TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
แจก EA & อินดิเคเตอร์

กลยุทธ์การซื้อขายฝ่าวงล้อมคืออะไร?

กันยายน 28, 2022

กลยุทธ์การซื้อขายแบบฝ่าวงล้อม (Breakout Trading Strategy) : คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์

สำหรับเทรดเดอร์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ การตัดสินใจว่าจะเข้าสู่การเทรดเมื่อใดเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญสูงสุดที่ส่งผลต่อผลลัพธ์การลงทุน การพลาดจังหวะสำคัญอาจหมายถึงการสูญเสียโอกาสในการทำกำไรมหาศาล และในทางกลับกัน การเข้าผิดจังหวะก็อาจนำไปสู่การขาดทุนที่ไม่จำเป็น บทความนี้จะเจาะลึกถึง กลยุทธ์การซื้อขายแบบฝ่าวงล้อม (Breakout Trading Strategy) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพสูง ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการซื้อขายสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น ฟอเร็กซ์, ดัชนีหุ้น, CFDs และสินค้าโภคภัณฑ์ เราจะอธิบายถึงหลักการ ทำไมกลยุทธ์นี้จึงสำคัญ และวิธีการนำไปใช้จริงอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถระบุจังหวะการเข้าซื้อขายที่เหมาะสมและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมืออาชีพ

ทำความเข้าใจกลยุทธ์การซื้อขายแบบฝ่าวงล้อม (Breakout Trading Strategy) คืออะไร?

กลยุทธ์การซื้อขายแบบฝ่าวงล้อมคือการเข้าสู่ตำแหน่งการซื้อขายทันทีที่ราคาสามารถ ทะลุผ่านขอบเขต หรือระดับสำคัญที่จำกัดการเคลื่อนไหวของราคาได้ เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์นี้จะมองหา โมเมนตัมที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการฝ่าวงล้อมที่แท้จริง (Genuine Breakout) โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ตามมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงหลังจากการทะลุผ่านนั้น

ลักษณะสำคัญของการฝ่าวงล้อม

  • การทะลุผ่านระดับสำคัญ: ราคาต้องเคลื่อนที่ผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านที่ชัดเจน ซึ่งเป็นบริเวณที่ราคามักจะหยุดหรือกลับตัวในอดีต
  • โมเมนตัมที่แข็งแกร่ง: การฝ่าวงล้อมที่มีคุณภาพมักจะมาพร้อมกับแท่งเทียนที่มีขนาดใหญ่และปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่เข้ามาอย่างมาก
  • การยืนยัน: เทรดเดอร์มักจะรอการยืนยันเพิ่มเติม เช่น การปิดของแท่งเทียนนอกกรอบ หรือการทดสอบระดับที่ทะลุผ่านไปแล้ว (Retest) ก่อนที่จะเข้าสู่การเทรด

วิธีการเข้าสู่ตำแหน่งการซื้อขาย

เทรดเดอร์สามารถเข้าสู่ตำแหน่งการซื้อขายแบบฝ่าวงล้อมได้สองวิธีหลัก:

  1. การเข้าตลาดทันที (Market Entry): วิธีนี้ผู้เทรดจะต้อง ติดตามการเคลื่อนไหวของราคา อย่างใกล้ชิด และเข้าสู่การเทรดทันทีที่เห็นการฝ่าวงล้อมเกิดขึ้น วิธีนี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีความรวดเร็วในการตัดสินใจและสามารถเฝ้าหน้าจอได้ตลอดเวลา ข้อดีคือสามารถจับการเคลื่อนไหวแรกเริ่มของราคาได้ แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเจอสัญญาณหลอก (False Breakout) ได้สูง
  2. การวางคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า (Pending Orders): เทรดเดอร์สามารถใช้คำสั่ง Stop Buy หรือ Stop Sell โดยตั้งไว้เหนือระดับแนวต้านเดิมเล็กน้อย (สำหรับ Buy Stop) หรือต่ำกว่าระดับแนวรับเดิมเล็กน้อย (สำหรับ Sell Stop) เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึงระดับที่กำหนด คำสั่งจะถูกเปิดโดยอัตโนมัติ วิธีนี้ช่วยให้ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา แต่ก็อาจจะพลาดโอกาสหากราคาเคลื่อนที่เร็วเกินไป และยังคงมีความเสี่ยงจาก False Breakout เช่นกัน

การกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop-Loss) และเป้าหมายกำไร (Take-Profit)

  • จุดหยุดขาดทุน (Stop-Loss): โดยทั่วไปแล้ว เทรดเดอร์จะวางจุดหยุดขาดทุนไว้ต่ำกว่าระดับแนวต้านเดิม (สำหรับการซื้อ) หรือเหนือระดับแนวรับเดิม (สำหรับการขาย) เพื่อจำกัดความเสียหายหากการฝ่าวงล้อมไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
  • เป้าหมายกำไร (Take-Profit): การกำหนดเป้าหมายกำไรสามารถทำได้โดยใช้ระดับแนวรับและแนวต้านแบบคลาสสิกที่อยู่ถัดไป หรือใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น Fibonacci Retracement/Extension หรือการวัดระยะการเคลื่อนที่ของราคาจากการฝ่าวงล้อม

ทำความเข้าใจแนวรับและแนวต้าน: หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ฝ่าวงล้อม

ก่อนที่จะนำกลยุทธ์การฝ่าวงล้อมไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจและระบุ แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) บนกราฟราคาได้อย่างแม่นยำ เพราะการฝ่าวงล้อมจะเกิดขึ้นที่ระดับเหล่านี้

แนวรับ (Support Level) คืออะไร?

แนวรับคือบริเวณหรือระดับราคาที่สินทรัพย์มักจะ หยุดการลดลง และมีแนวโน้มที่จะดีดตัวกลับขึ้นไปอีกครั้ง เปรียบเสมือน “พื้น” ที่รองรับราคาไว้ไม่ให้ตกลงไปมากกว่านี้ เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ จะมีแรงซื้อเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งการลดลงของราคา ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ซื้อ (Buyers) มองว่าระดับราคานั้นเป็นจุดที่น่าสนใจในการเข้าซื้อ หรือเป็นจุดที่ราคาถูกเกินไปแล้ว และเข้ามาสนับสนุนราคาไม่ให้ร่วงลงไปอีก

  • ทำไมจึงเกิดแนวรับ? เกิดจากการที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มองเห็นถึงมูลค่าของสินทรัพย์ ณ ระดับราคานั้นๆ และตัดสินใจเข้าซื้อ ทำให้เกิดแรงซื้อสะสมที่มากพอจะต้านทานแรงขายได้
  • แนวรับที่แข็งแกร่งเป็นอย่างไร? แนวรับที่ราคาเคยลงมาทดสอบหลายครั้งแล้วไม่ผ่าน หรือมีปริมาณการซื้อขายสูง ณ จุดนั้น มักจะเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งกว่า
  • ผลลัพธ์ถ้าทะลุแนวรับ: หากราคาทะลุแนวรับที่แข็งแกร่งลงไป มักจะบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลงที่รุนแรงขึ้น และแนวรับเดิมอาจกลายเป็นแนวต้านใหม่ได้

แนวต้าน (Resistance Level) คืออะไร?

แนวต้านคือบริเวณหรือระดับราคาที่สินทรัพย์มักจะ หยุดการเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มที่จะกลับตัวลดลง เปรียบเสมือน “เพดาน” ที่จำกัดการขึ้นของราคา เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน จะมีแรงขายเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งการเพิ่มขึ้นของราคา ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ขาย (Sellers) มองว่าระดับราคานั้นเป็นจุดที่เหมาะสมในการทำกำไร หรือเป็นจุดที่ราคาสูงเกินไปแล้ว และเข้ามาต้านทานราคาไม่ให้พุ่งขึ้นไปอีก

แนวรับและแนวต้านบนกราฟ

  • ทำไมจึงเกิดแนวต้าน? เกิดจากการที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มองเห็นถึงจุดที่ควรทำกำไร หรือเป็นจุดที่สินทรัพย์มีราคาสูงเกินจริงแล้ว และตัดสินใจขายออก ทำให้เกิดแรงขายสะสมที่มากพอจะต้านทานแรงซื้อได้
  • แนวต้านที่แข็งแกร่งเป็นอย่างไร? แนวต้านที่ราคาเคยขึ้นไปทดสอบหลายครั้งแล้วไม่ผ่าน หรือมีปริมาณการซื้อขายสูง ณ จุดนั้น มักจะเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งกว่า
  • ผลลัพธ์ถ้าทะลุแนวต้าน: หากราคาทะลุแนวต้านที่แข็งแกร่งขึ้นไป มักจะบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่รุนแรงขึ้น และแนวต้านเดิมอาจกลายเป็นแนวรับใหม่ได้

การฝึกฝน การระบุแนวรับและแนวต้าน บนกราฟราคาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการใช้กลยุทธ์การฝ่าวงล้อม เมื่อคุณสามารถระบุระดับเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ การมองเห็นการฝ่าวงล้อมของราคาจากระดับเหล่านี้จะชัดเจนขึ้นมาก

วิธีใช้กลยุทธ์การฝ่าวงล้อมในการซื้อขายของคุณ

เมื่อคุณเข้าใจแนวคิดของแนวรับและแนวต้านแล้ว เราจะมาดูวิธีการประยุกต์ใช้กลยุทธ์การฝ่าวงล้อมในการซื้อขายจริง

1. การซื้อเมื่อราคาทะลุแนวต้าน (Buy on Resistance Breakout)

นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่พบบ่อยที่สุดในการใช้กลยุทธ์การฝ่าวงล้อม เมื่อราคาทะลุผ่านระดับแนวต้านที่เคยจำกัดการขึ้นของราคา เทรดเดอร์จำนวนมากมองว่านี่คือสัญญาณของ โมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่ง และมีโอกาสที่ราคาจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก

  • แนวคิดเบื้องหลัง: การฝ่าฝืนแนวต้านบ่งชี้ว่าแรงซื้อได้เอาชนะแรงขายได้อย่างชัดเจน และเทรดเดอร์ส่วนใหญ่กำลัง “เป็นขาขึ้น” (Bullish) ซึ่งจะผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปอีก
  • ตัวอย่าง: สมมติว่าหุ้นตัวหนึ่งมีการซื้อขายอยู่ในช่วง 100-110 บาทมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ โดย 110 บาทเป็นแนวต้านสำคัญ หากราคาพุ่งทะลุ 110 บาทขึ้นไปพร้อมปริมาณการซื้อขายที่สูง นั่นอาจเป็นสัญญาณให้เข้าซื้อ โดยคาดการณ์ว่าราคาจะขึ้นไปสู่ระดับถัดไป เช่น 120 หรือ 130 บาท
  • ข้อควรระวัง: แม้ว่าการทะลุแนวต้านมักจะเป็นสัญญาณที่ดี แต่ก็ไม่เสมอไป อาจเกิด False Breakout ได้ ดังนั้นการยืนยันสัญญาณจึงเป็นสิ่งสำคัญ

2. การขายเมื่อราคาทะลุแนวรับ (Sell on Support Breakout)

ในทางกลับกัน เมื่อราคาทะลุผ่านระดับแนวรับที่เคยพยุงราคาไว้ เทรดเดอร์จำนวนมากมองว่านี่คือสัญญาณของ โมเมนตัมขาลงที่แข็งแกร่ง และมีโอกาสที่ราคาจะร่วงลงไปอีก

  • แนวคิดเบื้องหลัง: การทะลุแนวรับบ่งชี้ว่าแรงขายได้เอาชนะแรงซื้อได้อย่างชัดเจน และเทรดเดอร์ส่วนใหญ่กำลัง “เป็นขาลง” (Bearish) ซึ่งจะผลักดันราคาให้ต่ำลงไปอีก
  • ตัวอย่าง: หากสินทรัพย์หนึ่งมีแนวรับที่ 50 บาท และราคาตกลงมาทะลุ 50 บาทลงไปอย่างรุนแรง นั่นอาจเป็นสัญญาณให้เข้าขาย (เปิด Short Position) โดยคาดการณ์ว่าราคาจะลงไปสู่ระดับถัดไป เช่น 45 หรือ 40 บาท
  • ข้อควรระวัง: เช่นเดียวกับการทะลุแนวต้าน การทะลุแนวรับก็อาจเป็น False Breakout ได้เช่นกัน การจัดการความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การฝึกฝนและเครื่องมือที่ช่วย

ไม่ว่าคุณจะใช้ บัญชีทดลอง (Demo Account) หรือ บัญชีซื้อขายจริง คุณสามารถใช้ฟังก์ชันการสร้างแผนภูมิของแพลตฟอร์มการซื้อขาย เช่น MT4 (MetaTrader 4) เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้านได้ การฝึกฝนเป็นประจำจะช่วยให้คุณคุ้นเคยและมั่นใจในการระบุระดับเหล่านี้ และทำให้การระบุการฝ่าวงล้อมของราคาทำได้ง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้ ควรลองระบุแนวรับและแนวต้านของเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ในกรอบเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมของราคาได้รอบด้านยิ่งขึ้น

กลยุทธ์การฝ่าวงล้อมเป็นเพียงส่วนหนึ่ง

สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ การเข้าสู่การเทรดเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของ กลยุทธ์การซื้อขายทั้งหมด การมีกลยุทธ์การเข้าที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็น แต่การมี กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) และ กลยุทธ์การออก (Exit Strategy) ที่เข้มงวดก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน กลยุทธ์ทั้งสามนี้ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่ชาญฉลาดและประสบความสำเร็จในระยะยาว

อินดิเคเตอร์ที่ดีที่สุดสำหรับกลยุทธ์การฝ่าวงล้อม

แม้ว่ากลยุทธ์การฝ่าวงล้อมสามารถใช้ได้กับการเคลื่อนไหวของราคาเพียงอย่างเดียว (Price Action) โดยอาศัยแนวรับและแนวต้านเป็นหลัก แต่การใช้ อินดิเคเตอร์ (Indicators) สามารถช่วยเพิ่มความแม่นยำในการยืนยันสัญญาณและลดความเสี่ยงของสัญญาณหลอกได้ อินดิเคเตอร์สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสนับสนุน หรือแม้แต่เป็นสัญญาณในการเข้าสู่การเทรดได้โดยตรง

1. Ichimoku Cloud (อิชิโมกุคลาวด์)

Ichimoku Cloud เป็นอินดิเคเตอร์ที่ครอบคลุมและให้ข้อมูลที่หลากหลายเกี่ยวกับแนวโน้ม แนวรับ แนวต้าน และโมเมนตัม เทรดเดอร์สามารถใช้ Ichimoku Cloud ในกลยุทธ์ฝ่าวงล้อมได้ดังนี้:

  • สัญญาณซื้อ: เมื่อราคาทะลุผ่าน “ก้อนเมฆ” (Kumo) ขึ้นไป บ่งชี้ถึงการฝ่าวงล้อมขาขึ้นที่แข็งแกร่ง และอาจเป็นสัญญาณในการเข้าซื้อ
  • สัญญาณขาย: เมื่อราคาทะลุผ่าน “ก้อนเมฆ” ลงมา บ่งชี้ถึงการฝ่าวงล้อมขาลงที่แข็งแกร่ง และอาจเป็นสัญญาณในการเข้าขาย

ตัวอย่างรายการฝ่าวงล้อมโดยใช้ตัวบ่งชี้คลาวด์ ichimoku

การใช้ Ichimoku Cloud ช่วยให้เทรดเดอร์เห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนขึ้น และสามารถยืนยันความแข็งแกร่งของการฝ่าวงล้อมได้ดีขึ้น

2. Relative Strength Index (RSI) – ดัชนีความสัมพันธ์ของแรง

RSI เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของการเปลี่ยนแปลงราคา เพื่อระบุภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) ในการใช้ RSI สำหรับกลยุทธ์ฝ่าวงล้อม มีสองแนวทางหลัก:

การยืนยัน (Confirmation)

เราพูดถึงการยืนยันเมื่อ RSI และราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นหมายความว่า หากราคาทำการฝ่าวงล้อมขึ้นไป และ RSI ก็แสดงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน นี่เป็นการยืนยันว่าการฝ่าวงล้อมนั้นมีแรงสนับสนุนที่แท้จริง

ตัวบ่งชี้ RSI แสดงรายการฝ่าวงล้อม

ตัวอย่าง: พิจารณากราฟ AUD/JPY ที่แสดงการฝ่าวงล้อมขาลงในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ในช่วงเวลานั้น ราคาปรับตัวลดลง และ RSI ก็มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน แม้ว่า RSI จะอยู่ใกล้โซน Oversold แต่ยังไม่ถึงระดับนั้น นี่เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ยืนยันว่ายังมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลงได้อีก

ความแตกต่าง (Divergence) – สัญญาณเตือนอันตราย

Divergence เกิดขึ้นเมื่อ RSI และราคาเคลื่อนที่สวนทางกัน นี่คือสัญญาณเตือนที่สำคัญที่บ่งชี้ว่าการฝ่าวงล้อมอาจเป็นสัญญาณหลอก หรือแรงขับเคลื่อนของแนวโน้มกำลังอ่อนแอลง

ตัวบ่งชี้ RSI บนแผนภูมิ EURNZD

ตัวอย่าง: บนกราฟ EUR/NZD ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม ราคาได้ ทะลุเหนือ ระดับแนวต้านสำคัญที่ 1.71 แต่ในขณะเดียวกัน RSI กลับแสดง Bearish Divergence (ความแตกต่างขาลง) อย่างชัดเจน และ RSI ยังอยู่ในเขต Overbought นี่เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าไม่ควรเข้าซื้อตามการฝ่าวงล้อมนี้ ดังที่เห็นในกราฟ หลังจากนั้นเกิดการรวมราคา (Consolidation) แทนที่จะเป็นการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีการเทขายเกิดขึ้นไม่นานหลังจากช่วงรวมราคาสิ้นสุดลง

ตารางสรุปการใช้อินดิเคเตอร์เพื่อยืนยัน Breakout

อินดิเคเตอร์ สัญญาณยืนยัน Breakout ขึ้น (Buy) สัญญาณยืนยัน Breakout ลง (Sell) ข้อควรพิจารณา
Ichimoku Cloud ราคาทะลุผ่าน Tenkan-sen และ Kijun-sen ขึ้นเหนือ Kumo (เมฆ) และ Kumo เปลี่ยนเป็นสีเขียว/น้ำเงิน ราคาทะลุผ่าน Tenkan-sen และ Kijun-sen ลงใต้ Kumo (เมฆ) และ Kumo เปลี่ยนเป็นสีแดง/ส้ม มองหา Chikou Span ที่อยู่เหนือ/ใต้ราคาและ Kumo เพื่อยืนยันโมเมนตัม
RSI (Relative Strength Index) ราคาทำ Higher Highs และ RSI ทำ Higher Highs (Confirmation) หรือ ราคาทำ Lower Lows แต่ RSI ทำ Higher Lows (Bullish Divergence – สัญญาณกลับตัวก่อน Breakout ลง) ราคาทำ Lower Lows และ RSI ทำ Lower Lows (Confirmation) หรือ ราคาทำ Higher Highs แต่ RSI ทำ Lower Highs (Bearish Divergence – สัญญาณกลับตัวก่อน Breakout ขึ้น) ค่า RSI ที่อยู่เหนือ 50-60 (ขาขึ้น) หรือต่ำกว่า 40-50 (ขาลง) ร่วมกับการ Breakout เป็นสัญญาณที่ดี
Volume (ปริมาณการซื้อขาย) ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อราคาทะลุแนวต้าน ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อราคาทะลุแนวรับ การ Breakout ที่ไม่มี Volume สนับสนุนมักเป็น False Breakout
Moving Average (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่) ราคาทะลุผ่านเส้น MA (เช่น MA 50, MA 200) และ MA มีทิศทางที่สอดคล้องกัน ราคาทะลุผ่านเส้น MA (เช่น MA 50, MA 200) และ MA มีทิศทางที่สอดคล้องกัน สามารถใช้การตัดกันของเส้น MA (Moving Average Crossover) เป็นสัญญาณยืนยันเพิ่มเติมได้

ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์การซื้อขายแบบฝ่าวงล้อม

เช่นเดียวกับกลยุทธ์การซื้อขายอื่นๆ กลยุทธ์การฝ่าวงล้อมก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เทรดเดอร์ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนนำไปใช้

ข้อดี (Advantages)

  • โอกาสในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างรวดเร็ว: การฝ่าวงล้อมมักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและรุนแรง ทำให้เทรดเดอร์มีโอกาสทำกำไรได้มากในเวลาอันสั้น หากจับจังหวะได้ถูกต้อง
  • การกำหนดจุดเข้าและออกค่อนข้างตรงไปตรงมา: เมื่อระบุแนวรับและแนวต้านได้ชัดเจน จุดเข้าจะอยู่เหนือ/ใต้ระดับที่ทะลุผ่านไป ส่วนจุดหยุดขาดทุนมักจะอยู่ฝั่งตรงข้ามของระดับนั้น ทำให้การวางแผนการเทรดทำได้ง่าย
  • เป็นกลยุทธ์ง่ายๆ ที่คุณสามารถเทรดได้โดยใช้ Price Action เท่านั้น: เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอินดิเคเตอร์ที่ซับซ้อนมากนัก ก็สามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้ เพียงแค่มีความสามารถในการระบุแนวรับและแนวต้านบนกราฟเปล่าๆ ก็เพียงพอแล้ว

ข้อเสีย (Disadvantages)

  • เทรดเดอร์จะต้องสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว: โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการเข้าตลาดทันที การฝ่าวงล้อมมักจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรวดเร็ว ทำให้ต้องตัดสินใจในเสี้ยววินาทีเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสหรือติดอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์
  • มีโอกาสสูงที่จะเกิดสัญญาณเท็จ (False Breakouts): นี่คือข้อเสียที่สำคัญที่สุด ราคาอาจทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านไปเพียงชั่วครู่ แล้วกลับเข้ามาในกรอบเดิมอย่างรวดเร็ว ทำให้เทรดเดอร์ที่เข้าเทรดตามสัญญาณหลอกต้องขาดทุน ดังนั้น การจัดการความเสี่ยง จึงมีความสำคัญมาก
  • การเพิ่มสัญญาณยืนยันเพิ่มเติมสามารถลดความเสี่ยงของการเกิด False Breakouts แต่ยังช่วยลดโอกาสในการจับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อีกด้วย: การรอสัญญาณยืนยันจากอินดิเคเตอร์หรือ Price Action เพิ่มเติม (เช่น รอให้แท่งเทียนปิดนอกกรอบ หรือรอ Retest) จะช่วยลดความเสี่ยงของ False Breakout ได้จริง แต่ก็อาจทำให้พลาดจังหวะการเข้าที่เหมาะสมที่สุด ทำให้ได้กำไรน้อยลง หรือตกรถ (Missed Trade) ไปเลยก็เป็นได้

จะยืนยันการฝ่าวงล้อมได้อย่างไร? เคล็ดลับเพื่อลด False Breakouts

ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดของกลยุทธ์การฝ่าวงล้อมคือการเกิด “False Breakout” หรือสัญญาณหลอก ซึ่งราคาจะทะลุผ่านระดับสำคัญไปเพียงช่วงสั้นๆ แล้วกลับเข้ามาในกรอบเดิม ทำให้เทรดเดอร์ที่เข้าตามสัญญาณนั้นต้องขาดทุน มีหลายวิธีที่เทรดเดอร์สามารถใช้เพื่อยืนยันความถูกต้องของการฝ่าวงล้อม

1. การวางคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า (Buy Stop / Sell Stop Orders)

วิธีที่ง่ายที่สุดในการซื้อขายการฝ่าวงล้อมคือการวางคำสั่ง Buy Stop ที่สูงกว่าแนวต้านหลัก หรือ Sell Stop ที่ต่ำกว่าแนวรับหลัก อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากมีโอกาสสูงที่การฝ่าวงล้อมนั้นจะเป็นสัญญาณเท็จ False Breakout เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะราคาอาจเคลื่อนที่สูงกว่า/ต่ำกว่าระดับแนวต้าน/แนวรับสำคัญในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น ในตอนแรกอาจมีโมเมนตัมเกิดขึ้นเนื่องจากคำสั่ง Stop ถูกเรียกใช้งาน แต่โมเมนตัมนี้อาจจางหายไปอย่างรวดเร็วหากไม่มีแรงเพียงพอที่จะขับเคลื่อนราคาต่อไป

2. การติดตามการเคลื่อนไหวของราคา (Price Action Monitoring)

หากคุณเป็น เดย์เทรดเดอร์ หรือสามารถเฝ้าหน้าจอมอนิเตอร์ได้ตลอดเวลา การติดตาม Price Action อย่างใกล้ชิดเป็นวิธีที่ดีในการยืนยันการฝ่าวงล้อม

  • การสังเกตแท่งเทียน: มองหาแท่งเทียนที่ปิดอย่างแข็งแกร่งนอกระดับแนวรับ/แนวต้าน พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูง
  • การตั้งค่าการแจ้งเตือน (Alerts): คุณสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนที่จะถูกเรียกใช้งานหากราคาเข้าใกล้ระดับที่คุณกำลังติดตาม เมื่อมีการแจ้งเตือน คุณจะต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ในการตัดสินใจว่าการฝ่าวงล้อมนั้นถูกต้องหรือไม่ จากนั้นคุณสามารถเข้าสู่การซื้อขายได้ด้วยตนเอง
  • ข้อควรระวัง: การเข้าด้วยวิธีนี้มีความเสี่ยงที่คุณจะพลาดการเคลื่อนไหวทั้งหมดหากราคาเคลื่อนที่เร็วเกินไป และต้องอาศัยการตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำ

3. การรอการทดสอบซ้ำ (Retest)

อีกวิธีหนึ่งที่ปลอดภัยกว่าคือการรอการดึงกลับ (Pullback) หรือการทดสอบซ้ำ (Retest) หลังจากที่ราคาทะลุผ่านระดับแนวต้าน/แนวรับที่สำคัญ ราคามักจะกลับมาที่ระดับนั้นอีกครั้งเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของระดับที่เพิ่งถูกทะลุผ่านไป

  • สัญญาณยืนยัน: หากราคาดีดตัวขึ้นจากระดับแนวต้านเดิมที่ตอนนี้กลายเป็นแนวรับใหม่ (สำหรับ Breakout ขึ้น) หรือหยุดก่อนระดับแนวรับเดิมที่ตอนนี้กลายเป็นแนวต้านใหม่ (สำหรับ Breakout ลง) นั่นเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งว่าการฝ่าวงล้อมนั้นถูกต้อง และคุณสามารถใช้จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่การเทรดได้

ราคากลับสู่แนวรับและแนวต้านบน USOIL

ราคากลับสู่แนวรับและแนวต้านของ EURAUD

  • ข้อควรระวัง: การรอ Retest อาจทำให้คุณพลาดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้ หากโมเมนตัมของราคาแข็งแกร่งมากและไม่กลับมาทดสอบระดับที่ถูกทะลุผ่าน

ตารางเปรียบเทียบวิธีการยืนยัน Breakout

วิธีการ ข้อดี ข้อเสีย เหมาะสมกับ
วางคำสั่ง Buy/Sell Stop ง่ายและไม่ต้องเฝ้าจอมาก เสี่ยง False Breakout สูง, อาจเข้าผิดจังหวะ เทรดเดอร์ที่ชอบความเรียบง่ายและรับความเสี่ยงได้สูง
ติดตาม Price Action จับจังหวะการเคลื่อนไหวได้ตั้งแต่แรก, เข้าเร็ว ได้กำไรมากหากถูกต้อง ต้องเฝ้าจอ, ตัดสินใจเร็ว, เสี่ยง False Breakout เดย์เทรดเดอร์, สแคปเปอร์, ผู้ที่สามารถเฝ้าจอได้ตลอด
รอ Retest ลดความเสี่ยง False Breakout, สัญญาณยืนยันแข็งแกร่ง อาจพลาดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่, เข้าช้ากว่า เทรดเดอร์ที่เน้นความปลอดภัย, สวิงเทรดเดอร์

กลยุทธ์การซื้อขายแบบฝ่าวงล้อม (Breakout Trading) ทำงานได้จริงหรือไม่?

คำตอบคือ ใช่ กลยุทธ์การซื้อขายแบบฝ่าวงล้อมสามารถเป็นกลยุทธ์ที่ทำกำไรได้สูง แต่ก็ไม่ได้ปราศจากความท้าทายและความเสี่ยงที่สำคัญ

  • ศักยภาพในการทำกำไร: เมื่อการฝ่าวงล้อมเป็นจริงและราคามีโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง เทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้มากจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและต่อเนื่อง
  • ความเสี่ยงจาก False Breakout: ดังที่กล่าวไปแล้ว ความเสี่ยงของการเกิด False Breakout นั้นสูงมาก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เทรดเดอร์หลายคนล้มเหลวในการใช้กลยุทธ์นี้
  • ความสำคัญของการจัดการความเสี่ยง: เพื่อให้กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จ การมี แผนการจัดการความเสี่ยงที่ดี จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คุณต้องกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ที่เหมาะสม และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
  • อัตราส่วนความเสี่ยง/ผลตอบแทน (Risk/Reward Ratio): คุณควรตั้งเป้าไปที่อัตราส่วนความเสี่ยง/ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผล โดยทั่วไปแล้ว ควรกำหนดเป้าหมายอย่างน้อย 1:2 หรือสูงกว่า นั่นหมายความว่า สำหรับทุกๆ 1 หน่วยความเสี่ยงที่คุณยอมรับ คุณควรคาดหวังผลตอบแทนอย่างน้อย 2 หน่วย ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 10 จุด คุณควรกำหนด Take Profit อย่างน้อย 20 จุด เพื่อให้คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่รับ

สรุปแล้ว กลยุทธ์การฝ่าวงล้อมเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในคลังอาวุธของเทรดเดอร์ แต่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจ ความระมัดระวัง และวินัยในการจัดการความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด

กรอบเวลาที่ดีที่สุดในการแลกเปลี่ยนการฝ่าวงล้อมคืออะไร?

กลยุทธ์การซื้อขายแบบฝ่าวงล้อมสามารถประยุกต์ใช้ได้กับ ทุกกรอบเวลา (Timeframe) ตั้งแต่กรอบเวลาสั้นๆ เช่น 1 นาที (M1) หรือ 5 นาที (M5) ไปจนถึงกรอบเวลาที่ยาวนานขึ้น เช่น รายวัน (Daily) รายสัปดาห์ (Weekly) หรือแม้กระทั่งรายเดือน (Monthly)

  • กรอบเวลาที่ยาวนาน: คุณสามารถซื้อขายการฝ่าวงล้อมของระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สะสมมานานหลายปี และถือการเทรดนั้นเป็นระยะเวลาหลายเดือนหรือนานกว่านั้น การฝ่าวงล้อมในกรอบเวลาที่ยาวนานมักจะให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือกว่าและนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและยาวนานกว่า
  • กรอบเวลาที่สั้นกว่า: อย่างไรก็ตาม การซื้อขายแบบฝ่าวงล้อมมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมมากกว่าสำหรับ ผู้ค้าระยะสั้น (Short-term Traders) เช่น Day Traders หรือ Scalpers เหตุผลคือพวกเขากำลังพยายามจับโมเมนตัมและทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างกะทันหันที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น การเทรดในกรอบเวลาที่ต่ำกว่าทำให้เข้าใจตลาดและโมเมนตัมของมันได้ง่ายกว่าการวิเคราะห์ในกรอบเวลาที่สูงกว่ามาก เพราะความเปลี่ยนแปลงจะปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนและรวดเร็วกว่า

คำแนะนำ: สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นจากการฝึกฝนในกรอบเวลาที่ยาวขึ้นเล็กน้อย เช่น 1 ชั่วโมง (H1) หรือ 4 ชั่วโมง (H4) เพื่อให้มีเวลาในการวิเคราะห์และตัดสินใจมากขึ้น เมื่อมีความชำนาญและเข้าใจพฤติกรรมของราคามากขึ้น จึงค่อยพิจารณาขยับไปสู่กรอบเวลาที่สั้นลง

สำหรับพี่ๆที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA เปิดบัญชีคลิกที่ลิงค์
ส่งเลข MT4 รับลิงค์ได้เลย
________________________________________________
✅ ??สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
XM มีโบนัสสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่ $30 และมีโบนัสเงินฝาก
Exness สมัครง่ายฝากถอนเร็ว
GMI เทรดดีไม่มีสะดุด ฟรี Free Swap ทุกบัญชี
https://bit.ly/GMI-TH
________________________________________________
✅ ♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–
ติดตามเราได้ที่
?LINE: @ft.th ( https://lin.ee/u0dwlLM )
?Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับกลยุทธ์การซื้อขายแบบฝ่าวงล้อม

Q1: กลยุทธ์การฝ่าวงล้อมเหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่?

A: กลยุทธ์การฝ่าวงล้อมสามารถใช้ได้ทั้งกับมือใหม่และผู้มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจแนวรับและแนวต้านอย่างละเอียด และฝึกฝนการระบุสัญญาณใน บัญชีทดลอง ก่อน เพื่อสร้างความคุ้นเคยและลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดที่เกิดจาก False Breakout สิ่งสำคัญคือต้องมีวินัยในการจัดการความเสี่ยงและตั้ง Stop Loss อย่างเคร่งครัด

Q2: อะไรคือความแตกต่างระหว่าง True Breakout และ False Breakout?

A: True Breakout (การฝ่าวงล้อมจริง) คือเมื่อราคาทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านไปอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง โดยมักจะมาพร้อมกับโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มที่จะรักษาระดับราคาใหม่ได้ ในทางตรงกันข้าม False Breakout (การฝ่าวงล้อมหลอก) คือเมื่อราคาทะลุผ่านระดับสำคัญไปเพียงชั่วครู่ แล้วกลับเข้ามาในกรอบเดิมอย่างรวดเร็ว มักจะไม่มีปริมาณการซื้อขายที่มากพอ และไม่สามารถรักษาระดับราคาที่ทะลุไปได้ การรอสัญญาณยืนยันเช่นการปิดแท่งเทียนนอกกรอบ หรือการรอ Retest สามารถช่วยแยกแยะ True Breakout ออกจาก False Breakout ได้

Q3: ควรใช้กรอบเวลาใดในการเทรด Breakout ที่ดีที่สุด?

A: กลยุทธ์ Breakout สามารถใช้ได้กับทุกกรอบเวลา แต่กรอบเวลาที่แตกต่างกันจะให้ลักษณะการเทรดที่แตกต่างกันไป การฝ่าวงล้อมในกรอบเวลาที่ยาวนานกว่า (เช่น H4, Daily) มักจะมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าและให้การเคลื่อนไหวของราคาที่ใหญ่กว่า แต่ก็ต้องใช้เวลาในการรอสัญญาณนานขึ้น สำหรับ เทรดเดอร์ระยะสั้น (Scalpers, Day Traders) กรอบเวลาที่สั้นกว่า (เช่น M5, M15) จะได้รับความนิยมมากกว่า เพราะมีโอกาสในการเข้าเทรดบ่อยครั้งและจับโมเมนตัมที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจาก False Breakout ก็สูงขึ้นตามไปด้วย แนะนำให้เลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและความอดทนของคุณ

Q4: อินดิเคเตอร์ใดบ้างที่ช่วยยืนยันสัญญาณ Breakout ได้?

A: อินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้ในการยืนยันสัญญาณ Breakout ได้แก่:

  • Volume: ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเกิด Breakout เป็นสัญญาณยืนยันที่ดีเยี่ยม
  • RSI (Relative Strength Index): ใช้เพื่อดู Divergence (ความแตกต่าง) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าโมเมนตัมอาจอ่อนแอลง หรือใช้ยืนยันว่า RSI เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับราคา
  • MACD (Moving Average Convergence Divergence): สามารถใช้เพื่อยืนยันโมเมนตัมและทิศทางของแนวโน้ม
  • Ichimoku Cloud: ใช้เพื่อระบุแนวรับ แนวต้าน และทิศทางของแนวโน้มที่ชัดเจน

การใช้อินดิเคเตอร์หลายตัวร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณจะช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดความเสี่ยงได้

Q5: การจัดการความเสี่ยงมีความสำคัญอย่างไรในกลยุทธ์การฝ่าวงล้อม?

A: การจัดการความเสี่ยง เป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การฝ่าวงล้อม เนื่องจากความเสี่ยงจาก False Breakout ที่สูง คุณต้อง:

  • กำหนด Stop Loss ที่ชัดเจน: เสมอเพื่อจำกัดการขาดทุนหากการเทรดไม่เป็นไปตามที่คาด
  • กำหนดขนาดตำแหน่ง (Position Sizing) ที่เหมาะสม: ไม่ควรเสี่ยงเกินกว่า 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว
  • รักษาอัตราส่วน Risk/Reward ที่ดี: ตั้งเป้ากำไรให้สูงกว่าความเสี่ยงที่คุณยอมรับ (เช่น 1:2 หรือสูงกว่า)

การมีวินัยในการปฏิบัติตามแผนการจัดการความเสี่ยงจะช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาดและเติบโตเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ

บทสรุป

กลยุทธ์การซื้อขายแบบฝ่าวงล้อม (Breakout Trading Strategy) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในหมู่นักลงทุนและเทรดเดอร์ทั่วโลก ด้วยศักยภาพในการสร้างผลกำไรอย่างรวดเร็วจากการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของความสำเร็จในการใช้กลยุทธ์นี้อยู่ที่ความสามารถในการระบุแนวรับและแนวต้านที่แท้จริง และที่สำคัญกว่านั้นคือการแยกแยะระหว่างการฝ่าวงล้อมจริง (True Breakout) กับสัญญาณหลอก (False Breakout) ซึ่งเป็นความท้าทายที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องเผชิญ

เราได้สำรวจหลักการพื้นฐานของกลยุทธ์นี้ วิธีการระบุสัญญาณการเข้าและการออก พร้อมทั้งแนะนำอินดิเคเตอร์ที่สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการยืนยันสัญญาณ เช่น Ichimoku Cloud และ RSI นอกจากนี้ เรายังได้ชี้ให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียที่สำคัญ รวมถึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด และการกำหนดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่เหมาะสม

ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์มือใหม่ที่กำลังเรียนรู้ หรือผู้มีประสบการณ์ที่ต้องการเพิ่มพูนทักษะ การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอใน บัญชีทดลอง จะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาความเชี่ยวชาญในการใช้กลยุทธ์นี้ การเข้าใจพฤติกรรมของราคาในกรอบเวลาที่แตกต่างกัน และการมีวินัยในการปฏิบัติตามแผนการซื้อขาย จะช่วยให้คุณสามารถใช้กลยุทธ์การฝ่าวงล้อมได้อย่างมั่นใจและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน

You Might Also Like

Contact Us on Line