TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
แจก EA & อินดิเคเตอร์

เทคนิคการเทรดด้วย Supply and Demand Indicator สำหรับการซื้อขาย Forex

กรกฎาคม 28, 2022

เปิดเผยความลับ: Supply and Demand Indicator ขั้นสูง กุญแจสู่การเทรดอย่างมืออาชีพ

ในโลกของการเทรด ไม่ว่าจะเป็นตลาด Forex, หุ้น, หรือสินค้าโภคภัณฑ์ หลักการพื้นฐานที่ขับเคลื่อนราคาคือ ‘อุปสงค์และอุปทาน’ (Supply and Demand) นักเทรดจำนวนมากใช้ Supply and Demand Indicator เพื่อระบุโซนสำคัญเหล่านี้ แต่บ่อยครั้งที่อินดิเคเตอร์แบบดั้งเดิมมักขาดตรรกะที่แม่นยำและกลไกการทำงานที่ชัดเจน ส่งผลให้การวิเคราะห์ตลาดผิดพลาดและนำไปสู่การสูญเสียทั้งเวลาและเงินทุนอันมีค่า

บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นแท้ของโซนอุปสงค์และอุปทานที่ถูกต้อง พร้อมทั้งนำเสนออินดิเคเตอร์ Supply and Demand ขั้นสูงที่ได้รับการออกแบบมาบนแนวคิดที่ซับซ้อนและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดได้อย่างลึกซึ้ง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญ

Supply and Demand Indicator ขั้นสูง

ทำความเข้าใจแก่นแท้ของโซนอุปสงค์และอุปทานในการเทรด (Supply and Demand Zones)

อะไรคือโซนอุปสงค์และอุปทาน?

โซนอุปสงค์ (Demand Zone) และ โซนอุปทาน (Supply Zone) คือบริเวณบนกราฟราคาที่แสดงถึงความไม่สมดุลอย่างมีนัยสำคัญระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เป็นจุดที่นักลงทุนสถาบันและธนาคารขนาดใหญ่ได้เข้าทำรายการซื้อหรือขายในปริมาณมหาศาล ซึ่งทิ้งร่องรอยของคำสั่งที่ยังไม่ถูกเติมเต็มไว้ เมื่อราคากลับมายังโซนเหล่านี้อีกครั้ง มักจะเกิดปฏิกิริยาการกลับตัวหรือการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง เนื่องจากคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่เหล่านั้นถูกเติมเต็ม

  • โซนอุปสงค์ (Demand Zone): บริเวณที่ผู้ซื้อมีอำนาจเหนือกว่าผู้ขายอย่างชัดเจน ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อกลับมาถึงโซนนี้ เปรียบเสมือน ‘แนวรับ’ ที่มีพลังงานสั่งสมจากการเข้าซื้อของรายใหญ่
  • โซนอุปทาน (Supply Zone): บริเวณที่ผู้ขายมีอำนาจเหนือกว่าผู้ซื้ออย่างชัดเจน ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงเมื่อกลับมาถึงโซนนี้ เปรียบเสมือน ‘แนวต้าน’ ที่มีพลังงานสั่งสมจากการเข้าขายของรายใหญ่

ความสำคัญของโซนเหล่านี้คือการเป็นแหล่งรวมของสภาพคล่องจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ Market Maker และนักลงทุนสถาบันต้องการในการดำเนินธุรกรรมขนาดใหญ่

ปัญหาของอินดิเคเตอร์ Supply and Demand แบบดั้งเดิม

อินดิเคเตอร์ Supply and Demand ในตลาดส่วนใหญ่ทำงานโดยการลากเส้นหรือสร้างกรอบเพื่อระบุโซนอุปสงค์และอุปทานตามการเคลื่อนไหวของราคาที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อินดิเคเตอร์เหล่านี้มักมีข้อจำกัดที่สำคัญ:

  1. ขาดตรรกะที่ชัดเจนและถูกต้อง: หลายอินดิเคเตอร์ใช้เพียงหลักการง่ายๆ ว่า “ราคาขึ้นคืออุปสงค์เพิ่ม” และ “ราคาลงคืออุปทานเพิ่ม” ซึ่งเป็นการมองข้ามปัจจัยเชิงลึกของการก่อตัวโซน
  2. เป็นอินดิเคเตอร์แบบล้าหลัง (Lagging Indicator): การวาดโซนตามราคาที่เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าราคาสินทรัพย์ในอนาคตจะเคารพระดับเหล่านั้นเสมอไป วิธีการนี้มักไม่สะท้อนถึงเจตนาที่แท้จริงของนักลงทุนสถาบัน
  3. ความแม่นยำต่ำ: เมื่อขาดตรรกะที่แข็งแกร่งในการระบุโซน โอกาสที่จะเกิดสัญญาณหลอก (False Signals) จึงสูง ทำให้ผู้ใช้เสียเวลาและเงินทุนจากการเข้าเทรดในจุดที่ไม่เหมาะสม

การพึ่งพาอินดิเคเตอร์ที่ไม่มีกลไกการทำงานเชิงลึกเท่ากับเป็นการใช้เครื่องมือที่ผิดพลาดในการ วิเคราะห์ตลาด ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์อย่างต่อเนื่อง

อินดิเคเตอร์ Supply and Demand ขั้นสูง: หลักการทำงานและรูปแบบราคาที่สำคัญ

หลักการทำงานของอินดิเคเตอร์ Supply and Demand ขั้นสูง

อินดิเคเตอร์ Supply and Demand ขั้นสูงมีความแตกต่างอย่างมากจากแบบดั้งเดิม โดยทำงานบนแนวคิดที่ซับซ้อนและเน้นการค้นหา โซนความน่าจะเป็นสูง (High-Probability Zones) บนแผนภูมิแท่งเทียน

แนวคิดหลักคือ “ราคาจะเคลื่อนจากโซนหนึ่งไปยังอีกโซนหนึ่งเสมอ” แต่อินดิเคเตอร์ขั้นสูงนี้จะเลือกวาดเฉพาะโซนที่แสดงถึงการสะสมคำสั่งซื้อขายจำนวนมากจากนักลงทุนสถาบันเท่านั้น ซึ่งเป็นโซนที่คาดการณ์ได้ว่าราคาจะตอบสนองเมื่อกลับมาถึง

อินดิเคเตอร์นี้จะวิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา (Price Action) ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดการพักตัว (Base) เพื่อระบุจุดที่มีคำสั่งซื้อขายรออยู่จำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากการวาดโซนทุกโซนบนกราฟที่อาจทำให้เกิดสัญญาณรบกวนมากเกินไป

Supply and Demand Zone Drawing

4 รูปแบบราคาพื้นฐานที่ใช้ระบุโซนอุปสงค์และอุปทาน

อินดิเคเตอร์ Supply and Demand ขั้นสูงจะดึงโซนอุปสงค์และอุปทานตามรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาล่วงหน้า 4 รูปแบบ (Price Action Patterns) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักเทรดมืออาชีพ โดยแต่ละรูปแบบบ่งชี้ถึงการก่อตัวของโซนที่แตกต่างกัน:

  1. Rally Base Rally (RBR): โซนอุปสงค์ (Demand Zone)

    คืออะไร: รูปแบบที่ราคาเคลื่อนที่ขึ้นอย่างรุนแรง (Rally), พักตัวช่วงสั้นๆ (Base) โดยมีแท่งเทียนขนาดเล็กหรือแท่งเทียน Doji จำนวนหนึ่ง จากนั้นราคาเคลื่อนที่ขึ้นอีกครั้ง (Rally)

    อย่างไร: การพักตัวในส่วน “Base” คือบริเวณที่ผู้ซื้อสถาบันมีการสะสมคำสั่งซื้อจำนวนมากก่อนที่จะผลักดันราคาขึ้นไปอีกครั้ง คำสั่งซื้อที่ยังไม่ถูกเติมเต็มจะรออยู่ที่โซนนี้

    ผลลัพธ์เป็นยังไง: เมื่อราคาย้อนกลับลงมาที่โซน RBR นี้ มักจะพบแรงซื้อเข้ามาดันราคาขึ้นไปอีกครั้ง

    ตัวอย่าง: ลองจินตนาการว่าหุ้นตัวหนึ่งขึ้นแรง, พักตัว 2-3 วัน แล้วขึ้นต่อ โซนพักตัวนั้นคือ Demand Zone ที่แข็งแกร่ง

    เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Rally Base Rally

  2. Drop Base Drop (DBD): โซนอุปทาน (Supply Zone)

    คืออะไร: รูปแบบที่ราคาเคลื่อนที่ลงอย่างรุนแรง (Drop), พักตัวช่วงสั้นๆ (Base) และจากนั้นราคาเคลื่อนที่ลงอีกครั้ง (Drop)

    อย่างไร: การพักตัวในส่วน “Base” คือบริเวณที่ผู้ขายสถาบันมีการกระจายคำสั่งขายจำนวนมากก่อนที่จะผลักดันราคาลงไปอีกครั้ง คำสั่งขายที่ยังไม่ถูกเติมเต็มจะรออยู่ที่โซนนี้

    ผลลัพธ์เป็นยังไง: เมื่อราคาย้อนกลับขึ้นมาที่โซน DBD นี้ มักจะพบแรงขายเข้ามาดันราคาลงไปอีกครั้ง

    ตัวอย่าง: หากราคาของน้ำมันดิบร่วงลงอย่างรวดเร็ว, มีการซื้อขายในกรอบแคบๆ สองสามวัน แล้วร่วงลงอีก โซนพักตัวนั้นคือ Supply Zone ที่สำคัญ

    เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Drop Base Drop

  3. Drop Base Rally (DBR): โซนอุปสงค์ (Demand Zone)

    คืออะไร: รูปแบบที่ราคาเคลื่อนที่ลงอย่างรุนแรง (Drop), พักตัวช่วงสั้นๆ (Base) และจากนั้นราคาเคลื่อนที่ขึ้นอย่างรุนแรง (Rally)

    อย่างไร: รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากผู้ขายไปสู่ผู้ซื้อ ณ จุด Base บ่อยครั้งเกิดจากการที่นักลงทุนสถาบันเข้าซื้อในปริมาณมากหลังจากราคาปรับตัวลงมามากจนน่าสนใจ

    ผลลัพธ์เป็นยังไง: โซน DBR เป็น Demand Zone ที่แข็งแกร่ง หากราคาย้อนกลับลงมาอีกครั้ง มีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวขึ้น

    ตัวอย่าง: ราคา Bitcoin ตกฮวบ, พักตัวเล็กน้อย แล้วพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โซน Base ที่เปลี่ยนทิศทางนี้คือ Demand Zone

    เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Drop Base Rally

  4. Rally Base Drop (RBD): โซนอุปทาน (Supply Zone)

    คืออะไร: รูปแบบที่ราคาเคลื่อนที่ขึ้นอย่างรุนแรง (Rally), พักตัวช่วงสั้นๆ (Base) และจากนั้นราคาเคลื่อนที่ลงอย่างรุนแรง (Drop)

    อย่างไร: รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากผู้ซื้อไปสู่ผู้ขาย ณ จุด Base บ่อยครั้งเกิดจากการที่นักลงทุนสถาบันเข้าขายทำกำไรหรือกระจายสินทรัพย์หลังจากราคาปรับตัวขึ้นมามาก

    ผลลัพธ์เป็นยังไง: โซน RBD เป็น Supply Zone ที่แข็งแกร่ง หากราคาย้อนกลับขึ้นมาอีกครั้ง มีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวลง

    ตัวอย่าง: ราคาหุ้นเทคพุ่งแรง, พักตัวในกรอบแคบๆ และจากนั้นร่วงลงอย่างรวดเร็ว โซน Base ที่เปลี่ยนทิศทางนี้คือ Supply Zone

    เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Rally Base Drop

เคล็ดลับ: โซนจะถูกวาดที่จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่ฐาน (Base Candles) เสมอ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีคำสั่งซื้อขายรออยู่ให้ได้มากที่สุด และคุณยังสามารถดูภาพด้านล่างเพื่อทำความเข้าใจรูปแบบราคาเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น

Rally Base Rally Explanation

คุณสมบัติและประโยชน์เด่นของ Supply and Demand Indicator ขั้นสูง

อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk-Reward Ratio) ที่เหนือกว่า

หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของ Supply and Demand Indicator ขั้นสูงคือศักยภาพในการให้ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk-Reward Ratio) ที่สูงเป็นพิเศษ ในการ บริหารความเสี่ยง การมี Risk-Reward ที่ดีคือกุญแจสำคัญสู่การทำกำไรในระยะยาว

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น: โซนอุปสงค์และอุปทานที่ระบุโดยอินดิเคเตอร์ขั้นสูงนั้นมักจะเป็นพื้นที่ที่แคบและแม่นยำ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ได้อย่างรัดกุม ในขณะที่เป้าหมายกำไร (Take Profit) อาจอยู่ไกลออกไปมาก เนื่องจากโซนเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวราคาขนาดใหญ่

ผลลัพธ์เป็นยังไง: บางครั้งคุณอาจพบการตั้งค่าการเทรดที่ให้อัตราส่วน Risk-Reward สูงถึง 1:10, 1:20 หรือแม้กระทั่ง 1:30 นั่นหมายความว่า หากคุณยอมรับความเสี่ยง 1 หน่วย คุณมีโอกาสได้รับผลตอบแทนกลับมา 10, 20 หรือ 30 หน่วยเลยทีเดียว การตั้งค่าเช่นนี้หายากในการวิเคราะห์ทางเทคนิครูปแบบอื่น

ยกตัวอย่างประกอบ: สมมติว่าคุณตัดสินใจเข้าซื้อจากการที่ราคาเข้าสู่โซนอุปสงค์ โดยคุณยอมรับความเสี่ยงเพียง 1% ของพอร์ตโฟลิโอของคุณ หากการเทรดนี้ประสบความสำเร็จด้วยอัตราส่วน Risk-Reward 1:8 คุณจะได้รับผลกำไร 8% ของพอร์ตโฟลิโอในครั้งเดียว

ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากคุณมีอัตราส่วน Risk-Reward ที่สูงเช่นนี้ แม้ว่าคุณจะแพ้การเทรดถึง 7 ครั้งจาก 8 ครั้ง คุณก็ยังคงมีกำไรอยู่ นี่คือความมหัศจรรย์ของการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมควบคู่ไปกับการใช้โซนอุปสงค์และอุปทานที่แม่นยำ

Risk Reward Example

การกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่แม่นยำ

คุณลักษณะที่สองคือการสามารถกำหนด จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ได้อย่างรัดกุมและแม่นยำ เนื่องจากโซนอุปสงค์และอุปทานที่ถูกวาดขึ้นมาจากรูปแบบราคาที่มีโครงสร้างชัดเจน เช่น Rally Base Rally หรือ Drop Base Drop โซนเหล่านี้จึงมีขอบเขตที่แน่นอน

ทำไมถึงแม่นยำ: แตกต่างจากแนวรับ/แนวต้านทั่วไปที่อาจไม่มีขอบเขตตายตัว ทำให้การวาง Stop Loss เป็นเรื่องยากและเสี่ยงต่อการถูกลากไปตัดขาดทุนบ่อยครั้ง โซนอุปสงค์และอุปทานขั้นสูงจะถูกสร้างขึ้นจากแท่งเทียน “Base” ซึ่งเป็นช่วงที่ราคามีการรวมตัว ทำให้ขอบเขตล่างของ Demand Zone และขอบเขตบนของ Supply Zone เป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการวาง Stop Loss เพียงแค่วาง Stop Loss ไว้นอกขอบเขตของโซนเล็กน้อย เพื่อยืนยันว่าโครงสร้างของโซนนั้นยังคงอยู่

ผลลัพธ์เป็นยังไง: การมี Stop Loss ที่รัดกุมและแม่นยำช่วยให้คุณสามารถจัดการขนาดการลงทุนต่อการเทรด (Position Sizing) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง และลดความเสียหายในกรณีที่การวิเคราะห์ผิดพลาด

เคล็ดลับ: หากราคาเคลื่อนผ่านโซนและทะลุ Stop Loss ไปได้ นั่นมักจะเป็นสัญญาณว่าโซนนั้นไม่แข็งแกร่งพอ หรือสถานการณ์ตลาดมีการเปลี่ยนแปลง คุณจึงสามารถออกจากตลาดโดยเสียหายน้อยที่สุด

ความแตกต่างระหว่าง Supply and Demand Indicator แบบเดิมและแบบขั้นสูง

เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองพิจารณาความแตกต่างระหว่างอินดิเคเตอร์ Supply and Demand แบบเดิมและแบบขั้นสูง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ประสิทธิภาพในการเทรดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง:

คุณสมบัติ อินดิเคเตอร์ Supply & Demand แบบเดิม อินดิเคเตอร์ Supply & Demand ขั้นสูง
หลักการวาดโซน อิงจากการขึ้นหรือลงของราคาในอดีตเพียงอย่างเดียว มักลากตามจุดสูงสุด/ต่ำสุด หรือแนวรับ/แนวต้านที่เห็นได้ชัด อิงจาก 4 รูปแบบราคาเชิงลึก (RBR, DBD, DBR, RBD) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่บ่งบอกถึงการสั่งสมคำสั่งซื้อขายของสถาบัน
ตรรกะเบื้องหลัง ขาดตรรกะที่ชัดเจน มักเป็นแบบย้อนหลัง (Lagging) คือวาดโซนหลังจากราคาเคลื่อนที่ไปแล้ว โดยไม่มีการพิจารณาถึงสาเหตุของการก่อตัวที่แท้จริง มีตรรกะที่แข็งแกร่งและนำหน้า (Leading) เนื่องจากวิเคราะห์จากพฤติกรรมของราคาก่อนการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ สะท้อนถึงการวางคำสั่งซื้อขายล่วงหน้าของนักลงทุนสถาบัน
ความน่าเชื่อถือของโซน ต่ำ ราคาอาจไม่เคารพระดับเหล่านั้นอีก เนื่องจากเป็นเพียงภาพสะท้อนอดีตที่ไม่ได้บ่งบอกถึงแรงขับเคลื่อนปัจจุบัน สูง ราคาเคารพโซนเหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มี คำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ (Pending Orders) ของรายใหญ่จำนวนมาก
ประสิทธิภาพในการเทรด อาจทำให้เกิดสัญญาณหลอก เสียเวลาและเงินทุน เนื่องจากการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดหรือไม่แม่นยำ เพิ่มโอกาสในการทำกำไรและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นการเทรดตามรอยเท้าของ Smart Money

เหตุผลสำคัญที่คุณควรใช้อินดิเคเตอร์ Supply and Demand

การติดตามรอยเท้าของนักลงทุนสถาบันและธนาคาร

ในตลาดการเงิน ผู้เล่นรายใหญ่ที่มีอำนาจในการขับเคลื่อนตลาดอย่างแท้จริงคือ นักลงทุนสถาบันและธนาคารขนาดใหญ่ (หรือที่เรียกว่า Smart Money) พวกเขาไม่สามารถเข้าหรือออกจากตำแหน่งได้ทั้งหมดในครั้งเดียว เนื่องจากปริมาณการซื้อขายที่มหาศาลจะส่งผลกระทบต่อราคาอย่างรุนแรง (Slippage) ดังนั้น พวกเขาจึงจำเป็นต้องเข้าทำรายการซื้อขายเป็นระยะๆ ทิ้งร่องรอยของ “คำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ” ไว้ในบางระดับราคา

ทำไมถึงสำคัญ: อินดิเคเตอร์ Supply and Demand ขั้นสูงทำหน้าที่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้เราสามารถ “มองเห็น” และ “ติดตามรอยเท้า” ของผู้เล่นรายใหญ่เหล่านี้ได้ มันจะระบุโซนบนแผนภูมิที่อยู่ในความสนใจของธนาคารและผู้เทรดรายใหญ่ ซึ่งเป็นบริเวณที่พวกเขาวางคำสั่งซื้อหรือขายที่รอดำเนินการไว้ เพื่อเติมเต็มคำสั่งขนาดใหญ่ของตน

ผลลัพธ์เป็นยังไง: เมื่อราคาเคลื่อนที่กลับมายังโซนเหล่านี้อีกครั้ง มันไม่ได้เป็นเพียงการ “ชนแนวรับ/แนวต้าน” ทั่วไป แต่เป็นการที่ราคาเข้าสู่บริเวณที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งมีคำสั่งซื้อขายจำนวนมากรอให้เติมเต็มอยู่ ด้วยเหตุนี้ ราคาจึงมักจะตอบสนองอย่างรุนแรง เช่น การกลับตัวหรือการเร่งตัวไปในทิศทางที่สอดคล้องกับโซนนั้นๆ

กลไกการทำงานของคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ (Pending Orders)

นักลงทุนสถาบันมักจะวางคำสั่งซื้อขายที่รอดำเนินการ (Pending Orders) เช่น Buy Limit, Sell Limit, Buy Stop, Sell Stop ในบริเวณที่พวกเขามองว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ คำสั่งเหล่านี้จะไม่ถูกเติมเต็มในทันที แต่จะรอจนกว่าราคาจะกลับมาถึงระดับที่กำหนด

ทำไมต้องมี Pending Orders:

  • ปัญหาความผันผวน (Volatility Issues): การเข้าซื้อหรือขายในปริมาณมหาศาลพร้อมกันอาจทำให้เกิด Slippage อย่างรุนแรง ทำให้ได้ราคาที่ไม่ดี
  • การกระจายความเสี่ยง: การกระจายคำสั่งซื้อขายออกไปในหลายๆ โซน ช่วยลดความเสี่ยงของการเข้าผิดจังหวะในครั้งเดียว
  • การสะสมตำแหน่ง: นักลงทุนสถาบันมักใช้กลยุทธ์การสะสมตำแหน่ง (Accumulation) หรือการกระจายตำแหน่ง (Distribution) ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาและพื้นที่ในการดำเนินการ

อินดิเคเตอร์ Supply and Demand ขั้นสูงจะทำหน้าที่ “ค้นหาโซนเหล่านั้น” ที่คำสั่งซื้อขายที่รอดำเนินการของสถาบันถูกวางไว้ ทำให้เราสามารถคาดการณ์พฤติกรรมของราคาในอนาคตได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และวางแผนการเทรดตามทิศทางของ Smart Money

กลยุทธ์การเทรดด้วย Supply and Demand Zone Indicator อย่างมีประสิทธิภาพ

การเทรดด้วยโซนอุปสงค์และอุปทานนั้นง่ายต่อการทำความเข้าใจ แต่คุณสามารถพัฒนาระบบการเทรดที่สมบูรณ์แบบได้ด้วยการผสมผสานโซนเหล่านี้เข้ากับหลักการ บริหารความเสี่ยง และเครื่องมืออื่นๆ

หลักการเข้าซื้อและขาย

แนวทางที่ง่ายที่สุดในการเทรดด้วย Supply and Demand Zones คือ:

  • การเข้าซื้อ (Buy): เมื่อราคาวิ่งลงมาที่ โซนอุปสงค์ (Demand Zone) ให้พิจารณาเปิดสถานะซื้อ โดยกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ต่ำกว่าขอบเขตล่างของโซนเล็กน้อย เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากราคาหลุดโซน
  • การเข้าขาย (Sell): เมื่อราคาวิ่งขึ้นไปที่ โซนอุปทาน (Supply Zone) ให้พิจารณาเปิดสถานะขาย โดยกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้สูงกว่าขอบเขตบนของโซนเล็กน้อย เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากราคาทะลุโซน

กฎสำคัญ: รอให้ราคากลับเข้ามาทดสอบโซนก่อนเสมอ (Retest) และสังเกตพฤติกรรมของราคา (Price Action) ณ โซนนั้นๆ หากมีสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน เช่น รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว ก็จะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการเข้าเทรด

เคล็ดลับการใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น

เพื่อให้การเทรดมีประสิทธิภาพสูงสุด คุณควรใช้ Supply and Demand Indicator ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อเป็นการยืนยันสัญญาณและเพิ่มความน่าเชื่อถือ:

  • แผนภูมิ Renko: การใช้ แผนภูมิ Renko สามารถช่วยกรอง “Noise” ของราคา และแสดงการเคลื่อนไหวของแนวโน้มได้อย่างชัดเจน ทำให้การระบุโซนและสัญญาณกลับตัวบนโซนทำได้ง่ายขึ้น
  • ตัวกรองแนวโน้ม (Trend Filters): ใช้ อินดิเคเตอร์บอกแนวโน้ม เช่น Moving Average (MA), RSI, MACD หรือเส้นเทรนด์ไลน์ เพื่อยืนยันว่าการเทรดของคุณอยู่ในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลักของตลาด ตัวอย่างเช่น หากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ให้เน้นการซื้อจาก Demand Zone และหลีกเลี่ยงการขายจาก Supply Zone
  • รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns): สังเกตรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวที่เกิดขึ้นบริเวณขอบเขตของโซน เช่น Pin Bar, Engulfing Pattern, Hammer/Hanging Man เพื่อยืนยันการตอบสนองของราคาต่อโซนนั้นๆ
  • หลายช่วงเวลา (Multi-Timeframe Analysis): วิเคราะห์โซนอุปสงค์และอุปทานในหลายๆ ช่วงเวลา เช่น หาโซนใหญ่ใน Timeframe รายวันหรือ 4 ชั่วโมง แล้วลงมาหาจุดเข้าที่แม่นยำใน Timeframe 1 ชั่วโมง หรือ 15 นาที

การผสมผสานเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณสร้างระบบการเทรดที่แข็งแกร่งและมีความแม่นยำสูงขึ้น ซึ่งสามารถนำไปสู่การทำกำไรอย่างยั่งยืนในระยะยาว

Trading with Supply and Demand

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Supply and Demand Indicator

Q1: Supply and Demand Indicator คืออะไร?

A1: Supply and Demand Indicator คือเครื่องมือทางเทคนิคที่ออกแบบมาเพื่อระบุโซนบนกราฟราคาที่คาดว่าจะมีแรงซื้อ (Demand Zone) หรือแรงขาย (Supply Zone) จำนวนมหาศาลรออยู่ ซึ่งโซนเหล่านี้เกิดจากการสั่งสมคำสั่งซื้อขายของนักลงทุนสถาบันและธนาคารขนาดใหญ่ อินดิเคเตอร์ขั้นสูงจะใช้รูปแบบราคาที่ซับซ้อน เช่น Rally Base Rally หรือ Drop Base Drop เพื่อระบุโซนที่มีความน่าเชื่อถือสูง

Q2: อินดิเคเตอร์ Supply and Demand ต่างจากแนวรับแนวต้านทั่วไปอย่างไร?

A2: แม้จะดูคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญ แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) มักเป็นระดับราคาทางจิตวิทยาหรือจุดสูงสุด/ต่ำสุดในอดีตที่ค่อนข้างกว้างและอาจไม่สะท้อนถึงคำสั่งซื้อขายที่แท้จริง ในขณะที่โซนอุปสงค์และอุปทานเป็นการบ่งชี้ถึงบริเวณที่มีความไม่สมดุลของคำสั่งซื้อขายอย่างมีนัยสำคัญ ที่เกิดจากการเข้าทำธุรกรรมของ Smart Money ทำให้โซนเหล่านี้มีพลังงานในการขับเคลื่อนราคามากกว่าและมีขอบเขตที่แม่นยำกว่า

Q3: ควรใช้ Supply and Demand Indicator ในช่วงเวลา (Timeframe) ใด?

A3: อินดิเคเตอร์ Supply and Demand สามารถใช้ได้กับทุกช่วงเวลา (Timeframe) ตั้งแต่รายวันจนถึงรายนาที อย่างไรก็ตาม โซนที่เกิดใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น รายวัน, 4 ชั่วโมง) มักจะมีความแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากสะท้อนถึงกิจกรรมของ Smart Money ในระยะยาว สำหรับการเทรดแบบ Day Trade หรือ Scalping คุณสามารถใช้ Timeframe ที่เล็กลงเพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำในทิศทางของโซนใหญ่

Q4: มีความเสี่ยงอะไรบ้างในการใช้ Supply and Demand Indicator?

A4: แม้จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวัง เช่น:

  • สัญญาณหลอก (False Signals): ไม่ใช่ทุกโซนที่จะยึดถือได้เสมอไป บางครั้งราคาอาจทะลุโซนออกไปได้
  • ตลาดมีการเปลี่ยนแปลง: สภาพตลาดอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (เช่น มีข่าวสำคัญ) ทำให้โซนที่เคยแข็งแกร่งกลายเป็นไม่น่าเชื่อถือ
  • การเทรดมากเกินไป (Overtrading): การเห็นโซนจำนวนมากอาจทำให้เกิดการเทรดบ่อยเกินไป ซึ่งนำไปสู่การขาดทุนสะสมได้
  • ความจำเป็นในการยืนยัน: ควรใช้ร่วมกับ อินดิเคเตอร์อื่นๆ หรือ Price Action เพื่อยืนยันสัญญาณ

การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมและการใช้ บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญ

Q5: สามารถใช้อินดิเคเตอร์ Supply and Demand กับสินทรัพย์ใดได้บ้าง?

A5: หลักการของอุปสงค์และอุปทานเป็นพื้นฐานของการเคลื่อนไหวราคาในทุกตลาด ดังนั้น Supply and Demand Indicator สามารถนำไปใช้ได้กับสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น

  • คู่สกุลเงิน Forex: เป็นที่นิยมอย่างมากในการเทรด Forex
  • ทองคำ (Gold) และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ: ใช้ได้ดีในการวิเคราะห์ทองคำ, น้ำมัน
  • หุ้นและดัชนี: สามารถระบุโซนสำคัญในตลาดหุ้นได้
  • คริปโตเคอร์เรนซี: มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์สกุลเงินดิจิทัลเช่น Bitcoin, Ethereum

เนื่องจากเป็นหลักการสากลที่อิงจากพฤติกรรมของผู้ซื้อและผู้ขายในตลาด

Conclusion: สรุปและการดำเนินการต่อไป

อินดิเคเตอร์ Supply and Demand ขั้นสูงเป็นมากกว่าเครื่องมือลากเส้นบนกราฟ แต่เป็นเสมือนแผนที่ที่ช่วยนำทางให้คุณเข้าใจถึง “หัวใจ” ของตลาด นั่นคือ แรงซื้อและแรงขายที่แท้จริงที่ขับเคลื่อนโดยนักลงทุนสถาบัน การทำความเข้าใจและใช้งานอินดิเคเตอร์นี้อย่างถูกต้องตามหลักการของรูปแบบราคา 4 รูปแบบ (RBR, DBD, DBR, RBD) จะช่วยให้คุณสามารถระบุโซนที่มีความน่าเชื่อถือสูง สามารถวางจุดตัดขาดทุนได้อย่างแม่นยำ และมีโอกาสได้รับอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จในการเทรด

การเทรดไม่ใช่เรื่องของการคาดเดา แต่เป็นการวิเคราะห์และวางแผนตามข้อมูลเชิงลึก และ Supply and Demand Indicator ขั้นสูงนี้คือหนึ่งในเครื่องมืออันทรงพลังที่จะช่วยให้คุณก้าวสู่การเป็นนักเทรดที่มีความได้เปรียบในตลาด

หากคุณสนใจที่จะยกระดับการเทรดของคุณด้วยเครื่องมือและกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้ว อย่าพลาดโอกาสในการเรียนรู้เพิ่มเติมและนำความรู้นี้ไปปรับใช้กับระบบการเทรดของคุณ เพื่อสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนในระยะยาว

________________________________________________

สำหรับพี่ๆที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA เปิดบัญชีคลิกที่ลิงค์
ส่งเลข MT4 รับลิงค์ได้เลย
________________________________________________
✅ 👍🏽สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
XM มีโบนัสสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่ $30 และมีโบนัสเงินฝาก
Exness สมัครง่ายฝากถอนเร็ว
MTrading เทรดดีไม่มีสะดุด XAUUSD ไม่มีค่า Swap บนบัญชี M.Pro!
________________________________________________
✅ ♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่📱https://bit.ly/MTRatsamee
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–
ติดตามเราได้ที่
📧LINE: @ft.th (https://lin.ee/u0dwlLM )
🎬Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________

You Might Also Like

Contact Us on Line