TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

Scalping กับ Day Trading คืออะไร?

กันยายน 14, 2022

Scalping vs. Day Trading: กลยุทธ์การเทรด Forex ระยะสั้นที่แตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนเหมาะสมกับคุณ?

ในโลกของการเทรด Forex ที่เต็มไปด้วยความผันผวนและโอกาส การเลือกกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมกับสไตล์และความเสี่ยงที่ยอมรับได้นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่ชื่นชอบการทำกำไรในระยะเวลาอันสั้น กลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงคือ Scalping และ Day Trading แม้ทั้งสองรูปแบบจะมุ่งเน้นการเปิดและปิดสถานะภายในวันเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในด้านกรอบเวลา (Timeframe) การใช้เลเวอเรจ (Leverage) และความเร็วในการดำเนินการคำสั่ง (Order Execution Time) ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์และประสบการณ์การเทรดอย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะเจาะลึกความแตกต่างของทั้งสองกลยุทธ์ เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การซื้อขายแบบ Scalping: การทำกำไรจากความผันผวนเล็กน้อยในพริบตา

Scalping คือหนึ่งในกลยุทธ์การเทรด ระยะสั้น ที่เร็วที่สุดในตลาด Forex โดยเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์นี้จะถูกเรียกว่า “Scalper” หัวใจหลักของ Scalping คือการเปิดและปิดสถานะการซื้อขายภายในเวลาไม่กี่วินาทีหรือนาที เพื่อทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กน้อยมาก ตัวอย่างเช่น การเปิดและปิดสถานะเพื่อทำกำไรเพียง 2-3 pips ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง ด้วยการทำเช่นนี้ Scalper จะเปิดสถานะจำนวนมากตลอดทั้งวัน โดยมีเป้าหมายในการสะสมกำไรเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้กลายเป็นผลตอบแทนรวมที่สูงขึ้นในท้ายที่สุด

ลักษณะสำคัญของ Scalping ที่ต้องรู้:

  • กรอบเวลา (Timeframe) ที่สั้นมาก: Scalping จะใช้กรอบเวลาที่สั้นกว่า 5 นาที ซึ่งอาจรวมถึงกราฟ 1 นาที หรือ 3 นาที เพื่อจับสัญญาณการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงต้องแม่นยำและรวดเร็ว
  • ความถี่ในการซื้อขายสูง: Scalper จะทำการซื้อขายบ่อยครั้งมากในหนึ่งวัน บางครั้งอาจถึงหลายร้อยครั้ง เพื่อคว้าโอกาสจากความผันผวนของราคาในแต่ละช่วงเวลา
  • กำไรต่อการเทรดน้อย: เป้าหมายคือกำไรเพียง 1-5 pips ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง แต่เมื่อรวมกันหลายๆ ครั้งก็จะกลายเป็นผลกำไรที่น่าพอใจ
  • ความเสี่ยงที่สูงหากขาดการจัดการที่ดี: แม้กำไรจะน้อยแต่ความถี่สูง ทำให้การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญมาก หากมีการขาดทุนต่อเนื่องเพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบต่อบัญชีอย่างรุนแรงได้

ข้อจำกัดและปัจจัยสำคัญสำหรับการทำ Scalping:

การทำ Scalping ไม่ใช่เรื่องง่ายและมีข้อจำกัดที่เทรดเดอร์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ:

  1. คู่สกุลเงินหลัก (Major Currency Pairs) และสเปรดที่แคบ: Scalper ควรเลือกเทรดเฉพาะคู่สกุลเงินหลัก เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY ที่มีสภาพคล่องสูงและมีค่า สเปรด (Spread) ที่แคบมาก ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask) สเปรดที่กว้างจะทำให้การทำกำไรเพียง 2-3 pips เป็นไปได้ยากหรือขาดทุนได้ง่าย หากสเปรดกินส่วนแบ่งกำไรไปมาก ผมขอแนะนำโบรกเกอร์ที่มีบัญชีสเปรดเป็นศูนย์ (Zero Spread Account) ซึ่งเหมาะสำหรับนักเก็งกำไรโดยเฉพาะ
  2. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียรและรวดเร็ว: ความล่าช้าในการดำเนินการคำสั่งเพียงเสี้ยววินาที (Latency) สามารถเปลี่ยนการเทรดที่ควรจะชนะให้กลายเป็นการขาดทุนได้ทันที เนื่องจาก Scalping อาศัยการเข้าออกที่รวดเร็วอย่างยิ่ง ดังนั้น การมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและมีค่า Ping ต่ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุด
  3. เลเวอเรจสูง: เพื่อให้สามารถทำกำไรจากจำนวน pips ที่น้อยได้ Scalper มักจะใช้ เลเวอเรจ (Leverage) ที่สูงมาก เช่น 1:1000 หรือ 1:2000 เพื่อเพิ่มขนาดล็อต (Lot Size) ของการซื้อขายให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะทำให้มูลค่าของ 1 pip เพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงอย่างมหาศาลเช่นกัน
  4. วินัยและสภาวะจิตใจ: Scalping ต้องการวินัยที่เข้มงวดและการควบคุมอารมณ์ที่ดีเยี่ยม การตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำภายใต้สถานการณ์ที่มีความกดดันสูงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง จิตวิทยาการเทรด จึงมีผลอย่างมากต่อความสำเร็จ

โดยสรุปแล้ว แม้หลายคนจะมองว่า Scalping เป็นรูปแบบการเทรดที่เสี่ยงที่สุด แต่ผมเชื่อว่าความเสี่ยงนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณเสมอ หากคุณมีความรู้ความเข้าใจ มีวินัย และมีเครื่องมือที่เหมาะสม

Day Trading: การทำกำไรภายในวันเดียวด้วยกรอบเวลาที่ยืดหยุ่นกว่า

Day Trading เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ Scalping แต่มีกรอบเวลาที่ยืดหยุ่นกว่า โดย Day Trader จะเปิดสถานะการซื้อขายเมื่อเริ่มต้นวันและปิดสถานะทั้งหมดก่อนการปิดของแท่งเทียนรายวัน (Daily Candlestick Close) ไม่ว่าการเทรดนั้นจะได้กำไรหรือขาดทุนก็ตาม หลักการสำคัญของ Day Trading คือการไม่เปิดสถานะข้ามคืน (Overnight Position) เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในตลาดเมื่อตลาดปิดทำการ หรือช่วงที่มีการปรับสเปรด

เหตุผลที่ Day Trader ไม่เปิดสถานะข้ามคืน:

Day Trader มีเหตุผลสำคัญในการปิดสถานะทั้งหมดก่อนสิ้นวัน ดังนี้:

  • การเพิ่มขึ้นของสเปรด (Spread Widening): เมื่อตลาดปิดทำการ โดยเฉพาะช่วงเย็นถึงเช้าของวันถัดไป ค่าสเปรดของโบรกเกอร์มักจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากปกติ 2-3 pip อาจพุ่งสูงถึง 8-15 pip (ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์) สำหรับ Day Trader ที่มักจะตั้ง Stop Loss (SL) หรือจุดตัดขาดทุนที่ค่อนข้างแคบ การที่สเปรดถ่างออกอาจทำให้สถานะถูกปิดโดยอัตโนมัติ (Stop Out) เนื่องจากราคาไปแตะ SL โดยที่กราฟไม่ได้เคลื่อนไหวตามเทรนด์ที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดการขาดทุนที่ไม่จำเป็น
  • ความเสี่ยงจากข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญ: ในช่วงที่ตลาดปิด เทรดเดอร์ไม่มีความสามารถในการตอบสนองต่อข่าวเศรษฐกิจสำคัญ หรือเหตุการณ์ทางการเมืองที่ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างรุนแรงเมื่อตลาดเปิดทำการอีกครั้ง การถือสถานะข้ามคืนจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับ Gap ของราคา (Price Gap) ทำให้เกิดการขาดทุนจำนวนมากได้

ข้อควรพิจารณาสำหรับ Day Trading:

  • เวลาในการวิเคราะห์และเฝ้าดูสถานะ: Day Trading เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาในการเฝ้าติดตามตลาดและวิเคราะห์สถานะตลอดทั้งวันทำการ หากคุณมีข้อจำกัดด้านเวลาหรือไม่สามารถวิเคราะห์สถานะได้อย่างต่อเนื่อง การเทรดแบบ Day Trading อาจไม่เหมาะสมกับคุณ คุณอาจจะเหมาะกับกลยุทธ์ที่ใช้กรอบเวลาที่ยาวขึ้นอย่าง Swing Trading มากกว่า
  • กรอบเวลาที่ใช้: Day Trader มักจะใช้กรอบเวลาที่ยาวกว่า Scalper เช่น กราฟ 15 นาที, 30 นาที, หรือ 1 ชั่วโมง เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและตัดสินใจเข้าออกสถานะ
  • การบริหารความเสี่ยง: แม้จะไม่เสี่ยงเท่า Scalping แต่การบริหารความเสี่ยงก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ Day Trader ควรมีการวางแผนการเทรดที่ชัดเจน รวมถึงการกำหนด Stop Loss และ Take Profit (TP) ที่เหมาะสม

Day Trading เป็นกลยุทธ์ที่ให้ความสมดุลระหว่างโอกาสในการทำกำไรและระดับความเสี่ยงที่สามารถจัดการได้ดีกว่า Scalping เล็กน้อย หากคุณมีเวลาและความสามารถในการวิเคราะห์ตลาดอย่างสม่ำเสมอในระหว่างวัน Day Trading อาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ

Scalping vs. Day Trading: ความแตกต่างเชิงลึกที่ส่งผลต่อกลยุทธ์

แม้ทั้ง Scalping และ Day Trading จะเป็นการเทรดภายในวันเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในหลายด้าน ซึ่งส่งผลต่อแนวทางการตัดสินใจและสไตล์การเทรดของนักลงทุนอย่างชัดเจน

1. กรอบเวลา (Timeframe)

ความแตกต่างของกรอบเวลาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่แยก Scalping ออกจาก Day Trading

  • Scalping: Scalper จะซื้อขายในกรอบเวลาที่สั้นมาก ตั้งแต่วินาทีไปจนถึงไม่กี่นาที เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น Scalper มักจะใช้กราฟที่มีกรอบเวลาต่ำกว่า 5 นาที เช่น กราฟ 1 นาที, 3 นาที หรือ 5 นาที เท่านั้น การวิเคราะห์และการตัดสินใจต้องทำอย่างรวดเร็วและแม่นยำที่สุด เพื่อจับการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กที่สุด
  • Day Trading: ในทางตรงกันข้าม Day Trader จะทำการซื้อขายในช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า ตั้งแต่ไม่กี่นาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจใช้กราฟ 15 นาที, 30 นาที, หรือ 1 ชั่วโมง เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและจุดเข้าออก ซึ่งช่วยให้มีเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ทั้ง Scalper และ Day Trader มีจุดร่วมคือการปิดสถานะทั้งหมดก่อนการปิดตลาดในแต่ละวัน

2. เลเวอเรจ (Leverage)

การใช้เลเวอเรจมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลกำไรของทั้งสองกลยุทธ์ แต่มีความแตกต่างในระดับที่แนะนำ

  • Scalping: สำหรับการทำ Scalping คุณจำเป็นต้องมีบัญชีที่มีเลเวอเรจสูงมาก เพื่อให้สามารถสร้างกำไรที่จับต้องได้จากจำนวน pips ที่น้อยนิด เนื่องจากขนาดล็อต (Lot Size) จะต้องเพิ่มขึ้นเมื่อจำนวน pips ที่คาดหวังลดลง ตัวอย่างเช่น เลเวอเรจ 1:1000 หรือ 1:2000 เป็นขนาดที่เหมาะสมสำหรับนักเก็งกำไรที่ต้องการใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการเปิดสถานะเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรต่อจุด
  • Day Trading: สำหรับการซื้อขายรายวัน คุณสามารถใช้ขนาดเลเวอเรจปานกลาง เช่น 1:100 ถึง 1:500 ซึ่งเป็นระดับที่ช่วยเพิ่มอำนาจในการซื้อขายโดยไม่เพิ่มความเสี่ยงมากจนเกินไปเมื่อเทียบกับ Scalping เนื่องจาก Day Trader ตั้งเป้าหมายกำไรต่อการเทรดที่มากกว่า Scalper จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเลเวอเรจที่สูงมากขนาดนั้น

3. เวลาดำเนินการสั่งซื้อ (Order Execution Time)

ความเร็วในการดำเนินการคำสั่งเป็นปัจจัยชี้ขาดในการทำ Scalping

  • Scalping: ในการทำ Scalping คุณไม่สามารถประนีประนอมกับเวลาในการดำเนินการคำสั่งได้เลยแม้แต่น้อย คุณต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตคุณภาพสูงที่มีค่า Ping ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดระยะเวลาในการส่งคำสั่งและรับการยืนยัน ความล่าช้าเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลให้ราคาที่คาดหวังเคลื่อนที่ไปแล้ว ทำให้คุณพลาดโอกาสในการทำกำไร หรือแม้กระทั่งขาดทุนได้ Slippage (ความคลาดเคลื่อนของราคา) ก็เป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างมาก
  • Day Trading: สำหรับการซื้อขายรายวัน ความล่าช้าในการดำเนินการคำสั่งอาจถูกลดทอนความสำคัญลงได้บ้าง เนื่องจากกรอบเวลาที่สูงขึ้นและขนาดล็อตที่อาจจะเล็กกว่าเมื่อเทียบกับ Scalping ทำให้มีพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหวของราคาเล็กน้อยโดยไม่ส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์อย่างมีนัยสำคัญมากนัก แต่ก็ยังคงแนะนำให้มีระบบการเทรดที่มีประสิทธิภาพ

ตารางเปรียบเทียบ Scalping และ Day Trading

เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ผมได้สรุปความแตกต่างของทั้งสองกลยุทธ์ในรูปแบบตาราง:

คุณสมบัติ Scalping Day Trading
กรอบเวลา วินาทีถึงไม่กี่นาที (ต่ำกว่า 5 นาที) นาทีถึงหลายชั่วโมง (15 นาที, 30 นาที, 1 ชั่วโมง)
ความถี่การเทรด สูงมาก (หลายสิบถึงหลายร้อยครั้งต่อวัน) ปานกลาง (หลายครั้งถึงสิบกว่าครั้งต่อวัน)
กำไรต่อการเทรด น้อย (2-5 pips) ปานกลาง (10-50 pips ขึ้นอยู่กับคู่เงิน)
เลเวอเรจที่ใช้ สูงมาก (1:1000 หรือ 1:2000) ปานกลาง (1:100 ถึง 1:500)
ความเร็วอินเทอร์เน็ต สำคัญที่สุด (ต้องเสถียรและเร็วมาก) สำคัญ (แต่มีความยืดหยุ่นกว่า Scalping)
คู่สกุลเงินที่แนะนำ คู่เงินหลัก (Major Pairs) ที่มีสเปรดแคบ คู่เงินหลักและรอง (Major & Minor Pairs)
ความต้องการเวลาติดตาม ต้องเฝ้าหน้าจอเกือบตลอดเวลา ต้องเฝ้าหน้าจอเป็นระยะและวิเคราะห์สม่ำเสมอ
วินัยและจิตวิทยา สูงมาก ต้องควบคุมอารมณ์ได้ดีเยี่ยม สูง ต้องมีการวางแผนและการควบคุมอารมณ์

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเทรด Scalping และ Day Trading

Q1: การทำ Scalping เหมาะกับมือใหม่หรือไม่?

คำตอบ: โดยทั่วไปแล้ว การทำ Scalping ไม่ค่อยเหมาะกับมือใหม่มากนัก เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ที่ต้องอาศัยประสบการณ์ ความเร็วในการตัดสินใจ วินัยที่สูงมาก และการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด หากมือใหม่ยังไม่มีพื้นฐานที่ดีพอ อาจจะทำให้เกิดการขาดทุนได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หากมือใหม่มีความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และฝึกฝนอย่างหนัก รวมถึงเริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อสร้างความคุ้นเคยและเข้าใจถึงความเสี่ยง ก็สามารถเริ่มต้นศึกษาได้ แต่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ

Q2: ควรใช้ Indicator ตัวไหนบ้างในการทำ Scalping หรือ Day Trading?

คำตอบ: สำหรับ Scalping และ Day Trading มี Indicator หลายตัวที่ได้รับความนิยม:

  • Scalping: มักจะใช้อินดิเคเตอร์ที่แสดงโมเมนตัมและความผันผวนของราคาอย่างรวดเร็ว เช่น Stochastic Oscillator, Relative Strength Index (RSI), Moving Average (MA) แบบ Exponential (EMA) ที่มีช่วงสั้นๆ และ Bollinger Bands เพื่อระบุจุดเข้าออกที่แม่นยำในกรอบเวลาที่สั้นที่สุด กลยุทธ์ Scalping มักจะผสมผสาน Indicator หลายตัวเข้าด้วยกัน
  • Day Trading: สามารถใช้อินดิเคเตอร์ได้หลากหลายกว่า เช่น Moving Average Convergence Divergence (MACD), Moving Averages (MA) สำหรับระบุแนวโน้ม, Volume เพื่อยืนยันการเคลื่อนไหว, และ Fibonacci Retracement สำหรับหาแนวรับแนวต้าน การใช้อินดิเคเตอร์หลายตัวร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ

Q3: โบรกเกอร์แบบไหนที่เหมาะกับ Scalping และ Day Trading?

คำตอบ: โบรกเกอร์ที่เหมาะกับการเทรดทั้งสองรูปแบบ ควรมีคุณสมบัติดังนี้:

  • สเปรดต่ำมาก (Low Spread): โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Scalping โบรกเกอร์ที่มีบัญชี ECN/Raw Spread หรือ Zero Spread จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
  • ความเร็วในการดำเนินการคำสั่ง (Execution Speed) สูง: โบรกเกอร์ที่มีเซิร์ฟเวอร์ที่รวดเร็วและมี Slippage ต่ำเป็นสิ่งสำคัญ
  • ไม่มีข้อจำกัดในการเทรด Scalping: บางโบรกเกอร์อาจมีข้อจำกัดหรือนโยบายที่ไม่สนับสนุนการ Scalping ควรตรวจสอบเงื่อนไขของโบรกเกอร์ให้ดีก่อนตัดสินใจ
  • เลเวอเรจที่ยืดหยุ่น: ควรมีตัวเลือกเลเวอเรจที่หลากหลาย เพื่อให้เทรดเดอร์สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมกับกลยุทธ์ของตนเอง

ตัวอย่างโบรกเกอร์ที่อาจพิจารณา ได้แก่ Exness (มีบัญชี Zero), IC Markets (มีบัญชี Raw Spread) หรือ XM (มีเลเวอเรจสูง) ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรด Scalping และ Day Trading

Q4: ความเสี่ยงสูงสุดของ Scalping และ Day Trading คืออะไร?

คำตอบ:

  • Scalping: ความเสี่ยงสูงสุดคือการควบคุมอารมณ์ไม่ได้และการจัดการความเสี่ยงที่บกพร่อง เนื่องจากเป็นการเทรดที่มีความถี่สูง หากเกิดการตัดสินใจผิดพลาดเพียงไม่กี่ครั้งหรือปล่อยให้การขาดทุนเล็กน้อยสะสม ก็อาจทำให้บัญชีเสียหายอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ Slippage และ Spread ที่ถ่างออกอย่างกะทันหันก็เป็นความเสี่ยงสำคัญ
  • Day Trading: ความเสี่ยงหลักคือการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรุนแรงในช่วงเวลาที่ไม่ได้เฝ้าหน้าจอ รวมถึงความเสี่ยงจากข่าวสารที่ออกมาระหว่างวันและส่งผลกระทบต่อแนวโน้มตลาดอย่างฉับพลัน หากไม่มีการตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสม หรือยึดติดกับสถานะที่ขาดทุน ก็อาจทำให้เกิดการขาดทุนจำนวนมากได้

สรุป: เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับคุณ

การเลือกรูปแบบการซื้อขายที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น Scalping หรือ Day Trading ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ กรอบเวลาที่ถนัด ความสามารถในการใช้เลเวอเรจ ความเร็วในการดำเนินการคำสั่ง และที่สำคัญที่สุดคือ อารมณ์และสภาวะจิตใจในการเทรด ของคุณ

ทั้ง Scalping และ Day Trading ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป และไม่มีรูปแบบใดที่ “ดีที่สุด” เพียงอย่างเดียว การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับคุณคือการพิจารณาจาก:

  1. สไตล์การเทรดส่วนตัว: คุณเป็นคนชอบความรวดเร็ว ตื่นเต้น และสามารถตัดสินใจภายใต้แรงกดดันได้ดีหรือไม่? หรือคุณชอบการวิเคราะห์ที่มีเวลาคิดและตัดสินใจมากขึ้น?
  2. เวลาที่สามารถทุ่มเทให้กับการเทรด: คุณมีเวลาเฝ้าหน้าจอเกือบตลอดเวลา หรือมีเวลาเป็นช่วงๆ ในระหว่างวัน?
  3. ความเสี่ยงที่ยอมรับได้: คุณสามารถรับมือกับการขาดทุนเล็กน้อยแต่บ่อยครั้งได้หรือไม่? หรือคุณสามารถรับมือกับการขาดทุนที่อาจจะมากกว่าในแต่ละครั้ง แต่มีความถี่น้อยกว่า?
  4. ประสบการณ์และความรู้: คุณมีประสบการณ์ในการเทรดมากน้อยแค่ไหน และมีความเข้าใจในเครื่องมือทางเทคนิคต่างๆ ดีเพียงใด?

จงจำไว้ว่า กฎเหล็กของการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จคือ การทำความเข้าใจตนเองและเลือกกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับบุคลิกภาพและความสามารถของคุณ ไม่มีกลยุทธ์ใดสมบูรณ์แบบ หากคุณเลือกรูปแบบที่เข้ากับจริตและสามารถปฏิบัติตามวินัยได้อย่างเคร่งครัด ความสำเร็จในการเทรดก็จะไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม

คำแนะนำ: สำหรับผู้เริ่มต้น ควรทดลองกลยุทธ์ทั้งสองรูปแบบใน บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อทำความเข้าใจและค้นหาว่าสไตล์ใดที่เหมาะกับคุณมากที่สุด ก่อนที่จะนำเงินจริงเข้าสู่ตลาด


_______________________________________

สำหรับพี่ๆที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA เปิดบัญชีคลิกที่ลิงค์
ส่งเลข MT4 รับลิงค์ได้เลย
________________________________________________
 👍สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
XM มีโบนัสสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่ $30 และมีโบนัสเงินฝาก
Exness สมัครง่ายฝากถอนเร็ว
GMI เทรดดีไม่มีสะดุด ฟรี Free Swap ทุกบัญชี
https://bit.ly/GMI-TH
________________________________________________
 ♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่📱https://bit.ly/MTRatsamee
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–
ติดตามเราได้ที่
✉️LINE: @ft.th ( https://lin.ee/u0dwlLM )
🎬Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________

You Might Also Like