TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

Swap ในตลาด Forex คืออะไร?

มิถุนายน 8, 2022

Swap ในตลาด Forex คืออะไร? ทำความเข้าใจค่าธรรมเนียมการถือครองข้ามคืนอย่างละเอียด

ในโลกของการเทรด Forex ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่เทรดเดอร์ทุกคนควรทำความเข้าใจคือ “Swap” หรือที่รู้จักกันในชื่อ Rollover Interest ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมหรือผลตอบแทนที่เกิดจากการถือสถานะการซื้อขายข้ามคืน การละเลยความสำคัญของ Swap อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลกำไรหรือขาดทุนโดยรวมของพอร์ตโฟลิโอของคุณ บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นแท้ของ Swap ตั้งแต่คำจำกัดความ หลักการทำงาน การคำนวณ ไปจนถึงกลยุทธ์การบริหารจัดการ เพื่อให้คุณสามารถนำความรู้นี้ไปปรับใช้กับการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความน่าเชื่อถือในฐานะนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง

Swap ในตลาด Forex คืออะไร: ทำความเข้าใจค่าธรรมเนียมการถือครองข้ามคืน

Swap คือ ค่าธรรมเนียมหรือผลตอบแทนที่โบรกเกอร์คิดหรือจ่ายให้กับเทรดเดอร์เมื่อมีการถือสถานะการซื้อขาย (Order) คู่สกุลเงินข้ามวัน หรือข้ามคืน (Overnight Position) โดยค่า Swap นี้จะถูกคำนวณจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Differential) ระหว่างสกุลเงินสองสกุลในคู่เงินที่คุณกำลังเทรด ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเหล่านี้กำหนดโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ

คำจำกัดความของ Swap และหลักการทำงาน

ในทุกๆ การซื้อขาย คู่สกุลเงิน ในตลาด Forex คุณกำลังดำเนินการทั้งซื้อสกุลเงินหนึ่งและขายอีกสกุลเงินหนึ่งไปพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณ “ซื้อ” คู่ EUR/USD นั่นหมายความว่าคุณกำลัง “ซื้อ” ยูโร และ “ขาย” ดอลลาร์สหรัฐฯ ในทางกลับกัน เมื่อคุณ “ขาย” EUR/USD คุณกำลัง “ขาย” ยูโร และ “ซื้อ” ดอลลาร์สหรัฐฯ

หลักการทำงานของ Swap เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ว่า การถือสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่งเสมือนการกู้ยืมอีกสกุลเงินหนึ่งมาเพื่อถือครอง ซึ่งการกู้ยืมย่อมมีต้นทุนคือดอกเบี้ย หากสกุลเงินที่คุณ “ซื้อ” มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสกุลเงินที่คุณ “ขาย” คุณอาจได้รับค่า Swap เป็นผลตอบแทน (Positive Swap) แต่หากสกุลเงินที่คุณ “ซื้อ” มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าสกุลเงินที่คุณ “ขาย” คุณจะต้องจ่ายค่า Swap เป็นต้นทุน (Negative Swap) ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมการถือครองสถานะข้ามคืน

เวลาที่ใช้ในการคำนวณและปรับค่า Swap เข้าสู่บัญชีเทรดมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาด Forex ปิดทำการในแต่ละวัน ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 04:00 น. หรือ 05:00 น. ตามเวลาประเทศไทย ขึ้นอยู่กับเวลาเซิร์ฟเวอร์ของแต่ละ โบรกเกอร์ ค่า Swap นี้จะปรากฏในรายงานการซื้อขายของคุณเป็นรายวัน ตราบใดที่คุณยังคงถือสถานะการซื้อขายนั้นๆ ข้ามคืน

ประเภทของ Swap: บวก (+) และ ลบ (-)

ค่า Swap สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ Swap บวก (+) และ Swap ลบ (-)

  • Swap บวก (+) หรือ Credit Swap: เกิดขึ้นเมื่อคุณได้รับผลตอบแทนจากการถือสถานะข้ามคืน นั่นคือสกุลเงินที่คุณ “ซื้อ” มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าสกุลเงินที่คุณ “ขาย” ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อคู่สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกันสูง เช่น AUD/USD (โดย AUD มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า USD) คุณอาจได้รับค่า Swap บวกเข้าบัญชีของคุณในแต่ละวันที่ถือสถานะข้ามคืน ซึ่งค่า Swap ประเภทนี้สามารถเป็นแหล่งรายได้เพิ่มเติมสำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์ Carry Trade ได้
  • Swap ลบ (-) หรือ Debit Swap: เกิดขึ้นเมื่อคุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการถือสถานะข้ามคืน นั่นคือสกุลเงินที่คุณ “ซื้อ” มีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสกุลเงินที่คุณ “ขาย” หรือในกรณีที่คุณ “ขาย” สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสกุลเงินที่คุณ “ซื้อ” ค่า Swap ลบนี้จะถูกหักออกจากบัญชีของคุณในแต่ละวันที่ถือสถานะข้ามคืน ซึ่งเป็นต้นทุนในการเทรดที่อาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรโดยรวมของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณถือสถานะขนาดใหญ่เป็นเวลานาน
Swap คืออะไร ในตลาด forex
Swap คืออะไร ในตลาด forex

กลไกการคำนวณ Swap และผลกระทบต่อบัญชีเทรด

การคำนวณ Swap มีความซับซ้อนเล็กน้อยและแตกต่างกันไปในแต่ละโบรกเกอร์ อย่างไรก็ตาม หลักการพื้นฐานคือการพิจารณาส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในสองประเทศที่เกี่ยวข้องกับคู่สกุลเงินนั้นๆ รวมถึงค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์อาจเรียกเก็บเพิ่มเติม

ปัจจัยหลักในการคำนวณ Swap:

  1. อัตราดอกเบี้ยธนาคารกลาง (Central Bank Interest Rates): นี่คือปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางและขนาดของ Swap สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงจะให้ผลตอบแทนจากการถือครอง (Long Position) และมีต้นทุนในการกู้ยืม (Short Position) ที่สูงกว่า
  2. ขนาดของสถานะ (Lot Size): ยิ่งขนาดของสถานะที่คุณเปิดใหญ่เท่าใด ค่า Swap ที่ได้รับหรือต้องจ่ายก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย
  3. ระยะเวลาการถือครอง: Swap จะถูกคำนวณทุกครั้งที่มีการถือสถานะข้ามคืน ดังนั้นยิ่งถือสถานะนานเท่าใด ผลกระทบจาก Swap ก็จะยิ่งสะสมมากขึ้น
  4. นโยบายของโบรกเกอร์: โบรกเกอร์แต่ละแห่งมีนโยบายการคิด Swap ที่แตกต่างกัน บางแห่งอาจมีค่าธรรมเนียม Swap ที่สูงกว่า หรือบางแห่งอาจมีบัญชีประเภท “Swap-Free” สำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมนี้

ผลกระทบต่อบัญชีเทรด:

  • เพิ่มกำไร: หากคุณได้รับ Swap บวกอย่างสม่ำเสมอ ค่า Swap สามารถเพิ่มกำไรโดยรวมให้กับบัญชีของคุณได้ โดยเฉพาะสำหรับกลยุทธ์การเทรดระยะยาวเช่น Carry Trade
  • ลดกำไร/เพิ่มขาดทุน: หากคุณต้องจ่าย Swap ลบอย่างต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายนี้จะลดทอนกำไรที่ได้จากการเทรด หรือทำให้สถานะที่ดูเหมือนจะทำกำไรกลายเป็นขาดทุนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสถานะที่ถือไว้นานหรือมีขนาดใหญ่
  • ส่งผลต่อ Equity: ค่า Swap จะถูกหักหรือเพิ่มเข้าใน Equity (ส่วนของเงินทุน) ของบัญชีคุณโดยตรง ทำให้ยอดเงินคงเหลือในบัญชีมีการเปลี่ยนแปลง

ตัวอย่างการคำนวณ Swap (สมมติ):

สมมติว่าคุณเปิดสถานะ BUY 1 Lot EUR/USD โดยมีข้อมูลดังนี้:

  • อัตราดอกเบี้ย EUR: 0.00%
  • อัตราดอกเบี้ย USD: 0.25%
  • อัตรา Swap สำหรับ BUY EUR/USD ที่โบรกเกอร์กำหนด: -8.00 USD ต่อ Lot มาตรฐาน (ค่าลบหมายถึงต้องจ่าย)
  • อัตรา Swap สำหรับ SELL EUR/USD ที่โบรกเกอร์กำหนด: +2.00 USD ต่อ Lot มาตรฐาน (ค่าบวกหมายถึงได้รับ)

หากคุณเปิดสถานะ BUY 1 Lot EUR/USD และถือข้ามคืน คุณจะต้องจ่ายค่า Swap 8.00 USD ในคืนนั้น หากถือ 5 คืน คุณจะจ่าย 40.00 USD (ไม่รวม Triple Swap)

ตาราง: ตัวอย่างการคำนวณ Swap (สมมติ)

คู่สกุลเงิน สถานะ อัตราดอกเบี้ยสกุลเงินฐาน (Base Currency) อัตราดอกเบี้ยสกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency) ผลต่างดอกเบี้ย (สมมติ) ประเภท Swap ที่คาดการณ์ Swap ต่อ Lot (สมมติ)
EUR/USD BUY (Long) EUR (0.00%) USD (0.25%) -0.25% ลบ (-) -8.00 USD
EUR/USD SELL (Short) EUR (0.00%) USD (0.25%) +0.25% บวก (+) +2.00 USD
AUD/USD BUY (Long) AUD (0.75%) USD (0.25%) +0.50% บวก (+) +5.00 USD
AUD/USD SELL (Short) AUD (0.75%) USD (0.25%) -0.50% ลบ (-) -10.00 USD

*หมายเหตุ: ตัวเลข Swap ต่อ Lot เป็นเพียงตัวอย่างและอาจแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละโบรกเกอร์และช่วงเวลา

ทำไมวันพุธจึงเป็นวันแห่ง “Triple Swap” ในตลาด Forex?

หนึ่งในกฎที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับ Swap ที่เทรดเดอร์ Forex ทุกคนควรรู้คือปรากฏการณ์ “Triple Swap” หรือการคิดค่า Swap สามเท่า ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในคืนวันพุธ (ตามเวลาเซิร์ฟเวอร์ของโบรกเกอร์) นี่คือสาเหตุและผลกระทบ:

สาเหตุของ Triple Swap:

ตลาด Forex มีธรรมเนียมการชำระราคา (Settlement) แบบ T+2 (Trade date plus two business days) นั่นหมายความว่า การซื้อขายที่คุณดำเนินการในวันนี้ จะถูกชำระราคาจริงในอีกสองวันทำการข้างหน้า

  • การซื้อขายในวันจันทร์: จะชำระราคาในวันพุธ
  • การซื้อขายในวันอังคาร: จะชำระราคาในวันพฤหัสบดี
  • การซื้อขายในวันพุธ: จะชำระราคาในวันศุกร์

เมื่อถึงคืนวันพุธ สถานะที่คุณเปิดและถือข้ามคืนนั้น จะถูก Roll Over ไปยังวันพฤหัสบดี แต่ในทางปฏิบัติ การชำระราคาจะถูกเลื่อนไปเป็นวันจันทร์หน้า (เนื่องจากวันเสาร์และวันอาทิตย์ไม่ใช่วันทำการ) ดังนั้น เพื่อให้ครอบคลุมค่าธรรมเนียมดอกเบี้ยในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ (เสาร์-อาทิตย์) โบรกเกอร์จึงรวมค่า Swap ของ 3 วัน (วันพุธ, วันเสาร์, วันอาทิตย์) มาคิดรวมกันล่วงหน้าในคืนวันพุธเพียงวันเดียว

ผลกระทบต่อเทรดเดอร์:

  • โอกาสและต้นทุนที่สูงขึ้น: หากคุณถือสถานะที่ได้รับ Positive Swap และผ่านคืนวันพุธไปได้ คุณจะได้รับ Swap เป็นจำนวนสามเท่า ซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่ดีเยี่ยม แต่ในทางกลับกัน หากสถานะของคุณมี Negative Swap คุณจะต้องจ่ายค่า Swap ถึงสามเท่า ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการขาดทุนอย่างรวดเร็วหากไม่ระมัดระวัง
  • การวางแผนกลยุทธ์: เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์ Scalping หรือ Day Trading มักจะปิดสถานะทั้งหมดก่อนสิ้นวันเพื่อหลีกเลี่ยง Swap แต่สำหรับเทรดเดอร์ที่ถือสถานะระยะยาวหรือใช้กลยุทธ์ Carry Trade การทำความเข้าใจ Triple Swap เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแผนจุดเข้า-ออก และ บริหารความเสี่ยง

ดังนั้น การหลีกเลี่ยงการถือออเดอร์ Sell ทิ้งไว้ในคืนวันพุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคู่สกุลเงินที่มี Negative Swap สูง เป็นเคล็ดลับที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ส่วนใหญ่เพื่อป้องกันการสูญเสียที่ไม่จำเป็น

ข้อดีของการเทรดโดยใช้ Swap (Carry Trade)

แม้ว่า Swap มักถูกมองว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่สำหรับเทรดเดอร์บางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่ใช้กลยุทธ์ระยะยาว Swap สามารถเป็นแหล่งสร้างรายได้เพิ่มเติมได้

  1. สร้างรายได้จาก Positive Swap: หากคุณเปิดสถานะ BUY ในคู่สกุลเงินที่สกุลเงินฐานมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสกุลเงินอ้างอิง และถือสถานะนั้นข้ามคืนอย่างต่อเนื่อง คุณจะได้รับค่า Swap บวกเข้าบัญชีในแต่ละวัน ซึ่งสามารถสะสมเป็นจำนวนเงินที่น่าสนใจได้เมื่อเวลาผ่านไป
  2. กลยุทธ์ Carry Trade: นี่คือกลยุทธ์การเทรดที่เน้นการทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย โดยเทรดเดอร์จะทำการซื้อสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงและขายสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อได้รับ Positive Swap เป็นรายวันอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายหลักคือการเก็บเกี่ยวค่า Swap โดยไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ทิศทางราคาที่แม่นยำมากนัก แต่ต้องมีการบริหารความเสี่ยงด้านความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ดี
  3. โอกาสในการทำกำไรทบต้น: ค่า Swap ที่ได้รับจะถูกเพิ่มเข้าในยอด Equity ของคุณ ซึ่งสามารถนำไปเพิ่ม Margin และเปิดสถานะที่ใหญ่ขึ้นได้ในอนาคต ทำให้เกิดผลตอบแทนแบบทบต้นคล้ายกับการฝากเงินธนาคาร แต่มีความเสี่ยงสูงกว่ามาก

ตัวอย่าง Carry Trade: หากธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) มีอัตราดอกเบี้ย 4.10% และธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีอัตราดอกเบี้ย 5.50% (สมมติ) หากคุณ "ขาย" AUD/USD คุณกำลัง "ขาย" AUD (ดอกเบี้ย 4.10%) และ "ซื้อ" USD (ดอกเบี้ย 5.50%) คุณอาจได้รับ Positive Swap จากส่วนต่างนี้ หากส่วนต่างเป็นบวกหลังหักค่าธรรมเนียมโบรกเกอร์ แต่ถ้าคุณ "ซื้อ" AUD/USD คุณกำลัง "ซื้อ" AUD (ดอกเบี้ย 4.10%) และ "ขาย" USD (ดอกเบี้ย 5.50%) คุณก็จะต้องจ่าย Negative Swap

กลยุทธ์ Carry Trade มักใช้กับคู่สกุลเงินที่มีเสถียรภาพและมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจน เช่น AUD/JPY, NZD/JPY เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาที่อาจกินกำไรจาก Swap ทั้งหมด หรือแม้กระทั่งทำให้ขาดทุนได้ ดังนั้น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและ การบริหารความเสี่ยง จึงเป็นหัวใจสำคัญ

ข้อควรระวังและข้อเสียของ Swap

ในขณะที่ Swap สามารถเป็นประโยชน์ได้ แต่ก็มีข้อเสียและข้อควรระวังที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์บางสไตล์

  1. ต้นทุนที่สะสมเมื่อถือสถานะข้ามคืน: สำหรับสถานะที่ต้องจ่าย Negative Swap หากคุณถือสถานะนั้นเป็นเวลานาน ค่าใช้จ่าย Swap จะสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสามารถลดกำไรของคุณ หรือทำให้ขาดทุนมากยิ่งขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถานะขนาดใหญ่ (หลาย Lot)
  2. การคำนวณ Swap ที่ไม่โปร่งใสในบางโบรกเกอร์: แม้ว่าโบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะแสดงอัตรา Swap บนแพลตฟอร์มการซื้อขาย (เช่น MT4/MT5) และเว็บไซต์ของพวกเขา แต่การคำนวณที่แท้จริงเบื้องหลังอาจไม่ชัดเจนเสมอไป บางโบรกเกอร์อาจมีค่าธรรมเนียม Swap ที่สูงกว่าปกติ หรือมีการเปลี่ยนแปลงอัตรา Swap บ่อยครั้งโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า ทำให้ยากต่อการวางแผน
  3. ผลกระทบต่อกลยุทธ์เทรดระยะสั้น: สำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์ Scalping หรือ Day Trading ที่ตั้งใจจะปิดสถานะภายในวันเดียว การที่พลาดปิดสถานะก่อนเวลา Roll Over อาจทำให้เกิดค่าใช้จ่าย Swap โดยไม่จำเป็น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลตอบแทนในแต่ละวัน
  4. ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย: อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามนโยบายเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่ออัตรา Swap ที่คุณจะได้รับหรือต้องจ่าย การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้กลยุทธ์ Carry Trade ที่เคยให้ผลตอบแทนดีกลายเป็นต้องจ่าย Swap ได้
  5. บัญชี Swap-Free (Islamic Accounts): เพื่อตอบสนองความต้องการของเทรดเดอร์ชาวมุสลิมที่ต้องปฏิบัติตามหลักชะรีอะฮ์ที่ไม่ให้มีการเก็บหรือจ่ายดอกเบี้ย โบรกเกอร์จำนวนมากจึงมีบัญชีประเภท Swap-Free อย่างไรก็ตาม บัญชีเหล่านี้มักจะมีเงื่อนไขอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น อาจมีการคิดค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ (Administrative Fee) แทนค่า Swap หรือมี Spread ที่กว้างกว่าบัญชีปกติ ซึ่งเทรดเดอร์ควรศึกษาเงื่อนไขอย่างละเอียดก่อนใช้งาน

ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการตรวจสอบอัตรา Swap ที่โบรกเกอร์ของคุณกำหนดสำหรับแต่ละคู่สกุลเงินและแต่ละสถานะ (Buy/Sell) ก่อนทำการเปิดออเดอร์เสมอ เพื่อให้คุณสามารถประเมินต้นทุนและความเสี่ยงได้อย่างครบถ้วน

กลยุทธ์การจัดการ Swap สำหรับเทรดเดอร์

การบริหารจัดการ Swap อย่างมีประสิทธิภาพเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนการเทรดที่ดี เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

  1. ตรวจสอบอัตรา Swap ของโบรกเกอร์: ก่อนเปิดสถานะใดๆ โดยเฉพาะสถานะที่จะถือข้ามคืน ควรตรวจสอบอัตรา Swap ของโบรกเกอร์ที่คุณใช้บริการก่อนเสมอ คุณสามารถหาข้อมูลนี้ได้จากเว็บไซต์ของโบรกเกอร์ หรือบนแพลตฟอร์ม MT4/MT5 โดยการคลิกขวาที่คู่สกุลเงินที่ต้องการในหน้าต่าง Market Watch แล้วเลือก “Specification” (ข้อมูลจำเพาะ) คุณจะเห็น “Swap Long” และ “Swap Short” ซึ่งบอกอัตรา Swap สำหรับสถานะ Buy และ Sell ตามลำดับ
  2. หลีกเลี่ยงการถือสถานะข้ามคืนสำหรับ Negative Swap: หากคุณไม่ได้ตั้งใจจะใช้กลยุทธ์ Carry Trade และพบว่าสถานะที่คุณต้องการเปิดมี Negative Swap สูง การปิดสถานะก่อนเวลา Roll Over ของวันนั้นๆ จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่าย Swap ได้ โดยเฉพาะในคืนวันพุธที่ค่า Swap ถูกคิดสามเท่า
  3. พิจารณาบัญชี Swap-Free: หากคุณเป็นเทรดเดอร์ระยะยาวที่ต้องการหลีกเลี่ยงค่า Swap หรือมีข้อจำกัดทางศาสนา บัญชี Swap-Free (Islamic Account) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาเงื่อนไขเพิ่มเติมที่อาจมาพร้อมกับบัญชีประเภทนี้ เช่น ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการหรือ Spread ที่อาจสูงขึ้น
  4. ใช้ประโยชน์จาก Positive Swap ด้วยกลยุทธ์ Carry Trade: หากคุณมีแนวคิดที่จะถือสถานะระยะยาว การเลือกคู่สกุลเงินที่มีแนวโน้มจะให้ Positive Swap (ซื้อสกุลเงินดอกเบี้ยสูง ขายสกุลเงินดอกเบี้ยต่ำ) และบริหารความเสี่ยงด้านราคาอย่างรอบคอบ สามารถเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงได้ในระยะยาว
  5. ทดสอบใน บัญชี Demo: ก่อนที่จะนำกลยุทธ์การจัดการ Swap ไปใช้ในบัญชีจริง ควรทดลองในบัญชี Demo เพื่อทำความเข้าใจว่า Swap มีผลกระทบต่อบัญชีของคุณอย่างไร และช่วยให้คุณคุ้นเคยกับเวลาการคิด Swap ของโบรกเกอร์
  6. ใช้ ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) ที่ตั้งค่า Swap ได้: สำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้ EA บาง EA มีฟังก์ชันการตั้งค่าเพื่อหลีกเลี่ยงการถือสถานะข้ามคืน หรือเลือกเปิดสถานะเฉพาะเมื่อมี Positive Swap เท่านั้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ Swap ได้

การทำความเข้าใจและบริหารจัดการ Swap อย่างชาญฉลาดเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้คุณเป็นเทรดเดอร์ Forex ที่ประสบความสำเร็จและยั่งยืนในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Swap ใน Forex

คำถาม 1: Swap-free account คืออะไร และเหมาะกับใคร?

คำตอบ: Swap-free account หรือบัญชีอิสลาม คือ บัญชีเทรดที่ไม่มีการคิดค่า Swap หรือ Rollover Interest ในการถือสถานะข้ามคืน โดยออกแบบมาเพื่อเทรดเดอร์ชาวมุสลิมที่ปฏิบัติตามหลักชะรีอะฮ์ ซึ่งห้ามการรับและจ่ายดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม บัญชีประเภทนี้ยังเหมาะกับเทรดเดอร์ทั่วไปที่ไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงจากค่า Swap โดยเฉพาะผู้ที่ใช้กลยุทธ์ระยะกลางถึงยาว หรือผู้ที่เปิดสถานะขนาดใหญ่ บัญชี Swap-free อาจมีเงื่อนไขอื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการที่ถูกคิดแทน หรือ Spread ที่กว้างกว่าบัญชีปกติ ดังนั้นควรตรวจสอบเงื่อนไขกับโบรกเกอร์อย่างละเอียดก่อนเลือกใช้

คำถาม 2: เราสามารถหลีกเลี่ยงค่า Swap ได้อย่างไร?

คำตอบ: มีหลายวิธีในการหลีกเลี่ยงค่า Swap:

  1. ปิดสถานะก่อนเวลา Roll Over: วิธีที่ง่ายที่สุดคือการปิดสถานะทั้งหมดก่อนที่ตลาดจะทำการ Roll Over ไปยังวันถัดไป (ปกติคือประมาณ 04:00-05:00 น. ตามเวลาประเทศไทย ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์) วิธีนี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น (Day Trader หรือ Scalper)
  2. ใช้บัญชี Swap-Free: เลือกเปิดบัญชีประเภท Swap-free กับโบรกเกอร์ของคุณ หากมีให้บริการ
  3. เลือกคู่สกุลเงินและทิศทางที่ให้ Positive Swap: หากคุณตั้งใจจะถือสถานะข้ามคืน ให้เลือกเปิดสถานะ BUY ในคู่สกุลเงินที่สกุลเงินฐานมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสกุลเงินอ้างอิง หรือ SELL ในคู่สกุลเงินที่สกุลเงินฐานมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าสกุลเงินอ้างอิง ซึ่งอาจทำให้คุณได้รับ Swap บวกแทนการจ่าย

คำถาม 3: ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่ออัตรา Swap?

คำตอบ: ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออัตรา Swap ได้แก่:

  1. อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง: นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุด ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสกุลเงินสองสกุลในคู่เงินจะกำหนดทิศทางและขนาดของ Swap
  2. นโยบายของโบรกเกอร์: โบรกเกอร์แต่ละแห่งมีนโยบายการคิดค่าธรรมเนียม Swap ที่แตกต่างกัน บางแห่งอาจคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากส่วนต่างดอกเบี้ย
  3. ประเภทของสินทรัพย์: ค่า Swap อาจแตกต่างกันไปตามประเภทของสินทรัพย์ เช่น คู่สกุลเงินหลัก, คู่สกุลเงินรอง, สินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ, น้ำมัน) หรือดัชนีหุ้น
  4. สภาพคล่องของตลาด: ในบางช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ อัตรา Swap อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงหรือต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น

คำถาม 4: ค่า Swap มีผลกับการเทรดระยะสั้นหรือไม่?

คำตอบ: โดยทั่วไปแล้ว ค่า Swap จะ ไม่มีผล โดยตรงกับการเทรดระยะสั้น เช่น Scalping หรือ Day Trading เนื่องจากเทรดเดอร์กลุ่มนี้มักจะเปิดและปิดสถานะทั้งหมดภายในวันเดียวกัน ก่อนที่จะมีการ Roll Over หรือคิดค่า Swap อย่างไรก็ตาม หากเทรดเดอร์ระยะสั้นเกิดถือสถานะข้ามคืนโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือระบบเกิดความผิดพลาดในการปิดสถานะ ค่า Swap ก็จะถูกคิด และอาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรหรือขาดทุนที่ไม่คาดคิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนวันพุธที่มี Triple Swap

คำถาม 5: โบรกเกอร์มีนโยบาย Swap ที่แตกต่างกันอย่างไร?

คำตอบ: โบรกเกอร์แต่ละแห่งมีนโยบาย Swap ที่แตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งรวมถึง:

  1. อัตรา Swap: ตัวเลข Swap ที่แสดงบนแพลตฟอร์มของแต่ละโบรกเกอร์อาจไม่เท่ากัน แม้จะเป็นคู่สกุลเงินเดียวกัน
  2. ประเภทบัญชี: บางโบรกเกอร์มีบัญชีหลายประเภท เช่น Standard, ECN, Raw Spread ซึ่งแต่ละประเภทอาจมีอัตรา Swap หรือเงื่อนไข Swap-free ที่แตกต่างกัน
  3. เวลาการคิด Swap: แม้จะมีการ Roll Over ช่วงดึก แต่เวลาที่แน่นอนในการคิด Swap อาจแตกต่างกันไปตามเวลาเซิร์ฟเวอร์ของโบรกเกอร์
  4. ค่าธรรมเนียมแฝง: ในกรณีของบัญชี Swap-free บางโบรกเกอร์อาจมีการคิดค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการรายวันหรือรายสัปดาห์แทน
  5. ความโปร่งใส: โบรกเกอร์ที่ดีจะแสดงอัตรา Swap ที่ชัดเจนและอัปเดตอย่างสม่ำเสมอบนแพลตฟอร์มและเว็บไซต์ของตน

ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการศึกษาและเปรียบเทียบนโยบาย Swap ของโบรกเกอร์ต่างๆ ก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการ

สรุป

Swap ในตลาด Forex เป็นมากกว่าแค่ค่าธรรมเนียมเล็กน้อย มันคือองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนถึงความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศ และสามารถเป็นได้ทั้งต้นทุนที่บั่นทอนกำไรหรือแหล่งรายได้เพิ่มเติมสำหรับเทรดเดอร์ การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า Swap คืออะไร ทำงานอย่างไร มีประเภทใดบ้าง และเหตุใดวันพุธจึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการซื้อขายได้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์ระยะสั้นที่ต้องการหลีกเลี่ยง Swap หรือเทรดเดอร์ระยะยาวที่ต้องการใช้ประโยชน์จากมัน การตระหนักถึงบทบาทของ Swap และการตรวจสอบอัตราของโบรกเกอร์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การตัดสินใจอย่างมีข้อมูลจะช่วยให้คุณสามารถจัดการสถานะการซื้อขายและ บริหารความเสี่ยง ได้ดีขึ้น นำไปสู่การเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในตลาด Forex ได้อย่างยั่งยืน

You Might Also Like

Contact Us on Line