TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
จิตวิทยา การบริหารเงิน

ความแตกต่างระหว่าง Stop Loss และ Take Profit

ตุลาคม 7, 2022

Stop Loss และ Take Profit: เครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่นักเทรดทุกคนต้องรู้

ในการลงทุนและเทรด ไม่ว่าจะเป็นตลาด Forex, หุ้น, คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินทรัพย์อื่น ๆ การบริหารความเสี่ยงถือเป็นหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาว การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณสามารถปกป้องเงินทุน ลดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น และรักษากำไรที่ได้มาอย่างยั่งยืน หนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานแต่ทรงพลังที่นักเทรดทุกคนควรทำความเข้าใจและนำไปใช้คือคำสั่ง Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP) ซึ่งเป็นคำสั่งที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมผลลัพธ์ของการเทรดได้อย่างอัตโนมัติ

Stop Loss คืออะไร? ทำไมต้องใช้?

Stop Loss Order หรือคำสั่งหยุดการขาดทุน คือคำสั่งที่นักเทรดตั้งไว้เพื่อปิดสถานะการเทรดโดยอัตโนมัติ เมื่อราคาของสินทรัพย์เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้และไปถึงระดับราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า พูดง่ายๆ คือ เป็นการกำหนดจุดที่คุณ “ยอมรับการขาดทุน” สูงสุด เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีของคุณเสียหายมากเกินไปจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่พึงประสงค์

หลักการทำงานของ Stop Loss

สมมติว่าคุณเปิดสถานะ BUY สกุลเงินคู่หนึ่งที่ราคา $100 และคาดการณ์ว่าราคาจะสูงขึ้น แต่เพื่อบริหารความเสี่ยง คุณตั้งคำสั่ง Stop Loss ไว้ที่ $99 หากราคาลดลงถึง $99 คำสั่ง Stop Loss จะทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อปิดสถานะ BUY ของคุณ ซึ่งจะช่วยจำกัดการขาดทุนไว้ที่ $1 ต่อหน่วย โดยไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอการเทรดตลอดเวลา

ทำไม Stop Loss จึงสำคัญต่อการบริหารความเสี่ยง?

  • จำกัดการขาดทุน: เป็นเกราะป้องกันชั้นแรกที่ช่วยให้คุณไม่สูญเสียเงินเกินกว่าที่คุณรับได้ในแต่ละการเทรด
  • ปกป้องเงินทุน: ช่วยรักษาเงินทุนในบัญชีของคุณ เพื่อให้คุณยังมีโอกาสเทรดต่อไปได้ในอนาคต
  • ลดความเครียด: การมี Stop Loss ที่ชัดเจนช่วยลดความกังวลและความเครียดจากการเฝ้าดูตลาดที่ผันผวน เพราะคุณรู้ว่าการขาดทุนสูงสุดของคุณถูกจำกัดไว้แล้ว
  • สร้างวินัยการเทรด: บังคับให้คุณต้องวิเคราะห์และกำหนดจุดยอมรับความเสี่ยงก่อนเปิดสถานะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วินัยการเทรดที่สำคัญ
  • ป้องกันอารมณ์เข้าครอบงำ: ในสถานการณ์ที่ราคาเคลื่อนไหวสวนทางอย่างรวดเร็ว อารมณ์อาจทำให้คุณตัดสินใจผิดพลาด การมี Stop Loss ที่ตั้งไว้ล่วงหน้าจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปตามแผนที่วางไว้

ประเภทของ Stop Loss

  1. Fixed Stop Loss: กำหนดจุดราคาที่แน่นอนว่าจะปิดสถานะเมื่อถึงระดับนั้น
  2. Trailing Stop Loss: เป็น Stop Loss ที่จะเลื่อนตามราคาเมื่อการเทรดมีกำไร ช่วยให้คุณล็อคกำไรบางส่วนไว้ได้ และลดความเสี่ยงเมื่อราคาเริ่มกลับตัว ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้ง Trailing Stop Loss ที่ 50 จุด และราคาเคลื่อนไหวขึ้นไป 100 จุด Stop Loss ก็จะเลื่อนขึ้นตามไป 50 จุดจากจุดต่ำสุดที่ราคาเคยไปถึง ทำให้คุณยังคงรักษากำไรที่ได้มา

Take Profit คืออะไร? ป้องกันการเสียกำไรที่ได้มาอย่างไร?

Take Profit Order หรือคำสั่งทำกำไร คือคำสั่งที่นักเทรดตั้งไว้เพื่อปิดสถานะการเทรดโดยอัตโนมัติ เมื่อราคาของสินทรัพย์เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้และไปถึงระดับราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นระดับราคาที่คุณ “ต้องการทำกำไร” นั่นเอง

หลักการทำงานของ Take Profit

ต่อเนื่องจากตัวอย่างเดิม หากคุณเปิดสถานะ BUY ที่ราคา $100 และคาดการณ์ว่าราคาจะสูงขึ้น คุณอาจตั้งคำสั่ง Take Profit ไว้ที่ $101 หากราคาขึ้นไปถึง $101 คำสั่ง Take Profit จะทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อปิดสถานะ BUY ของคุณ ทำให้คุณได้รับกำไร $1 ต่อหน่วย โดยไม่ต้องกังวลว่าจะพลาดโอกาสทำกำไรสูงสุด หรือต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอเพื่อรอปิดสถานะด้วยตนเอง

ทำไม Take Profit จึงสำคัญ?

  • ล็อคกำไร: ช่วยให้คุณสามารถรักษากำไรที่ได้มา ป้องกันไม่ให้กำไรที่เห็นอยู่บนหน้าจอกลายเป็นศูนย์หรือขาดทุนในภายหลัง เมื่อตลาดเกิดการกลับตัวอย่างรวดเร็ว
  • การจัดการความเสี่ยง: เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยงที่ดี โดยการกำหนดเป้าหมายกำไรที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล
  • ลดอารมณ์โลภ: นักเทรดหลายคนมักตกหลุมพรางของความโลภที่ต้องการกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งราคาพลิกกลับและเสียกำไรทั้งหมดไป Take Profit ช่วยป้องกันสถานการณ์เช่นนี้
  • เพิ่มประสิทธิภาพการเทรด: การกำหนดเป้าหมายกำไรที่ชัดเจนช่วยให้คุณประเมินผลการเทรดได้อย่างแม่นยำ และปรับปรุงกลยุทธ์ในอนาคต

ความแตกต่างสำคัญระหว่าง Stop Loss และ Take Profit

ความแตกต่างหลักของ Stop Loss และ Take Profit สรุปได้ดังตารางต่อไปนี้:

คุณสมบัติ Stop Loss (SL) Take Profit (TP)
วัตถุประสงค์หลัก จำกัดการขาดทุนสูงสุด ล็อคกำไรที่ต้องการ
เมื่อคำสั่งทำงาน ราคาเคลื่อนไหวสวนทางตำแหน่งที่เปิด (ขาดทุน) ราคาเคลื่อนไหวตามทิศทางตำแหน่งที่เปิด (ทำกำไร)
ตำแหน่งราคา (สำหรับ Buy Order) ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน สูงกว่าราคาปัจจุบัน
ตำแหน่งราคา (สำหรับ Sell Order) สูงกว่าราคาปัจจุบัน ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน
ความสำคัญต่อการเทรด เครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่จำเป็นที่สุด เครื่องมือช่วยรักษากำไรและจัดการการเทรด
ผลลัพธ์ ลดการขาดทุน รักษากำไร

การใช้ Stop Loss และ Take Profit ร่วมกัน

นักเทรดที่มีประสบการณ์มักจะใช้ทั้งคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit ควบคู่กันไปในการเทรดทุกครั้ง เพื่อสร้าง ระบบเทรดอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยง การวางแผนทั้งจุด Stop Loss และ Take Profit ล่วงหน้าก่อนการเทรดจะช่วยให้คุณมีแผนการเทรดที่ชัดเจน ลดอิทธิพลของอารมณ์ และสร้างความสอดคล้องในการตัดสินใจ

เคล็ดลับการตั้ง Stop Loss และ Take Profit

  • วิเคราะห์ทางเทคนิค: ใช้แนวรับแนวต้าน, Fibonacci Retracements, หรือรูปแบบกราฟแท่งเทียน (Candlestick Patterns) เพื่อกำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit ที่สมเหตุสมผล
  • อัตราส่วน Risk-Reward: ควรกำหนดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ที่เหมาะสม เช่น 1:2 หรือ 1:3 ซึ่งหมายถึงคุณยินดีเสี่ยง 1 ส่วนเพื่อแลกกับกำไร 2 หรือ 3 ส่วน
  • หลีกเลี่ยงการขยับ Stop Loss เข้าหาการขาดทุน: เมื่อตั้ง Stop Loss แล้ว พยายามอย่าขยับมันออกไปไกลขึ้นเมื่อการเทรดเริ่มขาดทุน เพราะนั่นเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
  • พิจารณา Trailing Stop: สำหรับการเทรดที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง Trailing Stop สามารถเป็นประโยชน์ในการขยับ Stop Loss ตามราคาเพื่อล็อคกำไรไปพร้อมกับเปิดโอกาสให้กำไรเติบโตได้อีก
  • พิจารณา Timeframe: การตั้งค่า SL/TP ควรสัมพันธ์กับกรอบเวลาที่คุณใช้เทรด การเทรดระยะสั้น (Scalping) อาจมี SL/TP ที่แคบกว่าการเทรดระยะยาว (Swing Trading หรือ Position Trading)

ผลลัพธ์ของการไม่ใช้ Stop Loss และ Take Profit

การไม่ใช้คำสั่ง Stop Loss และ Take Profit ในการเทรดเปรียบเสมือนการเดินเรือโดยไม่มีแผนที่และเข็มทิศ ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายดังนี้:

  • การขาดทุนมหาศาล: หากราคาเคลื่อนไหวสวนทางอย่างรุนแรงโดยไม่มี Stop Loss คุณอาจสูญเสียเงินทุนจำนวนมาก หรือถึงขั้นล้างพอร์ตได้
  • ความเครียดและอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้: การเฝ้าดูสถานะที่ขาดทุนไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนจะสร้างความเครียด และอาจทำให้อารมณ์เข้าครอบงำการตัดสินใจ เช่น การถัวเฉลี่ยขาลงโดยไม่มีเหตุผล หรือการยึดติดกับสถานะที่ขาดทุน
  • พลาดโอกาสทำกำไร: หากไม่มี Take Profit กำไรที่เกิดขึ้นอาจหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อตลาดกลับตัว หรือคุณอาจพลาดโอกาสในการนำกำไรนั้นไปใช้ในการเทรดอื่น ๆ
  • ขาดวินัย: การไม่ใช้เครื่องมือเหล่านี้บ่งชี้ถึงการขาดวินัยในการเทรด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่แยกนักเทรดที่ประสบความสำเร็จออกจากผู้ที่ล้มเหลว

FAQ Section (คำถามที่พบบ่อย)

Q1: Stop Loss และ Take Profit จำเป็นสำหรับการเทรดทุกประเภทหรือไม่?

A1: โดยทั่วไปแล้ว Stop Loss และ Take Profit เป็นเครื่องมือที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการเทรดระยะสั้น (Scalping) การเทรดระหว่างวัน (Day Trading) หรือการเทรดระยะกลางถึงระยะยาว (Swing Trading, Position Trading) เพื่อช่วยในการบริหารความเสี่ยงและจัดการผลตอบแทนอย่างมีวินัย แม้กระทั่งนักลงทุนระยะยาวในบางกรณีก็ยังใช้แนวคิดนี้เพื่อปกป้องเงินทุนในสถานการณ์ที่ตลาดผันผวนรุนแรง

Q2: ควรตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit ที่ระดับราคาใดดีที่สุด?

A2: ไม่มีระดับราคาตายตัวที่ “ดีที่สุด” แต่การกำหนดควรอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น แนวรับแนวต้าน, ระดับ Fibonacci, จุด Pivot, หรือโครงสร้างตลาด (Market Structure) ควรพิจารณาจากความผันผวนของสินทรัพย์ (Volatility) ที่เทรด และอัตราส่วน Risk-Reward ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ของคุณ นักเทรดมืออาชีพมักจะใช้ Indicator ATR (Average True Range) เพื่อช่วยในการกำหนดระยะ Stop Loss ที่เหมาะสมกับความผันผวนของตลาดในขณะนั้น

Q3: การใช้ Trailing Stop Loss แตกต่างจาก Stop Loss ปกติอย่างไร?

A3: Stop Loss ปกติจะถูกตั้งไว้ที่ระดับราคาคงที่ และจะทำงานเมื่อราคาเคลื่อนที่มาถึงจุดนั้นไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ในทางกลับกัน Trailing Stop Loss จะเคลื่อนที่ตามราคาเมื่อการเทรดทำกำไร โดยจะรักษา “ระยะห่าง” ที่กำหนดไว้จากราคาปัจจุบันเสมอ หากราคายังคงเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เป็นกำไร Trailing Stop ก็จะขยับตามขึ้นไป (สำหรับสถานะ Buy) หรือลงไป (สำหรับสถานะ Sell) แต่ถ้าหากราคาเริ่มกลับตัว Trailing Stop จะหยุดนิ่งและจะทำงานเมื่อราคาชนจุดที่กำหนดไว้ล่าสุด ทำให้คุณสามารถล็อคกำไรบางส่วนไว้ได้โดยอัตโนมัติ และยังคงเปิดโอกาสให้กำไรเติบโตได้อีก

Q4: หากไม่ตั้ง Stop Loss จะเกิดอะไรขึ้น?

A4: การไม่ตั้ง Stop Loss ในการเทรดถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง หากราคาเคลื่อนที่สวนทางกับตำแหน่งที่เปิดอย่างรุนแรง คุณอาจประสบกับการขาดทุนจำนวนมากจนถึงขั้นล้างพอร์ต (Margin Call) ได้ นอกจากนี้ การที่ไม่มีจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนยังส่งผลให้เกิดความเครียดจากการเฝ้าดูตลาด และอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เช่น การถัวเฉลี่ยขาลงโดยไร้แผน หรือการยึดติดกับสถานะที่ขาดทุนนานเกินไป

Q5: สามารถใช้ Stop Loss และ Take Profit ในทุกแพลตฟอร์มการเทรดได้หรือไม่?

A5: โดยส่วนใหญ่แล้ว แพลตฟอร์มการเทรด Forex, หุ้น, และสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยม เช่น MetaTrader 4 (MT4), MetaTrader 5 (MT5), TradingView หรือแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์โดยตรง จะมีฟังก์ชันการตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit ให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย เนื่องจากเป็นคำสั่งพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการบริหารจัดการการเทรด อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบกับแพลตฟอร์มที่คุณใช้งานเพื่อความแน่ใจ

สรุป

Stop Loss และ Take Profit ไม่ใช่เพียงคำสั่งทั่วไป แต่เป็นเสาหลักของการบริหารความเสี่ยงและ กลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ การเข้าใจถึงความแตกต่าง หลักการทำงาน และการประยุกต์ใช้คำสั่งทั้งสองนี้อย่างชาญฉลาด จะช่วยให้นักเทรดสามารถปกป้องเงินทุน รักษากำไร และสร้างความยั่งยืนในเส้นทางของการลงทุนได้ การนำเครื่องมือเหล่านี้ไปใช้อย่างสม่ำเสมอและมีวินัย คือกุญแจสำคัญสู่การเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว

หากคุณกำลังมองหาระบบเทรดอัตโนมัติหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมในการบริหารความเสี่ยง FTT Investing มีข้อมูลและเครื่องมือที่สามารถช่วยคุณได้ คลิกที่นี่ เพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบเทรดอัตโนมัติของเรา และเริ่มต้นเส้นทางสู่การเทรดอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น

You Might Also Like

Contact Us on Line