TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

3 กลยุทธ์ระบบเทรดสั้น (Short-term Trading) ที่นักเทรดนิยมใช้มากที่สุด

พฤษภาคม 24, 2022

ถอดรหัส 3 กลยุทธ์ระบบเทรดสั้น (Short-term Trading) ยอดนิยม: สร้างโอกาสทำกำไรในตลาดที่ผันผวน

Introduction: ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวนอย่างรวดเร็ว การเทรดระยะสั้น (Short-term Trading) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนในระยะเวลาอันสั้น ด้วยลักษณะเด่นของการเปิดและปิดสถานะภายในกรอบเวลาที่จำกัด กลยุทธ์การเทรดสั้นจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะเรียนรู้ถึงรายละเอียดเชิงลึกและเทคนิคเฉพาะตัว บทความนี้จะเจาะลึก 3 กลยุทธ์ระบบเทรดสั้นที่นักลงทุนมืออาชีพนิยมใช้มากที่สุด ได้แก่ Scalping, Day Trading และ Swing Trading พร้อมทั้งอธิบายหลักการ ทำไมถึงได้รับความนิยม วิธีการนำไปใช้ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเคล็ดลับสำคัญในการประสบความสำเร็จ

กลยุทธ์ระบบเทรดสั้น

1. กลยุทธ์ Scalping: การล่ากำไรระยะสั้นในพริบตา

Scalping คืออะไร?

Scalping คือ กลยุทธ์การเทรดสั้นที่สุด โดยนักเทรด (หรือที่เรียกว่า Scalper) จะพยายามทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาเพียงเล็กน้อยภายในกรอบเวลาที่สั้นมาก อาจจะเพียงไม่กี่วินาทีไปจนถึงไม่กี่นาทีเท่านั้น หัวใจสำคัญของ Scalping คือการเข้าซื้อขายด้วยปริมาณมาก (Large Order Size) และจำนวนครั้งที่บ่อยครั้ง เพื่อสะสมกำไรเล็กๆ น้อยๆ ให้กลายเป็นผลตอบแทนรวมที่น่าพอใจ ตัวอย่างเช่น หากราคาของคู่สกุลเงิน EUR/USD เคลื่อนไหวขึ้นเพียง 5 pip Scalper อาจเปิดสถานะด้วยล็อตที่ใหญ่เพื่อจับกำไรจาก 5 pip นั้นแล้วปิดสถานะทันที

หลักการพื้นฐานของการเทรด Scalping

  • ความเร็วและความถี่: Scalper ต้องอาศัยความรวดเร็วในการตัดสินใจและการดำเนินการเป็นอย่างมาก เพื่อเข้า-ออกตลาดในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด การเปิดและปิดหลายสิบถึงหลายร้อยออเดอร์ต่อวันเป็นเรื่องปกติ
  • ปริมาณการซื้อขายสูง: เพื่อให้ได้กำไรที่คุ้มค่าจากการเปลี่ยนแปลงราคาเพียงเล็กน้อย นักเทรดจำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมากในการเปิดสถานะแต่ละครั้ง ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน
  • การวิเคราะห์ทางเทคนิค: Scalping แทบไม่ได้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานเลย แต่จะมุ่งเน้นไปที่ การวิเคราะห์กราฟราคา อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค และพฤติกรรมราคา (Price Action) อย่างใกล้ชิด เพื่อหาจุดเข้าและออกที่แม่นยำที่สุด (เรียนรู้กลยุทธ์ Scalping เพิ่มเติม)
  • การทำกำไรจากความผันผวน: กลยุทธ์นี้จะทำกำไรได้ดีในตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือในช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญที่ทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

ทำไม Scalping ถึงได้รับความนิยมและมีความเสี่ยงอย่างไร?

ข้อดีหลักคือ Scalper ไม่จำเป็นต้องติดตามข่าวสารปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคมากนัก ช่วยลดระยะเวลาในการเตรียมตัวเทรดและลดความเครียดจากการถือออเดอร์ข้ามวัน อย่างไรก็ตาม Scalping เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูงมาก หากไม่มีการบริหารจัดการเงินทุนและการตั้ง Stop Loss ที่ดี การเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยที่ผิดทางอาจนำไปสู่การขาดทุนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังต้องเผชิญกับค่าธรรมเนียม (Spread/Commission) ที่สูงกว่าเนื่องจากความถี่ในการเทรดที่มาก

ปัจจัยสำคัญในการทำ Scalping ให้ประสบความสำเร็จ

  • การวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสูง: ต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องแท่งเทียน รูปแบบกราฟ และการใช้อินดิเคเตอร์ต่างๆ เช่น Moving Average, RSI, Bollinger Bands เพื่อระบุแนวรับ-แนวต้าน และจุดกลับตัวในกรอบเวลาสั้นๆ เทคนิค Scalping ทองคำ 5 นาที
  • การจัดการเงินทุนและขนาดออเดอร์: ต้องกำหนดขนาดการลงทุนในแต่ละครั้งให้เหมาะสมกับเงินทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การใช้ Leverage สูงต้องมาพร้อมกับการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด
  • การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม: โบรกเกอร์ที่มีค่าสเปรดต่ำและมีความเร็วในการดำเนินการคำสั่งสูงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเทรด Scalping (เลือกโบรกเกอร์สเปรดต่ำสำหรับการ Scalping)
  • วินัยและการควบคุมอารมณ์: การตัดสินใจที่ผิดพลาดแม้เพียงครั้งเดียวอาจส่งผลกระทบรุนแรง ดังนั้น Scalper ต้องมีวินัยในการปฏิบัติตามแผนและควบคุมอารมณ์ให้ได้ในทุกสถานการณ์ (วินัยสำคัญในการเทรดสั้น)

Scalping เหมาะกับตราสารประเภทใด?

การเทรด Scalping เหมาะสำหรับตราสารที่มีสภาพคล่องสูงและมีความผันผวนระหว่างวันอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่สามารถทำกำไรได้บ่อยครั้ง

  • คู่เงิน Forex: คู่เงินหลัก (Major Pairs) เช่น EUR/USD, GBP/USD และคู่เงินที่เป็นกระแสในตลาด เป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงและสเปรดต่ำ
  • สินค้าโภคภัณฑ์: น้ำมันดิบ (WTI และ Brent) และทองคำ (Gold) เป็นสินทรัพย์ที่ Scalper นิยมใช้ เนื่องจากมักมีความผันผวนสูงในระหว่างวัน ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้หลายครั้ง กลยุทธ์เทรดทองสั้นสำหรับมือใหม่

Day Trading

2. กลยุทธ์ Day Trading: การซื้อขายจบในวันเดียว

Day Trading คืออะไร?

Day Trading หรือ การเทรดรายวัน เป็นกลยุทธ์การเทรดสั้นที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เนื่องจากนักเทรดจะทำการเปิดและปิดสถานะทั้งหมดภายในวันทำการซื้อขายเดียวกัน ก่อนตลาดจะปิดลง ทำให้ไม่มีการถือออเดอร์ข้ามคืน (Overnight Position) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดปิด และยังช่วยประหยัดค่าธรรมเนียมในการถือครอง (Swap Fee) อีกด้วย กลยุทธ์นี้มีความยืดหยุ่นกว่า Scalping เล็กน้อย แต่ก็ยังคงต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็วและการเฝ้าติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด

ความแตกต่างจาก Scalping และ Swing Trading

  • กรอบเวลา: Day Trading มีกรอบเวลาที่กว้างกว่า Scalping (หลายนาทีถึงหลายชั่วโมง) แต่แคบกว่า Swing Trading (หลายวันถึงหลายสัปดาห์)
  • ความถี่ในการเทรด: น้อยกว่า Scalping แต่มากกว่า Swing Trading
  • การวิเคราะห์: เน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคในกรอบเวลารายชั่วโมงเป็นหลัก แต่ก็อาจพิจารณาข่าวสารเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบในระยะสั้น

หลักการและแนวทางปฏิบัติในการ Day Trade

ในการ Day Trade นักเทรดจะต้องหมั่นวิเคราะห์กราฟราคาในกรอบเวลารายชั่วโมง (เช่น H1, M30) และจับตาดูความเคลื่อนไหวของแนวโน้มตลาด (Trend) อย่างใกล้ชิด เพื่อจับจังหวะในการเข้าซื้อขายสินทรัพย์ที่สนใจ

  • การวิเคราะห์แนวโน้มและการกลับตัว: มุ่งเน้นไปที่การระบุแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) หรือขาลง (Downtrend) และหาจุดเข้าที่เป็นไปได้เมื่อมีการย่อตัวหรือพักฐาน (เทคนิคการเทรดสั้น 1-5 นาที)
  • การใช้ราคา High และ Low ของวันก่อนหน้า: นักเทรดสามารถนำราคา High และ Low ของวันก่อนหน้ามาใช้วางแผนกลยุทธ์ในการเทรด ณ วันปัจจุบันได้ เช่น ใช้เป็นแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ
  • การบริหารความเสี่ยงและการปิดออเดอร์: หากแนวโน้มของตลาดไม่เป็นไปตามทิศทางที่คาดการณ์ไว้ นักเทรดต้องพร้อมที่จะปิดออเดอร์นั้นก่อนที่จะขาดทุนไปมากกว่าที่กำหนดไว้ สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการกำหนด Stop Loss ที่ชัดเจนในทุกการเทรด

Day Trading เหมาะกับตราสารประเภทใด?

Day Trading มีความยืดหยุ่นสูงมาก ทำให้สามารถนำไปใช้เทรดได้กับสินทรัพย์แทบทุกประเภทในทุกตลาดการเงิน

  • คู่เงิน Forex: คู่เงินหลักและคู่เงินรองที่มีสภาพคล่องสูงเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับการ Day Trade เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายมากและสเปรดที่แข่งขันได้
  • สินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำ น้ำมันดิบ และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนในระหว่างวันก็เป็นตัวเลือกที่ดี
  • หุ้นและดัชนี: Day Trading หุ้นก็เป็นที่นิยม โดยเฉพาะหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงและมีการเคลื่อนไหวราคาที่ชัดเจน

โดยรวมแล้ว Day Trading เป็นกลยุทธ์ที่อยู่ตรงกลางระหว่าง Scalping ที่เร็วจัดกับ Swing Trading ที่ยาวกว่าเล็กน้อย (เปรียบเทียบ Scalping กับ Day Trading)

Swing Trading

3. กลยุทธ์ Swing Trading: คว้ากำไรจากแนวโน้มระยะกลาง

Swing Trading คืออะไร?

Swing Trading เป็นกลยุทธ์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างการเทรดระยะสั้น (Day Trading/Scalping) และการเทรดระยะยาว (Position Trading) โดยนักเทรด Swing จะถือครองสถานะเป็นระยะเวลาตั้งแต่หลายวันไปจนถึงหลายสัปดาห์ เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เป็น “คลื่น” หรือ “สวิง” (Swing) ของตลาด หลักการสำคัญคือการระบุ จุด Swing High (จุดสูงสุดของคลื่น) และ Swing Low (จุดต่ำสุดของคลื่น) เพื่อคาดการณ์และหาจังหวะในการซื้อขายสินทรัพย์ต่างๆ

แนวคิด Swing High และ Swing Low

Swing High คือจุดที่ราคาสูงสุดก่อนที่จะเริ่มปรับตัวลง ส่วน Swing Low คือจุดที่ราคาต่ำสุดก่อนที่จะเริ่มปรับตัวขึ้น นักเทรด Swing จะใช้จุดเหล่านี้ในการระบุแนวโน้มและหาจุดเข้า-ออกที่เหมาะสม เพื่อจับ “คลื่น” ของราคา ตัวอย่างเช่น หากราคาทำ Swing Low และเริ่มปรับตัวขึ้น นักเทรดอาจเข้าซื้อเพื่อหวังทำกำไรเมื่อราคาถึง Swing High ถัดไป (เรียนรู้ Swing Point Trading เพิ่มเติม)

หลักการสำคัญในการทำ Swing Trading

การจะเทรด Swing ให้สำเร็จได้นั้น นักเทรดจะต้องเรียนรู้ที่จะวางแผนและคาดการณ์ตลาดล่วงหน้าอย่างรอบคอบ ซึ่งแตกต่างจากการ Scalping และ Day Trading ที่เน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก

  • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค: นักเทรด Swing จำเป็นต้องให้ความสำคัญทั้งสองปัจจัย การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะช่วยให้เข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจและทิศทางใหญ่ของสินทรัพย์นั้นๆ ในขณะที่การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยในการจับจังหวะเข้า-ออกที่แม่นยำขึ้น การพิจารณาข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญที่อาจส่งผลกระทบในระยะกลางก็เป็นสิ่งจำเป็น
  • การคาดการณ์โมเมนตัมราคา: นักเทรดต้องเฝ้าติดตามและคาดการณ์โมเมนตัมของราคาล่วงหน้า เพื่อเตรียมตัวตั้งออเดอร์ในจังหวะที่เหมาะสม
  • การวางแผนล่วงหน้าและการบริหารความเสี่ยง: เนื่องจากเป็นการถือออเดอร์หลายวันถึงหลายสัปดาห์ การวางแผนล่วงหน้าในเรื่องของ Take Profit และ Stop Loss รวมถึงการบริหารขนาด Position Size จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดไว้

Swing Trading เหมาะกับตราสารประเภทใด?

Swing Trading เหมาะกับตราสารที่มีแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนและมีสภาพคล่องที่ดี

  • หุ้น: หุ้นที่มีพื้นฐานดีและมีการเคลื่อนไหวเป็นรอบชัดเจน
  • คู่เงิน Forex: คู่เงินหลักและคู่เงินรองที่มีแนวโน้มชัดเจน
  • สินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำและน้ำมันที่มักมีแนวโน้มระยะกลางที่จับต้องได้
  • คริปโตเคอร์เรนซี: สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนสูงและมีแนวโน้มระยะกลางที่น่าสนใจ

ตารางเปรียบเทียบกลยุทธ์ระบบเทรดสั้นยอดนิยม

กลยุทธ์ กรอบเวลาการถือครอง ความถี่ในการเทรด ปัจจัยวิเคราะห์หลัก ความเสี่ยง เงินทุนที่เหมาะสม ตราสารที่นิยม
Scalping ไม่กี่วินาที – ไม่กี่นาที สูงมาก เทคนิค (Price Action, Volume) สูงมาก สูง (ออเดอร์ใหญ่) Forex (Major Pairs), ทองคำ, น้ำมัน
Day Trading ไม่กี่นาที – หลายชั่วโมง (ปิดก่อนตลาดปิด) สูง เทคนิค (กราฟรายชั่วโมง, แนวโน้มรายวัน) ปานกลางถึงสูง ปานกลางถึงสูง ทุกประเภท, นิยม Forex, สินค้าโภคภัณฑ์, หุ้น
Swing Trading หลายวัน – หลายสัปดาห์ ปานกลาง เทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน ปานกลาง ปานกลางถึงสูง หุ้น, Forex, สินค้าโภคภัณฑ์, คริปโต

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จในการเทรดสั้น

  • การศึกษาและทำความเข้าใจตลาด: ก่อนที่จะเริ่มเทรดจริง การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตลาด สินทรัพย์ที่ต้องการเทรด และกลยุทธ์ต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
  • การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม: โบรกเกอร์ที่ดีควรมีสเปรดที่แข่งขันได้ ความเร็วในการดำเนินการคำสั่งสูง และมีแพลตฟอร์มที่เสถียร
  • การบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด: กำหนด Stop Loss และ Take Profit ในทุกการเทรด และจำกัดขนาด Position Size ให้เหมาะสมกับเงินทุน (กลยุทธ์บริหารความเสี่ยง)
  • การมีวินัยและจิตวิทยาการเทรด: ควบคุมอารมณ์ ไม่โลภ ไม่กลัว และปฏิบัติตามแผนการเทรดที่วางไว้อย่างเคร่งครัด (สร้างวินัยเทรด)
  • การใช้เครื่องมือและระบบเทรดอัตโนมัติ (EA): สำหรับนักเทรดบางท่าน การใช้ Expert Advisor (EA) หรือระบบเทรดอัตโนมัติ (แจกฟรี!ระบบเทรดอัตโนมัติ) สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด โดยเฉพาะในกลยุทธ์ที่ต้องการความรวดเร็วและความแม่นยำสูง (รีวิววิธีเลือก EA เทรดสั้น)
  • เริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง: มือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อฝึกฝนและทำความเข้าใจกลยุทธ์ต่างๆ โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน ทำไมมือใหม่ควรใช้บัญชีทดลอง

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับระบบเทรดสั้น

Q1: การเทรดสั้นเหมาะกับมือใหม่หรือไม่?

A1: การเทรดสั้น โดยเฉพาะ Scalping และ Day Trading นั้นมีความท้าทายสูงมาก เนื่องจากต้องการประสบการณ์ การตัดสินใจที่รวดเร็ว และการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด หากเป็นมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาอย่างละเอียด ฝึกฝนกับบัญชีทดลอง (ทำความเข้าใจบัญชี Demo) เพื่อสร้างความคุ้นเคย และอาจพิจารณา Swing Trading ที่มีกรอบเวลาที่ยาวกว่าเล็กน้อยซึ่งช่วยให้มีเวลาวิเคราะห์มากขึ้น

Q2: ควรใช้ Timeframe ใดในการเทรดแต่ละกลยุทธ์?

A2: สำหรับ Scalping นิยมใช้ Timeframe ที่สั้นมาก เช่น M1 (1 นาที), M5 (5 นาที) (เทคนิคเทรดสั้น 1-5 นาที) Day Trading มักใช้ Timeframe เช่น M15, M30, H1 (1 ชั่วโมง) ในขณะที่ Swing Trading ใช้ Timeframe ที่ยาวขึ้น เช่น H4 (4 ชั่วโมง), D1 (รายวัน) เป็นหลัก เพื่อจับแนวโน้มที่ใหญ่ขึ้น

Q3: ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการเทรดสั้น?

A3: ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ความผันผวนของตลาด (Volatility), สภาพคล่องของสินทรัพย์ (Liquidity), การประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญที่ออกมาระหว่างวัน, และค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Spread/Commission) ของโบรกเกอร์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อโอกาสในการทำกำไรและความเสี่ยงของการเทรดสั้น

Q4: การใช้ EA ช่วยในการเทรดสั้นได้จริงหรือ?

A4: EA หรือ Expert Advisor (ระบบเทรดอัตโนมัติ) สามารถช่วยให้การเทรดสั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างแน่นอน เนื่องจาก EA สามารถเข้า-ออกออเดอร์ได้อย่างรวดเร็วตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้โดยปราศจากอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในการเทรดสั้น อย่างไรก็ตาม การเลือก EA ที่มีประสิทธิภาพและได้รับการทดสอบอย่างดีเป็นสิ่งสำคัญมาก

Q5: ควรบริหารความเสี่ยงในการเทรดสั้นอย่างไร?

A5: การบริหารความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดสั้น ควรเริ่มต้นด้วยการกำหนด Stop Loss ที่ชัดเจนในทุกการเทรด (ทำความเข้าใจ Stop Loss) เพื่อจำกัดการขาดทุน นอกจากนี้ ควรจำกัดขนาด Position Size ให้เหมาะสมกับเงินทุน เพื่อไม่ให้เสี่ยงมากเกินไปในแต่ละครั้ง และไม่ควรโลภหรือหวังกำไรเกินจริง

Conclusion: สรุปและแนวทางสู่ความสำเร็จในการเทรดสั้น

กลยุทธ์ระบบเทรดสั้นทั้ง Scalping, Day Trading และ Swing Trading ล้วนนำเสนอโอกาสในการสร้างผลกำไรที่น่าสนใจในตลาดการเงินที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม แต่ละกลยุทธ์ก็มีลักษณะเฉพาะตัว ข้อดี ข้อเสีย และระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรด ความรู้ และความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ไม่ว่าท่านจะเลือกกลยุทธ์ใดก็ตาม หัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรดสั้นคือการศึกษาและทำความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ การวางแผนการเทรดที่ชัดเจน การบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด และการมีวินัยในการปฏิบัติตามแผน สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จและสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนในระยะยาว

หากท่านเป็นผู้ที่พร้อมจะศึกษาและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง การเทรดสั้นเหล่านี้สามารถเป็นเส้นทางสร้างกำไรที่น่าสนใจได้ อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

ฟรี!ระบบเทรด

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการใช้ EA indicator และเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี

มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย:

เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงก์ด้านล่าง ก็สามารถรับ EA ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆ อื่นๆ ได้อีกในอนาคต

  • XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
    https://bit.ly/XmFree30USD
  • Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
    https://bit.ly/MTRatsamee
  • Exness – โบรคเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด
    https://bit.ly/ExnessCom

”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อขอรับ EA ได้ฟรี!”

ช่องทางการพูดคุย:

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line