TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
เทรดทองคำ

สเปรด(Spread) คืออะไร?

มิถุนายน 7, 2022

สเปรด (Spread) คืออะไร: ทำความเข้าใจหัวใจสำคัญของต้นทุนการเทรดในตลาดการเงิน

ในการลงทุนและการเทรดสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงิน (Forex), หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์ หรือแม้แต่ทองคำ มีคำศัพท์พื้นฐานที่เทรดเดอร์ทุกคนควรทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ หนึ่งในนั้นคือ “สเปรด” (Spread) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนและผลกำไรจากการซื้อขายของคุณ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสเปรดอย่างลึกซึ้ง ไม่เพียงช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมและพัฒนากลยุทธ์การเทรดให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว

สเปรด (Spread) คืออะไร? นิยามและความสำคัญในโลกการเงิน

“สเปรด” (Spread) คือคำศัพท์พื้นฐานที่หมายถึงส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid Price) และราคาเสนอขาย (Ask Price) ของสินทรัพย์ทางการเงินใดๆ ในตลาด การเทรดแต่ละครั้ง เทรดเดอร์จะเห็นราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขายที่ไม่เท่ากันเสมอ โดยราคาเสนอขาย (Ask) จะสูงกว่าราคาเสนอซื้อ (Bid) เล็กน้อย และส่วนต่างนี้เองคือค่าสเปรด ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมหลักที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากการให้บริการซื้อขาย

ทำไมถึงต้องมีสเปรด?

สเปรดเป็นกลไกสำคัญในการดำเนินธุรกิจของโบรกเกอร์ในตลาดการเงิน โบรกเกอร์ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายเข้าด้วยกัน และสเปรดคือรายได้หลักที่โบรกเกอร์ได้รับจากการอำนวยความสะดวกในการซื้อขายนี้ เปรียบเสมือนค่าบริการที่คุณต้องจ่ายเมื่อใช้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือซื้อขายทองคำตามร้านทองต่างๆ ที่มักจะมีราคาซื้อและราคาขายที่ต่างกัน

สเปรดทำงานอย่างไรในทางปฏิบัติ?

เมื่อคุณตัดสินใจเปิดคำสั่งซื้อ (Buy Order) คุณจะต้องซื้อที่ราคา Ask Price ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่า ในทางกลับกัน เมื่อคุณต้องการเปิดคำสั่งขาย (Sell Order) คุณจะต้องขายที่ราคา Bid Price ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าเสมอ ส่งผลให้ทันทีที่คุณเปิดออร์เดอร์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือขาย คุณจะพบว่าออร์เดอร์ของคุณ “ติดลบ” ทันที นั่นคือค่าสเปรดที่ถูกหักไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเทรด ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการซื้อทองคำที่ร้านทอง คุณจะต้องจ่ายในราคาที่ร้านทองเสนอขาย แต่เมื่อคุณต้องการขายทองคำคืนให้กับร้านเดิม คุณจะได้รับเงินในราคาที่ร้านทองเสนอรับซื้อ ซึ่งมักจะต่ำกว่าราคาขายออกเสมอ ส่วนต่างนี้คือสเปรดนั่นเอง

องค์ประกอบของสเปรด

  • Bid Price (ราคาเสนอซื้อ): คือราคาที่โบรกเกอร์ “พร้อมที่จะซื้อ” สินทรัพย์จากคุณ เป็นราคาที่คุณจะใช้เมื่อเปิดออร์เดอร์ Sell
  • Ask Price (ราคาเสนอขาย): คือราคาที่โบรกเกอร์ “พร้อมที่จะขาย” สินทรัพย์ให้กับคุณ เป็นราคาที่คุณจะใช้เมื่อเปิดออร์เดอร์ Buy
  • สเปรด (Spread): คือส่วนต่างระหว่าง Ask Price และ Bid Price (Ask Price – Bid Price) โดยทั่วไปจะวัดเป็น Pips หรือ Points

ตัวอย่างเช่น จากภาพประกอบด้านบน หากราคา Bid อยู่ที่ 1.15280 และราคา Ask อยู่ที่ 1.15290 ส่วนต่างคือ 0.00010 ซึ่งเท่ากับ 10 Point หรือ 1.0 Pip นี่คือค่าสเปรดที่คุณต้องจ่ายสำหรับการเทรดคู่นั้นๆ

ประเภทของ Spread ในตลาด Forex และผลกระทบต่อการเทรด

ในตลาด Forex สเปรดไม่ได้มีลักษณะเดียว แต่สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและผลกระทบต่อเทรดเดอร์ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ การทำความเข้าใจประเภทของสเปรดจะช่วยให้คุณสามารถเลือกประเภทบัญชีและโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ

1. สเปรดคงที่ (Fixed Spread)

คืออะไร: สเปรดคงที่หมายถึงส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask ที่มีค่าคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาดหรือความผันผวนของราคา ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญหรือช่วงที่ตลาดเงียบสงบ ค่าสเปรดก็จะยังคงเท่าเดิม

  • โบรกเกอร์ที่เสนอ: โดยทั่วไปแล้ว สเปรดคงที่จะถูกนำเสนอโดยโบรกเกอร์ประเภท Market Maker หรือ “Dealing Desk” โบรกเกอร์เหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับเทรดเดอร์ และสามารถกำหนดสเปรดให้คงที่ได้
  • ลักษณะและข้อดี:
    • คาดการณ์ต้นทุนได้ง่าย: เทรดเดอร์สามารถคำนวณต้นทุนการเทรดล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ทำให้ง่ายต่อการวางแผนกลยุทธ์และบริหารความเสี่ยง
    • เหมาะสำหรับมือใหม่: ความเรียบง่ายของสเปรดคงที่ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่ต้องการความชัดเจนในเรื่องต้นทุน
    • ไม่มี Slippage ในช่วงข่าว: ในทางทฤษฎี สเปรดคงที่จะไม่ขยายตัวออกในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง (เช่น ช่วงที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ) ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิด Slippage หรือการได้ราคาที่ไม่พึงประสงค์ (อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์อาจใช้กลไกอื่น เช่น การปฏิเสธคำสั่งซื้อขาย หรือการปรับราคาใหม่ (requote) ในสถานการณ์ที่ผันผวนรุนแรงแทน)
  • ข้อเสีย:
    • มักจะสูงกว่าสเปรดแปรผัน: โดยทั่วไป สเปรดคงที่มักจะมีค่าสูงกว่าสเปรดแปรผันเล็กน้อย เพื่อชดเชยความเสี่ยงให้กับโบรกเกอร์
    • อาจมีการ Requote: ในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง โบรกเกอร์อาจไม่สามารถจับคู่คำสั่งซื้อขายได้ที่ราคาที่แสดงอยู่ และอาจเสนอราคาใหม่ (requote) ซึ่งเทรดเดอร์มีสิทธิ์ที่จะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ได้

2. สเปรดแปรผัน (Variable Spread หรือ Floating Spread)

คืออะไร: สเปรดแปรผันหมายถึงส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามสภาวะตลาด อุปสงค์และอุปทาน และความผันผวนของสินทรัพย์นั้นๆ

  • โบรกเกอร์ที่เสนอ: สเปรดแปรผันจะถูกนำเสนอโดยโบรกเกอร์ประเภท Non-Dealing Desk (NDD) เช่น STP (Straight Through Processing) หรือ ECN (Electronic Communication Network) โบรกเกอร์เหล่านี้จะส่งคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์ไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Providers) หลายแห่งโดยตรง ทำให้ได้ราคาและสเปรดที่สะท้อนสภาพตลาดที่แท้จริง
  • ลักษณะและข้อดี:
    • มักจะต่ำกว่าสเปรดคงที่: ในสภาวะตลาดปกติ สเปรดแปรผันมักจะมีค่าต่ำกว่าสเปรดคงที่มาก และอาจต่ำถึง 0.1 Pip สำหรับคู่สกุลเงินหลักบางคู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบัญชีประเภท ECN
    • โปร่งใสและเป็นไปตามกลไกตลาด: เทรดเดอร์จะได้รับราคาที่มาจากผู้ให้บริการสภาพคล่องโดยตรง ทำให้มีความโปร่งใสสูงและเป็นไปตามกลไกตลาดที่แท้จริง
    • ไม่มี Requote: โดยส่วนใหญ่แล้ว บัญชีสเปรดแปรผันที่มาจากโบรกเกอร์ NDD จะไม่มีการ Requote เนื่องจากคำสั่งจะถูกส่งตรงไปยังตลาด
  • ข้อเสีย:
    • คาดการณ์ต้นทุนได้ยาก: สเปรดอาจมีการขยายตัวออกอย่างมากในช่วงที่มีความผันผวนของตลาดสูง หรือในช่วงเวลาที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการเทรดสูงขึ้นโดยไม่คาดคิด
    • ความเสี่ยง Slippage สูงขึ้น: ในช่วงที่สเปรดขยายตัวและตลาดผันผวน อาจเกิด Slippage หรือการได้ราคาที่ไม่ตรงกับที่เห็นบนแพลตฟอร์ม ทำให้เทรดเดอร์อาจได้ราคาที่แย่กว่าที่คาดไว้

ตารางเปรียบเทียบสเปรดคงที่ vs สเปรดแปรผัน

คุณสมบัติ สเปรดคงที่ (Fixed Spread) สเปรดแปรผัน (Variable Spread)
การเปลี่ยนแปลง คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงตามตลาด เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามสภาวะตลาด
โบรกเกอร์ที่เสนอ Market Maker (Dealing Desk) Non-Dealing Desk (STP/ECN)
ค่าสเปรดทั่วไป มักจะสูงกว่า (เช่น 2-3 Pips ขึ้นไป) มักจะต่ำกว่า (เช่น 0.1-1.5 Pips ในสภาวะปกติ)
ความโปร่งใส น้อยกว่า (โบรกเกอร์เป็นคู่สัญญา) สูงกว่า (ราคาจากผู้ให้บริการสภาพคล่องหลายราย)
ความเสี่ยง Requote มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในตลาดผันผวน ไม่มีหรือมีน้อยมาก
ความเสี่ยง Slippage น้อยกว่า (แต่มี Requote แทน) สูงกว่าในตลาดผันผวน
ความเหมาะสม เทรดเดอร์มือใหม่, ผู้ที่ต้องการต้นทุนคงที่ เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์, Scalper, Day Trader, ผู้ที่ต้องการสเปรดต่ำ

สเปรดมีความสำคัญอย่างไรต่อผลกำไรและขาดทุน?

สเปรดไม่ใช่แค่ตัวเลขเล็กๆ น้อยๆ บนหน้าจอการเทรด แต่เป็นปัจจัยที่มีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อผลลัพธ์การเทรดของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่มีความถี่ในการเทรดสูง หรือเทรดด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเก็บกำไรเพียงเล็กน้อยในแต่ละครั้ง เช่น Scalping

1. ต้นทุนเริ่มต้นของทุกออร์เดอร์

เมื่อคุณเปิดออร์เดอร์ซื้อขายใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) ออร์เดอร์ของคุณจะเริ่มต้นด้วยการ “ติดลบ” ทันทีเท่ากับค่าสเปรด ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อ EUR/USD และสเปรดคือ 1.5 Pips ทันทีที่คำสั่งถูกเปิด คุณจะขาดทุนกระดาษ (Floating Loss) เท่ากับ 1.5 Pips ทันที นั่นหมายความว่า ราคาจะต้องเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้ อย่างน้อย 1.5 Pips เพื่อให้คุณเริ่มทำกำไรได้ ดังนั้น ยิ่งสเปรดต่ำเท่าไหร่ จุดคุ้มทุนของคุณก็จะยิ่งเข้าใกล้จุดเริ่มต้นมากขึ้นเท่านั้น

2. ผลกระทบต่อกลยุทธ์การเทรด

  • Scalping และ Day Trading: สำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์ Scalping หรือ Day Trading ซึ่งมักจะเปิดและปิดออร์เดอร์ภายในระยะเวลาอันสั้นและหวังผลกำไรเพียงไม่กี่ Pips ค่าสเปรดที่ต่ำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากสเปรดสูง อาจทำให้จุดทำกำไรของคุณถูกกลืนหายไปกับต้นทุน หรือทำให้ต้องรอราคาวิ่งไปไกลขึ้นเพื่อที่จะทำกำไรได้
  • Swing Trading และ Position Trading: สำหรับเทรดเดอร์ระยะยาวอย่าง Swing Trader หรือ Position Trader แม้ว่าค่าสเปรดจะมีผลกระทบน้อยกว่าในแต่ละออร์เดอร์เมื่อเทียบกับ Scalper แต่ก็ยังคงเป็นต้นทุนที่สะสมได้ หากสเปรดสูงเกินไปในระยะยาวก็อาจกัดกินผลกำไรได้เช่นกัน

3. การเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำ

การเลือกเทรดกับโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำอย่างสม่ำเสมอเป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการลดต้นทุนการเทรดและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ต่อไปนี้:

  • โบรกเกอร์ A: สเปรด EUR/USD อยู่ที่ 2.0 Pips
  • โบรกเกอร์ B: สเปรด EUR/USD อยู่ที่ 1.0 Pip

หากคุณเทรด 1 Standard Lot (1 Pip = $10) และเปิดออร์เดอร์ 100 ครั้ง:

  • โบรกเกอร์ A: ต้นทุนสเปรดรวม = 100 ออร์เดอร์ x 2.0 Pips/ออร์เดอร์ x $10/Pip = $2,000
  • โบรกเกอร์ B: ต้นทุนสเปรดรวม = 100 ออร์เดอร์ x 1.0 Pip/ออร์เดอร์ x $10/Pip = $1,000

จะเห็นได้ว่าการเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำกว่าเพียง 1 Pip สามารถประหยัดต้นทุนให้กับคุณได้ถึง $1,000 ซึ่งเงินจำนวนนี้สามารถเปลี่ยนเป็นกำไรหรือลดการขาดทุนลงได้

4. สเปรดมาตรฐานสำหรับคู่เงินหลัก

โดยทั่วไปแล้ว สำหรับคู่สกุลเงินหลัก (Major Pairs) เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY ค่าสเปรดที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 1.5 – 2.0 Pips ในสภาวะตลาดปกติ หากพบว่าสเปรดสูงกว่านี้ อาจบ่งชี้ว่าโบรกเกอร์นั้นมีค่าธรรมเนียมแฝงที่สูงกว่าคู่แข่ง หรือสภาพคล่องไม่ดีเท่าที่ควร

ดังนั้น โดยสรุปแล้ว ยิ่งสเปรดน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อเทรดเดอร์เท่านั้น เพราะมันหมายถึงต้นทุนที่ต่ำลงและโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้น อย่าละเลยการพิจารณาค่าสเปรดเมื่อเลือกโบรกเกอร์และวางแผนกลยุทธ์การเทรดของคุณ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับสเปรด (Spread)

1. สเปรด (Spread) คืออะไร?

สเปรด (Spread) คือส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid Price) และราคาเสนอขาย (Ask Price) ของสินทรัพย์ทางการเงิน โดยทั่วไปจะหมายถึงค่าธรรมเนียมหลักที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากการอำนวยความสะดวกในการซื้อขาย เทรดเดอร์จะเห็นราคา Ask สูงกว่าราคา Bid เสมอ และส่วนต่างนี้คือต้นทุนที่คุณต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิดออร์เดอร์

2. สเปรดสูงหรือต่ำดีกว่ากัน?

สเปรดที่ต่ำกว่าย่อมดีกว่าเสมอ เพราะหมายถึงต้นทุนการเทรดที่ต่ำลง ทำให้จุดคุ้มทุนของการเปิดออร์เดอร์เข้ามาใกล้ขึ้น และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่เน้นการเทรดระยะสั้นหรือ Scalping ที่หวังผลกำไรเพียงไม่กี่ Pips

3. ทำไมเมื่อเปิดออร์เดอร์แล้วจึงติดลบทันที?

การที่ออร์เดอร์ติดลบทันทีเมื่อเปิดคำสั่งซื้อขาย เป็นผลมาจากค่าสเปรด เนื่องจากการซื้อจะเกิดขึ้นที่ราคา Ask ที่สูงกว่า และการขายจะเกิดขึ้นที่ราคา Bid ที่ต่ำกว่า ส่วนต่างนี้คือค่าสเปรดที่ถูกหักไปเป็นค่าบริการของโบรกเกอร์ ทำให้คุณต้องรอให้ราคาวิ่งผ่านจุดสเปรดไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้จึงจะเริ่มเห็นกำไร

4. มีวิธีลดผลกระทบจากสเปรดในการเทรดได้อย่างไรบ้าง?

มีหลายวิธีในการลดผลกระทบจากสเปรด ได้แก่:

  • เลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำ: ทำการเปรียบเทียบสเปรดของโบรกเกอร์ต่างๆ สำหรับคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่คุณเทรดบ่อยๆ
  • เทรดในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูง: สเปรดมักจะต่ำลงในช่วงเวลาที่ตลาดมีความคึกคักและมีปริมาณการซื้อขายสูง (เช่น ช่วงคาบเกี่ยวระหว่างตลาดลอนดอนและนิวยอร์กสำหรับ Forex)
  • หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงข่าวสำคัญ: สเปรดมักจะขยายตัวอย่างมากในช่วงที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ เนื่องจากตลาดมีความผันผวนสูงและสภาพคล่องลดลง
  • เลือกคู่สกุลเงินหลัก: คู่สกุลเงินหลักมักจะมีสภาพคล่องสูงกว่าและมีสเปรดที่แคบกว่าเมื่อเทียบกับคู่สกุลเงินรองหรือคู่แปลกใหม่

5. สเปรดคงที่ (Fixed Spread) กับสเปรดแปรผัน (Variable Spread) ต่างกันอย่างไร?

  • สเปรดคงที่: ค่าสเปรดจะคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความแน่นอนในเรื่องต้นทุน แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะสูงกว่าสเปรดแปรผัน และอาจมีการ Requote ในช่วงตลาดผันผวน
  • สเปรดแปรผัน: ค่าสเปรดจะเปลี่ยนแปลงไปตามความผันผวนและสภาพคล่องของตลาด โดยทั่วไปจะต่ำกว่าสเปรดคงที่ในสภาวะตลาดปกติ แต่สามารถขยายตัวออกได้มากในช่วงที่มีข่าวหรือความผันผวนสูง มักไม่มีการ Requote แต่มีความเสี่ยง Slippage สูงกว่า

สรุป: สเปรด หัวใจสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องเข้าใจ

สเปรด (Spread) คือส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask ซึ่งเปรียบเสมือนค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมหลักที่คุณต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์ทุกครั้งที่ทำการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินในตลาด ไม่ว่าคุณจะเทรด Forex, หุ้น, หรือทองคำ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสเปรดอย่างลึกซึ้งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน

เราได้เรียนรู้ว่าสเปรดมีสองประเภทหลักคือ สเปรดคงที่ (Fixed Spread) ซึ่งมีค่าคงที่แต่โดยทั่วไปสูงกว่า และ สเปรดแปรผัน (Variable Spread) ซึ่งเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด โดยทั่วไปต่ำกว่าแต่สามารถขยายตัวได้มากในช่วงผันผวน การเลือกประเภทของสเปรดและโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ การให้ความสำคัญกับโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำและมีสภาพคล่องสูง จะช่วยให้คุณลดต้นทุนการเทรดและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น อย่ามองข้ามความสำคัญของสเปรดในการวางแผนกลยุทธ์การเทรดและการบริหารจัดการเงินทุนของคุณ เพราะมันคือหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่จะกำหนดความสำเร็จของคุณในตลาดการเงิน

หากคุณกำลังมองหาระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) หรือต้องการเข้าร่วมกลุ่ม Line VIP เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ คุณสามารถพิจารณาเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ที่เราแนะนำเพื่อรับสิทธิพิเศษเหล่านี้ได้ทันที:

  • XM: โบรกเกอร์คุณภาพอันดับหนึ่งที่ได้รับความไว้วางใจในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน พร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่
  • Mtrading: โบรกเกอร์ที่โดดเด่นด้วยสเปรดเริ่มต้นที่ 0 Pip และค่าคอมมิชชั่นที่ต่ำ เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด
  • Exness: โบรกเกอร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องการฝากและถอนเงินที่รวดเร็วที่สุด มอบความสะดวกสบายและความคล่องตัวในการจัดการเงินทุน

เมื่อสมัครเสร็จสิ้น กรุณาส่งเลข MT4/MT5 ไปที่ Line ID: @ft.th เพื่อขอรับ EA ระบบเทรดอัตโนมัติฟรี และเข้าร่วมกลุ่ม Line VIP ของเรา!

ช่องทางการพูดคุยและติดตามข้อมูลเพิ่มเติม:

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like