ความผันผวนในตลาด Forex: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์
ในโลกของการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือ Forex นั้น มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของเทรดเดอร์ หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดและมักถูกมองข้ามคือ “ความผันผวน” ซึ่งเป็นหัวใจของการเคลื่อนไหวของราคาและโอกาสในการทำกำไร บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมายของความผันผวน ความสัมพันธ์กับสภาพคล่องของตลาด ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความผันผวน รวมถึงเคล็ดลับการบริหารจัดการความผันผวนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดของคุณ
ทำความเข้าใจ “ความผันผวน” ในการซื้อขาย Forex คืออะไร?
ความผันผวน (Volatility) ในบริบทของการซื้อขาย Forex หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของราคาคู่สกุลเงินในช่วงเวลาหนึ่ง มันเป็นมาตรวัดว่าราคาของสินทรัพย์มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็วหรือรุนแรงเพียงใดในช่วงระยะเวลาที่กำหนด ยิ่งราคาเปลี่ยนแปลงมากเท่าไร ความผันผวนก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
การวัดความผันผวน
ความผันผวนสามารถวัดได้หลายวิธี หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ค่า pip (Point in Percentage) ซึ่งเป็นหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน:
- คู่สกุลเงินที่มีความผันผวนต่ำ: หากคู่สกุลเงินหนึ่งผันผวนระหว่าง 5-10 pip ในช่วงหนึ่งวัน แสดงว่ามีความผันผวนน้อย
- คู่สกุลเงินที่มีความผันผวนสูง: ในทางตรงกันข้าม หากคู่สกุลเงิน Forex ผันผวนระหว่าง 50-100 pips หรือมากกว่านั้น แสดงว่ามีความผันผวนสูงมาก
การทำความเข้าใจความแตกต่างของค่า pip เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นได้ หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ pip สามารถศึกษาได้จากบทความของเราเรื่อง PIP Forex คืออะไร? คู่มืออธิบายและวิธีคำนวณค่า Pip
ประเภทของสกุลเงินตามระดับความผันผวน
ไม่ใช่ทุกสกุลเงินหรือคู่สกุลเงินที่จะมีระดับความผันผวนเท่ากัน เทรดเดอร์จะสังเกตเห็นว่ามีบางคู่ที่เคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าและรุนแรงกว่าคู่สกุลเงินอื่น ๆ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก:
1. สกุลเงินหลบภัย (Safe Haven Currencies)
สกุลเงินเหล่านี้มักจะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในยามที่ตลาดโลกเกิดความไม่แน่นอนหรือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่คาดว่าจะรักษามูลค่าได้ดีกว่า ตัวอย่างเช่น:
- เยนญี่ปุ่น (JPY): เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสกุลเงินหลบภัย เนื่องจากญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจที่มั่นคงและมีสถานะเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลก
- ฟรังก์สวิส (CHF): สวิตเซอร์แลนด์มีชื่อเสียงด้านความเป็นกลางทางการเมืองและระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง ทำให้ฟรังก์สวิสเป็นที่พึ่งพาในยามวิกฤต
- ดอลลาร์สหรัฐ (USD): แม้จะมีการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย แต่ในบางสถานการณ์ ดอลลาร์สหรัฐก็ยังคงถูกมองว่าเป็นสกุลเงินหลบภัยเนื่องจากเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก
สกุลเงินเหล่านี้มักจะมีความผันผวนค่อนข้างต่ำในช่วงเวลาปกติ แต่จะแข็งค่าขึ้นและอาจมีความผันผวนสูงขึ้นในภาวะตลาดผันผวนรุนแรง
2. สกุลเงินตลาดเกิดใหม่และคู่สกุลเงินแปลกใหม่ (Emerging Market and Exotic Currencies)
ในทางตรงกันข้าม สกุลเงินเหล่านี้มักจะมีความผันผวนสูงกว่า เนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น เศรษฐกิจที่ยังไม่มั่นคง ความเสี่ยงทางการเมือง หรือการพึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก ตัวอย่างเช่น:
- ลีราตุรกี (TRY): ได้รับผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศและสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
- เปโซเม็กซิโก (MXN): มีความอ่อนไหวต่อราคาน้ำมันและความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา
- รูปีอินเดีย (INR): ได้รับอิทธิพลจากนโยบายเศรษฐกิจภายในและการลงทุนจากต่างประเทศ
- เงินบาทไทย (THB): อาจผันผวนตามปัจจัยการท่องเที่ยว นโยบายการเงิน และสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
สำหรับเทรดเดอร์ การเลือกคู่สกุลเงินที่เหมาะสมกับเทคนิคและกลยุทธ์การซื้อขายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ที่ชื่นชอบความท้าทายและโอกาสในการทำกำไรสูงอาจเลือกตลาดที่มีความผันผวนสูง ในขณะที่ผู้ที่ต้องการความเสี่ยงต่ำกว่าอาจเลือกคู่สกุลเงินที่มีความผันผวนน้อยกว่า การทำความเข้าใจ “รูปแบบการซื้อขาย กลยุทธ์ และความชอบในการซื้อขาย” ของตนเองจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในตลาด Forex ได้ดียิ่งขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพคล่องและความผันผวนของตลาด
การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสภาพคล่อง (Liquidity) และความผันผวน (Volatility) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ Forex ทุกคน สองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกและส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของราคา
สภาพคล่องคืออะไร?
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจแนวคิดของ สภาพคล่อง (Liquidity) กัน สภาพคล่องคือ มาตรวัดว่าคุณสามารถซื้อหรือขายสินทรัพย์บางอย่างในตลาดได้ง่ายและรวดเร็วเพียงใด โดยไม่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ลองนึกภาพสถานการณ์สมมติ:
- ตัวอย่างทองคำ: หากคุณต้องการซื้อทองคำ 100 ออนซ์ ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงจะมีผู้ขายจำนวนมากที่พร้อมจะขายทองคำในปริมาณดังกล่าวให้คุณในราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาดปัจจุบัน ทำให้คุณสามารถดำเนินการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วและไม่กระทบราคามากนัก
- ตัวอย่างคู่สกุลเงิน EUR/USD: ในช่วงเวลาที่มีการซื้อขายหนาแน่น เช่น ตลาดลอนดอน คุณสามารถดำเนินการซื้อขาย EUR/USD มูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ได้โดยไม่มีปัญหาและไม่ทำให้ตลาดขยับขึ้นลงมากนัก นี่คือลักษณะของสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลามีความสำคัญอย่างยิ่ง สภาพคล่องของสกุลเงินอาจลดลงในช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น หากคุณตัดสินใจที่จะดำเนินการซื้อขาย EUR/USD ระหว่างการปิดการซื้อขายในสหรัฐฯ และก่อนการเปิดตลาดโตเกียว คุณอาจพบว่าสภาพคล่องไม่ดีเท่าที่ควร ส่งผลให้คุณอาจได้รับราคาดำเนินการที่แย่กว่าที่คุณคาดไว้ (Slippage)
โดยสรุป สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงจะมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก ทำให้การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่นและมีผลกระทบต่อราคาน้อย ส่วนสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำจะตรงกันข้าม
ความผันผวนและสภาพคล่องเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งเครื่องมือการซื้อขายมีสภาพคล่องมากเท่าใด ความผันผวนก็จะยิ่งลดลงเท่านั้น และในทางกลับกัน ความสัมพันธ์นี้สามารถอธิบายได้ดังนี้:
- สภาพคล่องสูง → ความผันผวนต่ำ: ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง จะมีคำสั่งซื้อและขายจำนวนมากอยู่ในระบบ ทำให้ต้องใช้ปริมาณธุรกรรมที่มหาศาลเพื่อที่จะสามารถผลักดันราคาให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น การจะทำให้ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ หรือคู่สกุลเงิน EUR/USD ขยับไปในทิศทางเดียว ต้องมีนักลงทุนจำนวนมากทำการซื้อขายด้วยปริมาณที่สูงมาก ดังนั้นการเคลื่อนไหวของราคาจึงมักจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีเสถียรภาพมากกว่า
- สภาพคล่องต่ำ → ความผันผวนสูง: ในทางกลับกัน ตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำจะมีผู้ซื้อและผู้ขายน้อยกว่า ทำให้ใช้ปริมาณธุรกรรมที่น้อยลงมากก็สามารถผลักดันราคาให้เคลื่อนไหวได้อย่างรุนแรงและรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น สกุลเงินของตลาดเกิดใหม่บางสกุล เช่น เปโซเม็กซิโก หรือ แรนด์ของแอฟริกาใต้ มักจะมีความผันผวนสูงกว่าด้วยเหตุผลนี้เอง แม้แต่ข่าวสารหรือเหตุการณ์เล็กน้อยก็อาจทำให้ราคามีการแกว่งตัวอย่างรุนแรงได้
สำหรับเทรดเดอร์ การทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ช่วยในการตัดสินใจเลือกคู่สกุลเงินและช่วงเวลาในการเทรดได้อย่างเหมาะสม หากต้องการสภาพแวดล้อมการเทรดที่คาดเดาได้และมีความเสี่ยงต่ำ ควรเลือกคู่ที่มีสภาพคล่องสูง แต่หากต้องการโอกาสในการทำกำไรที่รวดเร็วจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรง อาจพิจารณาคู่ที่มีสภาพคล่องต่ำแต่ต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น

ทำไมความผันผวนจึงมีความสำคัญในตลาด?
ความผันผวนเป็นสิ่งสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของการซื้อขายในตลาดการเงิน แม้ว่านักลงทุนบางคนจะมองว่าเป็นศัตรู แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือ “เพื่อน” ที่สร้างโอกาสให้กับเทรดเดอร์ ดังคำกล่าวอันโด่งดังของ Warren Buffett ที่ว่า: “เวลาทั้งหมดไม่แน่นอน ย้อนกลับไปในปี 2550 เราไม่รู้ว่ามันไม่แน่นอน” ซึ่งบ่งชี้ว่าความไม่แน่นอนและความผันผวนเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับตลาดเสมอ
ไม่มีความผันผวนหมายความว่าอย่างไร?
หากไม่มีความผันผวน หมายความว่า:
- ไม่มีการเคลื่อนไหวของราคา: ราคาของสินทรัพย์จะนิ่งสนิท ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
- ไม่มีกิจกรรมการซื้อขาย: เมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวของราคา ก็จะไม่มีโอกาสในการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคา ทำให้กิจกรรมการซื้อขายเป็นไปไม่ได้
ดังนั้น ความผันผวนจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับตลาดในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมันคือเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนให้เกิดการซื้อขายและสร้างโอกาสในการทำกำไร อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำหรับเทรดเดอร์คือ เมื่อความผันผวนสูงเกินไป ซึ่งอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน
ในฐานะเทรดเดอร์ Forex คุณจำเป็นต้องตระหนักถึง:
- สกุลเงินใดมีความผันผวนมากกว่าสกุลเงินอื่น: การรู้ว่าคู่สกุลเงินใดมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวรุนแรงกว่า จะช่วยให้คุณเลือกคู่ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- เมื่อความผันผวนเพิ่มขึ้น: การติดตามข่าวสารและปฏิทินเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเหตุการณ์บางอย่างสามารถกระตุ้นให้ความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การเตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยให้คุณสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม หรือหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่มีความเสี่ยงสูงเกินไป
โดยสรุป ความผันผวนไม่ใช่สิ่งที่จะต้องกลัว แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้วิธีจัดการ เพื่อเปลี่ยนให้เป็นโอกาสในการทำกำไรในตลาด Forex
อะไรทำให้เกิดความผันผวนของตลาดในคู่สกุลเงิน?
ในยุคปัจจุบันที่ตลาดโลกมีการเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การไหลของข้อมูลและการสื่อสารที่ราบรื่น รวมถึงอิทธิพลของโซเชียลมีเดียและเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ตลาด Forex มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยหลายประการที่สามารถกระตุ้นให้เกิดความผันผวนได้ การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์และบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความผันผวน
-
ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Factors)
เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดการเงิน เนื่องจากสร้างความไม่แน่นอนและความกังวลในหมู่นักลงทุน ตัวอย่างเช่น:
- สงคราม (การบุกรุกทางทหาร): สงครามและการขัดแย้งทางทหารมักนำไปสู่ความไม่แน่นอนอย่างสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและตลาดโดยรวม สกุลเงินของประเทศที่เกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบอาจอ่อนค่าลงอย่างรุนแรง
- การจลาจลและความไม่สงบ: ความวุ่นวายภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง การจลาจล หรือความไม่มั่นคงทางการเมือง ล้วนส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือของประเทศนั้น ๆ ทำให้สกุลเงินผันผวนและอ่อนค่าลงได้
แม้ตลาดจะต้องการความผันผวนในระดับหนึ่งเพื่อสร้างโอกาสในการซื้อขาย แต่ความไม่แน่นอนระดับสูงที่ยืดเยื้อจากปัจจัยเหล่านี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตลาดและเศรษฐกิจโดยรวม
-
สงครามการค้า (Trade Wars)
สงครามการค้าระหว่างประเทศหรือภูมิภาคต่าง ๆ เช่น การขึ้นภาษีนำเข้า การจำกัดการส่งออก หรือมาตรการกีดกันทางการค้าอื่น ๆ สามารถกระตุ้นความผันผวนในตลาดได้อย่างมหาศาล เนื่องจากเกี่ยวข้องกับมูลค่าการค้าหลายพันล้านหรือหลายล้านล้านดอลลาร์ สกุลเงินของประเทศที่เกี่ยวข้องกับสงครามการค้าจะได้รับผลกระทบโดยตรง ตัวอย่างเช่น การที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน อาจทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง และส่งผลกระทบต่อคู่สกุลเงินอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
-
นโยบายการเงิน (Monetary Policy)
ธนาคารกลางทั่วโลกมีบทบาทสำคัญในการจัดการกระแสเงินและควบคุมอัตราเงินเฟ้อผ่านนโยบายการเงิน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อค่าเงินและระดับความผันผวน ปัจจัยที่ธนาคารกลางใช้ ได้แก่:
- อัตราดอกเบี้ย: การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือสำคัญของธนาคารกลาง อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมักจะดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติ ทำให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้นและอาจลดความผันผวนลง ในทางกลับกัน การลดอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้สกุลเงินอ่อนค่าลงและเพิ่มความผันผวน
- การดำเนินนโยบาย Quantitative Easing (QE) หรือ Quantitative Tightening (QT): เป็นการเพิ่มหรือลดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อสภาพคล่องและความผันผวนของตลาด
ดังนั้น เทรดเดอร์ Forex ทุกคนจึงต้องจับตาดูการตัดสินใจของธนาคารกลางหลัก ๆ อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve – Fed), ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank – ECB), ธนาคารแห่งอังกฤษ (Bank of England – BoE), ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (Bank of of Japan – BoJ), ธนาคารแห่งแคนาดา (Bank of Canada – BoC) หรือธนาคารกลางออสเตรเลีย (Reserve Bank of Australia – RBA) การประกาศนโยบายเหล่านี้มักเป็นช่วงเวลาที่ความผันผวนในตลาดจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
-
ความเชื่อมั่นของผู้ค้าและตลาด (Trader and Market Sentiment)
เป็นความจริงที่ว่าการเคลื่อนไหวของตลาดนั้นถูกขับเคลื่อนโดยผู้คนเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์รายย่อย นักลงทุนสถาบัน หรือกองทุนขนาดใหญ่ อารมณ์ความรู้สึกและความเชื่อมั่นที่มีอยู่ในตลาด (ทั้งในเชิงบวกและลบ) มีผลอย่างมากต่อระดับความผันผวน
- ความเชื่อมั่นเชิงบวก (Risk-on): เมื่อนักลงทุนมีความเชื่อมั่นและมองโลกในแง่ดี มักจะแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นโดยการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ทำให้เกิดการไหลของเงินทุนเข้าสู่ตลาดที่ผันผวนและเพิ่มกิจกรรมการซื้อขาย
- ความเชื่อมั่นเชิงลบ (Risk-off): ในช่วงเวลาที่นักลงทุนรู้สึกไม่มั่นใจหรือกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ มักจะหันไปหาสกุลเงินหลบภัยและลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ส่งผลให้ตลาดโดยรวมมีความผันผวนสูงขึ้นและราคาอาจปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว
ความเชื่อมั่นนี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ รวมถึงโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจขยายความผันผวนของตลาดให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
การวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยให้เทรดเดอร์มีมุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับแนวโน้มความผันผวนของตลาดและสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
คู่สกุลเงินใดที่ผันผวนมากที่สุด?
การทำความเข้าใจว่าคู่สกุลเงินใดมีความผันผวนสูงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการแสวงหาโอกาสจากความเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็ว หรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงสูง บทความนี้จะพิจารณาคู่สกุลเงินหลักบางคู่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความผันผวน พร้อมทั้งอธิบายสาเหตุเบื้องหลัง
1. AUD/JPY (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/เยนญี่ปุ่น)
คู่สกุลเงิน AUD/JPY มักถูกมองว่าเป็น “มาตรวัดความเสี่ยง” (Risk Proxy) ในตลาดการเงิน เนื่องจากลักษณะเฉพาะของสกุลเงินทั้งสอง:
- ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD): ถูกจัดว่าเป็นสกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูง (Risk-on Currency) ซึ่งหมายความว่ามันจะได้รับความนิยมและแข็งค่าขึ้นเมื่อนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจโลกและกล้าที่จะรับความเสี่ยง (Risk-on Mode) ออสเตรเลียเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ ทำให้ AUD มีความอ่อนไหวต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก
- เยนญี่ปุ่น (JPY): ในทางกลับกัน เยนญี่ปุ่นเป็นสกุลเงินหลบภัยแบบดั้งเดิม (Safe Haven Currency) ที่นักลงทุนมักจะหันไปถือครองเมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหรือความกังวลในตลาด (Risk-off Mode)
ทำไมจึงผันผวน?
ด้วยลักษณะที่แตกต่างกันนี้ ทำให้ AUD/JPY เป็นคู่สกุลเงินที่มีความผันผวนสูงอย่างมีนัยสำคัญ:
- เพิ่มขึ้น (เมื่อตลาดเป็น Risk-on): เมื่อผู้ค้าและนักลงทุนรู้สึกในแง่ดีและแสวงหาความเสี่ยง เงินทุนจะไหลออกจาก JPY และเข้าสู่ AUD ทำให้ AUD/JPY มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- ลดลง (เมื่อตลาดเป็น Risk-off): ในทางกลับกัน เมื่อผู้ค้าหันหลังให้กับความเสี่ยงและมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก เงินทุนจะไหลเข้าสู่ JPY และออกจาก AUD ทำให้ AUD/JPY มีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนไหวที่สวนทางกันของอารมณ์ตลาด (Risk-on vs. Risk-off) ทำให้ AUD/JPY มีการแกว่งตัวของราคาที่รุนแรงและเป็นที่นิยมในหมู่เทรดเดอร์ที่ชอบความผันผวน
2. GBP/CAD (ปอนด์อังกฤษ/ดอลลาร์แคนาดา)
อัตราไขว้ (Cross Rate) ของปอนด์อังกฤษมักจะมีแนวโน้มที่จะผันผวนมากที่สุดในบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจับคู่กับดอลลาร์แคนาดา (CAD):
- ปอนด์อังกฤษ (GBP): ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหราชอาณาจักร ซึ่งอาจมีความไม่แน่นอนสูง เช่น การเจรจา Brexit หรือนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE)
- ดอลลาร์แคนาดา (CAD): เป็นอีกหนึ่งสกุลเงินที่ “เสี่ยง” (Risk-on Currency) และได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก ทิศทางของราคาน้ำมัน เนื่องจากแคนาดาเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ หากคุณสนใจเกี่ยวกับการซื้อขายน้ำมัน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ เทรดน้ำมัน XBRUSD Xodusd คืออะไร?
ทำไมจึงผันผวน?
GBP/CAD มีความผันผวนสูงเนื่องจากการผสมผสานปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองสกุลเงิน:
- สถานการณ์ Risk-off และราคาน้ำมันตกต่ำ: หากตลาดเข้าสู่โหมด “ปิดความเสี่ยง” และในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันก็ลดลงอย่างรุนแรง ดอลลาร์แคนาดาอาจอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมาก เนื่องจากรายได้จากการส่งออกน้ำมันลดลง ในขณะที่ปอนด์อังกฤษก็อาจอ่อนค่าลงจากความกังวลในตลาด ทำให้ GBP/CAD ลดลงอย่างรวดเร็ว
- สถานการณ์ Risk-on และราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น: ในช่วงเวลาที่นักลงทุนกำลังมองหาความเสี่ยงและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (รวมถึงน้ำมัน) ก็สูงขึ้นเช่นกัน ดอลลาร์แคนาดาและปอนด์อังกฤษมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้น ทำให้ GBP/CAD เพิ่มขึ้น
ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับราคาน้ำมันและปัจจัยเศรษฐกิจอื่น ๆ ทำให้ GBP/CAD มีการเคลื่อนไหวที่คาดเดายากและรุนแรง
3. USD/TRY (ดอลลาร์สหรัฐ/ลีราตุรกี)
คู่สกุลเงิน USD/TRY จัดเป็นคู่สกุลเงินแปลกใหม่ (Exotic Pair) ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเห็น การแกว่งตัวของราคาอย่างมีนัยสำคัญ ในบางครั้ง เนื่องจากปัจจัยเฉพาะของตุรกี:
- ภูมิรัฐศาสตร์: ตุรกีตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์สูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- ความไม่แน่นอนของธนาคารกลาง: นโยบายของธนาคารกลางตุรกีมักจะมีความไม่แน่นอนและได้รับอิทธิพลจากการเมืองภายในประเทศ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อค่าเงินลีรา
- อิทธิพลทางการเมือง: การตัดสินใจทางการเมืองมีผลอย่างมากต่อทิศทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพของลีราตุรกี
ทำไมจึงผันผวน?
เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้ ลีราตุรกีจึงเป็นสกุลเงินที่อ่อนไหวต่อข่าวสารและเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างมาก ทำให้ USD/TRY มีการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและคาดการณ์ได้ยากกว่าคู่สกุลเงินหลักอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ความผันผวนนี้ก็สามารถสร้างโอกาสในการทำกำไรสูงสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์และสามารถรับความเสี่ยงได้
การเลือกคู่สกุลเงินที่มีความผันผวนสูงเหล่านี้จำเป็นต้องมีการบริหารความเสี่ยงที่ดีและกลยุทธ์ที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถทำกำไรจากโอกาสที่เกิดขึ้นได้
เคล็ดลับการซื้อขาย Forex เมื่อมีความผันผวน
เมื่อคุณเข้าใจลักษณะโดยธรรมชาติของความผันผวนและปัจจัยเบื้องหลังแล้ว คำถามถัดไปคือ คุณจะใช้มันเพื่อประโยชน์ของคุณได้อย่างไร? คุณจะควบคุมความผันผวนในการซื้อขาย Forex เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างไร? หากคุณมองความผันผวนของตลาดในฐานะ “เพื่อน” มากกว่า “ศัตรู” ดังคำกล่าวของ Warren Buffett แล้ว นี่คือเคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ:
1. ใช้คำสั่งหยุดการขาดทุน (Stop Loss Order)
การใช้คำสั่ง Stop Loss เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการซื้อขายในตลาดที่มีความผันผวนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด Forex ที่ราคาอาจเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด:
- ความหมาย: คำสั่ง Stop Loss คือการตั้งระดับราคาที่คุณยินดีที่จะยอมรับการขาดทุนสูงสุดสำหรับแต่ละการเทรด หากราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไปถึงระดับที่กำหนด ระบบจะทำการปิดสถานะโดยอัตโนมัติ
- ทำไมจึงสำคัญ:
- จำกัดความเสี่ยง: Stop Loss ช่วยปกป้องเงินทุนของคุณจากการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นอย่างรุนแรงหากตลาดเกิดการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิด
- การปกป้องเพิ่มเติมจากความผันผวน: ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง ราคาอาจแกว่งตัวอย่างรุนแรง การมี Stop Loss จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าการขาดทุนจะไม่เกินกว่าที่ตั้งใจไว้
- ลดอารมณ์ร่วม: การตั้ง Stop Loss ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น โดยไม่ใช้อารมณ์เข้ามาร่วมในการเทรดเมื่อตลาดมีความผันผวนสูง
- เคล็ดลับ: ควรกำหนดระดับ Stop Loss ที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากแนวรับแนวต้าน รูปแบบกราฟ หรือค่า ATR (Average True Range) เพื่อให้มีพื้นที่ให้ราคาสามารถแกว่งตัวได้บ้างโดยไม่ถูกปิดสถานะเร็วเกินไป หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stop Loss สามารถอ่านได้จากบทความของเราเรื่อง Stop Loss (SL) คืออะไร? และสำคัญอย่างไรต่อการเทรด? และ ความสำคัญของ Stop Loss: สุดยอดเครื่องมือป้องกันการขาดทุนที่คุณต้องมี
2. ติดตามปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar)
การตรวจสอบปฏิทินเศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการคาดการณ์และรับมือกับความผันผวน:
- ความหมาย: ปฏิทินเศรษฐกิจรวบรวมเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ย, ตัวเลข GDP, อัตราเงินเฟ้อ, การจ้างงาน, หรือการแถลงการณ์ของธนาคารกลาง
- ทำไมจึงสำคัญ:
- คาดการณ์ความผันผวน: เหตุการณ์เหล่านี้มักมีผลกระทบอย่างมากต่อตลาดและสามารถกระตุ้นให้ความผันผวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การทราบล่วงหน้าจะช่วยให้คุณเตรียมตัวได้
- วางแผนการเทรด:
- หลีกเลี่ยง: เทรดเดอร์บางคนชอบที่จะอยู่เฉยๆ หรือหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่มีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบสูง (High Impact News) ซึ่งอาจทำให้ความผันผวนสูงเกินไปและคาดเดาทิศทางได้ยาก
- ใช้ประโยชน์: ในทางกลับกัน ผู้ค้าบางรายมีความเชี่ยวชาญในการใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วในช่วงเหตุการณ์สำคัญเหล่านั้น โดยใช้กลยุทธ์การเทรดข่าว (News Trading Strategy)
- เคล็ดลับ: ไม่ว่าคุณจะชอบสไตล์การเทรดแบบใด การติดตามและทำความเข้าใจผลกระทบของเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลต่อการซื้อขายของคุณนั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการอ่านปฏิทินเศรษฐกิจเพื่อให้ทันเหตุการณ์สำคัญเหล่านี้ได้ที่ ข่าวที่มีผลกระทบต่อตลาด Forex: ทำความเข้าใจและใช้ให้เป็นประโยชน์
3. จำกัดเลเวอเรจของคุณ (Limit Your Leverage)
เลเวอเรจ (Leverage) เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ก็เป็นดาบสองคม:
- ความหมาย: เลเวอเรจช่วยให้คุณสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายที่มีมูลค่ามากกว่าเงินทุนที่คุณมีจริงในบัญชีได้ ตัวอย่างเช่น เลเวอเรจ 1:500 หมายความว่าคุณสามารถเทรดได้ด้วยเงินทุนที่มากกว่าเงินฝากของคุณถึง 500 เท่า
- ทำไมจึงสำคัญ:
- ขยายผลกำไรและขาดทุน: เลเวอเรจสามารถขยายผลกำไรของคุณได้อย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถขยายผลขาดทุนของคุณได้อย่างมหาศาลเช่นกัน
- ลดความเสี่ยงจากการผันผวน: เมื่อตลาดมีความผันผวนสูง การใช้เลเวอเรจมากเกินไปจะทำให้บัญชีของคุณมีความเสี่ยงต่อการถูก Margin Call และ Stop Out ได้ง่ายขึ้น การจำกัดปริมาณเลเวอเรจที่คุณใช้สำหรับการซื้อขายจึงเป็นกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่สำคัญ
- บริหารความเสี่ยง: การใช้เลเวอเรจที่เหมาะสมกับขนาดบัญชีและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ แสดงว่าคุณได้วางกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงไว้อย่างรอบคอบแล้ว
- เคล็ดลับ: สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่หรือผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับความผันผวน ควรเริ่มต้นด้วยเลเวอเรจที่ต่ำกว่าและค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น นอกจากนี้ ควรศึกษาเรื่อง การบริหารความเสี่ยง Forex: กลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับนักเทรด เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการจัดการเงินทุนและการใช้เลเวอเรจอย่างมีประสิทธิภาพ
การนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับความผันผวนในตลาด Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสในการสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับความผันผวนใน Forex
Q1: ความผันผวนสูงหมายถึงโอกาสที่ดีกว่าในการทำกำไรจริงหรือ?
A1: ใช่และไม่ใช่. ความผันผวนสูงหมายถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและรวดเร็ว ซึ่งสามารถนำไปสู่โอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น หากเทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ทิศทางได้อย่างถูกต้องและเข้าออกตลาดได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตาม ความผันผวนสูงยังหมายถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ การขาดทุนก็อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงเช่นกัน ดังนั้น การทำกำไรจากความผันผวนสูงจึงต้องอาศัยประสบการณ์ กลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง และการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
Q2: สกุลเงินหลบภัย (Safe Haven) มักจะมีความผันผวนต่ำเสมอไปหรือไม่?
A2: โดยทั่วไปแล้ว สกุลเงินหลบภัย เช่น เยนญี่ปุ่น (JPY) และฟรังก์สวิส (CHF) มักจะมีความผันผวนต่ำในช่วงที่ตลาดมีความปกติหรือมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือความไม่แน่นอนทางการเมืองทั่วโลกอย่างรุนแรง ความต้องการสกุลเงินหลบภัยจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้สกุลเงินเหล่านี้แข็งค่าขึ้นและอาจแสดงความผันผวนที่สูงขึ้นได้ชั่วคราว เนื่องจากการไหลเข้าของเงินทุนจำนวนมากที่ต้องการความปลอดภัย
Q3: ฉันควรหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญหรือไม่?
A3: ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ การประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ (High Impact News) มักจะกระตุ้นให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาด เทรดเดอร์บางคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้และป้องกัน Slippage ในขณะที่เทรดเดอร์อีกกลุ่มหนึ่งที่มีประสบการณ์สูงและมีกลยุทธ์เฉพาะสำหรับการเทรดข่าว อาจมองว่าเป็นโอกาสในการทำกำไรอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจความเสี่ยงและเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ หากคุณเลือกที่จะเทรดในช่วงข่าว
Q4: เลเวอเรจมีผลต่อความผันผวนอย่างไร?
A4: เลเวอเรจไม่ได้เพิ่มหรือลด “ความผันผวน” ของตลาดโดยตรง แต่จะ ขยายผลกระทบ ของความผันผวนที่มีต่อบัญชีการซื้อขายของคุณ เมื่อตลาดมีความผันผวนสูงและคุณใช้เลเวอเรจจำนวนมาก การเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลให้เกิดกำไรหรือขาดทุนจำนวนมากในบัญชีของคุณได้ หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับตำแหน่งของคุณอย่างรวดเร็ว การใช้เลเวอเรจสูงจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิด Margin Call หรือ Stop Out ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การจำกัดเลเวอเรจจึงเป็นส่วนสำคัญของการบริหารความเสี่ยงในสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวน
สรุป: ความผันผวน คือ หัวใจและโอกาสของตลาด Forex
ความผันผวนเป็นหนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดที่เทรดเดอร์ทุกคนควรทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเมื่อทำการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด Forex มันไม่ใช่เพียงแค่คำศัพท์ทางเทคนิคที่ซับซ้อน แต่คือ “หัวใจ” ที่ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของราคาและสร้างโอกาสในการทำกำไร
จากการอ่านบทความนี้ ตอนนี้คุณได้เรียนรู้แล้วว่า:
- ความผันผวนคืออะไร: การเปลี่ยนแปลงของราคาคู่สกุลเงินในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งสามารถวัดได้ด้วยค่า pip
- ประเภทของสกุลเงิน: มีทั้งสกุลเงินหลบภัยที่มีความผันผวนต่ำในภาวะปกติ และสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ที่มีความผันผวนสูง
- ความสัมพันธ์กับสภาพคล่อง: สภาพคล่องสูงมักจะนำไปสู่ความผันผวนต่ำ ในขณะที่สภาพคล่องต่ำมักจะส่งผลให้เกิดความผันผวนสูง
- ปัจจัยที่ทำให้เกิดความผันผวน: ตั้งแต่ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า นโยบายการเงิน ไปจนถึงความเชื่อมั่นของเทรดเดอร์
- คู่สกุลเงินที่ผันผวนสูง: เช่น AUD/JPY, GBP/CAD และ USD/TRY ที่มีปัจจัยเฉพาะตัวกระตุ้นความผันผวน
- เคล็ดลับการซื้อขายเมื่อมีความผันผวน: การใช้ Stop Loss, ติดตามปฏิทินเศรษฐกิจ และจำกัดเลเวอเรจ
การทำความเข้าใจหลักการเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็นว่าความผันผวนไม่ใช่สิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยงหรือหวาดกลัว แต่เป็นส่วนสำคัญที่สร้างโอกาสในการทำกำไรในตลาด หากคุณเรียนรู้วิธีจัดการและใช้ประโยชน์จากมันอย่างถูกวิธี
จำไว้เสมอว่า การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด การเตรียมตัวให้พร้อมด้วยความรู้และกลยุทธ์ที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนความท้าทายจากความผันผวนให้เป็นโอกาสในการสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืนในตลาด Forex!
หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรดและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยในการตัดสินใจ คุณสามารถสำรวจบทความอื่น ๆ ของเราได้ที่ fttinvesting.com เพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะของคุณให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
____________________________________
https://bit.ly/GMI-TH


