กลยุทธ์การเทรดด้วย EA: สร้างสมดุลระหว่างผลกำไรและการบริหารความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน
ในโลกของการลงทุนที่ผันผวน การสร้างสมดุลระหว่างการทำกำไรและการบริหารความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักการสำคัญของการเทรดด้วยความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยเน้นการใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ (Expert Advisor – EA) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทน พร้อมทั้งแนะนำเคล็ดลับและแนวทางสำหรับทั้งนักลงทุนมือใหม่และผู้มีประสบการณ์ที่ต้องการยกระดับกลยุทธ์การเทรด
ความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงในการเทรดด้วย EA
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ไม่ใช่เพียงแค่แนวคิด แต่เป็น กลยุทธ์หลัก ที่นักลงทุนทุกคนต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) เพราะถึงแม้ EA จะช่วยลดอารมณ์และข้อผิดพลาดของมนุษย์ได้ แต่ก็ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด หากปราศจากการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ทุนของคุณอาจเสียหายได้
ทำไมต้องบริหารความเสี่ยง?
- ป้องกันการขาดทุนอย่างรุนแรง: การกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในแต่ละครั้งที่เทรด จะช่วยให้คุณจำกัดการขาดทุนให้อยู่ในกรอบที่วางแผนไว้
- รักษาสภาพคล่องของเงินทุน: การเสียเงินทุนจำนวนมากอาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการเทรดครั้งต่อไป การบริหารความเสี่ยงช่วยให้เงินทุนของคุณหมุนเวียนได้
- สร้างวินัยในการเทรด: การมีแผนบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจนจะช่วยสร้างวินัย และป้องกันการตัดสินใจที่ใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เทรดเดอร์มือใหม่ ขาดทุน
- ยืดอายุการเทรด: การอยู่รอดในตลาดระยะยาว สำคัญกว่าการทำกำไรก้อนใหญ่เพียงครั้งเดียว การบริหารความเสี่ยงช่วยให้คุณมีโอกาสแก้ตัวและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด
ตัวอย่าง: หากคุณมีทุน 10,000 ดอลลาร์ และตั้งใจจะเสี่ยงเพียง 1% ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง นั่นหมายความว่าคุณพร้อมจะเสียเงินไม่เกิน 100 ดอลลาร์ต่อการเทรดนั้นๆ หากตลาดไม่เป็นไปตามคาด ระบบ EA ของคุณก็ควรจะตั้งค่าให้ปิดการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อถึงจุดขาดทุนที่กำหนดไว้ หรือที่เรียกว่า Stop Loss (SL)
EA คืออะไร และทำงานอย่างไร?
Expert Advisor (EA) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โรบอทเทรด” หรือ “ระบบเทรดอัตโนมัติ” คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์ตลาดและทำการซื้อขายแทนมนุษย์ตามชุดกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
หลักการทำงานของ EA
- การวิเคราะห์ข้อมูล: EA จะใช้ข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ เช่น ราคาปัจจุบัน, ปริมาณการซื้อขาย, และ อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค ต่างๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ตลาด
- การตัดสินใจซื้อขาย: เมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในโปรแกรม EA ถูกตรงตามข้อกำหนด เช่น ราคาทะลุแนวต้าน หรืออินดิเคเตอร์ส่งสัญญาณซื้อ/ขาย EA จะทำการเปิดหรือปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติ
- การบริหารจัดการออเดอร์: EA ไม่เพียงแค่เปิดปิดออเดอร์ แต่ยังรวมถึงการตั้งค่า Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP) เพื่อควบคุมความเสี่ยงและล็อคกำไร
ตัวอย่าง: หาก EA ของคุณถูกตั้งโปรแกรมให้ซื้อทองคำ (XAUUSD) เมื่อ Moving Average (MA) ระยะสั้นตัดขึ้นเหนือ MA ระยะยาว และตั้งค่า Stop Loss ไว้ที่ 50 จุด และ Take Profit ที่ 100 จุด เมื่อเงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด EA จะเปิดออเดอร์ซื้อโดยอัตโนมัติ และจะปิดออเดอร์เมื่อราคาขึ้นถึง 100 จุด หรือลงถึง 50 จุด

สร้างสมดุลระหว่างกำไรและความเสี่ยงได้อย่างไร?
การสร้างสมดุลนี้เป็นศิลปะและวิทยาศาสตร์ที่ต้องอาศัยการวางแผน การปรับปรุง และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในระบบเทรดของคุณ
1. กำหนดเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงต่อการเทรด (Risk Per Trade)
- หลักการ: ควรเสี่ยงเพียง 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดต่อการเทรดหนึ่งครั้ง ไม่ว่า EA ของคุณจะแม่นยำแค่ไหนก็ตาม การจำกัดความเสี่ยงนี้จะช่วยปกป้องเงินทุนของคุณจากการขาดทุนติดต่อกัน
- คำอธิบาย: หากคุณมีเงินทุน 1,000 ดอลลาร์ และยอมรับความเสี่ยง 2% คุณจะเสี่ยงได้ไม่เกิน 20 ดอลลาร์ต่อการเทรด หาก EA ทำการเทรด 10 ครั้งและขาดทุนทุกครั้ง คุณจะเสียเพียง 200 ดอลลาร์ ทำให้ยังมีเงินทุนเหลือสำหรับการเทรดต่อไป
2. เลือกขนาดล็อต (Lot Size) ที่เหมาะสม
ขนาดล็อตที่ใช้ในการเทรดส่งผลโดยตรงต่อกำไรและขาดทุน การคำนวณขนาดล็อตควรสอดคล้องกับระดับ Stop Loss และเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่คุณกำหนดไว้
- วิธีการคำนวณ:
- กำหนดจำนวนเงินที่เสี่ยงได้ต่อการเทรด (จากข้อ 1)
- กำหนดจุด Stop Loss (เป็น Pip)
- ใช้สูตร: ขนาดล็อต = (จำนวนเงินที่เสี่ยงได้ / (จุด Stop Loss เป็น Pip * มูลค่า Pip ต่อล็อตมาตรฐาน))
- ตัวอย่าง: หากคุณต้องการเสี่ยง 20 ดอลลาร์, Stop Loss 50 จุด และคู่เงิน EUR/USD มีมูลค่า Pip ละ 10 ดอลลาร์ต่อ 1 ล็อตมาตรฐาน (100,000 หน่วย)
ขนาดล็อต = 20 / (50 * 10) = 0.04 ล็อต
ดังนั้น คุณควรเทรดที่ขนาด 0.04 ล็อต เพื่อให้ความเสี่ยงไม่เกิน 20 ดอลลาร์ - เคล็ดลับ: โบรกเกอร์บางรายมี บัญชี Cent ที่ช่วยให้มือใหม่สามารถเริ่มต้นด้วยเงินทุนน้อยและบริหารความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น

3. ทำความเข้าใจ Drawdown
Drawdown คือการลดลงของเงินทุนจากจุดสูงสุดไปยังจุดต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง เป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเสี่ยงในระบบเทรด
- ทำไมต้องรู้ Drawdown:
- บ่งบอกถึงความผันผวนของระบบ EA
- ช่วยในการตัดสินใจว่าระบบ EA นั้นเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้หรือไม่
- หาก EA มี Drawdown สูงมาก อาจบ่งชี้ว่าระบบมีความเสี่ยงสูงเกินไป
- เคล็ดลับ: ควรเลือก EA ที่มีค่า Drawdown ที่ยอมรับได้ และตรวจสอบผลการทดสอบย้อนหลัง (Backtest) ของ EA เพื่อดู Drawdown ในสถานการณ์ตลาดที่แตกต่างกัน
4. เลือกใช้ EA ที่เหมาะสม
มี EA มากมายในตลาด การเลือก EA ที่ดีต้องพิจารณาหลายปัจจัย
- พิจารณาจาก:
- ประวัติผลงาน (Performance History): ตรวจสอบผลการเทรดย้อนหลังที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่แค่ภาพกำไรที่สวยหรูเพียงไม่กี่วัน
- กลยุทธ์ของ EA: ทำความเข้าใจว่า EA ใช้กลยุทธ์อะไรในการเทรด เช่น Scalping, Swing Trade หรือ Trend Following
- ความยืดหยุ่นในการตั้งค่า: EA ที่ดีควรอนุญาตให้ปรับแต่งค่าต่างๆ ได้ เช่น Stop Loss, Take Profit, หรือ Lot Size เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดและระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้
- ผู้พัฒนา: เลือก EA จากผู้พัฒนาที่มีความน่าเชื่อถือ และมีรีวิวที่ดี
- ตัวอย่าง: หากคุณเป็นมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วย EA ที่เน้นการบริหารความเสี่ยงเป็นหลัก มี Drawdown ต่ำ แม้ผลตอบแทนอาจจะไม่สูงมากนัก แต่จะช่วยให้คุณเรียนรู้และสร้างความมั่นใจในการเทรด

5. การทดสอบย้อนหลัง (Backtest) และการทดสอบไปข้างหน้า (Forward Test)
ก่อนนำ EA ไปใช้งานจริง ควรผ่านการทดสอบอย่างละเอียด
- Backtest: คือการทดสอบ EA กับข้อมูลราคาย้อนหลังเพื่อประเมินประสิทธิภาพในอดีต
บัญชี Demo - Forward Test: คือการทดสอบ EA ในบัญชีทดลอง (Demo Account) ในสภาวะตลาดจริง เพื่อดูว่า EA ทำงานอย่างไรในปัจจุบัน
- ทำไมต้องทดสอบ:
- ช่วยให้เข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของ EA
- ประเมิน Drawdown, Profit Factor, และ Metrics อื่นๆ ที่สำคัญ
- ช่วยในการปรับแต่งค่าพารามิเตอร์ของ EA ให้เหมาะสมที่สุด
6. ความเข้าใจในตลาดและความผันผวน
แม้ EA จะทำงานอัตโนมัติ แต่การมีความเข้าใจในภาพรวมของตลาดและปัจจัยที่ส่งผลกระทบ เช่น ข่าวเศรษฐกิจ หรือ ภาวะ Sentiment ของตลาด จะช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนการตั้งค่า EA หรือตัดสินใจหยุดการทำงานของ EA ได้อย่างมีเหตุผลเมื่อสถานการณ์ตลาดมีความผิดปกติ
ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการเทรดด้วย EA พร้อมการบริหารความเสี่ยง
หากคุณสามารถสร้างสมดุลระหว่างการทำกำไรและการบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม คุณจะได้รับประโยชน์ดังนี้:
- การเติบโตของพอร์ตลงทุนที่ยั่งยืน: ไม่ใช่การทำกำไรแบบหวือหวา แต่เป็นการค่อยๆ สะสมกำไรอย่างสม่ำเสมอ
- ลดความเครียดจากการเทรด: เนื่องจาก EA ทำงานแทนคุณ และคุณได้กำหนดความเสี่ยงที่ยอมรับได้แล้ว
- โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา: การวิเคราะห์ผลลัพธ์ของ EA อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณเข้าใจตลาดและระบบเทรดได้ดียิ่งขึ้น
- อิสระทางเวลา: EA ช่วยให้คุณมีเวลาไปทำกิจกรรมอื่นๆ ในขณะที่ระบบทำงานให้คุณ
![]()
![]()
รีวิวผลงานเทรดสุดปังจากผู้ใช้งานจริง 1 สัปดาห์กำไร $225.56 = 7,648.74 บาท
| รายการ | รายละเอียด | ผลลัพธ์ |
|---|---|---|
| เงินทุนเริ่มต้น | (สมมติ) | $10,000 |
| กำไร 1 สัปดาห์ | จากการใช้ EA | $225.56 |
| คิดเป็นเงินบาท | ($1 = 33.91 บาท) | 7,648.74 บาท |
| เปอร์เซ็นต์กำไร | (225.56 / 10000) * 100 | 2.25% |
จากตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นถึงการทำกำไรที่สอดคล้องกับหลักการบริหารความเสี่ยง (2.25% ใน 1 สัปดาห์) ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืน
คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นและผู้ที่ต้องการยกระดับการเทรดด้วย EA
หากคุณเป็นมือใหม่หรือต้องการพัฒนาทักษะการเทรดด้วย EA นี่คือคำแนะนำเพิ่มเติม:
1. ศึกษาและเรียนรู้ตลอดเวลา
- แหล่งข้อมูล: เข้าร่วมกลุ่มเรียนรู้ (มีกลุ่มเรียนรู้สำหรับผู้เริ่มต้น), อ่าน E-Book (มี E-Book สำหรับมือใหม่เริ่มต้นเทรด), ติดตามข่าวสารในกลุ่ม Line (มีกลุ่ม Line สำหรับแจ้งข่าว)
- หัวข้อที่ควรเรียนรู้:
- หลักการ วิเคราะห์กราฟแท่งเทียน
- การใช้ อินดิเคเตอร์ยอดนิยม เช่น RSI, MACD
- ความเข้าใจเรื่อง แนวรับแนวต้าน
- จิตวิทยาการเทรด
- การบริหารความเสี่ยงขั้นสูง
2. เริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account)
นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับมือใหม่ อย่าเพิ่งรีบร้อนใช้เงินจริง
- ประโยชน์:
- ฝึกฝนการใช้งาน EA โดยไม่มีความเสี่ยง
- ทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ
- ทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มการเทรด
- สร้างความมั่นใจก่อนเข้าสู่ตลาดจริง
3. เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม
โบรกเกอร์ที่ดีเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จในการเทรด
- คุณสมบัติโบรกเกอร์ที่ดี:
- ความน่าเชื่อถือ: มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้
- สเปรดต่ำ: ช่วยลดต้นทุนการเทรด (GMI เทรดดีไม่มีสะดุด ฟรี Free Swap ทุกบัญชี)
- การฝากถอนรวดเร็ว: (Exness สมัครง่ายฝากถอนเร็ว https://bit.ly/ExnessCom รหัสพาสเนอร์เลข 11000789)
- มีโบนัสและโปรโมชั่น: (XM มีโบนัสสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่ $30 และมีโบนัสเงินฝาก)
- บริการลูกค้าที่ดี: สามารถให้ความช่วยเหลือได้เมื่อเกิดปัญหา
- สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
FAQ Section (คำถามที่พบบ่อย)
ในส่วนนี้ เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเทรดด้วย EA และการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้คุณเข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
Q1: EA ฟรีที่ได้รับมา จะมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน?
A1: EA ฟรีที่ได้รับมานั้น คุณควรทำการ ทดสอบในบัญชี Demo อย่างละเอียดและยาวนานพอสมควร (อย่างน้อย 1-3 เดือน) ก่อนนำไปใช้กับบัญชีจริง โดยเน้นการตรวจสอบประวัติผลงานย้อนหลัง (Backtest) และการทดสอบไปข้างหน้า (Forward Test) เพื่อดูค่า Drawdown, Profit Factor, และความสม่ำเสมอของผลกำไรภายใต้สภาวะตลาดที่แตกต่างกัน แม้จะเป็น EA ฟรี ก็อาจมีประสิทธิภาพดีได้ แต่การตรวจสอบด้วยตัวคุณเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แท้จริง
Q2: การตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit สำหรับ EA ควรทำอย่างไร?
A2: การตั้งค่า Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP) ให้กับ EA เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยทั่วไปแล้วควรยึดหลักดังนี้:
- อัตราส่วน Risk:Reward (RR): ควรกำหนดให้ TP มีค่ามากกว่า SL เช่น หาก SL 50 จุด ควรตั้ง TP อย่างน้อย 100 จุด (อัตราส่วน 1:2) หรือมากกว่านั้น เพื่อให้คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่รับ
- พิจารณาจาก Timeframe: EA ที่เทรดใน Timeframe สั้นๆ เช่น M5 หรือ M15 อาจมี SL/TP ที่แคบกว่า EA ที่เทรดใน Timeframe ยาวๆ เช่น H1 หรือ H4
- ความผันผวนของคู่เงิน: คู่เงินที่มีความผันผวนสูง (เช่น XAUUSD) อาจต้องใช้ SL/TP ที่กว้างกว่าคู่เงินที่มีความผันผวนต่ำ
- การทดสอบและปรับแต่ง: ควรทดสอบการตั้งค่า SL/TP ที่แตกต่างกันในบัญชี Demo เพื่อหาค่าที่เหมาะสมที่สุดกับระบบ EA และสไตล์การเทรดของคุณ
Q3: ถ้าไม่มีเวลาวิเคราะห์กราฟเอง ควรเริ่มต้นเทรดอย่างไร?
A3: หากคุณไม่มีเวลาวิเคราะห์กราฟเอง การใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) เป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือคุณต้อง:
- ศึกษาพื้นฐาน: อย่างน้อยควรเข้าใจพื้นฐานของการเทรด Forex และ การเทรดทองคำ รวมถึงหลักการ บริหารความเสี่ยง
- เลือก EA ที่เหมาะสม: ทำการบ้านในการเลือก EA ที่มีผลงานดี โปร่งใส และมีกลยุทธ์ที่เข้าใจได้
- ตั้งค่า EA อย่างถูกต้อง: โดยเฉพาะการกำหนด Lot Size และ Stop Loss ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
- ติดตามผลงานสม่ำเสมอ: แม้จะเป็นระบบอัตโนมัติ คุณก็ยังต้องคอยตรวจสอบผลงานและ ประสิทธิภาพของ EA เป็นระยะๆ
- เข้าร่วมกลุ่มเรียนรู้: การมีสังคมนักลงทุนจะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลข่าวสารและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์
Q4: โบรกเกอร์ XM, Exness, GMI มีข้อดีแตกต่างกันอย่างไรสำหรับการใช้ EA?
A4: โบรกเกอร์แต่ละรายมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของ EA:
- XM: มักจะมีโปรโมชั่นและโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ รวมถึงโบนัสเงินฝาก ซึ่งเป็นประโยชน์ในการเพิ่มเงินทุนเริ่มต้นสำหรับการเทรดด้วย EA แต่ควรตรวจสอบเงื่อนไขการถอนโบนัสให้ดี
- Exness: โดดเด่นเรื่องการฝากถอนที่รวดเร็วและง่ายดาย รวมถึงมีประเภทบัญชีที่หลากหลาย ทำให้เหมาะสำหรับ EA ที่ต้องการสภาพคล่องสูงและการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็ว (Low Latency)
- GMI: มีจุดเด่นคือ Free Swap ทุกบัญชี ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับ EA ที่เปิดออเดอร์ค้างคืนเป็นเวลานาน (Swing Trade หรือ Position Trade) เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม Swap ทำให้ลดต้นทุนการเทรดระยะยาวได้
การเลือกโบรกเกอร์ควรพิจารณาจากสไตล์การเทรดของ EA และความต้องการส่วนบุคคลของคุณ
Q5: การลงทุนด้วย EA มีความเสี่ยงอะไรบ้างที่ควรระวัง?
A5: แม้ EA จะช่วยให้การเทรดง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่คุณควรทราบและระมัดระวัง:
- ความเสี่ยงจากระบบ EA:
- Bug หรือ Error: EA อาจมีข้อผิดพลาดในการเขียนโค้ด ทำให้ทำงานไม่ถูกต้อง
- Over-optimization: การปรับแต่ง EA ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในอดีต อาจไม่สามารถทำกำไรได้ในอนาคต (Curve Fitting)
- ไม่ปรับตัวกับตลาด: EA บางตัวไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้
- ความเสี่ยงจากตลาด:
- ข่าวเศรษฐกิจสำคัญ: เหตุการณ์ข่าวใหญ่ๆ อาจทำให้ตลาดผันผวนรุนแรง และ EA ไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้ได้ดีพอ
- ความผันผวนสูงผิดปกติ: ช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูงมาก อาจทำให้ EA เปิดออเดอร์ผิดพลาดหรือ Stop Loss ถูกกระชาก
- ความเสี่ยงจากเทคนิค:
- Server Latency: ความล่าช้าของ Server อาจทำให้ EA เปิดหรือปิดออเดอร์ได้ไม่ตรงกับราคาที่ต้องการ
- การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต: หากการเชื่อมต่อหลุด EA จะไม่สามารถทำงานได้
- VPS (Virtual Private Server): การใช้ VPS ช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจและยอมรับว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้าเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต”
Conclusion (สรุป)
การเทรดด้วย EA ถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างผลกำไรในตลาดการเงิน แต่ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้มาจากการแสวงหากำไรสูงสุดเพียงอย่างเดียว หากแต่มาจากการ รักษาสมดุลระหว่างการทำกำไรและการบริหารความเสี่ยง อย่างเคร่งครัด การเข้าใจหลักการทำงานของ EA, การกำหนดเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่ยอมรับได้, การเลือกขนาดล็อตที่เหมาะสม, การทำความเข้าใจ Drawdown, และการเลือกใช้ EA ที่ผ่านการทดสอบอย่างละเอียด ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การเติบโตของพอร์ตลงทุนที่ยั่งยืน
สำหรับผู้ที่สนใจเริ่มต้นหรือต้องการยกระดับการเทรดด้วย EA เราขอเชิญชวนให้คุณติดต่อแอดมินทาง inbox เพจเพื่อรับ EA ฟรี พร้อมทั้งเข้าร่วมกลุ่มเรียนรู้ E-Book สำหรับมือใหม่ และกลุ่ม Line สำหรับแจ้งข่าวสารต่างๆ เพื่อให้คุณมีเครื่องมือและความรู้ที่พร้อมสำหรับการลงทุนในตลาดการเงิน
มีกลุ่มเรียนรู้สำหรับผู้เริ่มต้น
มี E-Book สำหรับมือใหม่เริ่มต้นเทรด
มีกลุ่ม Line สำหรับแจ้งข่าว
สนใจรับ EA ฟรี ติดต่อ Admin ทาง inbox เพจ หรือแอด Line @ft.th ได้เลย
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้าเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต