Supply and Demand Forex: กลยุทธ์ Rally Base Rally และการเทรดโซนอุปสงค์-อุปทานอย่างมืออาชีพ

ในโลกของการเทรด Forex อุปทาน (Supply) และอุปสงค์ (Demand) คือสองพลังขับเคลื่อนพื้นฐานที่กำหนดทิศทางของราคา หากปราศจากความเข้าใจในหลักการเหล่านี้ การวิเคราะห์ตลาดไม่ว่าจะเป็นเชิงเทคนิคหรือเชิงพื้นฐานย่อมขาดรากฐานที่แข็งแกร่งอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นแท้ของอุปทานและอุปสงค์ในตลาดฟอเร็กซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของกลยุทธ์ Rally Base Rally (RBR) ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบสำคัญที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้ในการระบุจุดเข้าและออกที่แม่นยำ เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงให้สูงที่สุด
แก่นแท้ของอุปทาน (Supply) และอุปสงค์ (Demand) ในตลาด Forex
อุปทานและอุปสงค์เป็นหลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในตลาด
- อุปสงค์ (Demand): หมายถึง จำนวนรวมของหลักทรัพย์ (เช่น คู่สกุลเงิน) ที่ผู้ซื้อต้องการจะซื้อ ณ ระดับราคาต่างๆ หากมีความต้องการซื้อสูงกว่าความต้องการขาย ราคามักจะปรับตัวสูงขึ้น
- อุปทาน (Supply): หมายถึง จำนวนรวมของหลักทรัพย์ที่ผู้ขายยินดีจะเสนอขาย ณ ระดับราคาต่างๆ หากมีการเสนอขายจำนวนมากเกินกว่าความต้องการซื้อ ราคามักจะปรับตัวลดลง
ในตลาดฟอเร็กซ์ ความเคลื่อนไหวของราคาเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างสองพลังนี้ หากแรงซื้อ (อุปสงค์) มีมากกว่าแรงขาย (อุปทาน) ราคาจะปรับตัวขึ้น ในทางกลับกัน หากแรงขาย (อุปทาน) มีมากกว่าแรงซื้อ (อุปสงค์) ราคาจะปรับตัวลง และหากแรงทั้งสองอยู่ในสภาวะสมดุล ราคาก็จะเคลื่อนที่ไปด้านข้าง (Sideways) หรือที่เรียกว่า ‘สภาวะสมดุล’ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดกำลังสะสมพลังงานเพื่อรอการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ต่อไป
ความสำคัญของการวิเคราะห์ Supply and Demand
การทำความเข้าใจโซน Supply และ Demand เป็นหัวใจสำคัญทั้งในการ วิเคราะห์ทางเทคนิค และ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ในตลาด Forex
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดเข้าซื้อ (Entry) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่มีความแม่นยำสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโซนที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่หรือธนาคารเข้ามามีบทบาทในการซื้อและขายอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถกำหนดอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk-Reward Ratio) ที่ดีเยี่ยมได้ เนื่องจากสามารถวาง Stop Loss ได้อย่างรัดกุม
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องทางเทคนิค แต่ปัจจัยพื้นฐาน เช่น ข่าวเศรษฐกิจ การประกาศอัตราดอกเบี้ย หรือเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ก็มักจะส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลของ Supply และ Demand อย่างรุนแรง ซึ่งนำไปสู่การก่อตัวของโซนเหล่านี้บนกราฟราคา

กลไกการทำงานของโซนอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply)
ราคาของหลักทรัพย์ในตลาด Forex มีสถานะหลักๆ อยู่ 2 ประเภท ตามหลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งสะท้อนถึงกลไกของอุปสงค์และอุปทาน:
- สภาวะสมดุล (Equilibrium State):
- คืออะไร: เป็นช่วงที่ราคาเคลื่อนที่อยู่ในกรอบแคบๆ หรือ Sideways คล้ายกับการเคลื่อนที่ไปด้านข้างบนกราฟ
- ทำไมถึงเกิดขึ้น: ในช่วงเวลานี้ แรงซื้อและแรงขายมีความสมดุลกันอย่างใกล้เคียง ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากพอที่จะผลักดันราคาให้เกิดเป็นแนวโน้ม (Trend) ได้อย่างชัดเจน
- ผลลัพธ์: ราคายังคงอยู่ในช่วงสะสมพลังงาน ไม่มีทิศทางที่แน่นอน เทรดเดอร์มักจะรอดูสถานการณ์หรือหาโอกาสเทรดสั้นๆ ภายในกรอบ
- สภาวะไม่สมดุล (Disequilibrium State):
- คืออะไร: เป็นช่วงที่เกิดการ “Breakout” หรือการทะลุออกจากกรอบราคาในสภาวะสมดุลอย่างรุนแรง
- ทำไมถึงเกิดขึ้น: แสดงถึงการที่แรงซื้อหรือแรงขายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน มักเกิดจากการเข้าซื้อขายของสถาบันการเงินขนาดใหญ่
- ผลลัพธ์: ราคาจะเริ่มก่อตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) หรือขาลง (Downtrend) อย่างมีนัยสำคัญ โดยช่วงก่อนการ Breakout ที่ราคาเคลื่อนที่ Sideways จะถูกเรียกว่า “โซนฐาน (Base Zone)” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คำสั่งซื้อขายจำนวนมากจากสถาบันการเงินถูกวางไว้ และราคาจะย้อนกลับมาที่โซนฐานนี้อีกครั้งเพื่อเก็บคำสั่งซื้อขายที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม (Unfilled Orders) ก่อนที่จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางของแนวโน้มต่อไป
เคล็ดลับ: การ Breakout ที่สำคัญมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ในช่วง London session หรือ New York session ซึ่งเป็นเวลาที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่เข้าสู่ตลาด

วิธีการระบุโซนอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply)
โซนอุปสงค์และอุปทานถูกสร้างขึ้นจาก “พื้นที่ฐาน (Base Area)” ของราคาบนกราฟ ซึ่งสามารถแบ่งการเคลื่อนที่ของราคาออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ:
- การเคลื่อนไหวแบบ Impulsive (Impulsive Movement):
- คืออะไร: เป็นการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและมีทิศทางที่ชัดเจน โดยมีแท่งเทียนขนาดใหญ่ต่อเนื่องกัน
- ทำไมถึงเกิดขึ้น: แสดงถึงการเข้าซื้อขายอย่างมีนัยสำคัญจากผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Makers) หรือสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่กำลังผลักดันราคาไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
- การเคลื่อนไหวแบบ Retracement หรือ Base (Base Movement):
- คืออะไร: เป็นช่วงที่ราคาเคลื่อนที่ช้าลง, Sideways, หรือมีการปรับฐานก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนไหวแบบ Impulsive ครั้งต่อไป
- ทำไมถึงเกิดขึ้น: เป็นภูมิภาคที่ผู้ดูแลสภาพคล่องกำลังตัดสินใจทิศทางต่อไปของราคาว่าจะขึ้นหรือลง โดยในบริเวณนี้จะมีการรวบรวมคำสั่งซื้อขายที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม
กฎสำคัญ: โดยหลักการแล้ว ราคาจะเคลื่อนที่จากภูมิภาคฐานหนึ่งไปยังอีกภูมิภาคฐานหนึ่งเสมอ การเทรด Supply and Demand จึงเป็นการค้นหาโซนเหล่านี้เพื่อเปิดและปิดคำสั่งซื้อขาย

4 แนวคิดพื้นฐานของ Supply and Demand ใน Forex
รูปแบบการก่อตัวของโซน Supply และ Demand สามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบหลักๆ ที่เทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจ:
- Rally Base Rally (RBR): รูปแบบต่อเนื่องขาขึ้น (Demand Zone)
- คืออะไร: ราคาปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง (Rally) พักตัวในโซนฐาน (Base) และจากนั้นก็ปรับตัวขึ้นต่อ (Rally)
- ความหมาย: บ่งชี้ถึงโซนอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีคำสั่งซื้อจำนวนมากรออยู่ ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะเด้งขึ้นเมื่อกลับมาทดสอบโซนนี้อีกครั้ง
- เหมาะสำหรับ: การหาจุดเข้าซื้อ (Buy Entry)
- Rally Base Drop (RBD): รูปแบบการกลับตัวขาลง (Supply Zone)
- คืออะไร: ราคาปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง (Rally) พักตัวในโซนฐาน (Base) และจากนั้นก็ปรับตัวลงอย่างรุนแรง (Drop)
- ความหมาย: บ่งชี้ถึงโซนอุปทานที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีคำสั่งขายจำนวนมากรออยู่ ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะร่วงลงเมื่อกลับมาทดสอบโซนนี้
- เหมาะสำหรับ: การหาจุดเข้าขาย (Sell Entry) ดูเพิ่มเติมที่: Rally Base Drop คืออะไร?
- Drop Base Rally (DBR): รูปแบบการกลับตัวขาขึ้น (Demand Zone)
- คืออะไร: ราคาปรับตัวลงอย่างรุนแรง (Drop) พักตัวในโซนฐาน (Base) และจากนั้นก็ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง (Rally)
- ความหมาย: บ่งชี้ถึงโซนอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีคำสั่งซื้อจำนวนมากรออยู่ เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น
- เหมาะสำหรับ: การหาจุดเข้าซื้อ (Buy Entry)
- Drop Base Drop (DBD): รูปแบบต่อเนื่องขาลง (Supply Zone)
- คืออะไร: ราคาปรับตัวลงอย่างรุนแรง (Drop) พักตัวในโซนฐาน (Base) และจากนั้นก็ปรับตัวลงต่อ (Drop)
- ความหมาย: บ่งชี้ถึงโซนอุปทานที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีคำสั่งขายจำนวนมากรออยู่ ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะร่วงลงต่อเมื่อกลับมาทดสอบโซนนี้
- เหมาะสำหรับ: การหาจุดเข้าขาย (Sell Entry) ดูเพิ่มเติมที่: Drop Base Drop Pattern ใน Forex

เกณฑ์สำคัญในการระบุแท่งเทียนในโซนฐาน (Base Zone)
ในการระบุโซน Supply และ Demand ที่น่าเชื่อถือ คุณต้องเข้าใจลักษณะของแท่งเทียนที่ประกอบกันเป็นโซนเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบ “Big Candle + Base Candle + Big Candle” นี่คือเกณฑ์สำคัญ:
- แท่งเทียนขนาดใหญ่ (Big Candle):
- คุณสมบัติ: ต้องมีอัตราส่วนของเนื้อเทียน (Body) ต่อไส้เทียน (Wick) มากกว่า 75%
- ความหมาย: แสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่งและมีทิศทางชัดเจน บ่งบอกถึงการเข้าสู่ตลาดของสถาบันขนาดใหญ่
- ตัวอย่าง: หากแท่งเทียนมีความยาวรวม 100 จุด เนื้อเทียนควรมีความยาวอย่างน้อย 75 จุด
- ประเภท: มักจะเป็นแท่งเทียน Marubozu หรือแท่งเทียนที่มี Body ขนาดใหญ่
- แท่งเทียนฐาน (Base Candle):
- คุณสมบัติ: ต้องมีอัตราส่วนของเนื้อเทียน (Body) ต่อไส้เทียน (Wick) น้อยกว่า 50%
- ความหมาย: บ่งบอกถึงช่วงที่ราคาอยู่ในสภาวะไม่ตัดสินใจ (Indecision) หรือกำลังสะสมคำสั่งซื้อขาย โดยแรงซื้อและแรงขายกำลังต่อสู้กันอย่างสูสี
- ตัวอย่าง: หากแท่งเทียนมีความยาวรวม 100 จุด เนื้อเทียนไม่ควรเกิน 50 จุด และไส้เทียนจะยาวกว่าอย่างเห็นได้ชัด
- ประเภท: มักจะเป็นแท่งเทียน Doji, Spinning Top หรือ Inside Bar ซึ่งบ่งบอกถึงความไม่สมดุลชั่วคราว

ภาพด้านบนแสดงตัวอย่างของรูปแบบ Drop Base Rally ซึ่งเป็นโซนอุปสงค์ เมื่อตลาดปรับตัวลงมาถึงระดับนี้ จะสังเกตเห็นว่ามีการเก็บคำสั่งซื้อจำนวนมากจากโซนอุปสงค์ และราคาได้ปรับตัวขึ้นไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นเทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพในตลาด Forex
วิธีการวาดโซนอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ใน Forex
การวาดโซน Supply และ Demand บนกราฟอย่างถูกต้องเป็นทักษะสำคัญที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องเชี่ยวชาญ เพื่อให้สามารถระบุพื้นที่ที่มีศักยภาพในการกลับตัวหรือต่อเนื่องของราคาได้อย่างแม่นยำ
ขั้นตอนการวาดโซน
- วัดช่วงของพื้นที่ฐาน: เริ่มต้นจากการมองหา “โซนฐาน (Base Area)” ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาเคลื่อนที่ Sideways หรือพักตัวหลังจากมีการเคลื่อนไหวแบบ Impulsive
- ทำเครื่องหมายจุดสูงสุดและต่ำสุด: ระบุจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ของแท่งเทียนที่อยู่ในโซนฐานนั้นอย่างชัดเจน โดยรวมถึงไส้เทียนด้วย
- วาดโซนและขยาย:
- โซนอุปสงค์ (Demand Zone): ลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดต่ำสุดของแท่งเทียนฐานและจุดสูงสุดของเนื้อเทียน (Body) ของแท่งเทียนฐาน หรือจุดที่ราคาเริ่มมีการกลับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากนั้นขยายโซนนี้ไปทางขวาของกราฟคู่สกุลเงิน
- โซนอุปทาน (Supply Zone): ลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดสูงสุดของแท่งเทียนฐานและจุดต่ำสุดของเนื้อเทียน (Body) ของแท่งเทียนฐาน หรือจุดที่ราคาเริ่มมีการกลับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ จากนั้นขยายโซนนี้ไปทางขวาของกราฟคู่สกุลเงิน
ปัจจัยสำคัญในการระบุโซนที่แข็งแกร่ง
ไม่ได้ทุกโซน Supply และ Demand จะมีความแข็งแกร่งเท่ากัน มีปัจจัยบางประการที่บ่งชี้ถึงคุณภาพของโซนนั้นๆ:
- เวลาที่ใช้ในโซนฐาน:
- เวลาน้อย = โซนทรงพลัง: หากราคาใช้เวลาอยู่ในโซนฐานน้อย บ่งบอกว่ามีคำสั่งซื้อขายที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มจำนวนมากจากสถาบันการเงิน ทำให้เมื่อราคากลับมาที่โซนนี้อีกครั้ง ก็จะมีแรงซื้อหรือแรงขายที่รุนแรงเพื่อเติมเต็มคำสั่งเหล่านั้น
- เวลามาก = โซนอ่อนแอ: หากราคาใช้เวลาอยู่ในโซนฐานนานเกินไป บ่งบอกว่าคำสั่งซื้อขายส่วนใหญ่ได้รับการเติมเต็มไปแล้ว ทำให้โซนนั้นมีศักยภาพในการผลักดันราคาลดลง
- การยืนยันด้วย Fibonacci:
- โซน Supply และ Demand ส่วนใหญ่ที่อยู่ระหว่างระดับ Fibonacci Retracement 61.8% ถึง 78.6% มักจะมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นโซนที่นักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจ
- เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้เครื่องมือ Fibonacci เพื่อช่วยในการยืนยันความแข็งแกร่งและหาแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญในโซนเหล่านี้ได้
- ความสดใหม่ของโซน (Freshness of Zone):
- โซนสดใหม่: โซนที่ราคายังไม่เคยกลับมาทดสอบหลังจาก Breakout มักจะมีความแข็งแกร่งมากที่สุด เพราะมี Unfilled Orders อยู่เต็มเปี่ยม
- โซนที่เคยทดสอบแล้ว: หากราคาเคยกลับมาทดสอบโซนหนึ่งครั้งแล้ว ความแข็งแกร่งจะลดลง และหากทดสอบหลายครั้ง โซนนั้นก็จะยิ่งอ่อนแอลง
- ย้อนรอยประวัติศาสตร์: ในการเทรดแบบ Day Trading หรือ Swing Trading (ไม่ใช่การถือยาวเป็นปี) ควรย้อนกลับไปดูประวัติราคาในอดีตไม่นานเกินไปนัก เพื่อค้นหาโซนฐานที่ยังคงมีอิทธิพลอยู่ เนื่องจากสถาบันการเงินก็ไม่ได้ถือคำสั่งซื้อขายค้างไว้เป็นเวลานานเช่นกัน

วิธีการซื้อขายอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ใน Forex
การซื้อขายโดยใช้หลักการ Supply และ Demand ในตลาด Forex ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่ต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้งในการระบุโซนและวางแผนการเทรดอย่างเป็นระบบ หลักการสำคัญคือการค้นหา “โซนฐานที่สดใหม่และแข็งแกร่งที่สุด” เพื่อใช้เป็นจุดเข้า (Entry Point) และกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่เหมาะสม
การวางแผนการเทรด Rally Base Rally (RBR)
เราจะยกตัวอย่างกลยุทธ์ Rally Base Rally (RBR) ซึ่งเป็นรูปแบบต่อเนื่องขาขึ้น:
- ระบุโซนฐาน RBR:
- Rally (ขาขึ้นแรก): สังเกตการเคลื่อนที่ของราคาที่ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงด้วยแท่งเทียนขนาดใหญ่
- Base (โซนฐาน): ตามด้วยช่วงที่ราคาพักตัว Sideways หรือสร้างแท่งเทียนฐานหลายแท่ง
- Rally (ขาขึ้นที่สอง): สุดท้าย ราคาจะ Breakout ออกจากโซนฐานและปรับตัวขึ้นต่ออย่างรุนแรง
คุณจะวาดโซนอุปสงค์ (Demand Zone) ที่บริเวณจุดต่ำสุดและสูงสุดของแท่งเทียนฐาน เพื่อครอบคลุมพื้นที่ที่คาดว่าจะมีคำสั่งซื้อที่ยังไม่ถูกเติมเต็มรออยู่
- กำหนดจุดเข้า (Entry Point):
- เมื่อราคากลับมาทดสอบโซนอุปสงค์ (Demand Zone) ที่คุณวาดไว้ ให้วางคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ (Pending Order) เช่น Buy Limit เหนือขอบบนของโซนฐานเล็กน้อย (ประมาณ 1-2 จุด หรือ Pip)
- สิ่งสำคัญ: อย่าลืมรวมค่าสเปรด (Spread) ของโบรกเกอร์เข้าไปในการคำนวณจุดเข้าด้วย เพื่อให้คำสั่งของคุณถูกจับคู่ได้อย่างแม่นยำ
- กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss):
- วาง Stop Loss ใต้ขอบล่างของโซนฐานเล็กน้อย (ประมาณ 2-3 จุด หรือ Pip)
- สิ่งสำคัญ: เช่นเดียวกับจุดเข้า ควรบวกค่าสเปรดเข้าไปในการคำนวณ Stop Loss ด้วย การวาง Stop Loss ที่แน่นกระชับนี้ช่วยให้คุณสามารถควบคุมความเสี่ยงและเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงได้ดีเยี่ยม
ตัวอย่าง: สมมติว่าในกราฟคู่สกุลเงิน EUR/USD คุณเห็นรูปแบบ RBR โดยมีโซนฐานอยู่ที่ 1.1200-1.1210 เมื่อราคากลับลงมาทดสอบโซนนี้ คุณอาจจะวาง Buy Limit ที่ 1.1212 (รวมสเปรด) และ Stop Loss ที่ 1.1197 (รวมสเปรด) เพื่อจำกัดความเสี่ยง

ข้อเสียของโซนอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) และแนวทางแก้ไข
แม้ว่าการเทรดด้วยโซน Supply และ Demand จะมีประสิทธิภาพในการระบุจุดเข้าที่แม่นยำและ Stop Loss ที่รัดกุม แต่ก็มีข้อจำกัดที่สำคัญประการหนึ่ง นั่นคือ “ไม่สามารถบอกระดับทำกำไร (Take Profit) ที่ชัดเจนได้” เนื่องจากราคามีแนวโน้มที่จะเคลื่อนที่จากโซนหนึ่งไปยังอีกโซนหนึ่ง และบนกราฟก็มีโซนต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะระบุได้อย่างแน่ชัดว่าราคาจะไปหยุดที่โซนใด
แนวทางแก้ไขและเพิ่มประสิทธิภาพ:
เพื่อเอาชนะข้อจำกัดนี้ เทรดเดอร์มืออาชีพมักจะใช้กลยุทธ์การเทรด Supply and Demand ร่วมกับ Price Action และเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ นี่คือตัวอย่าง:
- การใช้ร่วมกับ Trendline Breakout:
- วิธีการ: เมื่อราคา Breakout ทะลุ Trendline สำคัญ และมีการดึงราคากลับมา (Retest) ที่บริเวณโซน Supply หรือ Demand ที่เราได้ระบุไว้
- ข้อดี: การยืนยันสองชั้นนี้ช่วยให้เรามั่นใจในการเข้าเทรดมากยิ่งขึ้น โดยยังคงสามารถใช้ Stop Loss ที่รัดกุมจากโซน Supply/Demand ได้ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เนื่องจากเป็นการเข้าเทรดตามแนวโน้มใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
- ผลลัพธ์: การผสมผสานนี้ช่วยให้คุณได้จุดเข้าที่แม่นยำ พร้อมอัตราส่วน Risk-Reward ที่ดีเยี่ยม แม้ว่าโซน Supply/Demand จะไม่บอก Take Profit โดยตรง แต่ Trendline Breakout หรือโครงสร้างราคาอื่นๆ จะช่วยให้คุณประเมินเป้าหมายราคาได้ดีขึ้น
- การใช้ร่วมกับรูปแบบกราฟ (Chart Patterns): ผสมผสานกับการระบุรูปแบบกราฟ เช่น Head and Shoulders, Double Top/Bottom เพื่อยืนยันการกลับตัวหรือต่อเนื่องของราคา
- การใช้ร่วมกับ Indicator เสริม: แม้จะเน้น Price Action เป็นหลัก แต่อินดิเคเตอร์บางตัว เช่น RSI, MACD อาจช่วยยืนยันโมเมนตัมหรือภาวะ Overbought/Oversold ในบริเวณโซนได้
สรุป: การเทรดโซน Supply และ Demand ไม่ได้เป็นกลยุทธ์แบบสแตนด์อโลน (Stand-alone) ที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ทรงพลัง เมื่อนำไปใช้ร่วมกับกลยุทธ์หรือเครื่องมืออื่นๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการเทรดของคุณได้อย่างมหาศาล
จุดสำคัญที่ต้องจำ: การประเมินความแข็งแกร่งของโซน Supply and Demand
การระบุโซน Supply และ Demand ที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ทุกโซนจะมีความสำคัญเท่ากัน นี่คือ 4 ปัจจัยหลักที่คุณต้องพิจารณา:
- เวลาที่ใช้ตามราคาใน Base Zone (Time Spent in Base Zone):
- โซนแข็งแกร่ง (Powerful Zone): ยิ่งราคาใช้เวลาอยู่ในโซนฐานน้อยเท่าไหร่ โซนนั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
- เหตุผล: การที่ราคาใช้เวลาน้อยบ่งบอกว่ามีคำสั่งซื้อ/ขายที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม (Unfilled Orders) จำนวนมากจากสถาบันการเงิน เมื่อราคากลับมาที่โซนนี้อีกครั้ง แรงผลักดันจากคำสั่งเหล่านั้นจะรุนแรง
- ถ้าเป็นเช่นนี้: ราคาจะทะลุออกจากโซนฐานอย่างรวดเร็วและเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวอย่างรุนแรง
- จำนวนแท่งเทียน (Number of Base Candles):
- โซนแข็งแกร่ง (Powerful Zone): จำนวนแท่งเทียนฐานที่น้อยลงในโซนฐาน แสดงถึงโซนที่แข็งแกร่งกว่า
- เหตุผล: แท่งเทียนฐานจำนวนมากบ่งชี้ถึงความลังเลใจที่ยาวนานและการเติมเต็มคำสั่งซื้อ/ขายไปบ้างแล้ว ทำให้โซนนั้นมีพลังงานเหลือน้อยลง
- ถ้าเป็นเช่นนี้: หากมีแท่งเทียนฐานเพียง 1-3 แท่ง และมี Body ขนาดเล็ก มักจะเป็นสัญญาณที่ดี
- ราคาเวลาดึงกลับไปที่ Base Zone (Price Action on Return to Base Zone):
- โซนแข็งแกร่ง (Powerful Zone): ราคากลับมาทดสอบโซนฐานอย่างรวดเร็วและรุนแรง (V-Shape Rejection) แสดงถึงโซนที่แข็งแกร่ง
- เหตุผล: การกลับมาทดสอบแบบรวดเร็วโดยไม่มีการใช้เวลาอยู่ในโซนมากนัก บ่งบอกว่าคำสั่งซื้อ/ขายยังคงรออยู่ และราคาถูกผลักดันออกไปอย่างรวดเร็ว
- ถ้าเป็นเช่นนี้: ควรรอสัญญาณ Price Action ที่ชัดเจน เช่น Pin Bar หรือ Engulfing Pattern เมื่อราคากลับเข้าสู่โซน
- ที่ตั้งของโซนอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) (Location of the Zone):
- โซนแข็งแกร่ง (Powerful Zone): โซนที่เกิดขึ้นในบริเวณที่สำคัญของกราฟ เช่น ใกล้แนวรับ/แนวต้านสำคัญ, จุดกลับตัวของเทรนด์ หรือบน Timeframe ที่ใหญ่กว่า มักจะมีอิทธิพลมากกว่า
- เหตุผล: โซนเหล่านี้สอดคล้องกับโครงสร้างตลาดขนาดใหญ่ ทำให้มีนัยสำคัญทางจิตวิทยาและการซื้อขายจากนักลงทุนจำนวนมาก
- ถ้าเป็นเช่นนี้: การพิจารณาโซนในภาพรวมของตลาดและ Timeframe ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับโซนนั้นๆ

โซน Supply and Demand ที่ไร้ขีดจำกัด: มุมมองแบบมืออาชีพ
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการคิดว่าโซน Supply และ Demand เป็นสิ่งที่หายาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว โซนเหล่านี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งบนกราฟราคา สิ่งที่คุณต้องการคือ “มุมมองที่ถูกต้อง” ในการมองเห็นมันอย่างมืออาชีพ
เทรดเดอร์มืออาชีพจะไม่เปลี่ยน Timeframe ไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาสามารถวิเคราะห์ภาพรวมของตลาดใน Timeframe ทั้งหมดได้จาก Timeframe เดียวที่ถนัด ด้วยการทำความเข้าใจโครงสร้างของราคาและโซน Supply/Demand ที่ทับซ้อนกัน นี่คือแนวคิด:
- การมองเห็นภาพรวม: โซน Supply และ Demand ที่สำคัญใน Timeframe ใหญ่ (เช่น รายวัน, ราย 4 ชั่วโมง) จะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของราคาใน Timeframe เล็ก (เช่น ราย 1 ชั่วโมง, ราย 15 นาที)
- การเทรดแบบองค์รวม: เมื่อคุณสามารถระบุโซนสำคัญใน Timeframe ใหญ่ได้ คุณจะสามารถใช้ Timeframe เล็กเพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำภายในโซนนั้นๆ โดยมี Stop Loss ที่แคบลง
- กฎ: โซน Supply และ Demand ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กรอบเวลาใดกรอบเวลาหนึ่ง แต่เป็นแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคาในทุกระดับ



Supply and Demand Cheat Sheet: คู่มือฉบับย่อเพื่อความแม่นยำ
เพื่อให้การระบุและวาดโซน Supply และ Demand เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว คุณสามารถใช้ “Cheat Sheet” หรือคู่มือฉบับย่อนี้เป็นเครื่องมืออ้างอิงได้ Cheat Sheet จะประกอบด้วยคำแนะนำที่ครอบคลุมสำหรับระบุและดึงโซนอุปสงค์และอุปทาน โดยสรุปทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับรูปแบบหลักทั้งสี่: Rally Base Rally (RBR), Drop Base Drop (DBD), Drop Base Rally (DBR) และ Rally Base Drop (RBD)
ใน Cheat Sheet นี้ คุณจะพบ:
- คำจำกัดความสั้นๆ: ของแต่ละรูปแบบ (RBR, DBD, DBR, RBD)
- คุณสมบัติของแท่งเทียน: เกณฑ์ของแท่งเทียนขนาดใหญ่และแท่งเทียนฐาน (อัตราส่วน Body/Wick)
- วิธีการวาดโซน: จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการวาดโซนสำหรับแต่ละรูปแบบ
- ตัวอย่างภาพประกอบ: เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนบนกราฟ
- เคล็ดลับเพิ่มเติม: เช่น การพิจารณาความสดใหม่ของโซน, เวลาที่ราคาใช้ในโซน, และการยืนยันด้วย Fibonacci Retracement
การมี Cheat Sheet อยู่ในมือจะช่วยให้คุณสามารถทบทวนหลักการสำคัญได้อย่างรวดเร็วและนำไปประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์กราฟได้ทันที ช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจเทรดของคุณ

กลยุทธ์การซื้อขาย Supply and Demand ร่วมกับการเคลื่อนไหวของราคา (Price Action)
ดังที่กล่าวไปข้างต้น โซนอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ในตลาด Forex มีประโยชน์อย่างยิ่งในการระบุจุดเริ่มต้นที่แม่นยำพร้อมจุดหยุดขาดทุนที่รัดกุม อย่างไรก็ตาม โซนเหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อระบุระดับการทำกำไร (Take Profit) ที่ชัดเจน เพราะราคาจะเคลื่อนที่จากโซนหนึ่งไปยังอีกโซนหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การนำ Supply and Demand มารวมเข้ากับกลยุทธ์ Price Action จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดได้อย่างก้าวกระโดด
ทำไมต้องรวม Price Action เข้ากับ SnD?
- การยืนยัน: Price Action ช่วยยืนยันว่าโซน Supply/Demand นั้นยังคงมีประสิทธิภาพและราคาจะตอบสนองตามที่คาดการณ์ไว้
- จุดเข้าที่แม่นยำยิ่งขึ้น: รูปแบบแท่งเทียนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโซน เช่น Pin Bar, Engulfing Pattern สามารถเป็นสัญญาณเข้าเทรดที่ทรงพลัง
- การจัดการความเสี่ยง: การรวม Price Action เข้าไปจะช่วยให้คุณสามารถปรับ Stop Loss และ Take Profit ได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น แม้ว่า SnD จะไม่ได้บอก TP โดยตรงก็ตาม
วิธีเทรดด้วย Trendline และ Supply and Demand
หนึ่งในกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพคือการใช้ Trendline ร่วมกับโซน Supply และ Demand นี่เป็นเพียงตัวอย่างง่ายๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันนี้ ซึ่งสามารถปรับปรุงวิธีการเทรดของคุณได้อย่างมาก:
- ระบุ Trendline: ค้นหา Trendline ที่ชัดเจนบนกราฟราคา ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านแบบไดนามิก
- รอการ Breakout: รอให้ราคา Breakout ทะลุ Trendline นั้นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง การ Breakout ที่รุนแรงบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มหรือโมเมนตัม
- รอการดึงกลับสู่โซน Supply/Demand: หลังจาก Breakout ราคา มักจะมีการดึงกลับ (Pullback หรือ Retest) มายังบริเวณ Trendline เดิม ซึ่งในจุดนี้เองที่โซน Supply หรือ Demand จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ
- ยืนยันจุดเข้าด้วยโซน SnD:
- เมื่อราคาดึงกลับมายังบริเวณที่ Trendline ถูก Breakout และสอดคล้องกับโซน Supply หรือ Demand ที่สดใหม่
- เข้าเทรด: ให้เข้าเทรดในทิศทางของ Breakout โดยใช้ขอบของโซน Supply/Demand เป็นจุดเข้าที่แม่นยำ
- Stop Loss: วาง Stop Loss ที่รัดกุมนอกขอบของโซน Supply/Demand เล็กน้อย
ทำไมวิธีนี้ถึงมีประสิทธิภาพ? การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ (Impulsive Move) หลังจากการดึงกลับสู่โซน Supply/Demand ที่ตรงกับ Trendline Breakout บ่งบอกถึงการเข้าสู่ตลาดของผู้ดูแลสภาพคล่องและธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งสำหรับการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต การตั้งค่านี้ช่วยให้คุณได้รับผลตอบแทนที่มีความเสี่ยงสูง (High Risk-Reward Setup) เนื่องจากคุณได้จุดเข้าที่แม่นยำและ Stop Loss ที่แน่นกระชับ

ประเด็นสำคัญของการซื้อขาย Supply and Demand ที่ต้องจดจำ
เพื่อสรุปและเน้นย้ำถึงองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการซื้อขายด้วยกลยุทธ์ Supply and Demand นี่คือสี่สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจในขณะที่มองหาและใช้ประโยชน์จากโซนเหล่านี้:
- เวลาที่ราคาใช้ในโซนฐาน (Time Spent in the Base Zone): โซนที่ราคาวิ่งผ่านอย่างรวดเร็วและใช้เวลาพักตัวในโซนฐานน้อยกว่า บ่งชี้ว่ามีคำสั่งซื้อขายที่ยังไม่ถูกเติมเต็มจำนวนมาก ทำให้โซนนั้นมีพลังงานและศักยภาพในการผลักดันราคาได้รุนแรงกว่า โซนที่ราคาใช้เวลานานจะถือว่าอ่อนแอลง
- จำนวนแท่งเทียนในโซนฐาน (Number of Base Candles): โซนที่มีจำนวนแท่งเทียนฐานน้อย (เช่น 1-3 แท่ง) ที่มีเนื้อเทียนเล็กและไส้เทียนยาว มักจะแข็งแกร่งกว่าโซนที่มีแท่งเทียนฐานจำนวนมาก เพราะแสดงถึงความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานที่รุนแรงและยังไม่ถูกแก้ไข
- การเคลื่อนไหวของราคาเมื่อกลับมาทดสอบโซนฐาน (Price Action on Return to the Base Zone): โซนที่ดีที่สุดคือโซนที่ราคา Breakout ออกไปอย่างรุนแรง และเมื่อกลับมาทดสอบอีกครั้ง ก็เกิดการปฏิเสธราคา (Rejection) อย่างรวดเร็วและมีสัญญาณ Price Action ที่ชัดเจน (เช่น แท่งเทียน Pin Bar, Engulfing) การกลับมาทดสอบแบบรวดเร็วโดยไม่พักตัวนานในโซนจะเพิ่มความแข็งแกร่งของโซนนั้น
- ที่ตั้งของโซนอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) (Location of the Zone): พิจารณาว่าโซนนั้นตั้งอยู่บน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้นหรือไม่ หรืออยู่ใกล้กับแนวรับแนวต้านที่สำคัญหรือไม่ โซนที่สอดคล้องกับโครงสร้างตลาดที่ใหญ่กว่าและสำคัญกว่ามักจะมีอิทธิพลและน่าเชื่อถือมากกว่าในการเข้าเทรด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในกลยุทธ์ Supply and Demand เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบโดยละเอียดดังนี้:
Q1: โซน Supply และ Demand แตกต่างจากแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) อย่างไร?
A1: แม้จะมีความคล้ายคลึงกันในด้านการเป็นพื้นที่ที่ราคาอาจกลับตัว แต่มีความแตกต่างที่สำคัญ แนวรับและแนวต้านมักจะเป็นเส้นหรือระดับราคาเดียวที่นักลงทุนเชื่อว่าราคาจะหยุดหรือกลับตัว โซน Supply และ Demand เป็น “พื้นที่” ที่กว้างกว่า โดยเกิดจากการที่สถาบันการเงินได้วางคำสั่งซื้อขายจำนวนมากไว้ ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขาย ซึ่งการก่อตัวของโซนฐาน (Base Zone) เป็นหัวใจสำคัญที่แยก Supply/Demand ออกจากแนวรับ/แนวต้านแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ S&D ยังเน้นที่ “Unfilled Orders” ของสถาบันเป็นหลัก
Q2: ควรใช้ Timeframe ใดในการระบุโซน Supply และ Demand?
A2: ไม่มี Timeframe ใดที่ถูกต้องที่สุด ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของคุณ อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์มืออาชีพมักจะใช้ “การวิเคราะห์หลาย Timeframe (Multi-Timeframe Analysis)” โดยเริ่มต้นจากการระบุโซนสำคัญใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น H4, Daily) เพื่อให้เห็นภาพรวมและแนวโน้มหลักของตลาด จากนั้นจึงลงมายัง Timeframe ที่เล็กลง (เช่น H1, M30, M15) เพื่อค้นหาจุดเข้าที่แม่นยำและวาง Stop Loss ที่รัดกุมภายในโซนเหล่านั้น การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณเทรดไปในทิศทางของแนวโน้มใหญ่ และหลีกเลี่ยงสัญญาณหลอกใน Timeframe เล็กๆ ได้
Q3: จะรู้ได้อย่างไรว่าโซน Supply หรือ Demand นั้นถูกใช้ไปแล้วและไม่ควรนำมาเทรดซ้ำ?
A3: โซนที่แข็งแกร่งที่สุดคือโซนที่ราคาเพิ่ง Breakout ออกไปและยังไม่เคยกลับมาทดสอบเลย (Fresh Zone) หากราคาได้กลับมาทดสอบโซนนั้นหนึ่งครั้งแล้ว ความแข็งแกร่งของโซนจะลดลง เพราะคำสั่งซื้อขายที่ยังไม่ถูกเติมเต็มบางส่วนได้ถูกเติมเต็มไปแล้ว และหากราคากลับมาทดสอบโซนเดิมหลายครั้ง โซนนั้นก็จะยิ่งอ่อนแอลงและมีโอกาสถูกทะลุได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ควรให้ความสำคัญกับโซนที่ “สดใหม่” หรือโซนที่เพิ่งได้รับการทดสอบเพียงครั้งเดียวและแสดงการปฏิเสธราคาอย่างรุนแรง
Q4: สามารถใช้ Indicator อื่นๆ ร่วมกับ Supply and Demand ได้หรือไม่?
A4: ได้อย่างแน่นอนและเป็นวิธีที่แนะนำ! การรวม Supply and Demand เข้ากับ Indicator อื่นๆ หรือกลยุทธ์ Price Action จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและสร้างความมั่นใจในการเข้าเทรดได้เป็นอย่างดี คุณอาจพิจารณาใช้:
- Fibonacci Retracement: เพื่อยืนยันระดับสำคัญภายในโซน
- Trendline: เพื่อระบุการ Breakout และ Pullback สู่โซน
- Moving Averages: เพื่อยืนยันแนวโน้มและเป็นแนวรับ/แนวต้านแบบไดนามิก
- RSI หรือ MACD: เพื่อวัดโมเมนตัมและภาวะ Overbought/Oversold ในบริเวณโซน
การผสมผสานที่ชาญฉลาดจะช่วยให้คุณได้เปรียบในตลาดมากขึ้น
Q5: อะไรคือความเสี่ยงหลักของการเทรดด้วย Supply and Demand?
A5: ความเสี่ยงหลักคือการระบุโซนที่ไม่ถูกต้องหรือโซนที่อ่อนแอ ซึ่งอาจนำไปสู่การ Breakout หลอก (Fakeout) และการขาดทุนได้ นอกจากนี้ การที่กลยุทธ์นี้ไม่ได้บอกระดับ Take Profit ที่ชัดเจน อาจทำให้เทรดเดอร์เกิดความสับสนในการจัดการกำไร ดังนั้น การฝึกฝนการวาดโซนให้แม่นยำ การประเมินความแข็งแกร่งของโซน และการรวมเข้ากับกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อจำกัดความเสียหายและรักษากำไรไว้ได้
สรุป
อุปทานและอุปสงค์เป็นหลักการพื้นฐานที่ทรงพลังที่สุดในการทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด Forex โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์ Rally Base Rally (RBR) และรูปแบบโซน Supply/Demand อื่นๆ การระบุโซนเหล่านี้อย่างถูกต้อง การทำความเข้าใจกลไกการทำงาน และการประเมินความแข็งแกร่งของโซน ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน แม้ว่ากลยุทธ์นี้จะไม่ได้ให้จุดทำกำไรที่ชัดเจน แต่เมื่อใช้ร่วมกับ Price Action และการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณสามารถระบุจุดเข้าที่แม่นยำและเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงได้อย่างน่าทึ่ง
เริ่มต้นฝึกฝนการระบุและวาดโซน Supply and Demand บนกราฟของคุณวันนี้ และสังเกตการณ์ว่าราคาตอบสนองอย่างไรเมื่อเข้าสู่โซนเหล่านี้ ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในหลักการเหล่านี้จะเปิดมิติใหม่ในการวิเคราะห์ตลาดและยกระดับการเทรดของคุณไปอีกขั้น!
สำหรับพี่ๆ ที่สนใจระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมในการเทรด Forex สามารถเข้าร่วมกลุ่มผู้ใช้ EA ของเราได้ฟรี เพียงเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่เราแนะนำ!
________________________________________________
✅ 👍 สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
XM: มีโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $30 และโบนัสเงินฝาก สมัคร XM ที่นี่
Exness: สมัครง่าย ฝากถอนเร็ว สมัคร Exness ที่นี่
GMI: เทรดดีไม่มีสะดุด ฟรี Free Swap ทุกบัญชี สมัคร GMI ที่นี่
________________________________________________
✅ ♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่
📱 Line id : @ft.th คลิกเพื่อแอดไลน์
——–
ติดตามเราได้ที่
📧 LINE: @ft.th (https://lin.ee/u0dwlLM)
🎬 Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe)
📱 Tiktok: https://vt.tiktok.com/ZSdVyv7Ny/
_____________________________________________


