันถึงสองครั้ง แสดงให้เห็นว่าตลาดไม่สามารถผลักดันราคาให้ต่ำลงกว่าระดับนั้นได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแรงขายกำลังหมดแรงและแรงซื้อกำลังเข้ามาครอบงำตลาด ทำให้เกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้น Tweezer Bottom นี้เป็นสัญญาณที่สำคัญเมื่อเกิดขึ้นที่แนวรับแข็งแกร่ง
การเทรดด้วย Tweezer Bottom:
เป็นสัญญาณซื้อที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่แนวรับสำคัญ Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของรูปแบบ Tweezer Bottom และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายไปที่แนวต้านถัดไป การยืนยันด้วย Volume ที่สูงในแท่งเทียนที่สองจะเพิ่มความน่าเชื่อถือ

14. Dragonfly Doji
คืออะไร? Dragonfly Doji เป็นแท่งเทียน Doji ชนิดหนึ่งที่มีไส้เทียนด้านล่างที่ยาวมาก แต่มีไส้เทียนด้านบนสั้นมากหรือไม่มีเลย และราคาเปิด ราคาปิด และราคาสูงสุดอยู่ในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาก
ทำไมจึงสำคัญ? Dragonfly Doji บ่งบอกถึงการกลับตัวเป็นขาขึ้นที่แข็งแกร่ง มักปรากฏที่ก้นของแนวโน้มขาลง แสดงว่าแม้ว่าผู้ขายจะพยายามผลักดันราคาลงไปอย่างรุนแรงในช่วงแรก แต่ผู้ซื้อก็เข้ามาอย่างรวดเร็วและผลักดันราคาให้กลับขึ้นมาปิดใกล้เคียงกับราคาเปิดและราคาสูงสุด ซึ่งเป็นสัญญาณของการปฏิเสธราคาต่ำสุดอย่างรุนแรงและโมเมนตัมขาขึ้นที่กำลังจะเริ่มขึ้น
การเทรดด้วย Dragonfly Doji:
เป็นสัญญาณซื้อที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่แนวรับที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้ใต้ปลายไส้เทียนที่ยาวที่สุดของ Dragonfly Doji และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายไปที่แนวต้านถัดไป การยืนยันด้วยแท่งเทียนเขียวขนาดใหญ่ถัดไปจะเพิ่มความน่าเชื่อถืออย่างมาก

15. Evening Doji Star
คืออะไร? Evening Doji Star เป็นรูปแบบแท่งเทียน 3 แท่งที่บ่งบอกถึงการกลับตัวเป็นขาลง มักจะปรากฏที่ยอดของแนวโน้มขาขึ้น
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งเขียวขนาดใหญ่ (Bullish) ซึ่งยืนยันแนวโน้มขาขึ้นที่กำลังดำเนินอยู่
- แท่งเทียนที่สองคือแท่ง Doji ที่เปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งแรก และมีลำตัวที่เล็กมากหรือไม่มีเลย (ราคาเปิดเท่ากับราคาปิด) ซึ่งบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจของตลาด
- แท่งเทียนที่สามเป็นแท่งแดงขนาดใหญ่ (Bearish) ที่เปิดต่ำกว่าแท่ง Doji และปิดเข้าไปในลำตัวของแท่งเขียวแรก
ทำไมจึงสำคัญ? Evening Doji Star เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลงที่แข็งแกร่ง แสดงให้เห็นว่าแรงซื้อที่เคยครอบงำได้อ่อนกำลังลงในแท่ง Doji และแรงขายได้เข้าควบคุมตลาดอย่างเต็มที่ในแท่งเทียนที่สาม คล้ายกับ Evening Star แต่มี Doji แทนแท่งเล็ก
การเทรดด้วย Evening Doji Star:
เป็นสัญญาณขายที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่บริเวณแนวต้านที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่ง Doji และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายไปที่แนวรับถัดไป การยืนยันด้วย Volume ที่สูงในแท่งเทียนที่สามจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับรูปแบบนี้

16. Rising Three Methods
คืออะไร? Rising Three Methods เป็นรูปแบบแท่งเทียนต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้นที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 5 แท่ง
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งเขียวขนาดใหญ่ (Bullish)
- ตามด้วยแท่งแดงขนาดเล็ก 3 แท่ง (Bearish) ที่มีการเคลื่อนไหวแบบย่อตัว (retracement) แต่ยังคงอยู่ภายในช่วงราคาของแท่งเขียวแรก (หรืออย่างน้อยก็ไม่ปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งแรกอย่างมีนัยสำคัญ)
- แท่งเทียนที่ห้าเป็นแท่งเขียวขนาดใหญ่ (Bullish) ที่ปิดสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเขียวแรก
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกว่าแนวโน้มขาขึ้นก่อนหน้านี้จะยังคงดำเนินต่อไปหลังจากช่วงพักตัวระยะสั้น แท่งแดง 3 แท่งที่ย่อตัวลงมาแต่ไม่สามารถทำลายโมเมนตัมของแท่งเขียวแรกได้ แสดงว่าแรงขายมีจำกัด และผู้ซื้อยังคงแข็งแกร่งพอที่จะผลักดันราคาให้ขึ้นต่อไปได้
การเทรดด้วย Rising Three Methods:
เทรดเดอร์สามารถใช้รูปแบบนี้เป็นสัญญาณในการถือสถานะซื้อ หรือพิจารณาเข้าซื้อเมื่อแท่งเทียนที่ห้าปิดยืนยันแนวโน้ม Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่สาม และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายตามแนวโน้มขาขึ้นที่คาดว่าจะต่อเนื่องไป กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม จะเป็นประโยชน์มากกับรูปแบบนี้

17. Falling Three Methods
คืออะไร? Falling Three Methods เป็นรูปแบบแท่งเทียนต่อเนื่องของแนวโน้มขาลงที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 5 แท่ง
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งแดงขนาดใหญ่ (Bearish)
- ตามด้วยแท่งเขียวขนาดเล็ก 3 แท่ง (Bullish) ที่มีการเคลื่อนไหวแบบดีดตัวขึ้น (rally) แต่ยังคงอยู่ภายในช่วงราคาของแท่งแดงแรก (หรืออย่างน้อยก็ไม่ปิดสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งแรกอย่างมีนัยสำคัญ)
- แท่งเทียนที่ห้าเป็นแท่งแดงขนาดใหญ่ (Bearish) ที่ปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งแดงแรก
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกว่าแนวโน้มขาลงก่อนหน้านี้จะยังคงดำเนินต่อไปหลังจากช่วงพักตัวระยะสั้น แท่งเขียว 3 แท่งที่ดีดตัวขึ้นมาแต่ไม่สามารถทำลายโมเมนตัมของแท่งแดงแรกได้ แสดงว่าแรงซื้อมีจำกัด และผู้ขายยังคงแข็งแกร่งพอที่จะผลักดันราคาให้ลงต่อไปได้
การเทรดด้วย Falling Three Methods:
เทรดเดอร์สามารถใช้รูปแบบนี้เป็นสัญญาณในการถือสถานะขาย หรือพิจารณาเข้าขายเมื่อแท่งเทียนที่ห้าปิดยืนยันแนวโน้ม Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่สาม และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายตามแนวโน้มขาลงที่คาดว่าจะต่อเนื่องไป

18. Bullish Abandoned Baby
คืออะไร? Bullish Abandoned Baby เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาขึ้นที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ให้สัญญาณที่แข็งแกร่งมาก ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งแดงขนาดใหญ่ (Bearish) ที่มีแนวโน้มขาลง
- แท่งเทียนที่สองคือแท่ง Doji ที่เปิดด้วยช่องว่าง (Gap down) ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งแดงแรก และมีราคาต่ำสุดที่ต่ำกว่าแท่งแดงแรก
- แท่งเทียนที่สามเป็นแท่งเขียวขนาดใหญ่ (Bullish) ที่เปิดด้วยช่องว่าง (Gap up) สูงกว่าราคาสูงสุดของแท่ง Doji และปิดลึกเข้าไปในลำตัวของแท่งแดงแรก
ทำไมจึงสำคัญ? การเกิด Gap ลงและ Gap ขึ้นที่แยกแท่ง Doji ออกจากแท่งเทียนก่อนหน้าและหลัง แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของ Sentiment ในตลาดอย่างรวดเร็วและรุนแรง หลังจากแรงขายที่รุนแรง ตลาดเข้าสู่ภาวะไม่แน่ใจ (Doji) และถูกแทนที่ด้วยแรงซื้อที่แข็งแกร่งทันที
การเทรดด้วย Bullish Abandoned Baby:
เป็นสัญญาณเข้าซื้อที่ทรงพลังเมื่อเกิดขึ้นที่ก้นของแนวโน้มขาลงหรือแนวรับที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่ง Doji และ Take Profit ตามเป้าหมายราคาถัดไป ควรใช้การยืนยันจาก Volume หรือเครื่องมืออื่น ๆ ร่วมด้วย

19. Bearish Abandoned Baby
คืออะไร? Bearish Abandoned Baby เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ให้สัญญาณที่แข็งแกร่งมาก ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งเขียวขนาดใหญ่ (Bullish) ที่มีแนวโน้มขาขึ้น
- แท่งเทียนที่สองคือแท่ง Doji ที่เปิดด้วยช่องว่าง (Gap up) สูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งเขียวแรก และมีราคาสูงสุดที่สูงกว่าแท่งเขียวแรก
- แท่งเทียนที่สามเป็นแท่งแดงขนาดใหญ่ (Bearish) ที่เปิดด้วยช่องว่าง (Gap down) ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่ง Doji และปิดลึกเข้าไปในลำตัวของแท่งเขียวแรก
ทำไมจึงสำคัญ? การเกิด Gap ขึ้นและ Gap ลงที่แยกแท่ง Doji ออกจากแท่งเทียนก่อนหน้าและหลัง แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของ Sentiment ในตลาดอย่างรวดเร็วและรุนแรง หลังจากแรงซื้อที่รุนแรง ตลาดเข้าสู่ภาวะไม่แน่ใจ (Doji) และถูกแทนที่ด้วยแรงขายที่แข็งแกร่งทันที
การเทรดด้วย Bearish Abandoned Baby:
เป็นสัญญาณขายที่ทรงพลังเมื่อเกิดขึ้นที่ยอดของแนวโน้มขาขึ้นหรือแนวต้านที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่ง Doji และ Take Profit ตามเป้าหมายราคาถัดไป ควรใช้การยืนยันจาก Volume หรือเครื่องมืออื่น ๆ ร่วมด้วย

20. Bearish Piercing
คืออะไร? รูปแบบ Bearish Piercing (มักเรียกว่า Dark Cloud Cover) เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งเขียวขนาดใหญ่ (Bullish) ซึ่งยืนยันแนวโน้มขาขึ้น
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งแดง (Bearish) ที่เปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งเขียวแรก (Gap up) และปิดต่ำกว่าระดับ 50% ของลำตัวแท่งเขียวแรก แต่ยังคงสูงกว่าราคาเปิดของแท่งเขียวแรก
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย หลังจากที่ผู้ซื้อครอบงำตลาดด้วยแท่งเขียวขนาดใหญ่ ผู้ขายได้เข้ามาและผลักดันราคาให้ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญจนปิดลึกเข้าไปในลำตัวของแท่งเขียวแรก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมที่อาจนำไปสู่การกลับตัวเป็นขาลง
การเทรดด้วย Bearish Piercing:
เป็นสัญญาณขายที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่แนวต้านที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่สอง และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายไปที่แนวรับถัดไป การยืนยันด้วยแท่งเทียนแดงถัดไปที่ปิดต่ำกว่าแท่งแดงของ Piercing จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ

21. Three White Soldiers
คืออะไร? Three White Soldiers เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยแท่งเทียนเขียว (Bullish) ขนาดใหญ่ 3 แท่งติดต่อกัน
การก่อตัว:
- แท่งเทียนเขียว 3 แท่งติดต่อกัน
- แต่ละแท่งควรเปิดภายในลำตัวของแท่งก่อนหน้าและปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งก่อนหน้า
- แต่ละแท่งควรมีลำตัวที่ยาวและมีไส้เทียนสั้นหรือไม่มีเลย แสดงถึงโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากผู้ขายเป็นผู้ซื้ออย่างชัดเจนและต่อเนื่อง การปรากฏของแท่งเขียวขนาดใหญ่ 3 แท่งติดต่อกันโดยมีราคาปิดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แสดงถึงแรงซื้อที่มั่นคงและมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่งพอที่จะผลักดันราคาให้กลับตัวเป็นขาขึ้น
การเทรดด้วย Three White Soldiers:
เป็นสัญญาณเข้าซื้อที่ทรงพลังเมื่อเกิดขึ้นที่ก้นของแนวโน้มขาลงหรือแนวรับที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่งแรกหรือแท่งที่สอง และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายตามแนวโน้มขาขึ้นที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รูปแบบนี้เป็นสิ่งตรงกันข้ามกับ Three Black Crows

22. Three Black Crows
คืออะไร? Three Black Crows เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยแท่งเทียนแดง (Bearish) ขนาดใหญ่ 3 แท่งติดต่อกัน
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแดง 3 แท่งติดต่อกัน
- แต่ละแท่งควรเปิดภายในลำตัวของแท่งก่อนหน้าและปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งก่อนหน้า
- แต่ละแท่งควรมีลำตัวที่ยาวและมีไส้เทียนสั้นหรือไม่มีเลย แสดงถึงโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากผู้ซื้อเป็นผู้ขายอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง การปรากฏของแท่งแดงขนาดใหญ่ 3 แท่งติดต่อกันโดยมีราคาปิดที่ต่ำลงเรื่อยๆ แสดงถึงแรงขายที่มั่นคงและมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่งพอที่จะผลักดันราคาให้กลับตัวเป็นขาลง
การเทรดด้วย Three Black Crows:
เป็นสัญญาณขายที่ทรงพลังเมื่อเกิดขึ้นที่ยอดของแนวโน้มขาขึ้นหรือแนวต้านที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งแรกหรือแท่งที่สอง และ Take Profit สามารถตั้งเป้าหมายตามแนวโน้มขาลงที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

23. High Wave
คืออะไร? รูปแบบ High Wave เป็นแท่งเทียนที่มีลำตัวขนาดเล็กมาก แต่มีไส้เทียนบนและล่างที่ยาวมากเมื่อเทียบกับลำตัว
ทำไมจึงสำคัญ? High Wave Candlestick แสดงถึงความไม่แน่ใจอย่างรุนแรงในตลาดและความผันผวนสูง ในช่วงเวลาที่เกิดแท่งเทียนนี้ ราคาได้เคลื่อนไหวขึ้นและลงอย่างมาก แสดงว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างฝ่ายต่างมีอำนาจในการผลักดันราคา แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีฝ่ายใดสามารถครองอำนาจได้อย่างชัดเจน ทำให้ราคาปิดใกล้เคียงกับราคาเปิด
การเทรดด้วย High Wave:
เหมือนกับ Long-legged Doji แต่มีลำตัวที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย High Wave มักจะปรากฏที่จุดกลับตัวของแนวโน้ม หรือในช่วงที่ตลาดกำลังหาทิศทางใหม่หลังจากมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรง หากปรากฏขึ้นหลังแนวโน้มที่ชัดเจน อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มกำลังอ่อนแรงลงและอาจเกิดการกลับตัว เทรดเดอร์ควรระมัดระวังและรอการยืนยันจากแท่งเทียนถัดไปก่อนตัดสินใจเข้าเทรด

24. Three Stars in the South
คืออะไร? Three Stars in the South เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาขึ้นที่ประกอบด้วยแท่งเทียนแดง (Bearish) 3 แท่งติดต่อกัน
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแดงแรกมีลำตัวยาวและไส้เทียนยาวด้านล่าง
- แท่งเทียนแดงที่สองมีลำตัวสั้นกว่าและมีไส้เทียนยาวด้านล่าง และช่วงราคายังคงอยู่ภายในแท่งแรก
- แท่งเทียนแดงที่สามมีลำตัวสั้นมากหรือเป็น Doji และไส้เทียนยาวด้านล่าง โดยช่วงราคายังคงอยู่ภายในแท่งที่สอง
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการอ่อนกำลังลงของแรงขายอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าทั้ง 3 แท่งจะเป็นแท่งแดง แต่ขนาดของลำตัวที่เล็กลงเรื่อยๆ และการที่แท่งเทียนถัดมาอยู่ภายในช่วงของแท่งก่อนหน้า (Inside Bar ลักษณะหนึ่ง) แสดงว่าแรงขายกำลังลดลงและผู้ซื้อเริ่มเข้ามาตอบโต้
การเทรดด้วย Three Stars in the South:
เป็นสัญญาณซื้อที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่ก้นของแนวโน้มขาลงหรือแนวรับที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่งที่สาม และ Take Profit ตามเป้าหมายราคาถัดไป ควรมีการยืนยันด้วยแท่งเทียนเขียวขนาดใหญ่ถัดไปเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

25. Deliberation
คืออะไร? รูปแบบแท่งเทียน Deliberation (หรือที่เรียกว่า Stalled Pattern) เป็นรูปแบบการกลับตัวเป็นขาลงที่ประกอบด้วยแท่งเทียนเขียว (Bullish) 3 แท่งติดต่อกัน
การก่อตัว:
- แท่งเทียนเขียวแรกมีลำตัวยาวและไส้เทียนสั้น (แสดงถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่ง)
- แท่งเทียนเขียวที่สองมีลำตัวที่สั้นลงและอาจมีไส้เทียนที่ยาวขึ้นเล็กน้อย
- แท่งเทียนเขียวที่สามมีลำตัวที่สั้นลงไปอีก หรือเป็น Doji และมีไส้เทียนบนที่ยาว แสดงถึงความไม่แน่ใจอย่างชัดเจน
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกว่าโมเมนตัมขาขึ้นกำลังอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาจะยังคงเป็นขาขึ้น (แท่งเขียว) แต่การที่ลำตัวเล็กลงเรื่อยๆ และไส้เทียนด้านบนที่ยาวขึ้นในแท่งสุดท้าย แสดงว่าผู้ซื้อเริ่มที่จะสูญเสียอำนาจในการผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปอีก และแรงขายกำลังเข้ามาตอบโต้
การเทรดด้วย Deliberation:
เป็นสัญญาณขายที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่ยอดของแนวโน้มขาขึ้นหรือแนวต้านที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่สาม และ Take Profit ตามเป้าหมายราคาถัดไป ควรได้รับการยืนยันด้วยแท่งเทียนแดงขนาดใหญ่ถัดไปเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ รูปแบบ Deliberation นี้แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในตลาด

26. Bearish Kicking
คืออะไร? Bearish Kicking เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยแท่งเทียน Marubozu สองแท่งที่มีสีตรงข้ามกันและมีช่องว่าง (Gap) ระหว่างกัน
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งเขียว Marubozu (ไม่มีไส้เทียน) แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งแดง Marubozu (ไม่มีไส้เทียน) ที่เปิดด้วยช่องว่าง (Gap down) ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเขียวแรก และปิดต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเขียวแรก
ทำไมจึงสำคัญ? การเกิด Gap ลงอย่างรุนแรงและตามด้วยแท่งแดง Marubozu ที่แสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง บ่งบอกถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากผู้ซื้อเป็นผู้ขายอย่างฉับพลันและรุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลงที่น่าเชื่อถือ มักจะเกิดขึ้นที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้นหรือแนวต้านที่สำคัญ
การเทรดด้วย Bearish Kicking:
เป็นสัญญาณขายที่ทรงพลัง Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งแดง Marubozu และ Take Profit ตามเป้าหมายราคาถัดไป รูปแบบนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก แต่เมื่อปรากฏ มักจะให้สัญญาณที่แม่นยำ

27. On Neck
คืออะไร? รูปแบบ On-Neck เป็นรูปแบบแท่งเทียนต่อเนื่องของแนวโน้มขาลงที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งแดงขนาดใหญ่ (Bearish) ที่มีแนวโน้มขาลง
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งเขียว (Bullish) ขนาดเล็กที่เปิดด้วยช่องว่าง (Gap down) ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแดงแรก และปิดใกล้เคียงกับราคาต่ำสุดของแท่งแดงแรก
ทำไมจึงสำคัญ? แม้ว่าแท่งเทียนที่สองจะเป็นแท่งเขียว แต่การที่มันเปิด Gap ลงและปิดเพียงแค่ “เท่าคอ” หรือใกล้เคียงกับราคาต่ำสุดของแท่งแดงแรก แสดงว่าผู้ซื้อยังไม่สามารถผลักดันราคาให้สูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ และแรงขายยังคงแข็งแกร่งพอที่จะรักษาระดับราคาต่ำไว้ได้ ทำให้แนวโน้มขาลงมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป
การเทรดด้วย On Neck:
เป็นสัญญาณต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นสัญญาณในการถือสถานะขาย หรือพิจารณาเข้าขายเมื่อราคา Breakout ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งที่สอง Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งเขียว และ Take Profit ตามเป้าหมายแนวรับถัดไป

28. Upside Tasuki Gap
คืออะไร? Upside Tasuki Gap เป็นรูปแบบความต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้นที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งเขียว (Bullish) ขนาดใหญ่
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งเขียว (Bullish) อีกแท่งที่เปิดด้วยช่องว่าง (Gap up) เหนือแท่งแรก
- แท่งเทียนที่สามเป็นแท่งแดง (Bearish) ที่เปิดภายในช่องว่างของแท่งเทียนที่สอง และปิดภายในช่องว่างนั้น แต่ไม่ปิดช่องว่างทั้งหมด (ราคาต่ำสุดของแท่งแดงไม่ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแรก)
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกถึงความต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น แม้จะมีแท่งแดงแทรกเข้ามาแสดงถึงการทำกำไรระยะสั้น แต่การที่แท่งแดงไม่สามารถปิดช่องว่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้าได้ แสดงว่าแรงซื้อยังคงแข็งแกร่งและควบคุมตลาดอยู่
การเทรดด้วย Upside Tasuki Gap:
เทรดเดอร์สามารถใช้รูปแบบนี้เป็นสัญญาณในการถือสถานะซื้อ หรือพิจารณาเข้าซื้อเมื่อแท่งเทียนถัดจากแท่งแดงปิดสูงขึ้น Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่งแดง และ Take Profit ตามเป้าหมายแนวต้านถัดไป

29. Separating Lines
คืออะไร? รูปแบบ Separating Lines เป็นรูปแบบความต่อเนื่องของแนวโน้มที่ประกอบด้วยแท่งเทียนสีตรงข้าม 2 แท่ง
การก่อตัว (สำหรับแนวโน้มขาขึ้น):
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งแดง (Bearish)
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งเขียว (Bullish) ที่เปิดที่ราคาเปิดเดียวกับแท่งแดงแรก และปิดสูงกว่าแท่งแดงแรก
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกว่าแนวโน้มก่อนหน้าจะยังคงดำเนินต่อไป ตัวอย่างเช่น ในแนวโน้มขาขึ้น หากเกิดแท่งแดงตามด้วยแท่งเขียวที่เปิดที่จุดเดียวกับแท่งแดงแรกและสามารถปิดสูงกว่าแท่งแดงแรกได้ แสดงว่าแม้จะมีแรงขายเข้ามา แต่แรงซื้อยังคงแข็งแกร่งพอที่จะรักษาระดับราคาไว้และผลักดันให้สูงขึ้นต่อไป
การเทรดด้วย Separating Lines:
เทรดเดอร์สามารถใช้เป็นสัญญาณในการถือสถานะ หรือพิจารณาเข้าเทรดตามแนวโน้มเดิมที่คาดว่าจะดำเนินต่อไป Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่งแดงแรก (สำหรับแนวโน้มขาขึ้น) และ Take Profit ตามเป้าหมายราคาถัดไป

30. Downside Tasuki Gap
คืออะไร? Downside Tasuki Gap เป็นรูปแบบความต่อเนื่องของแนวโน้มขาลงที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งแดง (Bearish) ขนาดใหญ่
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งแดง (Bearish) อีกแท่งที่เปิดด้วยช่องว่าง (Gap down) ต่ำกว่าแท่งแรก
- แท่งเทียนที่สามเป็นแท่งเขียว (Bullish) ที่เปิดภายในช่องว่างของแท่งเทียนที่สอง และปิดภายในช่องว่างนั้น แต่ไม่ปิดช่องว่างทั้งหมด (ราคาเปิดของแท่งเขียวไม่สูงกว่าราคาปิดของแท่งแรก)
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกถึงความต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง แม้จะมีแท่งเขียวแทรกเข้ามาแสดงถึงการเข้าซื้อระยะสั้น แต่การที่แท่งเขียวไม่สามารถปิดช่องว่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้าได้ แสดงว่าแรงขายยังคงแข็งแกร่งและควบคุมตลาดอยู่
การเทรดด้วย Downside Tasuki Gap:
เทรดเดอร์สามารถใช้รูปแบบนี้เป็นสัญญาณในการถือสถานะขาย หรือพิจารณาเข้าขายเมื่อแท่งเทียนถัดจากแท่งเขียวปิดต่ำลง Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งเขียว และ Take Profit ตามเป้าหมายแนวรับถัดไป

31. Bearish Breakaway
คืออะไร? Bearish Breakaway เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 5 แท่ง
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งเขียวขนาดใหญ่ (Bullish) ที่มีแนวโน้มขาขึ้น
- ตามด้วยแท่งเทียนเขียวขนาดเล็ก 3 แท่งที่ค่อยๆ ดีดตัวขึ้นไปพร้อมกับช่องว่าง (Gap) ที่เกิดจากการเปิดราคา
- แท่งเทียนที่ห้าเป็นแท่งแดงขนาดใหญ่ (Bearish) ที่เปิดด้วยช่องว่าง (Gap down) และปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนเขียวแรก
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้นและการกลับตัวเป็นขาลงอย่างรุนแรง แท่งเขียว 3 แท่งกลางที่แสดงถึงความอ่อนแอของแรงซื้อและการเกิดช่องว่างบ่งบอกถึงความไม่สมดุลในตลาด การปรากฏของแท่งแดงขนาดใหญ่ที่ปิดทำลายจุดต่ำสุดของแท่งแรกเป็นการยืนยันถึงการเข้าควบคุมของแรงขายอย่างเต็มที่
การเทรดด้วย Bearish Breakaway:
เป็นสัญญาณขายที่ทรงพลังเมื่อเกิดขึ้นที่ยอดของแนวโน้มขาขึ้นหรือแนวต้านที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่ห้า และ Take Profit ตามเป้าหมายแนวรับถัดไป Bearish Breakaway เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่มีความน่าเชื่อถือสูง

32. Bullish Kicker
คืออะไร? Bullish Kicker เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยแท่งเทียน Marubozu สองแท่งที่มีสีตรงข้ามกันและมีช่องว่าง (Gap) ระหว่างกัน
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งแดง Marubozu (ไม่มีไส้เทียน) แสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง
- แท่งเทียนที่สองเป็นแท่งเขียว Marubozu (ไม่มีไส้เทียน) ที่เปิดด้วยช่องว่าง (Gap up) เหนือราคาปิดของแท่งแดงแรก และปิดสูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งแดงแรก
ทำไมจึงสำคัญ? การเกิด Gap ขึ้นอย่างรุนแรงและตามด้วยแท่งเขียว Marubozu ที่แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง บ่งบอกถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากผู้ขายเป็นผู้ซื้ออย่างฉับพลันและรุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้นที่น่าเชื่อถือ มักจะเกิดขึ้นที่ก้นของแนวโน้มขาลงหรือแนวรับที่สำคัญ
การเทรดด้วย Bullish Kicker:
เป็นสัญญาณซื้อที่ทรงพลัง Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่งเขียว Marubozu และ Take Profit ตามเป้าหมายราคาถัดไป Bullish Kicker เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่มีความน่าเชื่อถือสูง

33. Bullish Mat Hold
คืออะไร? Bullish Mat Hold เป็นรูปแบบแท่งเทียนต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้นที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 5 แท่ง
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแรกเป็นแท่งเขียวขนาดใหญ่ (Bullish)
- ตามด้วยแท่งแดงขนาดเล็ก 3 แท่งที่ย่อตัวลงมา (retracement) แต่ยังคงอยู่ภายในช่วงราคาของแท่งเขียวแรก
- แท่งเทียนที่ห้าเป็นแท่งเขียวขนาดใหญ่ (Bullish) ที่เปิดด้วยช่องว่าง (Gap up) เหนือแท่งแดง และปิดสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเขียวแรก
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกถึงความต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้นหลังจากช่วงพักตัวระยะสั้น การเกิด Gap up ในแท่งสุดท้ายเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของแรงซื้อที่ยังคงผลักดันราคาให้สูงขึ้นต่อไปได้
การเทรดด้วย Bullish Mat Hold:
เทรดเดอร์สามารถใช้รูปแบบนี้เป็นสัญญาณในการเข้าซื้อหรือถือสถานะซื้อ Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่งแดงที่อยู่ตรงกลาง และ Take Profit ตามเป้าหมายแนวต้านถัดไป Bullish Mat Hold นี้มักเกิดขึ้นในตลาดหุ้นและดัชนี แต่ก็สามารถพบได้ในตลาด Forex เช่นกัน

34. Advance Block
คืออะไร? Advance Block เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่ประกอบด้วยแท่งเทียนเขียว (Bullish) 3 แท่งติดต่อกัน
การก่อตัว:
- แท่งเทียนเขียวแรกมีลำตัวยาวและไส้เทียนสั้น
- แท่งเทียนเขียวที่สองมีลำตัวที่สั้นลงเล็กน้อยและมีไส้เทียนบนที่ยาวขึ้น
- แท่งเทียนเขียวที่สามมีลำตัวที่สั้นลงไปอีก และมีไส้เทียนบนที่ยาวกว่าแท่งก่อนหน้า
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการอ่อนกำลังลงของโมเมนตัมขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาจะยังคงเป็นขาขึ้น แต่การที่ลำตัวเล็กลงเรื่อยๆ และไส้เทียนด้านบนที่ยาวขึ้นในแต่ละแท่ง แสดงว่าผู้ซื้อเริ่มที่จะสูญเสียอำนาจในการผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปอีก และแรงขายกำลังเข้ามาตอบโต้มากขึ้นเรื่อยๆ
การเทรดด้วย Advance Block:
เป็นสัญญาณขายที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่ยอดของแนวโน้มขาขึ้นหรือแนวต้านที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่สาม และ Take Profit ตามเป้าหมายราคาถัดไป ควรได้รับการยืนยันด้วยแท่งเทียนแดงขนาดใหญ่ถัดไปเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ Advance Block เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักและไม่มีรูปแบบตรงกันข้ามที่เป็น Bullish reversal เนื่องจากลักษณะการก่อตัวที่ยากที่จะเป็น Bullish

35. Matching High
คืออะไร? Matching High เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลงที่ประกอบด้วยแท่งเทียนเขียว (Bullish) สองแท่ง ที่มีราคาสูงสุดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก และมักไม่มีไส้เทียนด้านบนหรือสั้นมาก
การก่อตัว:
- แท่งเทียนเขียวแรกมีลำตัวยาวและปิดที่ราคาสูงสุด (หรือใกล้เคียง)
- แท่งเทียนเขียวที่สองเปิดด้วยช่องว่าง (Gap down) และปิดที่ราคาสูงสุดเดียวกันกับแท่งแรก
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกถึงความล้มเหลวของแรงซื้อที่จะผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปอีก การที่ราคาเปิด Gap ลงในแท่งที่สอง แต่ยังคงปิดที่ราคาสูงสุดเดียวกับแท่งแรก แสดงว่ามีแรงขายเข้ามาจำกัดการเคลื่อนไหวของราคาที่ระดับนั้น ทำให้เกิดการกลับตัวเป็นขาลง Matching High เป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มขาขึ้นอาจจะสิ้นสุดลง
การเทรดด้วย Matching High:
เป็นสัญญาณขายที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่ยอดของแนวโน้มขาขึ้นหรือแนวต้านที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้เหนือจุดสูงสุดที่เท่ากัน และ Take Profit ตามเป้าหมายแนวรับถัดไป ควรได้รับการยืนยันด้วยแท่งเทียนแดงขนาดใหญ่ถัดไป

36. Matching Low
คืออะไร? Matching Low เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาขึ้นที่ประกอบด้วยแท่งเทียนแดง (Bearish) สองแท่ง ที่มีราคาต่ำสุดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก และมักไม่มีไส้เทียนด้านล่างหรือสั้นมาก
การก่อตัว:
- แท่งเทียนแดงแรกมีลำตัวยาวและปิดที่ราคาต่ำสุด (หรือใกล้เคียง)
- แท่งเทียนแดงที่สองเปิดด้วยช่องว่าง (Gap up) และปิดที่ราคาต่ำสุดเดียวกันกับแท่งแรก
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกถึงความล้มเหลวของแรงขายที่จะผลักดันราคาให้ต่ำลงไปอีก การที่ราคาเปิด Gap ขึ้นในแท่งที่สอง แต่ยังคงปิดที่ราคาต่ำสุดเดียวกับแท่งแรก แสดงว่ามีแรงซื้อเข้ามาจำกัดการเคลื่อนไหวของราคาที่ระดับนั้น ทำให้เกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้น Matching Low เป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มขาลงอาจจะสิ้นสุดลง
การเทรดด้วย Matching Low:
เป็นสัญญาณซื้อที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่ก้นของแนวโน้มขาลงหรือแนวรับที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดที่เท่ากัน และ Take Profit ตามเป้าหมายแนวต้านถัดไป ควรได้รับการยืนยันด้วยแท่งเทียนเขียวขนาดใหญ่ถัดไป

37. Tower Bottom
คืออะไร? Tower Bottom เป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาขึ้นที่ประกอบด้วยแท่งเทียนหลายแท่ง
การก่อตัว:
- เริ่มต้นด้วยแท่งแดงขนาดใหญ่ (Bearish) ที่บ่งบอกถึงแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง
- ตามด้วยแท่งเทียนขนาดเล็ก 3-5 แท่งที่มีลำตัวสั้นและอาจมีสีแดงหรือเขียวก็ได้ โดยมักจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ
- ปิดท้ายด้วยแท่งเขียวขนาดใหญ่ (Bullish) ที่มีลำตัวยาวและปิดสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งแดงแรก
ทำไมจึงสำคัญ? รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนผ่านจากแนวโน้มขาลงที่ชัดเจนไปสู่ภาวะรวมกำลังและสุดท้ายกลับตัวเป็นขาขึ้นอย่างรุนแรง แท่งเทียนขนาดเล็กตรงกลางแสดงถึงความไม่แน่ใจของตลาดหลังจากการเทขายครั้งใหญ่ และแท่งเขียวขนาดใหญ่สุดท้ายเป็นการยืนยันว่าผู้ซื้อได้เข้าควบคุมตลาดและผลักดันราคาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
การเทรดด้วย Tower Bottom:
เป็นสัญญาณซื้อที่ดีเมื่อเกิดขึ้นที่ก้นของแนวโน้มขาลงหรือแนวรับที่สำคัญ Stop Loss ควรวางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่งเทียนขนาดเล็กตรงกลาง และ Take Profit ตามเป้าหมายแนวต้านถัดไป Tower Bottom เป็นรูปแบบที่ให้สัญญาณค่อนข้างชัดเจนเมื่อเกิดขึ้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
การทำความเข้าใจรูปแบบแท่งเทียนนั้นมีคำถามที่พบบ่อย ซึ่งจะช่วยให้คุณนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1. รูปแบบแท่งเทียนสามารถใช้ได้กับตลาดประเภทใดบ้าง?
คำตอบ: รูปแบบแท่งเทียนเป็นเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่หลากหลายและสามารถนำไปใช้ได้กับตลาดการเงินทุกประเภทที่มีข้อมูลราคาเปิด สูง ต่ำ และปิด ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น (Stocks), ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex), สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) เช่น ทองคำ (Gold Trading) และน้ำมัน, รวมถึงตลาดคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrencies) ด้วยความที่เป็นเครื่องมือที่อิงกับจิตวิทยาตลาด จึงสามารถสะท้อนพฤติกรรมของนักลงทุนในทุกสภาพตลาดได้
2. ความน่าเชื่อถือของรูปแบบแท่งเทียนแตกต่างกันหรือไม่?
คำตอบ: ความน่าเชื่อถือของรูปแบบแท่งเทียนนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รูปแบบแท่งเทียนที่ประกอบด้วยหลายแท่งมักจะมีความน่าเชื่อถือสูงกว่ารูปแบบแท่งเดียว นอกจากนี้ ตำแหน่งที่รูปแบบปรากฏก็สำคัญมาก หากเกิดขึ้นที่บริเวณแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง (Support/Resistance) จะเพิ่มความน่าเชื่อถืออย่างมีนัยสำคัญ การยืนยันด้วย Volume การซื้อขาย หรือเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น Moving Averages (MA), RSI, MACD หรือ Fibonacci Retracement (Fibonacci) จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจได้มากยิ่งขึ้น
3. ควรใช้รูปแบบแท่งเทียนใน Timeframe ใดจึงจะมีประสิทธิภาพที่สุด?
คำตอบ: โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบแท่งเทียนที่ปรากฏใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น กราฟรายวัน, รายสัปดาห์) มักจะให้สัญญาณที่มีความน่าเชื่อถือสูงกว่า Timeframe ที่เล็กกว่า (เช่น กราฟ 1 นาที, 5 นาที) เนื่องจากเป็นการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายที่มากกว่าและสะท้อนถึงการตัดสินใจของนักลงทุนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์สามารถใช้รูปแบบแท่งเทียนใน Timeframe ที่เล็กลงสำหรับการเข้าและออกออเดอร์อย่างแม่นยำ (Precision Entry/Exit) โดยใช้แนวคิด Multi-Timeframe Analysis เพื่อยืนยันแนวโน้มในภาพรวมก่อนตัดสินใจเทรดใน Timeframe ที่เล็กลง
4. หากรูปแบบแท่งเทียนให้สัญญาณการกลับตัว ควรเข้าเทรดทันทีหรือไม่?
คำตอบ: ไม่ควรเข้าเทรดทันทีเมื่อเห็นรูปแบบการกลับตัวของแท่งเทียน ควรยืนยันสัญญาณด้วยปัจจัยอื่น ๆ เสมอ เช่น:
- การยืนยันราคา (Price Confirmation): รอให้แท่งเทียนถัดไปปิดยืนยันทิศทางที่คาดการณ์ไว้
- แนวรับ/แนวต้าน (Support/Resistance): รูปแบบการกลับตัวมีความน่าเชื่อถือสูงสุดเมื่อเกิดขึ้นที่แนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ
- ปริมาณการซื้อขาย (Volume): Volume ที่สูงในแท่งเทียนที่ยืนยันการกลับตัวจะเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- เครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ: ใช้ Indicators เช่น RSI, MACD หรือ Stochastic Oscillator (Stochastic) เพื่อหา Divergence หรือ Overbought/Oversold conditions
การรวมปัจจัยเหล่านี้เข้าด้วยกันจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการเทรดที่ประสบความสำเร็จ
5. จะฝึกฝนการอ่านและเทรดด้วยรูปแบบแท่งเทียนได้อย่างไรให้เป็นมืออาชีพ?
คำตอบ: การเป็นมืออาชีพในการเทรดด้วยรูปแบบแท่งเทียนต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและมีวินัย (Trading Discipline) เริ่มต้นด้วยการศึกษาและทำความเข้าใจแต่ละรูปแบบอย่างลึกซึ้ง จากนั้นให้ฝึกฝนในบัญชีทดลอง (Demo Account) โดยทำการ Backtest แต่ละรูปแบบอย่างน้อย 50 ครั้งขึ้นไป เพื่อทำความเข้าใจว่ารูปแบบนั้นๆ ทำงานอย่างไรในสภาพตลาดต่างๆ บันทึกผลการเทรดใน Trading Journal เพื่อทบทวนและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด นอกจากนี้ การเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ การบริหารความเสี่ยง และจิตวิทยาการเทรด (Trading Psychology) ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้คุณพัฒนาเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว
บทสรุป
รูปแบบแท่งเทียนเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่เทรดเดอร์จำนวนมากนำมาใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ด้วยความสามารถในการบอกเล่าเรื่องราวของราคาและจิตวิทยาตลาดได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่รูปแบบการกลับตัวไปจนถึงรูปแบบความต่อเนื่อง การทำความเข้าใจแต่ละรูปแบบอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณสามารถคาดการณ์ทิศทางราคาและวางแผนการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งสำคัญที่สุดคือการไม่พึ่งพารูปแบบแท่งเทียนเพียงอย่างเดียว คุณควรใช้รูปแบบเหล่านี้เป็นจุดบรรจบ (confluence) ร่วมกับเครื่องมือและกลยุทธ์ทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น แนวรับแนวต้าน, เส้นเทรนด์ไลน์, อินดิเคเตอร์ต่าง ๆ, และการวิเคราะห์ Timeframe ที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นในการทำกำไร
จงจำไว้ว่า “การฝึกฝนทำให้สมบูรณ์แบบ” คุณต้องทำการ Backtest รูปแบบแท่งเทียนแต่ละแบบที่คุณสนใจอย่างน้อย 50 ครั้ง เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของมันในสภาพตลาดที่แตกต่างกัน และพัฒนา กลยุทธ์การเทรด ของคุณเอง การเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญสู่การเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว ขอให้คุณโชคดีกับการเดินทางในโลกของการเทรด!


