สเปรด (Spread) ในตลาด Forex: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ

ตลาด Forex หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นตลาดการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ดึงดูดทั้งนักลงทุนรายย่อย สถาบันการเงิน และธนาคารกลางจำนวนมหาศาลให้เข้ามาซื้อขายสกุลเงินต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ หนึ่งในแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ทุกคนที่เข้าสู่ตลาด Forex คือ “สเปรด” (Spread) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของต้นทุนการเทรดและกลไกการทำกำไรของโบรกเกอร์ การทำความเข้าใจสเปรดอย่างลึกซึ้งไม่เพียงช่วยให้คุณบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือก โบรกเกอร์ ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ
สเปรด (Spread) ในตลาด Forex คืออะไร?
สเปรด Forex คือความแตกต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid Price) และราคาเสนอขาย (Ask Price) สำหรับคู่สกุลเงินใดๆ ในตลาด สเปรดเปรียบเสมือนค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากการซื้อขายของคุณ แทนที่จะเป็นค่าคอมมิชชั่นแบบตายตัวเหมือนในตลาดหุ้น การทำความเข้าใจองค์ประกอบของสเปรดจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ความหมายของ Spread (Bid-Ask Spread)
ในตลาด Forex การซื้อขายสกุลเงินไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายรายย่อย แต่จะทำผ่านตัวกลางคือโบรกเกอร์หรือผู้ค้า (Dealer/Market Maker) ซึ่งเป็นผู้กำหนดราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขายสำหรับคู่สกุลเงินต่างๆ
- ราคาเสนอซื้อ (Bid Price): คือราคาสูงสุดที่โบรกเกอร์ ยินดีซื้อ สกุลเงินหลัก (Base Currency) จากคุณ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ราคาที่คุณสามารถ ขาย สกุลเงินนั้นได้
- ราคาเสนอขาย (Ask Price) หรือ Offer Price: คือราคาต่ำสุดที่โบรกเกอร์ ยินดีขาย สกุลเงินหลัก (Base Currency) ให้กับคุณ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ราคาที่คุณสามารถ ซื้อ สกุลเงินนั้นได้
ยกตัวอย่างเช่น หากคู่สกุลเงิน EUR/USD มีราคา Bid ที่ 1.10500 และราคา Ask ที่ 1.10505 นั่นหมายความว่า:
- หากคุณต้องการ ซื้อ EUR (สกุลเงินหลัก) คุณจะต้องซื้อที่ราคา 1.10505 (ราคา Ask)
- หากคุณต้องการ ขาย EUR (สกุลเงินหลัก) คุณจะต้องขายที่ราคา 1.10500 (ราคา Bid)
ส่วนต่างระหว่างราคา 1.10505 และ 1.10500 คือ 0.00005 หรือ 0.5 Pip ซึ่งเป็น “สเปรด” และเป็นกำไรของโบรกเกอร์นั่นเอง
กลไกการทำงานของ Spread และความสำคัญในการเทรด
สเปรดเป็นกลไกที่สำคัญที่สะท้อนถึงสภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity) และต้นทุนในการดำเนินการของโบรกเกอร์ โบรกเกอร์ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาสภาพคล่อง (Market Maker) โดยการเสนอราคาซื้อและราคาขายให้กับเทรดเดอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เทรดเดอร์สามารถเข้าและออกจากตลาดได้ตลอดเวลา โดยทั่วไปแล้ว สเปรดจะแปรผกผันกับสภาพคล่อง กล่าวคือยิ่งคู่สกุลเงินมีสภาพคล่องสูง สเปรดก็จะยิ่งต่ำ และในทางกลับกัน ยิ่งสภาพคล่องต่ำ สเปรดก็จะสูงขึ้น
วิธีการคำนวณ Spread Forex
การคำนวณสเปรดนั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา โดยทั่วไปแล้ว สเปรดจะแสดงเป็นหน่วย Pip (Percentage in Point) ซึ่งเป็นหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เล็กที่สุดในตลาด Forex
สูตรการคำนวณ Spread เป็น Pip
สเปรด (เป็น Pip) = ราคา Ask – ราคา Bid
ตัวอย่างการคำนวณ:
| คู่สกุลเงิน | ราคา Bid | ราคา Ask | สเปรด (Pip) | คำอธิบาย |
|---|---|---|---|---|
| EUR/USD | 1.12345 | 1.12350 | 0.5 | (1.12350 – 1.12345) = 0.00005 ซึ่งเท่ากับ 0.5 Pip |
| USD/JPY | 109.800 | 109.808 | 0.8 | (109.808 – 109.800) = 0.008 ซึ่งเท่ากับ 0.8 Pip |
ในกรณีที่ต้องการคำนวณต้นทุนสเปรดเป็นมูลค่าเงินจริง:
ต้นทุนสเปรด = สเปรด (เป็น Pip) x มูลค่า Pip ต่อล็อต x จำนวนล็อต
โดยทั่วไป:
- สำหรับคู่สกุลเงินที่มี USD เป็นสกุลเงินอ้างอิง (เช่น EUR/USD, GBP/USD) 1 Pip ของ Standard Lot (100,000 หน่วย) มีมูลค่าประมาณ $10
- สำหรับคู่สกุลเงินที่มี USD เป็นสกุลเงินหลัก (เช่น USD/JPY) 1 Pip ของ Standard Lot มีมูลค่าประมาณ $10 / อัตราแลกเปลี่ยน USD/JPY
ตัวอย่าง: หากคุณซื้อขาย 1 Standard Lot ของ EUR/USD ที่มีสเปรด 0.5 Pip และมูลค่า 1 Pip เท่ากับ $10
ต้นทุนสเปรด = 0.5 Pip x $10/Pip = $5
จะเห็นได้ว่า แม้สเปรดจะดูเป็นตัวเลขที่น้อยมาก แต่เมื่อคุณเปิดสถานะด้วยปริมาณที่ใหญ่ขึ้น (จำนวนล็อตที่มากขึ้น) หรือเทรดบ่อยครั้ง เช่น สไตล์ Scalping ต้นทุนสเปรดก็จะสะสมเป็นจำนวนที่สำคัญได้
ประเภทของ Spread: Fixed Spread vs. Floating Spread
โบรกเกอร์ Forex มีการนำเสนอรูปแบบสเปรดที่แตกต่างกัน ซึ่งหลักๆ แล้วแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ Fixed Spread และ Floating Spread การทำความเข้าใจความแตกต่างของทั้งสองประเภทนี้มีความสำคัญต่อการเลือกบัญชีที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
1. Fixed Spread (สเปรดคงที่)
Fixed Spread คือสเปรดที่มีค่าคงที่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตลาด ความผันผวนของราคา หรือช่วงเวลาข่าวสำคัญ โบรกเกอร์จะคงค่าสเปรดไว้เท่าเดิม
ข้อดีของ Fixed Spread:
- คาดการณ์ต้นทุนได้ง่าย: เทรดเดอร์สามารถคำนวณต้นทุนการเทรดล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ทำให้วางแผนการบริหารจัดการเงินทุน (Money Management) ได้ดีขึ้น
- เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่: ช่วยลดความกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสเปรดที่ไม่คาดคิด
- เหมาะสำหรับการเทรดข่าว: ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจากข่าวเศรษฐกิจสำคัญ สเปรดคงที่ช่วยให้สามารถเข้าเทรดได้โดยไม่ต้องกังวลว่าสเปรดจะถ่างออกมากเกินไปจนเสียเปรียบ
ข้อเสียของ Fixed Spread:
- อาจสูงกว่า Floating Spread ในช่วงตลาดปกติ: โดยเฉลี่ยแล้ว โบรกเกอร์ที่ให้บริการ Fixed Spread มักจะมีสเปรดที่สูงกว่าโบรกเกอร์ที่ให้บริการ Floating Spread ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความสงบหรือสภาพคล่องสูง
- มีโอกาสเกิด Requotes สูง: โบรกเกอร์ที่เสนอ Fixed Spread อาจมีการปฏิเสธคำสั่ง (Requotes) หรือ Slippage มากกว่าในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง เนื่องจากโบรกเกอร์ไม่สามารถรักษาสเปรดคงที่ได้ตามราคาตลาดจริง
ตัวอย่าง: หากคุณเทรด EUR/USD ด้วย Fixed Spread ที่ 2 Pips ไม่ว่าตลาดจะเงียบสงบหรือมีข่าว Non-Farm Payroll ออกมา สเปรดก็จะยังคงเป็น 2 Pips เสมอ
2. Floating Spread (สเปรดลอยตัว)
Floating Spread หรือ Variable Spread คือสเปรดที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาดแบบเรียลไทม์ โดยขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของคู่สกุลเงินนั้นๆ และสภาพคล่องของตลาด
ข้อดีของ Floating Spread:
- มักจะต่ำกว่าในสภาวะตลาดปกติ: ในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงและมีความผันผวนต่ำ Floating Spread มักจะมีค่าที่ต่ำกว่า Fixed Spread อย่างมีนัยสำคัญ
- สะท้อนราคาตลาดที่แท้จริง: เนื่องจากสเปรดจะปรับตามสภาวะตลาดจริง ทำให้โอกาสเกิด Requotes หรือ Slippage ที่ไม่พึงประสงค์น้อยกว่า (แม้จะยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้)
- เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ Scalping หรือ Day Trading: เทรดเดอร์ที่เน้นการทำกำไรระยะสั้นและต้องการต้นทุนต่ำที่สุดในแต่ละการเทรดมักจะเลือก Floating Spread
ข้อเสียของ Floating Spread:
- คาดการณ์ต้นทุนได้ยาก: สเปรดอาจขยายตัว (Widen) อย่างรวดเร็วและรุนแรงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง หรือเกิดเหตุการณ์ข่าวสำคัญ ทำให้ต้นทุนการเทรดเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด
- ความเสี่ยงต่อการถูก Stop Loss: สเปรดที่ถ่างออกอาจทำให้สถานะของคุณถูก Stop Loss ก่อนเวลาอันควร แม้ว่าราคาตลาดจริงจะยังไม่ไปถึงจุดนั้นก็ตาม
ตัวอย่าง: หากคุณเทรด USD/JPY ด้วย Floating Spread อาจเห็นสเปรดอยู่ที่ 0.5 Pip ในช่วงตลาดเอเชีย แต่เมื่อตลาดลอนดอนเปิด หรือมีข่าว CPI ของสหรัฐฯ ออกมา สเปรดอาจถ่างเป็น 2-5 Pips ชั่วขณะได้
ตารางเปรียบเทียบ Fixed Spread vs. Floating Spread
| คุณสมบัติ | Fixed Spread | Floating Spread |
|---|---|---|
| การเปลี่ยนแปลง | คงที่เสมอ | เปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด |
| ช่วงตลาดปกติ | ปานกลางถึงสูง | ต่ำมากถึงปานกลาง |
| ช่วงตลาดผันผวน (ข่าว) | คงที่ (แต่มี Requotes/Slippage) | ถ่างออกอย่างรวดเร็วและรุนแรง |
| เหมาะสำหรับ | มือใหม่, เทรดข่าว, เทรดเดอร์ที่ไม่ต้องการความเสี่ยงจากสเปรดที่ถ่าง | Scalping, Day Trading, เทรดเดอร์ที่เน้นต้นทุนต่ำในตลาดปกติ |
| ความคาดการณ์ต้นทุน | สูง | ต่ำ |
ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Spread ในตลาด Forex
สเปรดในตลาด Forex ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขคงที่ แต่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งที่เทรดเดอร์จะต้องเข้าใจเพื่อวางแผนการเทรดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
1. ปริมาณการซื้อขาย (Liquidity)
ปริมาณการซื้อขายคือจำนวนคำสั่งซื้อและขายที่มีอยู่ในตลาดสำหรับคู่สกุลเงินหนึ่งๆ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
- สภาพคล่องสูง (High Liquidity): เมื่อมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากในตลาด คำสั่งซื้อและขายจะสามารถจับคู่กันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้ราคา Bid และ Ask ใกล้เคียงกัน ส่งผลให้สเปรดแคบลง คู่สกุลเงินหลัก (Major Pairs) เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY มักจะมีสภาพคล่องสูงและสเปรดต่ำ ในช่วงเวลาที่ตลาดหลักเปิดทำการ
- สภาพคล่องต่ำ (Low Liquidity): เมื่อมีผู้ซื้อและผู้ขายน้อยลง การจับคู่คำสั่งจะทำได้ยากขึ้น โบรกเกอร์จึงต้องตั้งราคา Bid และ Ask ให้ห่างกันมากขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยง ส่งผลให้สเปรดกว้างขึ้น คู่สกุลเงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs) หรือช่วงเวลาที่ตลาดปิดทำการ (เช่น กลางดึกของวันหยุดสุดสัปดาห์) มักจะมีสภาพคล่องต่ำและสเปรดสูง
ตัวอย่าง: หากคุณเทรดคู่ EUR/USD ในช่วงตลาดลอนดอน-นิวยอร์ก สเปรดอาจอยู่ที่ 0.5-1.0 Pip แต่หากคุณเทรดคู่ USD/ZAR (ดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับแรนด์แอฟริกาใต้) ในช่วงกลางคืน สเปรดอาจสูงถึง 10-20 Pips ได้
2. ความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ (Political and Economic Risk)
เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองและเศรษฐกิจสามารถสร้างความไม่แน่นอนและความผันผวนให้กับตลาด ส่งผลกระทบต่อค่าเงินและสเปรด
- เหตุการณ์ความไม่แน่นอน: การเลือกตั้ง, การลงประชามติ, การเปลี่ยนแปลงนโยบายธนาคารกลาง, สงครามการค้า หรือวิกฤตเศรษฐกิจ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดมีความกังวล ส่งผลให้เทรดเดอร์ระมัดระวังมากขึ้น สภาพคล่องลดลง และสเปรดถ่างออกอย่างมีนัยสำคัญ
- ข่าวเศรษฐกิจสำคัญ: การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจที่มีผลกระทบสูง เช่น อัตราดอกเบี้ย, อัตราเงินเฟ้อ (CPI), ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payroll) สามารถทำให้ราคาสกุลเงินผันผวนอย่างรุนแรง และสเปรดอาจถ่างออกชั่วขณะเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับโบรกเกอร์
ตัวอย่าง: ในช่วงการลงประชามติ Brexit ของสหราชอาณาจักร หรือในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน สเปรดของคู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องอาจถ่างออกเป็นหลายสิบ Pips ภายในไม่กี่วินาที
3. ความผันผวนของสกุลเงิน (Volatility)
ความผันผวนคือขนาดของการเปลี่ยนแปลงราคาของสกุลเงินในช่วงเวลาหนึ่ง
- ความผันผวนสูง: เมื่อสกุลเงินมีการเคลื่อนไหวราคาขึ้นลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง โบรกเกอร์จะเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการรักษาสมดุลของคำสั่งซื้อและขาย ส่งผลให้มีการขยายสเปรดเพื่อป้องกันความเสี่ยงของตนเอง
- ความผันผวนต่ำ: ในช่วงที่ตลาดมีความสงบ การเคลื่อนไหวของราคาน้อย สเปรดก็จะแคบลง
ตัวอย่าง: สกุลเงินของประเทศที่มีความไม่มั่นคงทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ (เช่น สกุลเงินของตลาดเกิดใหม่) มักจะมีความผันผวนสูงกว่า และส่งผลให้สเปรดสูงกว่าคู่สกุลเงินหลักที่มีเสถียรภาพ
4. คู่สกุลเงิน (Currency Pairs)
ประเภทของคู่สกุลเงินเองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดระดับสเปรด
- คู่สกุลเงินหลัก (Major Pairs): เป็นคู่สกุลเงินที่เทรดกันมากที่สุดในโลก เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY, USD/CHF, USD/CAD, AUD/USD, NZD/USD มีสภาพคล่องสูงที่สุด สเปรดจึงมักจะต่ำที่สุด
- คู่สกุลเงินรอง (Minor Pairs / Cross Pairs): เป็นคู่สกุลเงินที่ไม่มี USD อยู่ด้วย เช่น EUR/GBP, EUR/JPY, GBP/JPY มีสภาพคล่องรองลงมา สเปรดจึงสูงกว่า Major Pairs เล็กน้อย
- คู่สกุลเงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs): เป็นคู่สกุลเงินที่มีสกุลเงินหลักจับคู่กับสกุลเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น USD/THB, USD/MXN, EUR/TRY มีสภาพคล่องต่ำที่สุด สเปรดจึงสูงที่สุดและผันผวนมากที่สุด
ตัวอย่าง: โบรกเกอร์ส่วนใหญ่อาจเสนอสเปรด EUR/USD ที่ 0.5-1.0 Pip แต่สำหรับ USD/THB อาจมีสเปรดสูงถึง 5-15 Pips หรือมากกว่านั้น
5. โบรกเกอร์ Forex
โบรกเกอร์แต่ละรายมีโครงสร้างต้นทุนและกลยุทธ์การกำหนดราคาที่แตกต่างกัน ส่งผลให้สเปรดที่เสนอมีความหลากหลาย
- ประเภทของโบรกเกอร์: โบรกเกอร์ประเภท Market Maker มักจะเสนอ Fixed Spread หรือ Floating Spread ที่แข่งขันได้ ในขณะที่โบรกเกอร์ประเภท ECN/STP มักจะเสนอ Floating Spread ที่แคบมาก แต่จะมีการเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นแยกต่างหากต่อการซื้อขายแต่ละครั้ง ซึ่งโดยรวมแล้วอาจเป็นต้นทุนที่ต่ำกว่าสำหรับเทรดเดอร์ที่มีปริมาณการเทรดสูง
- นโยบายของโบรกเกอร์: บางโบรกเกอร์อาจมีโปรโมชั่นสเปรดต่ำสำหรับบัญชีบางประเภท หรือสำหรับลูกค้า VIP ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์ที่เลือกโบรกเกอร์อย่างรอบคอบ
การเลือก โบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ ที่มีสเปรดและค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและเงินทุนของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
Spread สูงและต่ำ: ผลกระทบและกลยุทธ์ในการจัดการ
สเปรดไม่เพียงแต่เป็นต้นทุน แต่ยังเป็นตัวบ่งชี้สภาวะตลาดและส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลลัพธ์การเทรดของคุณ การทำความเข้าใจว่าเมื่อใดสเปรดจะสูงหรือต่ำ และจะจัดการกับมันอย่างไร จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ทุกระดับ
เมื่อ Spread สูง: ผลกระทบและสิ่งที่ต้องพิจารณา
สเปรดที่สูงมักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ หรือมีความผันผวนสูงอย่างรุนแรง
- ต้นทุนการเทรดเพิ่มขึ้น: นี่คือผลกระทบที่ชัดเจนที่สุด ยิ่งสเปรดกว้างเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับโบรกเกอร์มากขึ้นเท่านั้น ทำให้การทำกำไรยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลยุทธ์ที่ต้องเข้าและออกตลาดบ่อยครั้ง เช่น Scalping
- การ Stop Loss อาจถูกกระตุ้นง่ายขึ้น: หากคุณตั้ง Stop Loss ไว้ใกล้กับราคาเข้า สเปรดที่ถ่างออกอาจทำให้ราคา Ask (สำหรับการซื้อ) หรือ Bid (สำหรับการขาย) แตะระดับ Stop Loss ของคุณได้เร็วกว่าที่คาดไว้ แม้ว่าราคาตลาดหลักจะยังไม่ไปถึงก็ตาม
- ไม่เหมาะกับการเทรดระยะสั้น: การเทรดแบบ Scalping หรือ Day Trading ที่มุ่งหวังกำไรเพียงไม่กี่ Pip จะแทบไม่สามารถทำกำไรได้เลยหากสเปรดสูง เพราะต้นทุนการเทรดจะกินส่วนต่างกำไรไปเกือบทั้งหมด
ถ้าคุณเทรดในช่วงที่สเปรดสูงจะเป็นอย่างไร?
หากคุณเข้าเทรดในช่วงที่สเปรดสูง คุณจะเริ่มต้นการเทรดด้วย “ติดลบ” ที่มากกว่าปกติ ตัวอย่างเช่น หากปกติสเปรด 1 Pip แต่ตอนนี้เป็น 5 Pips คุณจะเริ่มต้นด้วยการขาดทุน 5 Pips ทันทีที่เปิดสถานะ ซึ่งหมายความว่าราคาจะต้องเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คุณต้องการมากขึ้นถึง 5 Pips ก่อนที่คุณจะเริ่มทำกำไรได้จริง
เมื่อ Spread ต่ำ: ประโยชน์และสิ่งที่ต้องระวัง
สเปรดที่ต่ำมักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงและมีความผันผวนอยู่ในระดับปกติ
- ต้นทุนการเทรดลดลง: เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เทรดบ่อยครั้ง หรือมีกลยุทธ์ที่มุ่งหวังกำไรเล็กน้อย
- โอกาสทำกำไรสูงขึ้น: เนื่องจากต้นทุนเริ่มต้นที่ต่ำกว่า ทำให้สามารถทำกำไรได้ง่ายขึ้น แม้ราคาจะเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ตาม
- เหมาะกับการเทรดระยะสั้น: สเปรดต่ำเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ Scalping และ Day Trading ที่ต้องการความได้เปรียบสูงสุดจากทุกการเคลื่อนไหวของราคา
ถ้าคุณเลือกเทรดกับโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำจะเป็นอย่างไร?
การเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำ (Best low spread broker) จะช่วยให้คุณประหยัดต้นทุนในระยะยาวและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์ Scalping หรือเทรดบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาค่าคอมมิชชั่นอื่นๆ ด้วย หากเป็นบัญชี ECN/STP
เคล็ดลับในการจัดการ Spread เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเทรด
- เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม: เปรียบเทียบสเปรดของโบรกเกอร์หลายรายสำหรับคู่สกุลเงินที่คุณเทรดบ่อยที่สุด นอกจากนี้ ควรพิจารณาประเภทบัญชี (Standard, Raw Spread, ECN) ซึ่งแต่ละประเภทมีโครงสร้างสเปรดและค่าคอมมิชชั่นที่แตกต่างกัน
- หลีกเลี่ยงการเทรดช่วงข่าวสำคัญ (หากไม่ใช่กลยุทธ์ของคุณ): หากคุณไม่ใช่เทรดเดอร์ข่าว และไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากสเปรดที่ถ่างออกอย่างรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการเปิดสถานะหรือปิดสถานะในช่วงเวลาที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจที่มีผลกระทบสูง (ข่าวเศรษฐกิจ)
- เทรดในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูง: สเปรดมักจะแคบที่สุดในช่วงเวลาที่ตลาดสำคัญๆ ทับซ้อนกัน เช่น ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน (ช่วงเวลาเปิด-ปิดตลาด Forex)
- เลือกคู่สกุลเงินหลัก: หากคุณต้องการสเปรดที่ต่ำที่สุด ให้เน้นการเทรดคู่สกุลเงินหลักที่มีสภาพคล่องสูงและมีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด
- ใช้บัญชีประเภท Raw Spread / ECN (สำหรับเทรดเดอร์ขั้นสูง): โบรกเกอร์ประเภทนี้มักจะเสนอสเปรดที่ใกล้เคียงกับตลาดจริงมากที่สุด (Raw Spread) ซึ่งแคบกว่าบัญชี Standard มาก แต่จะมีการเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นต่อล็อตแทน เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีปริมาณการเทรดสูงและต้องการลดต้นทุนสเปรดให้ได้มากที่สุด
- ปรับขนาด Stop Loss ให้เหมาะสม: หากคุณจำเป็นต้องเทรดในช่วงที่สเปรดกว้าง ให้เผื่อระยะ Stop Loss ให้กว้างขึ้นเล็กน้อยเพื่อป้องกันการถูก Stop Out โดยไม่จำเป็น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Spread ในตลาด Forex (FAQ)
Q1: สเปรดที่ “ดี” ควรเป็นเท่าไหร่?
A1: สเปรดที่ “ดี” ขึ้นอยู่กับประเภทของคู่สกุลเงินและสไตล์การเทรดของคุณ สำหรับคู่สกุลเงินหลัก (Major Pairs) สเปรด 0.5 – 1.5 Pip ถือว่าดีเยี่ยมถึงดีมาก สำหรับคู่สกุลเงินรอง (Minor Pairs) อาจอยู่ที่ 1.5 – 3.0 Pips และสำหรับคู่สกุลเงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs) อาจสูงกว่า 5-10 Pips ขึ้นไป เทรดเดอร์ Scalping ต้องการสเปรดที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะที่เทรดเดอร์ระยะยาว (Swing/Position Trading) อาจไม่ได้รับผลกระทบจากสเปรดที่สูงขึ้นเล็กน้อยมากนัก สิ่งสำคัญคือการเปรียบเทียบสเปรดของโบรกเกอร์หลายๆ แห่งสำหรับคู่ที่คุณเทรดบ่อยๆ
Q2: ทำไมสเปรดถึงมีความสำคัญต่อเทรดเดอร์ Scalping มากกว่าเทรดเดอร์ระยะยาว?
A2: เทรดเดอร์ Scalping ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย (ไม่กี่ Pip) และเปิดปิดสถานะบ่อยครั้ง ดังนั้นทุกๆ Pip ของสเปรดจึงเป็นต้นทุนที่สำคัญและส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรขาดทุน หากสเปรดกว้าง การทำกำไรเพียง 5 Pips อาจหมายถึงการต้องให้ราคาวิ่ง 6 Pips เพื่อครอบคลุมสเปรด 1 Pip เทรดเดอร์ Scalping จึงต้องการสเปรดที่แคบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในทางกลับกัน เทรดเดอร์ระยะยาวที่ถือสถานะเป็นวันหรือสัปดาห์และมุ่งหวังกำไรหลายสิบหรือร้อย Pips จะได้รับผลกระทบจากสเปรดน้อยกว่ามาก
Q3: โบรกเกอร์จะทำกำไรจากสเปรดเพียงอย่างเดียวหรือไม่?
A3: ไม่เสมอไป โบรกเกอร์บางรายทำกำไรจากสเปรดเพียงอย่างเดียว (โดยเฉพาะโบรกเกอร์ประเภท Market Maker ที่เสนอ Fixed Spread) ในขณะที่โบรกเกอร์ ECN/STP มักจะเสนอสเปรดที่แคบมาก (Raw Spread) แต่จะเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นแยกต่างหากต่อล็อตที่เทรด นอกจากนี้ โบรกเกอร์อาจมีแหล่งรายได้อื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียม Swap (สำหรับสถานะที่ถือข้ามคืน) ค่าธรรมเนียมการถอนเงิน หรือค่าธรรมเนียมการบริการอื่นๆ
Q4: สามารถหลีกเลี่ยงสเปรดได้หรือไม่?
A4: ไม่ได้ สเปรดเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของการซื้อขายในตลาด Forex ไม่ว่าคุณจะเทรดกับโบรกเกอร์ใดก็ตาม อย่างไรก็ตาม คุณสามารถลดผลกระทบของสเปรดได้โดยการเลือกโบรกเกอร์และประเภทบัญชีที่มีสเปรดต่ำที่สุดสำหรับสไตล์การเทรดของคุณ การเทรดในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูง และหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจนสเปรดถ่างออกมากผิดปกติ
Q5: สเปรดที่สูงมากผิดปกติบ่งบอกอะไร?
A5: สเปรดที่สูงมากผิดปกติมักบ่งบอกถึงสภาวะตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำอย่างรุนแรง หรือมีความผันผวนสูงมากจากเหตุการณ์สำคัญ เช่น การประกาศข่าวเศรษฐกิจใหญ่ๆ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน (Black Swan Event) นอกจากนี้ อาจเป็นสัญญาณของโบรกเกอร์ที่ไม่มีประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อสภาพคล่อง หรือมีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่สูงกว่ามาตรฐาน หากสเปรดสูงมากจนเกินไปและคงอยู่นาน อาจเป็นสัญญาณเตือนให้คุณพิจารณาโบรกเกอร์หรือกลยุทธ์การเทรดของคุณใหม่
สรุป: ความเข้าใจสเปรดคือหัวใจสู่การเทรด Forex อย่างมีประสิทธิภาพ
สเปรดคือแนวคิดพื้นฐานแต่สำคัญอย่างยิ่งในโลกของการเทรด Forex มันไม่ใช่แค่ตัวเลขเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นต้นทุนโดยตรงในการทำธุรกรรม และยังเป็นดัชนีสะท้อนถึงสภาพคล่องและความผันผวนของตลาด การทำความเข้าใจความหมาย การคำนวณ ประเภท และปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสเปรด จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดในการเลือกโบรกเกอร์ วางแผนกลยุทธ์การเทรด และบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในฐานะเทรดเดอร์มืออาชีพ การให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น สเปรด จะนำไปสู่ผลลัพธ์การเทรดที่แตกต่างกันได้อย่างมหาศาล จงเลือกอย่างชาญฉลาด เทรดอย่างมีวินัย และทำกำไรอย่างยั่งยืน
_____________________________________
