TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
แจก EA & อินดิเคเตอร์

เทคนิคเทรดตาม Bullish และ Bearish Pennant มือใหม่ต้องรู้!

พฤษภาคม 24, 2022

สุดยอดเทคนิคการเทรดด้วย Bullish และ Bearish Pennant: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักเทรดมือใหม่และมืออาชีพ

ในโลกของการลงทุนและ เทรด Forex การทำความเข้าใจรูปแบบกราฟราคาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์ทิศทางของตลาดและตัดสินใจเข้าทำกำไรได้อย่างแม่นยำ หนึ่งในรูปแบบกราฟต่อเนื่องที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพสูงคือ "Pennant Pattern" ซึ่งแบ่งออกเป็น Bullish Pennant และ Bearish Pennant รูปแบบเหล่านี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการพักตัวระยะสั้นของราคา ก่อนที่จะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางเดิมอย่างรุนแรงและชัดเจน บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักการ ทำไม อย่างไร และเคล็ดลับในการใช้ Pennant Pattern เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรสูงสุด

ทำความเข้าใจแก่นแท้ของ Pennant Pattern: คืออะไร ทำไมจึงสำคัญ?

Pennant Pattern หรือรูปแบบธงสามเหลี่ยม เป็นหนึ่งใน รูปแบบกราฟต่อเนื่อง (Continuation Pattern) ที่บ่งชี้ถึงการหยุดพักชั่วคราวของราคาหลังจากที่มีการเคลื่อนไหวอย่างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ก่อนที่ราคาจะกลับมาเคลื่อนที่ในทิศทางเดิมอีกครั้ง รูปแบบนี้มีความสำคัญต่อนักเทรดเป็นอย่างมาก เพราะมันช่วยให้สามารถระบุช่วงเวลาที่ตลาดกำลังสะสมพลังงานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ต่อไปในอนาคต

Pennant Pattern ทำงานอย่างไร

หลักการทำงานของ Pennant Pattern คือการที่ราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง (สร้าง "เสาธง" หรือ Flagpole) จากนั้นจะเริ่มมีการแกว่งตัวในกรอบที่แคบลงเรื่อยๆ จนเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมสมมาตรขนาดเล็ก (คล้ายธงสามเหลี่ยม) ซึ่งบ่งบอกถึงการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่กำลังสมดุลกันชั่วคราว เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง และมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ ราคาจะ "เบรคเอาท์" (Breakout) ออกจากกรอบสามเหลี่ยมและเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับเสาธงเดิมอย่างรุนแรง

ความสำคัญของ Pennant Pattern ในการเทรด

  • การยืนยันแนวโน้ม: Pennant Pattern ช่วยยืนยันว่าแนวโน้มหลักของตลาดกำลังดำเนินต่อไป ไม่ใช่การกลับตัว
  • การคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา: เมื่อรูปแบบนี้สมบูรณ์ นักเทรดสามารถคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้
  • การกำหนดจุดเข้าและออก: รูปแบบนี้เป็นประโยชน์ในการกำหนดจุดเข้าซื้อ (Entry Point) จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ได้อย่างมีหลักการ
  • การระบุโมเมนตัม: ขนาดของเสาธงสามารถบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของโมเมนตัมก่อนหน้า ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญสำหรับนักเทรด

องค์ประกอบและลักษณะสำคัญของ Pennant Pattern ที่นักเทรดควรรู้

การจะระบุ Bullish Pennant และ Bearish Pennant ได้อย่างถูกต้อง นักเทรดจำเป็นต้องเข้าใจองค์ประกอบและลักษณะเฉพาะของรูปแบบเหล่านี้อย่างถ่องแท้ ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ดังนี้:

1. เสาธง (Flagpole)

เสาธงคือส่วนแรกที่เกิดขึ้นในรูปแบบ Pennant Pattern เป็นการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและรวดเร็วในทิศทางเดียว ซึ่งสร้างก่อนที่รูปแบบสามเหลี่ยมจะก่อตัวขึ้น

  • ลักษณะ: เสาธงจะเป็นแท่งเทียนหรือกลุ่มแท่งเทียนที่แสดงถึงการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว (สำหรับ Bullish Pennant) หรือการดิ่งลงอย่างรวดเร็ว (สำหรับ Bearish Pennant) โดยมีการปรับฐานหรือพักตัวน้อยมากในช่วงนี้
  • ความสำคัญ: ความยาวของเสาธงบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของแรงซื้อหรือแรงขายเริ่มต้น ยิ่งเสาธงยาวเท่าไหร่ แนวโน้มการเคลื่อนที่ต่อเนื่องหลังจากการ Breakout ก็ยิ่งมีพลังมากเท่านั้น
  • การนำไปใช้: ความยาวของเสาธงมักจะถูกนำไปใช้ในการกำหนดเป้าหมายราคา (Target Price) หลังจากการ Breakout โดยการวัดความยาวของเสาธงและนำไปฉายขึ้นหรือลงจากจุด Breakout

2. รูปแบบธงสามเหลี่ยม (Pennant)

รูปแบบธงสามเหลี่ยมคือส่วนที่สองของ Pennant Pattern ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดมีการพักฐานหรือแกว่งตัวในกรอบที่แคบลง

  • ลักษณะ: ประกอบด้วยเส้นแนวโน้มสองเส้นที่มาบรรจบกัน ทำให้เกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมสมมาตรขนาดเล็ก โดยเส้นแนวโน้มด้านบนจะเป็นเส้นแนวต้านที่ลาดลง และเส้นแนวโน้มด้านล่างจะเป็นเส้นแนวรับที่ยกตัวขึ้นสำหรับ Bullish Pennant หรือกลับกันสำหรับ Bearish Pennant
  • ปริมาณการซื้อขาย (Volume): ในช่วงที่ราคาก่อตัวเป็นรูปแบบ Pennant ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของโมเมนตัมและเป็นการสะสมพลังงาน
  • ระยะเวลา: รูปแบบ Pennant มักจะเป็นการพักตัวระยะสั้น โดยปกติจะใช้เวลาไม่กี่วันหรือสัปดาห์

3. ระดับ Breakout (Breakout Level)

ระดับ Breakout คือจุดที่ราคาทะลุออกจากรูปแบบธงสามเหลี่ยม เป็นสัญญาณยืนยันการกลับมาของแนวโน้มเดิม

  • ลักษณะ: การ Breakout เกิดขึ้นเมื่อราคาปิดเหนือเส้นแนวต้านของ Pennant (สำหรับ Bullish Pennant) หรือต่ำกว่าเส้นแนวรับของ Pennant (สำหรับ Bearish Pennant) โดยมักจะมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • ความสำคัญ: การ Breakout เป็นสัญญาณสำคัญที่ยืนยันว่าแนวโน้มเดิมกำลังจะดำเนินต่อไป นักเทรดควรรอการยืนยันการ Breakout ก่อนที่จะเข้าทำคำสั่งซื้อขาย เพื่อลดความเสี่ยงจากการ Breakout ปลอม (False Breakout)
  • การนำไปใช้: จุด Breakout คือจุดที่นักเทรดควรพิจารณาเข้าทำคำสั่งซื้อหรือขาย และเป็นจุดเริ่มต้นในการกำหนดเป้าหมายทำกำไร

เมื่อทำความเข้าใจองค์ประกอบเหล่านี้แล้ว นักเทรดจะสามารถระบุและใช้ Pennant Pattern ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการวางแผนกลยุทธ์การเทรด

เจาะลึก Bullish Pennant Pattern: สัญญาณขาขึ้นที่แข็งแกร่ง

รูปแบบ Bullish Pennant เป็นสัญญาณต่อเนื่องขาขึ้นที่ทรงพลัง บ่งบอกถึงการพักตัวช่วงสั้นๆ ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ก่อนที่จะพุ่งทะยานขึ้นต่อไป นักเทรดที่เข้าใจรูปแบบนี้สามารถใช้มันเพื่อหาโอกาสในการเข้าซื้อทำกำไร

ลักษณะสำคัญของ Bullish Pennant

  1. เสาธงขาขึ้น (Bullish Flagpole): จุดเริ่มต้นคือการเคลื่อนไหวของราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งแสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งและเป็นจุดกำเนิดของแนวโน้มขาขึ้นนี้ เปรียบเสมือนเสาของธงที่ชูขึ้น
  2. รูปแบบธงสามเหลี่ยม (Pennant Formation): หลังจากนั้น ราคาจะเข้าสู่ช่วงพักตัว โดยมีการแกว่งตัวในกรอบที่แคบลงเรื่อยๆ ระหว่างเส้นแนวรับที่ยกตัวขึ้นเล็กน้อยและเส้นแนวต้านที่ลาดลง เส้นทั้งสองนี้จะมาบรรจบกันเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมสมมาตรขนาดเล็ก ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัวของแรงซื้อและการสะสมกำลัง
  3. ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis): ในช่วงที่เกิดรูปแบบ Pennant ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณยืนยันว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงพักตัวและเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป
  4. การ Breakout ขาขึ้น (Upward Breakout): เมื่อรูปแบบ Pennant สิ้นสุดลง ราคาจะทะลุผ่านเส้นแนวต้านด้านบนของรูปสามเหลี่ยมอย่างรุนแรง มักจะมาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือสัญญาณยืนยันการกลับมาของแนวโน้มขาขึ้นเดิม

การเทรดด้วย Bullish Pennant Pattern

  • จุดเข้าซื้อ (Entry Point): นักเทรดควรพิจารณาเปิดสถานะ Long buy (ซื้อ) เมื่อราคาสามารถ Breakout ทะลุเส้นแนวต้านด้านบนของรูปแบบ Pennant ได้อย่างชัดเจน โดยอาจรอให้แท่งเทียนปิดยืนยันเหนือเส้นแนวต้านก่อน เพื่อลดความเสี่ยงจากการ Breakout ปลอม
  • จุดตัดขาดทุน (Stop Loss): ควรวางคำสั่ง Stop Loss ไว้ที่ด้านล่างของรูปแบบ Pennant หรือต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่ Breakout เพื่อจำกัดความเสียหายหากราคาเคลื่อนไหวผิดทาง
  • เป้าหมายทำกำไร (Take Profit): การกำหนดเป้าหมายทำกำไรสามารถทำได้โดยการวัดความยาวของเสาธง (Flagpole) แล้วนำระยะนั้นไปบวกกับจุด Breakout ตัวอย่างเช่น หากเสาธงยาว 100 จุด และราคา Breakout ที่ 1500 จุด เป้าหมายทำกำไรจะอยู่ที่ 1600 จุด

ตัวอย่างสถานการณ์: สมมติว่าราคาสินทรัพย์หนึ่งกำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จากนั้นเกิดการพักตัวก่อตัวเป็น Bullish Pennant หลังจากนั้นไม่นาน ราคาได้ Breakout ทะลุแนวต้านของ Pennant ขึ้นไป นักเทรดควรเข้าซื้อเมื่อเกิดการ Breakout นี้ และตั้ง Stop Loss ไว้ใต้รูปแบบ Pennant เพื่อป้องกันความเสี่ยง หากการ Breakout ประสบความสำเร็จ ราคามักจะพุ่งขึ้นต่อไปในระยะทางที่เทียบเท่ากับความยาวของเสาธง

เจาะลึก Bearish Pennant Pattern: สัญญาณขาลงที่ชัดเจน

ตรงข้ามกับ Bullish Pennant รูปแบบ Bearish Pennant เป็นสัญญาณต่อเนื่องขาลง บ่งบอกถึงการพักตัวสั้นๆ ในแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง ก่อนที่จะดิ่งลงต่อไป นักเทรดที่เข้าใจรูปแบบนี้สามารถใช้มันเพื่อหาโอกาสในการเข้าขายทำกำไร

ลักษณะสำคัญของ Bearish Pennant

  1. เสาธงขาลง (Bearish Flagpole): เริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ร่วงลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งแสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่งและเป็นจุดกำเนิดของแนวโน้มขาลงนี้ เปรียบเสมือนเสาของธงที่ปักลง
  2. รูปแบบธงสามเหลี่ยม (Pennant Formation): หลังจากนั้น ราคาจะเข้าสู่ช่วงพักตัว โดยมีการแกว่งตัวในกรอบที่แคบลงเรื่อยๆ ระหว่างเส้นแนวรับที่ลาดลงเล็กน้อยและเส้นแนวต้านที่ยกตัวขึ้น เส้นทั้งสองนี้จะมาบรรจบกันเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมสมมาตรขนาดเล็ก ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัวของแรงขายและการสะสมกำลัง
  3. ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis): เช่นเดียวกับ Bullish Pennant ในช่วงที่เกิดรูปแบบ Pennant ปริมาณการซื้อขายมักจะลดลง ซึ่งบ่งชี้ถึงการพักตัวของตลาด
  4. การ Breakout ขาลง (Downward Breakout): เมื่อรูปแบบ Pennant สิ้นสุดลง ราคาจะทะลุผ่านเส้นแนวรับด้านล่างของรูปสามเหลี่ยมอย่างรุนแรง มักจะมาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือสัญญาณยืนยันการกลับมาของแนวโน้มขาลงเดิม

การเทรดด้วย Bearish Pennant Pattern

  • จุดเข้าขาย (Entry Point): นักเทรดควรพิจารณาเปิดสถานะ Short sell (ขาย) เมื่อราคาสามารถ Breakout ทะลุเส้นแนวรับด้านล่างของรูปแบบ Pennant ได้อย่างชัดเจน โดยอาจรอให้แท่งเทียนปิดยืนยันใต้เส้นแนวรับก่อน เพื่อลดความเสี่ยงจากการ Breakout ปลอม
  • จุดตัดขาดทุน (Stop Loss): ควรวางคำสั่ง Stop Loss ไว้ที่ด้านบนของรูปแบบ Pennant หรือสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่ Breakout เพื่อจำกัดความเสียหายหากราคาเคลื่อนไหวผิดทาง
  • เป้าหมายทำกำไร (Take Profit): การกำหนดเป้าหมายทำกำไรสามารถทำได้โดยการวัดความยาวของเสาธง (Flagpole) แล้วนำระยะนั้นไปลบจากจุด Breakout ตัวอย่างเช่น หากเสาธงยาว 100 จุด และราคา Breakout ที่ 1500 จุด เป้าหมายทำกำไรจะอยู่ที่ 1400 จุด

ตัวอย่างสถานการณ์: หากราคาสินทรัพย์หนึ่งกำลังอยู่ในแนวโน้มขาลงอย่างแข็งแกร่ง และจากนั้นเกิดการพักตัวก่อตัวเป็น Bearish Pennant ต่อมา ราคาได้ Breakout ทะลุแนวรับของ Pennant ลงไป นักเทรดควรเข้าขายเมื่อเกิดการ Breakout นี้ และตั้ง Stop Loss ไว้เหนือรูปแบบ Pennant เพื่อป้องกันความเสี่ยง หากการ Breakout ประสบความสำเร็จ ราคามักจะร่วงลงต่อไปในระยะทางที่เทียบเท่ากับความยาวของเสาธง

ภาพแสดง Bullish และ Bearish Pennant Pattern

เคล็ดลับและกลยุทธ์การเทรดด้วย Pennant Pattern อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ว่า Pennant Pattern จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่นักเทรดจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. การยืนยันสัญญาณด้วยปริมาณการซื้อขาย (Volume Confirmation)

หนึ่งในกฎทองของการเทรดด้วย Chart Pattern คือการพิจารณาปริมาณการซื้อขายควบคู่ไปด้วย

  • ในช่วง Pennant: ปริมาณการซื้อขายควรลดลงอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่ราคาก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม การลดลงของ Volume บ่งชี้ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงพักตัวและไม่มีแรงผลักดันที่ชัดเจน
  • ในช่วง Breakout: ปริมาณการซื้อขายควรเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงและชัดเจนเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ Pennant การเพิ่มขึ้นของ Volume เป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของการ Breakout และบ่งชี้ว่ามีนักเทรดจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมในทิศทางนั้นๆ หากเกิด Breakout โดยไม่มี Volume สนับสนุน อาจเป็นสัญญาณของ "False Breakout" หรือการ Breakout ปลอม ซึ่งราคามีโอกาสกลับเข้าสู่กรอบเดิมสูง

2. การใช้เครื่องมือยืนยันอื่นๆ (Additional Confluence)

การใช้ Pennant Pattern ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ

  • อินดิเคเตอร์: ลองใช้อินดิเคเตอร์ที่แสดงโมเมนตัม เช่น MACD หรือ Stochastic Oscillator เพื่อยืนยันว่าโมเมนตัมของแนวโน้มหลักยังคงอยู่ หรือกำลังจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งหลังจากการ Breakout
  • แนวรับแนวต้าน: พิจารณาว่าจุด Breakout สอดคล้องกับแนวรับหรือแนวต้านสำคัญอื่นๆ หรือไม่ หากจุด Breakout เกิดขึ้นใกล้กับระดับแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
  • กรอบเวลา (Timeframe): การวิเคราะห์ Pennant Pattern ในหลายๆ กรอบเวลา (Multi-Timeframe Analysis) สามารถช่วยให้นักเทรดเห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หาก Pennant Pattern ปรากฏในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น (เช่น H4 หรือ Daily) สัญญาณ Breakout ก็จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าในกรอบเวลาที่เล็กลง (เช่น M15 หรือ M30)

3. กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)

การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรด ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์ใดๆ ก็ตาม

  • การวาง Stop Loss:
    • กรณีทั่วไป: ควรวางคำสั่ง Stop Loss ไว้ที่ด้านล่างของรูปแบบ Pennant สำหรับ Bullish Pennant หรือด้านบนของรูปแบบ Pennant สำหรับ Bearish Pennant เพื่อจำกัดการขาดทุนหากราคาเคลื่อนไหวผิดทิศทาง
    • กรณีที่ต้องการรัดกุม: อาจพิจารณาวาง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่เกิดการ Breakout เพียงเล็กน้อย (สำหรับ Bullish Pennant) หรือสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่เกิดการ Breakout เพียงเล็กน้อย (สำหรับ Bearish Pennant) วิธีนี้จะช่วยให้ Stop Loss กระชับขึ้น แต่ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะโดน Stop Loss หากราคาเกิดการย่อตัวกลับเล็กน้อยก่อนจะไปต่อ
  • การกำหนดเป้าหมายทำกำไร (Take Profit):
    • ตามความยาวเสาธง: วิธีที่นิยมที่สุดคือการวัดความยาวของเสาธง (Flagpole) จากจุดเริ่มต้นของแนวโน้มจนถึงจุดเริ่มต้นของ Pennant แล้วนำระยะนั้นไปฉายจากจุด Breakout ไปในทิศทางของแนวโน้ม
    • ตามอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio): ควรกำหนดเป้าหมายทำกำไรให้มีอัตราส่วน Risk-Reward ที่เหมาะสม เช่น 1:2 หรือ 1:3 ขึ้นไป เพื่อให้คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่รับ
    • บริหารความเสี่ยงด้วยการแบ่งไม้เข้า: การแบ่งเข้าออเดอร์หลายไม้จะช่วยเฉลี่ยราคาและลดความเสี่ยงได้

ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรหากไม่มีการจัดการความเสี่ยง? หากไม่มีการวาง Stop Loss หรือกำหนดเป้าหมายทำกำไรที่ชัดเจน นักเทรดอาจเผชิญกับการขาดทุนที่รุนแรงหากตลาดเกิดการกลับตัวหรือเคลื่อนไหวผิดทาง การขาดทุนเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้พอร์ตเสียหายอย่างหนักได้ ดังนั้น การจัดการความเสี่ยงจึงเป็นหัวใจสำคัญสู่ ความสำเร็จในการเทรด

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Bullish และ Bearish Pennant

Q1: Pennant Pattern แตกต่างจาก Triangle Pattern อย่างไร?

A1: โดยทั่วไปแล้ว Pennant Pattern มีลักษณะคล้ายกับ Triangle Pattern (รูปแบบสามเหลี่ยม) แต่มีข้อแตกต่างที่สำคัญคือ Pennant มักจะเกิดขึ้นหลังจากมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและรวดเร็ว (Flagpole) และมีรูปแบบสามเหลี่ยมที่เล็กกว่าและสั้นกว่า โดยทั่วไป Pennant จะแสดงถึงการพักตัวระยะสั้นก่อนที่จะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางเดิม ขณะที่ Triangle Pattern อาจเป็นได้ทั้งรูปแบบต่อเนื่องหรือรูปแบบกลับตัว และมีขนาดที่หลากหลายกว่า

Q2: ปริมาณการซื้อขาย (Volume) มีความสำคัญอย่างไรต่อ Pennant Pattern?

A2: ปริมาณการซื้อขายมีความสำคัญอย่างยิ่งในการยืนยันความถูกต้องของ Pennant Pattern ในช่วงที่ราคาก่อตัวเป็นรูปแบบ Pennant ปริมาณการซื้อขายควรลดลง ซึ่งบ่งบอกถึงการชะลอตัวของโมเมนตัมและเป็นการสะสมพลังงาน แต่เมื่อราคาเกิดการ Breakout ออกจากรูปแบบ Pennant ปริมาณการซื้อขายควรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขึ้นของ Volume เป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของการ Breakout และบ่งชี้ว่ามีแรงซื้อหรือแรงขายที่แท้จริงเข้ามาสนับสนุน หากไม่มี Volume สนับสนุน การ Breakout นั้นอาจเป็นสัญญาณหลอก (False Breakout)

Q3: ควรใช้ Pennant Pattern ในกรอบเวลา (Timeframe) ใดดีที่สุด?

A3: Pennant Pattern สามารถพบเห็นได้ในทุกกรอบเวลา อย่างไรก็ตาม รูปแบบที่ปรากฏในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น เช่น รายวัน (Daily) หรือ ราย 4 ชั่วโมง (H4) มักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าในกรอบเวลาที่เล็กลง เช่น ราย 15 นาที (M15) หรือ ราย 5 นาที (M5) เนื่องจากสัญญาณในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่าจะสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวของตลาดที่สำคัญกว่าและลดสัญญาณรบกวนได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม นักเทรดสามารถใช้ Pennant Pattern ในกรอบเวลาที่เล็กลงสำหรับการเทรดระยะสั้น (Scalping) หรือ Day Trading ได้เช่นกัน แต่ควรระมัดระวังและใช้การยืนยันที่เข้มงวดมากขึ้น

Q4: จะป้องกันการเกิด False Breakout (สัญญาณหลอก) ได้อย่างไร?

A4: การป้องกัน False Breakout เป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน:

  • รอการยืนยัน: ควรรอให้แท่งเทียนปิดยืนยันเหนือเส้นแนวต้าน (สำหรับ Bullish Pennant) หรือต่ำกว่าเส้นแนวรับ (สำหรับ Bearish Pennant) ก่อนที่จะเข้าทำคำสั่งซื้อขาย อย่ารีบเข้าทันทีที่ราคาทะลุผ่าน
  • ดู Volume: ตรวจสอบปริมาณการซื้อขาย หาก Volume ไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการ Breakout อาจเป็นสัญญาณของ False Breakout
  • ใช้หลายกรอบเวลา: พิจารณาการ Breakout ในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น หากการ Breakout ในกรอบเวลาที่เล็กกว่าไม่ได้รับการยืนยันในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า อาจเป็นสัญญาณหลอก
  • ใช้เครื่องมืออื่นๆ: ผนวกกับการวิเคราะห์ด้วยอินดิเคเตอร์หรือแนวรับแนวต้านอื่นๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการ Breakout

Q5: ควรตั้ง Take Profit สำหรับ Pennant Pattern อย่างไร?

A5: วิธีที่นิยมที่สุดในการตั้ง Take Profit สำหรับ Pennant Pattern คือการวัดความยาวของ "เสาธง" (Flagpole) ซึ่งคือระยะห่างจากการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่งก่อนที่จะเกิดการพักตัว จากนั้นให้นำระยะความยาวของเสาธงนี้ไปฉาย (Project) จากจุดที่ราคาเกิดการ Breakout ออกจากรูปแบบ Pennant ในทิศทางของแนวโน้มเดิม ตัวอย่างเช่น หากเสาธงมีความยาว 100 จุด และราคา Breakout ที่ 1500 จุด สำหรับ Bullish Pennant เป้าหมายทำกำไรก็จะอยู่ที่ 1600 จุด (1500 + 100) แต่สำหรับ Bearish Pennant เป้าหมายทำกำไรจะอยู่ที่ 1400 จุด (1500 – 100)

สรุป: Pennant Pattern กุญแจสู่การเทรดอย่างมีวินัยและแม่นยำ

Pennant Pattern ไม่ว่าจะเป็น Bullish Pennant หรือ Bearish Pennant เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทรงประสิทธิภาพที่นักเทรดทุกระดับควรทำความเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ รูปแบบเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถระบุช่วงเวลาที่ตลาดกำลังพักตัวเพื่อสะสมพลังงาน ก่อนที่จะกลับมาเคลื่อนที่อย่างแข็งแกร่งในทิศทางเดิมอีกครั้ง

การทำความเข้าใจองค์ประกอบสำคัญ เช่น เสาธง (Flagpole) รูปแบบสามเหลี่ยม (Pennant) และการ Breakout พร้อมทั้งการสังเกตปริมาณการซื้อขาย (Volume) ถือเป็นหัวใจสำคัญในการใช้รูปแบบนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ การใช้ กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง เช่น การวาง Stop Loss และ Take Profit อย่างเหมาะสม จะช่วยปกป้องเงินทุนและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืนในระยะยาว

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ

ฟรี!! ระบบเทรด

▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการใช้ EA indicator และเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย

เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงก์ด้านล่าง ก็สามารถรับ EA ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆ อื่นๆ ได้อีกในอนาคต

โบรกเกอร์ที่แนะนำ:

  • XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
    https://bit.ly/XmFree30USD
  • Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
    https://bit.ly/MTRatsamee
  • Exness – โบรคเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด
    https://bit.ly/ExnessCom

**เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อขอรับ EA ได้ฟรี!**

https://lin.ee/toIzT8g

ช่องทางการพูดคุย:

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line