TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

4 ประเภทของ Supply and Demand Zones ในการซื้อขาย

กันยายน 12, 2022

เจาะลึก 4 ประเภท Supply and Demand Zones: กลยุทธ์การเทรด Forex ที่นักลงทุนสถาบันใช้

ในโลกของการลงทุนและ การเทรด Forex การทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานที่ขับเคลื่อนตลาดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในแนวคิดที่ทรงพลังและเป็นรากฐานของการเคลื่อนไหวราคาคือ “Supply and Demand Zones” หรือ “โซนอุปทานและอุปสงค์” หากปราศจากอุปสงค์และอุปทาน ราคาจะไม่สามารถเคลื่อนที่บนกราฟได้ และจะยังคงเป็นเพียงเส้นตรงที่ไร้ชีวิตชีวา ดังนั้น Supply and Demand จึงเป็นกลไกที่สร้างความไม่สมดุลในตลาด ซึ่งนำไปสู่ความผันผวนของราคาและโอกาสในการทำกำไรสำหรับผู้ค้า

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ 4 ประเภทของ Supply and Demand Zones ในเชิงลึก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค และเป็นกลยุทธ์ที่ผู้เชี่ยวชาญใช้ในการทำนายทิศทางของตลาด เราจะอธิบายว่าโซนเหล่านี้คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร มีความสำคัญอย่างไร และวิธีการระบุโซนเหล่านี้บนกราฟราคา พร้อมทั้งเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการวิเคราะห์ Supply-Demand ในเชิงเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน เพื่อให้คุณสามารถนำความรู้นี้ไปปรับใช้ในการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของ Supply and Demand Zones ในตลาด Forex

ทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของ Supply และ Demand

ก่อนที่จะลงลึกถึงประเภทของโซนอุปสงค์และอุปทาน เราควรทำความเข้าใจถึงหลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่เป็นรากฐานก่อน ในตลาดใดๆ ก็ตาม ราคาของสินทรัพย์จะถูกกำหนดโดยปฏิสัมพันธ์ระหว่าง “อุปสงค์ (Demand)” ซึ่งคือความต้องการซื้อ และ “อุปทาน (Supply)” ซึ่งคือปริมาณที่ผู้ขายพร้อมจะเสนอขาย

  • หากอุปสงค์สูงกว่าอุปทาน: ผู้ซื้อจำนวนมากต้องการซื้อสินทรัพย์นั้น แต่มีสินทรัพย์ให้ซื้อในปริมาณจำกัด ส่งผลให้ราคาของสินทรัพย์นั้นปรับตัวสูงขึ้น
  • หากอุปทานสูงกว่าอุปสงค์: ผู้ขายจำนวนมากต้องการขายสินทรัพย์นั้น แต่มีผู้ซื้อในปริมาณจำกัด ส่งผลให้ราคาของสินทรัพย์นั้นปรับตัวลดลง

ในตลาดการเงิน เช่น ตลาด Forex กลไกนี้ทำงานอย่างต่อเนื่อง ราคาของคู่สกุลเงินหนึ่งๆ จะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามความไม่สมดุลของแรงซื้อและแรงขาย หากมีแรงซื้อมาก ราคาจะขึ้น และหากมีแรงขายมาก ราคาจะลง การเข้าใจหลักการนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของ Price Action Trading Strategy ซึ่งเน้นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาโดยตรง

กลไกการสร้าง Supply and Demand Zones ในกราฟราคา

Supply and Demand Zones คือพื้นที่บนกราฟราคาที่แสดงถึงบริเวณที่มีคำสั่งซื้อขายจำนวนมาก (โดยเฉพาะจากนักลงทุนสถาบันรายใหญ่) รออยู่ ซึ่งจะทำให้เกิดการผลักดันราคาเมื่อราคาเดินทางมาถึงโซนนั้นๆ โดยทั่วไป โซนเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วออกจากบริเวณหนึ่ง แล้วกลับมาทดสอบบริเวณนั้นอีกครั้งในอนาคต

  • Demand Zone: คือบริเวณที่แรงซื้อมีกำลังเหนือกว่าแรงขายอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อราคาตกลงมาถึงโซนนี้ จะมีแนวโน้มที่จะเด้งกลับขึ้นไป เนื่องจากมีคำสั่งซื้อจำนวนมหาศาลรออยู่
  • Supply Zone: คือบริเวณที่แรงขายมีกำลังเหนือกว่าแรงซื้ออย่างมีนัยสำคัญ เมื่อราคาขึ้นไปถึงโซนนี้ จะมีแนวโน้มที่จะถูกผลักดันให้ร่วงลงมา เนื่องจากมีคำสั่งขายจำนวนมหาศาลรออยู่

ความสำคัญของการระบุโซนเหล่านี้คือ การค้นหาโซนที่ “สดใหม่” (fresh zones) หรือ “ไม่เคยถูกทดสอบ” (untested zones) มาก่อน โซนเหล่านี้มักจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า เนื่องจากเป็นบริเวณที่คำสั่งซื้อขายของสถาบันยังคงค้างอยู่และรอการเติมเต็ม เมื่อราคาเดินทางกลับมาถึงโซนเหล่านี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมักจะเป็นไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นการกลับตัวของราคา (rejection) หรือการเคลื่อนที่ต่อเนื่อง (continuation) หลังจากเติมเต็มคำสั่งซื้อขายที่ค้างอยู่

4 ประเภทหลักของ Supply and Demand Zones ที่ควรรู้

ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค มี Supply and Demand Zones หลักๆ อยู่ 4 ประเภท ซึ่งเป็นร่องรอยของผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Makers) และเป็นรูปแบบที่ผู้ค้า Forex ขั้นสูงใช้ในการวิเคราะห์คู่สกุลเงิน โดยสามารถแบ่งออกเป็น Demand Zones (โซนอุปสงค์) และ Supply Zones (โซนอุปทาน)

Demand Zones: พื้นที่แห่งโอกาสในการเข้าซื้อ

Demand Zones แสดงถึงบริเวณที่มีความต้องการซื้อสูง ทำให้ราคาถูกผลักดันขึ้นไป แบ่งเป็น 2 รูปแบบหลัก:

1. Rally Base Rally (RBR): การกลับตัวขึ้นที่แข็งแกร่ง

Rally Base Rally คือรูปแบบของ Demand Zone ที่บ่งชี้ถึงการเคลื่อนที่ขึ้นของราคาที่แข็งแกร่ง รูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว (Rally) พักตัวเพื่อสร้างฐาน (Base) จากนั้นจึงพุ่งขึ้นต่อ (Rally) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการจำนวนมากที่บริเวณฐานนั้น

  • Rally (แท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่): แท่งเทียนที่มีลำตัวยาวและไส้เทียนสั้น แสดงถึงแรงซื้อที่รุนแรงและควบคุมตลาดอย่างชัดเจน
  • Base (แท่งเทียนฐาน): กลุ่มของแท่งเทียนขนาดเล็กที่มีลำตัวสั้นและไส้เทียนยาวหรือไม่ยาวก็ได้ แสดงถึงช่วงที่ตลาดเกิดความลังเล หรือมีการรวบรวมคำสั่งซื้อ/ขายจำนวนมากก่อนที่จะเคลื่อนที่ต่อไป
  • Rally (แท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่): แท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่อีกครั้ง เป็นการยืนยันว่าแรงซื้อยังคงมีอำนาจและผลักดันราคาให้สูงขึ้น

ทำไม RBR ถึงเป็น Demand Zone ที่แข็งแกร่ง?
รูปแบบ RBR แสดงให้เห็นว่า ณ บริเวณ Base มีคำสั่งซื้อขนาดใหญ่จากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มทั้งหมด เมื่อราคาพุ่งขึ้นไปแล้วกลับลงมาที่โซน Base อีกครั้ง คำสั่งซื้อที่ค้างอยู่เหล่านั้นจะถูกเติมเต็ม ทำให้เกิดแรงซื้อใหม่และผลักดันราคาให้เด้งกลับขึ้นไปอีกครั้ง

วิธีการเทรด RBR:
เมื่อพบเห็นรูปแบบ Rally Base Rally ที่ยังไม่ถูกทดสอบ (untested) คุณสามารถวางคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ (Buy Limit) บริเวณขอบล่างของ Base Zone และกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ใต้ Base Zone เล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยง ส่วนจุดทำกำไร (Take Profit) อาจกำหนดไว้ที่ Supply Zone ถัดไปหรือใช้การบริหารจัดการกำไรแบบ Trailing Stop

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคนี้ โปรดศึกษาที่: Supply Demand Forex Rally Base Rally Technique

2. Drop Base Rally (DBR): การกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น

Drop Base Rally เป็นรูปแบบของ Demand Zone ที่บ่งบอกถึงการกลับตัวของราคาจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น เกิดขึ้นเมื่อราคาดิ่งลงอย่างรวดเร็ว (Drop) พักตัวเพื่อสร้างฐาน (Base) แล้วจึงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว (Rally)

  • Drop (แท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่): แท่งเทียนที่มีลำตัวยาวและไส้เทียนสั้น แสดงถึงแรงขายที่รุนแรงและผลักดันราคาให้ลดลง
  • Base (แท่งเทียนฐาน): กลุ่มของแท่งเทียนขนาดเล็กที่แสดงถึงการลังเลของตลาด หรือการเปลี่ยนมือจากผู้ขายที่หมดแรงมาเป็นผู้ซื้อที่เริ่มมีกำลัง
  • Rally (แท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่): แท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่อีกครั้ง เป็นการยืนยันว่าแรงซื้อได้เข้าควบคุมตลาดและผลักดันราคาให้กลับตัวขึ้น

ทำไม DBR ถึงเป็น Demand Zone ที่แข็งแกร่ง?
รูปแบบ DBR แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของสมดุลอำนาจในตลาด จากที่ผู้ขายเคยครอบงำ กลับกลายเป็นผู้ซื้อที่มีกำลังมากขึ้น ณ บริเวณ Base โซนนี้เป็นจุดที่คำสั่งซื้อจากนักลงทุนสถาบันเข้ามาเพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ลดลง ซึ่งหากราคากลับมาที่โซนนี้อีกครั้ง ก็มีแนวโน้มสูงที่จะได้รับการสนับสนุนและดีดตัวขึ้น

วิธีการเทรด DBR:
เมื่อเห็นรูปแบบ Drop Base Rally ที่ยังไม่ถูกทดสอบ คุณสามารถวางคำสั่ง Buy Limit ที่ขอบล่างของ Base Zone และวาง Stop Loss ใต้ Base Zone เล็กน้อยเพื่อป้องกันความเสี่ยง จุดทำกำไรอาจเป็น Supply Zone ที่ใกล้ที่สุด หรือใช้กลยุทธ์การทำกำไรแบบอื่นที่เหมาะสม

Supply Zones: พื้นที่แห่งโอกาสในการเข้าขาย

Supply Zones แสดงถึงบริเวณที่มีอุปทานสูง ทำให้ราคาถูกผลักดันลงไป แบ่งเป็น 2 รูปแบบหลัก:

3. Drop Base Drop (DBD): การร่วงลงที่ต่อเนื่อง

Drop Base Drop คือรูปแบบของ Supply Zone ที่บ่งชี้ถึงการเคลื่อนที่ลงของราคาที่แข็งแกร่งและต่อเนื่อง รูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อราคาดิ่งลงอย่างรวดเร็ว (Drop) พักตัวเพื่อสร้างฐาน (Base) จากนั้นจึงดิ่งลงต่อ (Drop) แสดงให้เห็นว่ามีคำสั่งขายที่รอดำเนินการจำนวนมากที่บริเวณฐานนั้น

  • Drop (แท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่): แท่งเทียนที่มีลำตัวยาวและไส้เทียนสั้น แสดงถึงแรงขายที่รุนแรงและควบคุมตลาดอย่างชัดเจน
  • Base (แท่งเทียนฐาน): กลุ่มของแท่งเทียนขนาดเล็กที่แสดงถึงช่วงที่ตลาดเกิดความลังเล หรือมีการรวบรวมคำสั่งซื้อ/ขายจำนวนมากก่อนที่จะเคลื่อนที่ลงต่อไป
  • Drop (แท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่): แท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่อีกครั้ง เป็นการยืนยันว่าแรงขายยังคงมีอำนาจและผลักดันราคาให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ทำไม DBD ถึงเป็น Supply Zone ที่แข็งแกร่ง?
รูปแบบ DBD บ่งชี้ว่า ณ บริเวณ Base มีคำสั่งขายขนาดใหญ่จากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มทั้งหมด เมื่อราคาดิ่งลงไปแล้วกลับขึ้นมาที่โซน Base อีกครั้ง คำสั่งขายที่ค้างอยู่เหล่านั้นจะถูกเติมเต็ม ทำให้เกิดแรงขายใหม่และผลักดันราคาให้ร่วงลงไปอีกครั้ง

วิธีการเทรด DBD:
เมื่อพบเห็นรูปแบบ Drop Base Drop ที่ยังไม่ถูกทดสอบ คุณสามารถวางคำสั่งขายที่รอดำเนินการ (Sell Limit) บริเวณขอบบนของ Base Zone และกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ไว้เหนือ Base Zone เล็กน้อย ส่วนจุดทำกำไร (Take Profit) อาจกำหนดไว้ที่ Demand Zone ถัดไป

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคนี้ โปรดศึกษาที่: Drop Base Drop Pattern Forex Trading Guide

4. Rally Base Drop (RBD): การกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง

Rally Base Drop เป็นรูปแบบของ Supply Zone ที่บ่งบอกถึงการกลับตัวของราคาจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง เกิดขึ้นเมื่อราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว (Rally) พักตัวเพื่อสร้างฐาน (Base) แล้วจึงดิ่งลงอย่างรวดเร็ว (Drop)

  • Rally (แท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่): แท่งเทียนที่มีลำตัวยาวและไส้เทียนสั้น แสดงถึงแรงซื้อที่รุนแรง
  • Base (แท่งเทียนฐาน): กลุ่มของแท่งเทียนขนาดเล็กที่แสดงถึงการลังเลของตลาด หรือการเปลี่ยนมือจากผู้ซื้อที่หมดแรงมาเป็นผู้ขายที่เริ่มมีกำลัง
  • Drop (แท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่): แท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่อีกครั้ง เป็นการยืนยันว่าแรงขายได้เข้าควบคุมตลาดและผลักดันราคาให้กลับตัวลง

ทำไม RBD ถึงเป็น Supply Zone ที่แข็งแกร่ง?
รูปแบบ RBD แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของสมดุลอำนาจในตลาด จากที่ผู้ซื้อเคยครอบงำ กลับกลายเป็นผู้ขายที่มีกำลังมากขึ้น ณ บริเวณ Base โซนนี้เป็นจุดที่คำสั่งขายจากนักลงทุนสถาบันเข้ามาเพื่อเข้าขายสินทรัพย์ในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งหากราคากลับมาที่โซนนี้อีกครั้ง ก็มีแนวโน้มสูงที่จะได้รับการผลักดันให้ร่วงลง

วิธีการเทรด RBD:
เมื่อเห็นรูปแบบ Rally Base Drop ที่ยังไม่ถูกทดสอบ คุณสามารถวางคำสั่ง Sell Limit ที่ขอบบนของ Base Zone และวาง Stop Loss เหนือ Base Zone เล็กน้อยเพื่อป้องกันความเสี่ยง จุดทำกำไรอาจเป็น Demand Zone ที่ใกล้ที่สุด หรือใช้กลยุทธ์การทำกำไรแบบอื่นที่เหมาะสม

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคนี้ โปรดศึกษาที่: Rally Base Drop ในการซื้อขายคืออะไร

สูตรการระบุ Supply and Demand Zones บนกราฟแท่งเทียนอย่างแม่นยำ

การระบุโซนเหล่านี้บนกราฟราคาทำได้โดยใช้สูตรแท่งเทียนง่ายๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่การทำความเข้าใจลักษณะของ “แท่งเทียนขนาดใหญ่” และ “แท่งเทียนฐาน” อย่างละเอียดจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ของคุณ

  • Rally Base Rally (Demand Zone): แท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่ + แท่งเทียนฐาน + แท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่
  • Drop Base Drop (Supply Zone): แท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่ + แท่งเทียนฐาน + แท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่
  • Drop Base Rally (Demand Zone): แท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่ + แท่งเทียนฐาน + แท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่
  • Rally Base Drop (Supply Zone): แท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่ + แท่งเทียนฐาน + แท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่

คำอธิบายลักษณะแท่งเทียน:

  • แท่งเทียนขนาดใหญ่ (Large Candlestick): หมายถึงแท่งเทียนที่มีลำตัว (Body) ยาวเมื่อเทียบกับไส้เทียน (Wick/Shadow) ของมันอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น ลำตัวแท่งเทียนอาจมีความยาวอย่างน้อย 60-70% ของความยาวแท่งเทียนทั้งหมด แท่งเทียนเหล่านี้บ่งบอกถึงแรงซื้อ (สำหรับแท่งเขียว/ขาว) หรือแรงขาย (สำหรับแท่งแดง/ดำ) ที่รุนแรงและมีทิศทางชัดเจน
  • แท่งเทียนฐาน (Base Candlestick): หมายถึงกลุ่มของแท่งเทียนที่มีลำตัวสั้นเมื่อเทียบกับไส้เทียน ซึ่งอาจมีไส้เทียนยาวทั้งสองด้านก็ได้ แท่งเทียนฐานบ่งบอกถึงช่วงที่ตลาดเกิดความลังเล มีการต่อสู้กันระหว่างแรงซื้อและแรงขาย หรือเป็นช่วงที่นักลงทุนสถาบันกำลังรวบรวมคำสั่งซื้อขายจำนวนมากอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะผลักดันราคาไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แท่งเทียน Doji, Pin Bar ที่มี Body สั้น หรือ Inside Bar มักจะเป็นส่วนหนึ่งของแท่งเทียนฐาน

ตารางสรุป 4 ประเภทของ Supply and Demand Zones

ประเภทโซน รูปแบบแท่งเทียน ทิศทางราคาเริ่มต้น ทิศทางราคาหลังจาก Base ประเภทโซน
Rally Base Rally (RBR) Rally + Base + Rally ขาขึ้น ขาขึ้น Demand Zone
Drop Base Drop (DBD) Drop + Base + Drop ขาลง ขาลง Supply Zone
Drop Base Rally (DBR) Drop + Base + Rally ขาลง ขาขึ้น (กลับตัว) Demand Zone
Rally Base Drop (RBD) Rally + Base + Drop ขาขึ้น ขาลง (กลับตัว) Supply Zone

Supply and Demand Zones กับบทบาทของนักลงทุนสถาบัน

ทำไมสถาบันการเงินจึงสำคัญต่อ Supply and Demand Zones

ความสำคัญหลักของ Supply and Demand Zones คือ โซนเหล่านี้เป็น “รอยเท้า” ที่แสดงถึงคำสั่งซื้อขายที่รอดำเนินการ (Pending Orders) ของนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ ธนาคารกลาง กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดการเงิน ซึ่งมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาด Forex ถึงประมาณ 94% ส่วนที่เหลือเพียง 6% เป็นของผู้ค้ารายย่อย (Retail Traders) อย่างเราๆ

นักลงทุนสถาบันเหล่านี้ไม่สามารถเข้าซื้อหรือขายสินทรัพย์ทั้งหมดที่ต้องการได้ในคราวเดียว เนื่องจากปริมาณที่มหาศาลจะส่งผลกระทบต่อราคาอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขาไม่ได้ราคาที่ดีที่สุด ดังนั้น พวกเขาจึงกระจายคำสั่งซื้อขายออกเป็นส่วนๆ และวางคำสั่งซื้อขายที่รอดำเนินการไว้ที่ระดับราคาสำคัญๆ เมื่อราคาเคลื่อนที่มาถึงระดับเหล่านี้ คำสั่งซื้อขายที่รอดำเนินการเหล่านั้นจะถูกเติมเต็ม ซึ่งเป็นที่มาของการเกิด Supply และ Demand Zones ที่แข็งแกร่ง

การทำความเข้าใจพฤติกรรมของ Market Makers (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) จึงเป็นกุญแจสำคัญ เพราะพวกเขาคือผู้ขับเคลื่อนตลาดที่แท้จริง การรู้ว่าสถาบันเหล่านี้มีแนวโน้มจะซื้อหรือขายที่ใด จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างชาญฉลาด

กลยุทธ์การเทรดแบบ “ตามรอยปลาใหญ่”

พูดง่ายๆ คือ การซื้อขายโดยใช้ Supply and Demand Zones เป็นวิธีหนึ่งในการ “ติดตามธนาคารและผู้ค้ารายใหญ่” หากคุณต้องการทำกำไรในตลาดที่ซับซ้อนนี้ คุณควรพยายามทำนายการเคลื่อนไหวของผู้ดูแลสภาพคล่องเหล่านี้ หากคุณค้าขายเหมือนพ่อค้ารายย่อยทั่วไปที่มักจะเทรดด้วยอารมณ์และไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน โอกาสที่จะแพ้ในตลาดนี้ก็จะมีสูงมาก

การใช้กลยุทธ์ Supply and Demand ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยสามารถ “เกาะไปกับ” การเคลื่อนไหวของสถาบันได้ โดยการวางคำสั่งซื้อขายในบริเวณที่คาดการณ์ว่าสถาบันจะเข้ามาดำเนินการ รูปแบบเหล่านี้เป็นกลยุทธ์การเคลื่อนไหวของราคา (Price Action) ซึ่งไม่ได้มาจากสูตรทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน แต่อาศัยการสังเกต “รูปแบบธรรมชาติ” ที่ราคาทำซ้ำบนกราฟแท่งเทียน

ตัวอย่างการทำงานของ Demand Zone (USDJPY Rally Base Rally):
สมมติในคู่สกุลเงิน USDJPY ราคาสร้าง Demand Zone ในรูปแบบ Rally Base Rally โซนอุปสงค์นี้ยังไม่เคยถูกแตะต้อง ดังนั้นจึงหมายความว่ายังมีคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการจำนวนมากจากนักลงทุนสถาบันที่ค้างอยู่ ณ ระดับราคานั้นๆ ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค การก่อตัวของ Demand Zone ในลักษณะนี้แสดงว่าผู้ค้ารายใหญ่ต้องการซื้อสกุลเงินนี้ในราคาดังกล่าว

เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นโซน Rally Base Rally ที่ “สดใหม่” (Fresh Zone) เราสามารถวางคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ (Buy Limit) ที่บริเวณ Demand Zone นั้น เพื่อทำการค้าไปพร้อมกับสถาบันต่างๆ โดยคาดหวังว่าเมื่อราคากลับมาถึงโซนนี้ แรงซื้อจากสถาบันจะช่วยผลักดันราคาขึ้นไปอีกครั้ง

หลังจากที่ราคาเคลื่อนที่ออกไปอย่างสมบูรณ์และมีการสวิงตัว กลับสู่ Demand Zone อีกครั้งด้วยโมเมนตัม เมื่อราคาเข้าสู่โซนนี้ คำสั่งซื้อที่รอดำเนินการที่ยังไม่ถูกเติมเต็มจะถูกดำเนินการ ทำให้ความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ราคาเริ่มดีดตัวและเคลื่อนที่ต่อไปในแนวโน้มขาขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ Demand Zones มีศักยภาพในการเป็นจุดกลับตัวหรือจุดที่ราคาจะได้รับการสนับสนุนและเคลื่อนที่ต่อ

ความแตกต่างระหว่าง Supply-Demand ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค

การทำความเข้าใจ Supply และ Demand เป็นสิ่งสำคัญในการซื้อขาย แต่สิ่งสำคัญคือต้องแยกแยะความแตกต่างระหว่างการวิเคราะห์ Supply-Demand ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และเชิงเทคนิค (Technical Analysis) เพราะทั้งสองมีมุมมองและวิธีการที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

Supply-Demand ในมุมมองของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis)

ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ราคาของสกุลเงินหรือสินทรัพย์ใดๆ เคลื่อนไหวอยู่เสมอเนื่องจากความแตกต่างของอุปสงค์และอุปทานที่แท้จริงในตลาดโลก ซึ่งได้รับอิทธิพลจากข่าวสารและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจต่างๆ

  • ตัวอย่างอุปสงค์เพิ่มขึ้น: หากมีผู้ซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวนมากขึ้นเต็มใจที่จะซื้อดอลลาร์ ความต้องการดอลลาร์ก็จะเพิ่มขึ้น (เช่น หลังจากมีการประกาศตัวเลข GDP ที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ) ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นสัดส่วนโดยตรงกับการเพิ่มขึ้นของราคาดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ตัวอย่างอุปทานเพิ่มขึ้น: ในทางกลับกัน หากผู้ขายดอลลาร์จำนวนมากขึ้นเต็มใจที่จะขายดอลลาร์ (เช่น หลังจากการประกาศนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ) อุปทานของดอลลาร์จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาเงินดอลลาร์ลดลง

วิธีการหรือข่าวสารที่แจ้งให้เราทราบเกี่ยวกับอุปสงค์หรืออุปทานของดอลลาร์ในตลาด คือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น การติดตามการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย การจ้างงาน หรือแถลงการณ์จากธนาคารกลาง สิ่งเหล่านี้คือตัวขับเคลื่อนอุปสงค์และอุปทานในวงกว้างที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินโดยรวม ข่าวที่มีผลกระทบต่อตลาด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักเทรดปัจจัยพื้นฐานต้องจับตา

Supply-Demand ในมุมมองของการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เราไม่ได้พิจารณาจากข่าวสารทางเศรษฐกิจโดยตรง แต่เราวาดโซนบนกราฟราคาโดยใช้ พฤติกรรมราคาตามธรรมชาติ (Price Action) เช่น รูปแบบกราฟ (Triangle, Wedge) หรือรูปแบบแท่งเทียนต่างๆ รูปแบบเหล่านี้เกิดขึ้นบนกราฟราคาหลังจากช่วงเวลาที่ไม่ปกติ (การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรง) ซึ่งเป็นการแสดงถึงการมีอยู่ของ Supply หรือ Demand ที่ระดับราคาเฉพาะนั้นๆ

นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบธรรมชาติอื่นๆ เช่น “การบีบอัด (Compression)” และ “การเกิดหายาก (Rarity)” ซึ่งมักจะปรากฏให้เห็นในรูปแบบ Supply and Demand Zones:

  • Compression: หมายถึงการที่ราคาเคลื่อนที่เข้าหาโซน Supply หรือ Demand อย่างช้าๆ และมีการบีบตัวของแท่งเทียนที่เล็กลงเรื่อยๆ แสดงถึงการที่ตลาดกำลังรวบรวมคำสั่งซื้อขายจำนวนมากอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ทำให้ราคาพุ่งทะลุโซนทันที รูปแบบ Rally Base Rally และ Drop Base Drop มักจะแสดงปรากฏการณ์ของการบีบอัดนี้ก่อนที่จะเกิดการระเบิดของราคาในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
  • Rarity: หมายถึงการที่ราคาเคลื่อนที่ออกจากโซน Supply หรือ Demand อย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยไม่กลับมาทดสอบโซนนั้นอีกเป็นเวลานาน แสดงถึงความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานที่รุนแรงมาก จนทำให้คำสั่งซื้อขายที่ค้างอยู่ในโซนนั้นยังคงอยู่และมีประสิทธิภาพสูง

ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจความแตกต่างนี้ หากคุณยังไม่ได้ทำ โปรดอ่านต่อ คุณจะเข้าใจมันหลังจากอ่านบทความทั้งหมดแล้ว

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. Supply Zone และ Demand Zone มีความสำคัญอย่างไรกับการเทรด?

Supply Zone และ Demand Zone มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นบริเวณที่แสดงถึง “รอยเท้า” ของนักลงทุนสถาบันและธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนตลาดส่วนใหญ่ (ประมาณ 94% ของปริมาณการซื้อขาย) โซนเหล่านี้คือจุดที่คำสั่งซื้อขายจำนวนมากถูกวางไว้และรอการเติมเต็ม ทำให้เมื่อราคากลับมาถึงโซนเหล่านี้ มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดการกลับตัวหรือการเคลื่อนที่อย่างมีนัยสำคัญ การทำความเข้าใจและใช้โซนเหล่านี้ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยสามารถคาดการณ์พฤติกรรมของตลาดได้อย่างแม่นยำขึ้น และวางแผนการซื้อขายให้สอดคล้องกับ “ปลาใหญ่” เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. Rally Base Rally และ Drop Base Rally แตกต่างกันอย่างไร?

Rally Base Rally (RBR) และ Drop Base Rally (DBR) ทั้งคู่เป็นรูปแบบของ Demand Zone แต่มีความแตกต่างกันที่ทิศทางการเคลื่อนที่ของราคาก่อนหน้าการสร้างฐาน:

  • Rally Base Rally (RBR): ราคาพุ่งขึ้น (Rally) พักตัวสร้างฐาน (Base) แล้วพุ่งขึ้นต่อ (Rally) รูปแบบนี้บ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งและต่อเนื่อง แสดงว่าผู้ซื้อยังคงมีอำนาจและมีคำสั่งซื้อที่รออยู่จำนวนมากที่ฐาน
  • Drop Base Rally (DBR): ราคาดิ่งลง (Drop) พักตัวสร้างฐาน (Base) แล้วพุ่งขึ้น (Rally) รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการกลับตัวของราคาจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้นอย่างรุนแรง แสดงว่าแรงซื้อได้เข้ามาครอบงำตลาด ณ บริเวณฐานหลังจากที่แรงขายหมดลง

ทั้งสองรูปแบบนี้เป็นสัญญาณของ Demand Zone ที่ดีเยี่ยมสำหรับโอกาสในการเข้าซื้อ แต่ DBR เป็นรูปแบบการกลับตัว ในขณะที่ RBR เป็นรูปแบบต่อเนื่อง

3. เราควรวาง Stop Loss และ Take Profit อย่างไรเมื่อเทรดด้วย Supply/Demand Zones?

การวาง Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP) อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ:

  • การวาง Stop Loss:
    • สำหรับ Demand Zone: ควรวาง SL ไว้ใต้ขอบล่างของ Base Zone เล็กน้อย เพื่อป้องกันกรณีที่ราคาเคลื่อนที่ทะลุโซนลงไป ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงความล้มเหลวของโซนนั้นๆ
    • สำหรับ Supply Zone: ควรวาง SL ไว้เหนือขอบบนของ Base Zone เล็กน้อย เพื่อป้องกันกรณีที่ราคาเคลื่อนที่ทะลุโซนขึ้นไป ซึ่งบ่งชี้ถึงความล้มเหลวของโซนนั้นๆ
  • การวาง Take Profit:
    • สามารถกำหนด TP ไว้ที่ Supply Zone ถัดไป (สำหรับ Demand Zone) หรือ Demand Zone ถัดไป (สำหรับ Supply Zone)
    • อาจใช้สัดส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ที่เหมาะสม เช่น 1:2 หรือ 1:3
    • ใช้เทคนิคการบริหารจัดการกำไรแบบ Trailing Stop เพื่อเลื่อนจุด TP ตามการเคลื่อนที่ของราคา

4. การวิเคราะห์ Supply/Demand แบบ Technical และ Fundamental ควรใช้ร่วมกันหรือไม่?

แน่นอนว่าควรใช้ร่วมกัน! การรวมการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิคเข้าด้วยกันจะช่วยให้คุณมีมุมมองที่ครอบคลุมและแม่นยำยิ่งขึ้น

  • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: ช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจและแนวโน้มหลักของสกุลเงินหรือสินทรัพย์ในระยะยาว โดยพิจารณาจากข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจ
  • การวิเคราะห์ทางเทคนิค: โดยเฉพาะ Supply/Demand Zones ช่วยให้คุณระบุจุดเข้าและออกที่แม่นยำบนกราฟราคา โดยอิงจากพฤติกรรมของนักลงทุนสถาบัน

การใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันจะช่วยยืนยันสัญญาณการซื้อขาย ตัวอย่างเช่น หากข่าวปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนการแข็งค่าของสกุลเงิน และคุณพบ Demand Zone ที่แข็งแกร่งบนกราฟเทคนิค นี่จะเป็นสัญญาณที่ทรงพลังในการเข้าซื้อ

5. มือใหม่จะเริ่มต้นฝึกฝนการหา Supply/Demand Zones ได้อย่างไร?

สำหรับมือใหม่ การเริ่มต้นฝึกฝนอย่างเป็นระบบเป็นสิ่งสำคัญ:

  1. ศึกษาและทำความเข้าใจทฤษฎี: เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของ Supply และ Demand รวมถึง 4 ประเภทของโซนอย่างละเอียด
  2. ฝึกฝนบนกราฟเปล่า: เปิดกราฟราคาเปล่า (Naked Chart) และลองระบุ Rally Base Rally, Drop Base Drop, Drop Base Rally และ Rally Base Drop ด้วยตาเปล่า การฝึกฝนจะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับรูปแบบ
  3. ใช้บัญชีทดลอง (Demo Account): ก่อนที่จะใช้เงินจริง ควรฝึกฝนการเทรดด้วย Supply/Demand Zones ในบัญชีทดลอง เพื่อทดสอบกลยุทธ์และสร้างความมั่นใจโดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน
  4. ทบทวนการเทรด: บันทึกการเทรดของคุณทั้งหมด (Trading Journal) ไม่ว่าจะเป็นการเทรดที่ได้กำไรหรือขาดทุน และทบทวนว่าคุณระบุโซนถูกต้องหรือไม่ จุดเข้า-ออกเหมาะสมหรือไม่ เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์
  5. ใช้หลาย Timeframe: ลองใช้โซนเหล่านี้ใน Timeframe ที่แตกต่างกัน เช่น H4, H1 เพื่อดูว่าโซนใน Timeframe ที่ใหญ่กว่ามีอิทธิพลต่อ Timeframe ที่เล็กกว่าอย่างไร

สรุป

การซื้อขายโดยใช้ Supply and Demand Zones เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการวิเคราะห์ตลาด ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือการผนวกเข้ากับปัจจัยพื้นฐาน ด้วยความสามารถในการเปิดเผยร่องรอยของนักลงทุนสถาบัน ทำให้เป็นกลยุทธ์ที่มอบความได้เปรียบอย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะที่มีวิธีการซื้อขายอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การวิเคราะห์ปริมาณ (Volume Spread Analysis), Naked Chart Trading, หรือ Elliott Wave ทว่า Supply and Demand Zones นั้นโดดเด่นในด้านความตรงไปตรงมาและประสิทธิภาพในการทำนายการเคลื่อนไหวของราคา การทำความเข้าใจ 4 ประเภทของโซนเหล่านี้อย่างถ่องแท้ จะช่วยให้คุณสามารถระบุจุดสำคัญบนกราฟ และวางแผนการซื้อขายได้อย่างชาญฉลาดและมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่มุ่งมั่น การฝึกฝนและเชี่ยวชาญใน Supply and Demand Zones คือก้าวสำคัญที่จะยกระดับความสามารถในการวิเคราะห์และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาด Forex ได้อย่างยั่งยืน

เข้าร่วมกับชุมชนนักลงทุนของเรา!

สำหรับพี่ๆ ที่สนใจพัฒนาทักษะการเทรดและต้องการเครื่องมือช่วยในการลงทุน สามารถเข้าร่วมกลุ่มผู้ใช้ EA (Expert Advisor) และรับข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจได้ฟรี

สอบถามเพิ่มเติมและติดตามเราได้ที่:

You Might Also Like

Contact Us on Line