Retest คืออะไรในตลาด Forex? เจาะลึกกลยุทธ์การเทรดที่ปลอดภัยและเพิ่มโอกาสทำกำไรสูงสุด
ในโลกของการซื้อขาย Forex ที่เต็มไปด้วยความผันผวน การทำความเข้าใจพฤติกรรมราคาเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดเรื่อง “Retest” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ราคาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและเป็นกุญแจสำคัญในการยืนยันแนวโน้มและจุดเข้าออกการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของ Retest ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน รูปแบบต่างๆ เหตุผลที่เกิดขึ้น ไปจนถึงกลยุทธ์การนำไปใช้จริงพร้อมสัญญาณยืนยันจากแท่งเทียน เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมั่นใจและลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด
Retest คืออะไรในตลาด Forex? การทำความเข้าใจพื้นฐานเพื่อการเทรดที่มั่นคง
Retest หรือการทดสอบซ้ำ คือกระบวนการที่ราคาของสินทรัพย์ทางการเงินย้อนกลับไปทดสอบระดับราคาสำคัญที่เคยถูกทะลุผ่านไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น แนวรับ (Support) หรือ แนวต้าน (Resistance) รวมถึงจุดสูงสุด (High) หรือจุดต่ำสุด (Low) ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ทำไมถึงเกิด Retest? เบื้องหลังจิตวิทยาตลาด
ปรากฏการณ์ Retest ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีพื้นฐานมาจากจิตวิทยาของตลาดและการทำงานของคำสั่งซื้อขายจำนวนมหาศาล:
- การเปลี่ยนบทบาทของแนวรับและแนวต้าน (Support/Resistance Flip): เมื่อราคาเคลื่อนที่ทะลุแนวต้านขึ้นไปได้ แนวต้านเดิมมักจะเปลี่ยนบทบาทกลายเป็นแนวรับใหม่ และในทางกลับกัน เมื่อราคาทะลุแนวรับลงมาได้ แนวรับเดิมก็จะกลายเป็นแนวต้านใหม่ การที่ราคาย้อนกลับมาทดสอบระดับเหล่านี้เป็นการยืนยันว่านักลงทุนยอมรับบทบาทใหม่ของระดับราคาดังกล่าว
- การสะสมคำสั่งซื้อ/ขาย: บริเวณแนวรับและแนวต้านมักเป็นโซนที่เทรดเดอร์จำนวนมากตั้งคำสั่งซื้อ (Buy Limit) หรือคำสั่งขาย (Sell Limit) ไว้ เมื่อราคาพุ่งทะลุไปแล้ว การย้อนกลับมาที่โซนเดิมเป็นการ “เติมเต็ม” คำสั่งเหล่านั้น
- การยืนยัน Breakout: เทรดเดอร์จำนวนมากรอการยืนยันว่าการทะลุผ่าน (Breakout) นั้นเป็นของจริง ไม่ใช่ Fake Breakout การที่ราคาย้อนกลับมาทดสอบและไม่สามารถทะลุกลับไปในทิศทางเดิมได้ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการ Breakout นั้นแข็งแกร่งและแนวโน้มใหม่มีโอกาสดำเนินต่อไป
- การลดความเสี่ยง: การเข้าเทรดที่จุด Retest ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวาง Stop Loss ได้ในระยะที่แคบลงอย่างมีเหตุผล ทำให้มีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ที่ดีขึ้น
ความสำคัญของ Retest สำหรับเทรดเดอร์
การเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก Retest มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการซื้อขาย Forex ด้วยเหตุผลดังนี้:
- ยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม: ช่วยให้มั่นใจว่าการ Breakout นั้นไม่ใช่การเคลื่อนไหวชั่วคราว แต่เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มใหม่ที่แท้จริง
- ระบุจุดเข้าออเดอร์ที่ดีที่สุด: จุด Retest มักจะเป็นจุดที่มี Risk-Reward Ratio ที่น่าสนใจที่สุด เพราะสามารถวาง Stop Loss ได้ใกล้และมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า
- ลดความเสี่ยง: การรอ Retest ช่วยลดโอกาสในการเข้าเทรดในจังหวะที่เป็น Fake Breakout ทำให้ลดการขาดทุนที่ไม่จำเป็น
- เสริมสร้างวินัยการเทรด: การรอคอยสัญญาณ Retest ที่ชัดเจนช่วยฝึกฝนวินัยและความอดทน ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ (วินัยการเทรด)
4 รูปแบบหลักของ Real Retest ที่เทรดเดอร์ควรรู้
ในตลาด Forex เราสามารถสังเกตเห็นรูปแบบ Retest หลักๆ ได้ 4 รูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะและบอกเล่าเรื่องราวของราคาที่แตกต่างกันออกไป การทำความเข้าใจรูปแบบเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถระบุโอกาสในการเทรดได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
1. ราคาทะลุแนวต้านและทดสอบใหม่ (Resistance Breakout and Retest)
รูปแบบนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดและเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงหรือการต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น
- แนวคิด: เมื่อราคาเคลื่อนที่ขึ้นและสามารถทะลุผ่าน แนวต้าน (Resistance) ที่แข็งแกร่งไปได้ แนวต้านเดิมนั้นมักจะเปลี่ยนบทบาทมาเป็น แนวรับ (Support) ใหม่
- การเกิดขึ้น: หลังจากที่ราคาพุ่งทะลุแนวต้านขึ้นไปแล้ว มักจะมีพฤติกรรมย้อนกลับลงมาเพื่อ “ทดสอบ” ระดับแนวต้านเดิมที่ตอนนี้กลายเป็นแนวรับใหม่ หากแนวรับใหม่นี้แข็งแกร่งพอก็จะสามารถผลักดันให้ราคากลับขึ้นไปต่อได้
- ความสำคัญ: การ Retest นี้เป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของการ Breakout และบ่งชี้ว่าตลาดมีความเชื่อมั่นในทิศทางขาขึ้นใหม่ เทรดเดอร์ที่ต้องการเข้าซื้อในแนวโน้มขาขึ้นมักจะรอจังหวะนี้เพื่อเข้าออเดอร์
- ผลลัพธ์: หากการ Retest ประสบความสำเร็จ (ราคาไม่สามารถทะลุแนวรับใหม่ลงไปได้) ราคาจะมักจะดีดตัวขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) ต่อไป
- สิ่งที่ควรระวัง: หากราคา Retest แล้วทะลุแนวรับใหม่กลับลงไป นั่นอาจเป็นสัญญาณของ Fake Breakout หรือการเปลี่ยนแนวโน้มที่ล้มเหลว

2. ราคาทะลุแนวรับและ Retest (Support Breakout and Retest)
รูปแบบนี้เป็นสัญญาณตรงกันข้ามกับรูปแบบแรก และมักจะเป็นสัญญาณของการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นหรือการต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง
- แนวคิด: เมื่อราคาเคลื่อนที่ลงและสามารถทะลุผ่าน แนวรับ (Support) ที่แข็งแกร่งไปได้ แนวรับเดิมนั้นมักจะเปลี่ยนบทบาทมาเป็น แนวต้าน (Resistance) ใหม่
- การเกิดขึ้น: หลังจากที่ราคาพุ่งทะลุแนวรับลงไปแล้ว มักจะมีพฤติกรรมย้อนกลับขึ้นมาเพื่อ “ทดสอบ” ระดับแนวรับเดิมที่ตอนนี้กลายเป็นแนวต้านใหม่ หากแนวต้านใหม่นี้แข็งแกร่งพอก็จะสามารถผลักดันให้ราคากลับลงไปต่อได้
- ความสำคัญ: การ Retest นี้เป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของการ Breakout และบ่งชี้ว่าตลาดมีความเชื่อมั่นในทิศทางขาลงใหม่ เทรดเดอร์ที่ต้องการเข้าขายในแนวโน้มขาลงมักจะรอจังหวะนี้เพื่อเข้าออเดอร์
- ผลลัพธ์: หากการ Retest ประสบความสำเร็จ (ราคาไม่สามารถทะลุแนวต้านใหม่ขึ้นไปได้) ราคาจะมักจะดีดตัวลงไปสร้างจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) ต่อไป
- สิ่งที่ควรระวัง: หากราคา Retest แล้วทะลุแนวต้านใหม่กลับขึ้นไป นั่นอาจเป็นสัญญาณของ Fake Breakout หรือการเปลี่ยนแนวโน้มที่ล้มเหลว

3. ราคาทะลุจุดสูงสุดในแนวโน้มขาขึ้นและ Retest (Uptrend High Breakout and Retest)
รูปแบบนี้เป็นการยืนยันความต่อเนื่องของ แนวโน้มขาขึ้น ที่แข็งแกร่ง
- แนวคิด: ในแนวโน้มขาขึ้น ราคาจะมีการเคลื่อนที่แบบ Higher Highs และ Higher Lows อย่างต่อเนื่อง
- การเกิดขึ้น: เมื่อราคาพุ่งขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) และหลังจากนั้นมักจะย้อนกลับลงมาเพื่อ “ทดสอบ” จุดสูงสุดเดิมที่เพิ่งทะลุไป ซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่เป็นแนวรับ
- ความสำคัญ: การ Retest จุดสูงสุดเดิมนี้เป็นสัญญาณว่าแรงซื้อยังคงแข็งแกร่งและแนวโน้มขาขึ้นมีโอกาสที่จะดำเนินต่อไปได้อีก
- ผลลัพธ์: หากการ Retest ประสบความสำเร็จ ราคาจะดีดตัวขึ้นและสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิม

4. ราคาทะลุจุดต่ำสุดในแนวโน้มขาลงและ Retest (Downtrend Low Breakout and Retest)
รูปแบบนี้เป็นการยืนยันความต่อเนื่องของ แนวโน้มขาลง ที่แข็งแกร่ง
- แนวคิด: ในแนวโน้มขาลง ราคาจะมีการเคลื่อนที่แบบ Lower Lows และ Lower Highs อย่างต่อเนื่อง
- การเกิดขึ้น: เมื่อราคาปรับตัวลงไปสร้างจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) และหลังจากนั้นมักจะย้อนกลับขึ้นมาเพื่อ “ทดสอบ” จุดต่ำสุดเดิมที่เพิ่งทะลุไป ซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน
- ความสำคัญ: การ Retest จุดต่ำสุดเดิมนี้เป็นสัญญาณว่าแรงขายยังคงแข็งแกร่งและแนวโน้มขาลงมีโอกาสที่จะดำเนินต่อไปได้อีก
- ผลลัพธ์: หากการ Retest ประสบความสำเร็จ ราคาจะดีดตัวลงและสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม

ตัวอย่าง Real Retest ในการซื้อขายจริง (Real Trading Examples)
เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในปรากฏการณ์ Retest การศึกษาจากตัวอย่างจริงบนกราฟราคาจะช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นภาพและจดจำรูปแบบได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Retest ไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎี แต่เกิดขึ้นจริงในตลาดและเป็นโอกาสสำคัญในการตัดสินใจเข้าเทรด
1. ราคาทะลุระดับแนวต้านและ Retest ในสถานการณ์จริง
ในตัวอย่างนี้ สังเกตว่าราคาได้เคลื่อนที่ขึ้นไปและทะลุผ่านระดับแนวต้านสำคัญอย่างชัดเจน หลังจากนั้นแทนที่จะพุ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ราคาได้ย้อนกลับลงมาสัมผัสระดับแนวต้านเดิมที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนบทบาทเป็นแนวรับใหม่ การ Retest ในครั้งนี้ได้รับการยืนยันด้วยแท่งเทียนที่แสดงถึงแรงซื้อที่กลับเข้ามา ผลลัพธ์คือราคาได้ดีดตัวขึ้นไปอย่างแข็งแกร่งต่อจากจุด Retest นั้น เป็นการยืนยันถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ต่อเนื่อง

2. ราคาทะลุระดับแนวรับและ Retest ในสถานการณ์จริง
ตรงกันข้ามกับตัวอย่างแรก ในกรณีนี้ ราคาได้เคลื่อนที่ลงและทะลุผ่านระดับแนวรับที่สำคัญ หลังจาก Breakout แล้ว ราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อกลับไปทดสอบระดับแนวรับเดิมที่ตอนนี้กลายเป็นแนวต้านใหม่ เมื่อราคามาถึงบริเวณนี้ แรงขายได้เข้ามากดดันและผลักดันให้ราคาปรับตัวลงต่อไป การ Retest ในลักษณะนี้เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเปิดสถานะขาย เนื่องจากยืนยันถึงแนวโน้มขาลงที่กำลังดำเนินไป

3. ราคาทะลุจุดสูงสุดในแนวโน้มขาขึ้นและ Retest
ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ตลาดมักจะสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ (Higher Highs) และจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Lows) ในตัวอย่างนี้ ราคาได้ Breakout ผ่านจุดสูงสุดเดิมขึ้นไป และหลังจากนั้นได้ย้อนกลับมาทดสอบจุดสูงสุดที่เพิ่งถูกทำลายไป การ Retest ครั้งนี้เป็นจังหวะที่เทรดเดอร์สามารถเข้าซื้อเพื่อเกาะไปกับแนวโน้มขาขึ้นที่ยังคงแข็งแกร่ง

4. ราคาทะลุจุดต่ำสุดในแนวโน้มขาลงและ Retest
เช่นเดียวกับแนวโน้มขาขึ้น ใน แนวโน้มขาลง ตลาดจะสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Lows) และจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Highs) ในตัวอย่างนี้ ราคาได้ Breakout ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม และตามมาด้วยการย้อนกลับขึ้นมาทดสอบจุดต่ำสุดนั้น การ Retest ในกรณีนี้เป็นการยืนยันถึงความต่อเนื่องของแรงขายและเป็นโอกาสในการเปิดสถานะขายเพื่อทำกำไรจากการลดลงของราคา

2 ประเภทของ Retest ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค: Standard vs. Fake
การแยกแยะระหว่าง Retest ที่แท้จริง (Standard Retest) กับ Retest ที่เป็นกับดัก (Fake Retest) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ เพราะส่งผลโดยตรงต่อความแม่นยำในการตัดสินใจและผลกำไร
ประเภทที่ 1: Standard Retest (การทดสอบซ้ำแบบปกติ)
Standard Retest คือสถานการณ์ที่ราคาย้อนกลับมาทดสอบระดับสำคัญและแสดงปฏิกิริยาที่ชัดเจน บ่งบอกถึงความสมดุลหรือการตัดสินใจของตลาดที่จะไปต่อในทิศทางของ Breakout นั้นๆ
- ลักษณะ: ราคาจะกลับมาที่โซนทดสอบซ้ำอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือมีการเคลื่อนไหวที่ควบคุมได้ และเมื่อมาถึงระดับนั้น จะมีการก่อตัวของรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งชี้ถึงความไม่แน่ใจหรือการกลับตัวของแรงในระยะสั้นๆ
- แท่งเทียนที่พบบ่อย:
- Doji: แท่งเทียนที่มีราคาเปิดและปิดใกล้เคียงกัน มีไส้เทียนทั้งด้านบนและด้านล่างยาวเท่าๆ กัน หรือเกือบเท่ากัน บ่งบอกถึงความลังเลของตลาดระหว่างแรงซื้อและแรงขาย เมื่อเกิด Doji ที่โซน Retest แสดงว่าตลาดกำลังตัดสินใจและมีโอกาสสูงที่จะกลับไปในทิศทาง Breakout เดิม
- Pin Bar: แท่งเทียนที่มีลำตัวเล็กและมีไส้เทียนด้านใดด้านหนึ่งยาวกว่าอีกด้านอย่างชัดเจน Pin Bar บ่งบอกถึงการถูกปฏิเสธราคาอย่างรุนแรง เมื่อเกิด Pin Bar ที่โซน Retest โดยมีไส้เทียนยาวชี้ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับ Breakout (เช่น ถ้า Breakout ขึ้น แล้วมี Pin Bar ไส้ยาวชี้ลง) นี่คือสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่งว่าราคาจะไปต่อในทิศทาง Breakout
- ทำไมถึงสำคัญ: แท่งเทียนเหล่านี้ให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือว่าแรงผลักดันเดิมของ Breakout ยังคงอยู่ และระดับที่ทดสอบซ้ำนั้นแข็งแกร่งพอที่จะทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านใหม่ได้
ตัวอย่าง: สมมติว่าราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปอย่างรุนแรง หลังจากนั้นราคาได้ย้อนกลับลงมาอย่างช้าๆ เมื่อถึงระดับแนวต้านเก่าที่กลายเป็นแนวรับใหม่ ราคาได้ก่อตัวเป็นแท่งเทียน Doji หรือ Bullish Pin Bar (ไส้เทียนยาวด้านล่าง) ที่บริเวณนั้น บ่งบอกว่าแรงขายที่กดดันให้ราคาย้อนกลับลงมาเริ่มอ่อนแรงลง และมีแรงซื้อเข้ามาหนุนราคาให้กลับขึ้นไปอีกครั้ง นี่คือลักษณะของ Standard Retest ที่สมบูรณ์แบบ

ประเภทที่ 2: Fake Retest (การทดสอบซ้ำปลอม)
Fake Retest คือสถานการณ์ที่ราคาดูเหมือนจะย้อนกลับมาทดสอบระดับสำคัญ แต่กลับไม่สามารถรักษาระดับไว้ได้และทะลุกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม ทำให้เทรดเดอร์ที่เข้าออเดอร์จากสัญญาณ Retest ปกติต้องขาดทุน
- ลักษณะ: ราคาอาจจะย้อนกลับมาทดสอบอย่างรวดเร็วและรุนแรง หรืออาจจะก่อตัวเป็นแท่งเทียนยืนยันในทิศทาง Breakout เดิมเพียงระยะสั้นๆ ก่อนที่จะถูกแรงซื้อหรือแรงขายที่แข็งแกร่งสวนกลับจนทะลุผ่านระดับ Retest ไปได้
- สาเหตุ:
- ข่าวสารสำคัญ: การประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันสามารถส่งผลให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและเกิด Fake Retest ได้
- Volume ต่ำ: ในช่วงที่ปริมาณการซื้อขายต่ำ สัญญาณ Retest อาจไม่น่าเชื่อถือ เพราะการเคลื่อนไหวของราคาอาจถูกควบคุมโดยกลุ่มเทรดเดอร์ขนาดเล็ก
- กับดักของ Market Maker: Market Maker อาจพยายามล่อลวงให้เทรดเดอร์รายย่อยเข้าเทรดในทิศทางหนึ่ง ก่อนที่จะผลักดันราคาไปในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อเก็บ Stop Loss
- ผลกระทบ: เทรดเดอร์ที่หลงเชื่อสัญญาณ Fake Retest และเข้าเทรดจะพบกับการขาดทุนอย่างรวดเร็ว ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการยืนยันสัญญาณด้วยเครื่องมืออื่นๆ และการบริหารความเสี่ยง
- วิธีสังเกตและหลีกเลี่ยง:
- ความรุนแรงของการ Retest: หากราคา Retest กลับมาที่ระดับด้วยแท่งเทียนขนาดใหญ่และมีแรงส่งที่รุนแรง อาจเป็นสัญญาณเตือน
- การไม่เกิดแท่งเทียนยืนยัน: หากไม่เกิดแท่งเทียนประเภท Doji, Pin Bar หรือรูปแบบกลับตัวที่ชัดเจนหลังจาก Retest ควรระมัดระวัง
- การ Breakout กลับ: สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดคือเมื่อราคา Breakout กลับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับ Breakout เดิมหลังจากที่ Retest ล้มเหลว
- ใช้ Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น: การวิเคราะห์ Retest ใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น H4, Daily) จะช่วยลดโอกาสเจอ Fake Retest ได้มากกว่า Timeframe เล็กๆ
- การใช้ Indicator เพิ่มเติม: ใช้ Indicator เช่น Volume หรือ Moving Average เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของ Breakout และ Retest
ตัวอย่าง: ราคาทะลุแนวรับลงไป แต่เมื่อย้อนกลับขึ้นมาทดสอบแนวรับเดิมที่กลายเป็นแนวต้านใหม่ แทนที่จะแสดงปฏิกิริยาและลงต่อ กลับมีแท่งเทียน Bullish Pin Bar ที่มีไส้เทียนยาวชี้ขึ้นและลำตัวเขียวขนาดใหญ่ปิดทะลุแนวต้านขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งบ่งบอกถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งและแนวต้านเดิมไม่สามารถทานแรงได้ นี่คือตัวอย่างของ Fake Retest ที่อาจหลอกให้เทรดเดอร์เข้าขาย

ทำไม Retest จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การซื้อขาย Forex ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ?
แม้ว่าการซื้อขายในตลาด Forex จะมีความเสี่ยงสูง แต่กลยุทธ์การใช้ Retest กลับได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เหตุผลหลักมาจากความสามารถในการยืนยันแนวโน้ม การบริหารความเสี่ยง และการส่งเสริมวินัยในการเทรด
1. ยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
เมื่อตลาดทะลุผ่านระดับสำคัญ (Breakout) การที่ราคาย้อนกลับมาทดสอบระดับนั้นอีกครั้ง (Retest) และไม่สามารถทะลุกลับไปได้ เป็นการยืนยันว่าการ Breakout นั้นเป็นของจริงและมีความแข็งแกร่งสูง ไม่ใช่สัญญาณหลอกลวงหรือ Fake Breakout นั่นหมายความว่าแนวโน้มใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นมีโอกาสสูงที่จะดำเนินต่อไป การเข้าเทรดที่จุด Retest จึงเป็นการเข้าเทรด ตามแนวโน้ม ที่ได้รับการยืนยัน ซึ่งเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างมาก
2. ลดความเสี่ยงด้วยการกำหนด Stop Loss ที่ชัดเจน
จุดเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่งของกลยุทธ์ Retest คือความสามารถในการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อราคา Retest ระดับสำคัญและแสดงสัญญาณยืนยัน เทรดเดอร์สามารถวางคำสั่ง Stop Loss (SL) ได้อย่างใกล้ชิดกับจุดเข้าออเดอร์ โดยวางไว้ที่อีกฝั่งหนึ่งของระดับที่ถูกทดสอบซ้ำ ตัวอย่างเช่น หากเข้าซื้อที่ Retest แนวต้านที่กลายเป็นแนวรับใหม่ ก็จะวาง Stop Loss ไว้ใต้แนวรับใหม่นั้นเล็กน้อย การวาง Stop Loss ในลักษณะนี้ทำให้:
- ความเสี่ยงต่อการเทรดต่ำ: หากการ Retest ล้มเหลวและราคาทะลุกลับไป คุณจะขาดทุนเพียงเล็กน้อย
- อัตราส่วน Risk-Reward ที่ดี: การมี Stop Loss ที่แคบลง ทำให้สามารถกำหนดเป้าหมายกำไร (Take Profit) ที่มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่สูงขึ้นได้ (เช่น 1:2 หรือ 1:3)
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กลยุทธ์การเทรดและการบริหารความเสี่ยง
3. เสริมสร้างวินัยและลดการตัดสินใจที่ผิดพลาด
กลยุทธ์ Retest ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา การรอมันเกิดขึ้นต้องใช้ความอดทนและวินัย การที่คุณต้องรอให้ราคาทะลุผ่านและย้อนกลับมาทดสอบก่อนที่จะเข้าเทรด จะช่วยลดการตัดสินใจเทรดแบบหุนหันพลันแล่น หรือการ “ไล่ราคา” ซึ่งมักนำไปสู่การขาดทุน การรอคอยจังหวะที่เหมาะสมเช่นนี้สอดคล้องกับหลักการของ วินัยการเทรด ที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ เมื่อสัญญาณ Retest เกิดขึ้น คุณจะมีเพียงสองทางเลือกที่ชัดเจนเท่านั้น คือ “เปิดคำสั่ง” หรือ “ไม่ทำอะไรเลย” ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนในการตัดสินใจ และเมื่อจำนวนการซื้อขายลดลง แต่แต่ละการซื้อขายมีคุณภาพมากขึ้น ก็จะนำไปสู่ประสิทธิภาพในการเทรดที่สูงขึ้น
4. โอกาสในการเข้าเทรดที่ชัดเจน
Retest มักจะเกิดขึ้นเมื่อตลาดกำลังเริ่มต้นแนวโน้มใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเคลื่อนไหวของราคามีความชัดเจนและมีแรงส่งที่มาก ทำให้สัญญาณที่เกิดขึ้นจาก Retest มีความน่าเชื่อถือสูง และเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าเกาะไปกับแนวโน้มนั้นๆ
สัญญาณแท่งเทียนสำคัญและกลยุทธ์ Forex ที่มีประสิทธิภาพเมื่อมี Retest
การยืนยัน Retest ด้วยรูปแบบแท่งเทียนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มความแม่นยำของสัญญาณและลดความเสี่ยงจากการเข้าเทรดผิดพลาด โดยเฉพาะรูปแบบแท่งเทียน 2 ประเภทหลักที่มักจะปรากฏขึ้นบริเวณโซน Retest
1. รูปแบบแท่งเทียน Doji หรือ Pin Bar เพื่อยืนยัน Retest
เมื่อราคากลับมาทดสอบระดับสำคัญและมีการก่อตัวของแท่งเทียน Doji หรือ Pin Bar นั่นคือสัญญาณที่น่าเชื่อถือว่าตลาดกำลังแสดงความสมดุลหรือการปฏิเสธราคาในบริเวณนั้น
- Doji Candlestick:
- ลักษณะ: มีราคาเปิดและราคาปิดที่ใกล้เคียงกันมาก ทำให้ลำตัวแท่งเทียนมีขนาดเล็กคล้ายขีดเส้นตรง อาจมีไส้เทียนทั้งด้านบนและด้านล่าง
- บ่งบอกถึง: ความไม่แน่ใจ ความลังเล หรือความสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขายในตลาด ณ ระดับราคานั้นๆ
- ความสำคัญในการ Retest: เมื่อ Doji ปรากฏขึ้นที่โซน Retest (เช่น หลังจากราคาทะลุแนวต้านแล้วย้อนกลับมาที่แนวต้านเดิม) มันบ่งบอกว่าแรงที่พยายามจะผลักดันราคาให้กลับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับ Breakout เริ่มอ่อนแรงลง และตลาดกำลังพิจารณาว่าจะไปต่อในทิศทาง Breakout หรือไม่
- Pin Bar Candlestick:
- ลักษณะ: มีลำตัวแท่งเทียนขนาดเล็ก และมีไส้เทียนด้านใดด้านหนึ่งยาวกว่าอีกด้านอย่างชัดเจน
- บ่งบอกถึง: การถูกปฏิเสธราคาอย่างรุนแรงในทิศทางของไส้เทียนยาว
- ความสำคัญในการ Retest:
- Bullish Pin Bar (ไส้ยาวด้านล่าง): เมื่อราคา Retest แนวรับ (หรือแนวต้านที่กลายเป็นแนวรับ) และเกิด Bullish Pin Bar บ่งบอกว่าราคาถูกผลักดันลงไปชั่วคราวแต่ถูกแรงซื้อปฏิเสธและดันกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
- Bearish Pin Bar (ไส้ยาวด้านบน): เมื่อราคา Retest แนวต้าน (หรือแนวรับที่กลายเป็นแนวต้าน) และเกิด Bearish Pin Bar บ่งบอกว่าราคาพุ่งขึ้นไปชั่วคราวแต่ถูกแรงขายปฏิเสธและดันกลับลงมาอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณขาลงที่แข็งแกร่ง

กลยุทธ์วางตำแหน่งซื้อ (Buy Position) เมื่อราคาทะลุแนวต้านและทดสอบใหม่ด้วย Doji หรือ Pin Bar
เมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปและย้อนกลับมาทดสอบระดับนั้นใหม่ การเกิด Doji หรือ Bullish Pin Bar เป็นสัญญาณที่ดีในการเข้าซื้อ:
- รายการ (Entry): เข้าซื้อทันทีหลังจากแท่งเทียน Doji หรือ Bullish Pin Bar ปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์ที่จุด Retest ยิ่งแท่งเทียนยืนยันมีขนาดใหญ่และปิดเหนือจุดเปิด แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
- Stop Loss (SL): วาง Stop Loss ไว้ใต้แนวรับที่ใกล้ที่สุด ซึ่งก็คือแนวต้านเดิมที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นแนวรับใหม่ หรือใต้ไส้เทียนที่ยาวที่สุดของ Bullish Pin Bar นั้นเล็กน้อย การวาง Stop Loss ในจุดนี้ช่วยจำกัดความเสี่ยงหากราคาพลิกกลับ
- Take Profit (TP): กำหนดเป้าหมายกำไรที่แนวต้านสำคัญที่เกิดขึ้นในอดีต (อ้างอิงจาก Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น) หรือใช้หลักการ Risk-Reward Ratio ที่เหมาะสม (เช่น 1:2 หรือ 1:3)

กลยุทธ์วางตำแหน่งขาย (Sell Position) เมื่อราคาทะลุแนวรับและทดสอบใหม่ด้วย Doji หรือ Pin Bar
เมื่อราคาทะลุแนวรับลงไปและย้อนกลับมาทดสอบระดับนั้นใหม่ การเกิด Doji หรือ Bearish Pin Bar เป็นสัญญาณที่ดีในการเข้าขาย:
- รายการ (Entry): เข้าขายทันทีหลังจากแท่งเทียน Doji หรือ Bearish Pin Bar ปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์ที่จุด Retest ยิ่งแท่งเทียนยืนยันมีขนาดใหญ่และปิดต่ำกว่าจุดเปิด แสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง
- Stop Loss (SL): วาง Stop Loss ไว้เหนือแนวต้านที่ใกล้ที่สุด ซึ่งก็คือแนวรับเดิมที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นแนวต้านใหม่ หรือเหนือไส้เทียนที่ยาวที่สุดของ Bearish Pin Bar นั้นเล็กน้อย เพื่อป้องกันการพลิกกลับของราคา
- Take Profit (TP): กำหนดเป้าหมายกำไรที่แนวรับสำคัญที่เกิดขึ้นในอดีต หรือใช้หลักการ Risk-Reward Ratio ที่เหมาะสม

2. รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick Patterns) เพื่อยืนยัน Retest
นอกจาก Doji และ Pin Bar แล้ว การเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick Patterns) ที่เชื่อถือได้บริเวณโซน Retest ยังเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งและปลอดภัยในการเข้าเทรดด้วยกลยุทธ์ Retest รูปแบบเหล่านี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมจากแรงหนึ่งไปสู่อีกแรงหนึ่งอย่างชัดเจน
รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขาขึ้น (Bullish Reversal Candlestick Patterns) ที่พบบ่อย:
- Morning Star: ประกอบด้วย 3 แท่งเทียน บ่งบอกถึงการเปลี่ยนจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น (Morning Star)
- Bullish Engulfing: แท่งเทียนสีเขียวขนาดใหญ่กลืนกินแท่งเทียนสีแดงก่อนหน้า บ่งบอกถึงแรงซื้อที่เข้ามาอย่างท่วมท้น
- Tweezer Bottoms: แท่งเทียนสองแท่งที่มีจุดต่ำสุดเท่ากัน บ่งบอกถึงการที่ราคาไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้
- Three Inside Up: ประกอบด้วย 3 แท่งเทียน บ่งบอกถึงการกลับตัวเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขาลง (Bearish Reversal Candlestick Patterns) ที่พบบ่อย:
- Evening Star: ประกอบด้วย 3 แท่งเทียน บ่งบอกถึงการเปลี่ยนจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง
- Bearish Engulfing: แท่งเทียนสีแดงขนาดใหญ่กลืนกินแท่งเทียนสีเขียวก่อนหน้า บ่งบอกถึงแรงขายที่เข้ามาอย่างท่วมท้น
- Tweezer Tops: แท่งเทียนสองแท่งที่มีจุดสูงสุดเท่ากัน บ่งบอกถึงการที่ราคาไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้
- Three Inside Down: ประกอบด้วย 3 แท่งเทียน บ่งบอกถึงการกลับตัวเป็นขาลงอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์วางตำแหน่งซื้อ (Buy Position) เมื่อราคาทะลุแนวต้านและ Retest พร้อมรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขาขึ้น
เมื่อราคาทะลุแนวต้านและย้อนกลับมาทดสอบใหม่ พร้อมกับการก่อตัวของรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขาขึ้น:
- รายการ (Entry): เข้าซื้อทันทีหลังจากรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขาขึ้นปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์ที่จุด Retest
- Stop Loss (SL): วาง Stop Loss ไว้ใต้รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขาขึ้นนั้น หรือใต้แนวรับที่ใกล้ที่สุดเล็กน้อย
- Take Profit (TP): กำหนดเป้าหมายกำไรที่แนวต้านสำคัญที่เกิดขึ้นในอดีต หรือใช้หลักการ Risk-Reward Ratio ที่เหมาะสม

กลยุทธ์วางตำแหน่งขาย (Sell Position) เมื่อราคาทะลุแนวรับและ Retest พร้อมรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขาลง
เมื่อราคาทะลุแนวรับและย้อนกลับมาทดสอบใหม่ พร้อมกับการก่อตัวของรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขาลง:
- รายการ (Entry): เข้าขายทันทีหลังจากรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขาลงปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์ที่จุด Retest
- Stop Loss (SL): วาง Stop Loss ไว้เหนือรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขาลงนั้น หรือเหนือแนวต้านที่ใกล้ที่สุดเล็กน้อย
- Take Profit (TP): กำหนดเป้าหมายกำไรที่แนวรับสำคัญที่เกิดขึ้นในอดีต หรือใช้หลักการ Risk-Reward Ratio ที่เหมาะสม

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Retest ในตลาด Forex
Q1: Retest แตกต่างจาก Pullback อย่างไร?
A: ทั้ง Retest และ Pullback คือการที่ราคาย้อนกลับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลักชั่วคราว แต่มีข้อแตกต่างสำคัญคือ:
- Retest: มักจะเกิดขึ้นหลังจากราคาได้ Breakout ทะลุผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านสำคัญไปแล้ว และย้อนกลับมาทดสอบระดับนั้นที่เปลี่ยนบทบาทไปแล้ว (เช่น แนวต้านเก่ากลายเป็นแนวรับใหม่) เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของ Breakout
- Pullback: คือการย่อตัวหรือปรับฐานของราคาภายในแนวโน้มหลักที่ยังไม่ถูกทำลาย มักจะย่อตัวมาที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) หรือแนวรับ/แนวต้านย่อยๆ เพื่อสะสมแรงก่อนที่จะไปต่อในทิศทางเดิม
กล่าวโดยสรุป Retest คือการยืนยัน Breakout ส่วน Pullback คือการพักตัวในแนวโน้มที่ยังไม่เสีย
Q2: ควรใช้ Timeframe ใดในการหา Retest ที่น่าเชื่อถือ?
A: Retest สามารถเกิดขึ้นได้ในทุก Timeframe แต่โดยทั่วไปแล้ว Retest ที่เกิดขึ้นใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น เช่น H4 (4 ชั่วโมง), Daily (รายวัน) หรือ Weekly (รายสัปดาห์) จะมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าและให้สัญญาณที่แม่นยำกว่า Retest ใน Timeframe ที่เล็กกว่า (เช่น M5, M15) เนื่องจากใน Timeframe ใหญ่ ระดับแนวรับแนวต้านจะมีความแข็งแกร่งมากกว่า และสัญญาณรบกวน (Noise) จะน้อยกว่า
Q3: Retest เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหนในตลาด Forex?
A: Retest เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยในตลาด Forex แต่ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งที่มี Breakout การจะเห็น Retest ที่สมบูรณ์แบบพร้อมสัญญาณยืนยันที่ชัดเจนอาจไม่บ่อยเท่าที่คุณคิด นั่นเป็นเหตุผลที่กลยุทธ์ Retest เน้นย้ำเรื่องวินัยและความอดทนในการรอคอยจังหวะที่เหมาะสมที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสในการเทรดที่มีคุณภาพ
Q4: มี Indicator ใดบ้างที่ช่วยยืนยัน Retest?
A: นอกจากรูปแบบแท่งเทียนแล้ว อินดิเคเตอร์บางตัวยังสามารถช่วยยืนยันสัญญาณ Retest ได้ เช่น:
- Volume: หาก Breakout เกิดขึ้นด้วย Volume สูง แต่เมื่อราคาย้อนกลับมา Retest ด้วย Volume ที่ต่ำลง และเมื่อราคาดีดตัวกลับในทิศทาง Breakout เดิมด้วย Volume ที่สูงขึ้น จะเป็นสัญญาณยืนยันที่ดี
- Moving Average (MA): ราคาอาจ Retest เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านได้
- RSI หรือ Stochastic: อาจใช้เพื่อดูภาวะ Overbought/Oversold ในช่วงที่ราคา Retest เพื่อหาจุดกลับตัวที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม ควรใช้อินดิเคเตอร์เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัดสินใจจากอินดิเคเตอร์เพียงอย่างเดียว
Q5: จะหลีกเลี่ยง Fake Retest ได้อย่างไร?
A: การหลีกเลี่ยง Fake Retest ต้องอาศัยการสังเกตและใช้เครื่องมือยืนยันหลายอย่างประกอบกัน:
- รอการยืนยันจากแท่งเทียน: อย่ารีบเข้าทันทีที่ราคาแตะระดับ Retest ให้รอดูว่ามีรูปแบบแท่งเทียน Doji, Pin Bar หรือ Reversal Candlestick Pattern ที่ชัดเจนหรือไม่
- ใช้ Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น: สัญญาณใน Timeframe ใหญ่มีความน่าเชื่อถือกว่า
- สังเกต Volume: หาก Volume การซื้อขายไม่สอดคล้องกับทิศทางที่คาดการณ์ (เช่น Breakout ด้วย Volume ต่ำ) ให้ระมัดระวัง
- พิจารณาสภาพตลาดโดยรวม: มีข่าวสำคัญหรือไม่? ตลาดมีความผันผวนสูงหรือไม่? สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิด Fake Retest ได้
- บริหารความเสี่ยง: แม้จะมั่นใจในสัญญาณ Retest ก็ควรวาง Stop Loss เสมอ เพื่อจำกัดความเสียหายหากเกิด Fake Retest ที่คาดไม่ถึง
สรุป: Retest กุญแจสู่การเทรดที่มั่นคงและมีกำไรในตลาด Forex
Retest ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำศัพท์ทางเทคนิคอลทั่วไป แต่เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ราคาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวิเคราะห์และการซื้อขายในตลาด Forex การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง “Retest คืออะไร” รวมถึงรูปแบบต่างๆ สาเหตุที่เกิดขึ้น และวิธีการยืนยันด้วยสัญญาณแท่งเทียน จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดเข้าออเดอร์ที่มีความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสทำกำไรสูงได้อย่างแม่นยำ
การนำกลยุทธ์ Retest ไปใช้จริงนั้น ไม่ใช่แค่การจดจำรูปแบบ แต่ต้องอาศัยวินัย ความอดทน และการยืนยันจากสัญญาณต่างๆ ควบคู่กันไป การรอคอยจังหวะที่เหมาะสมและหลีกเลี่ยง Fake Retest คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาว การเข้าเทรดที่จุด Retest ไม่เพียงแต่ช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มใหม่ แต่ยังช่วยให้คุณสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ทุกการตัดสินใจของคุณมีเหตุผลและมั่นคงยิ่งขึ้น
เราขอแนะนำให้คุณฝึกฝนการระบุ Retest และการใช้กลยุทธ์นี้บน บัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนที่จะนำไปใช้กับบัญชีจริง เพื่อสร้างความคุ้นเคยและความมั่นใจ ด้วยความรู้และทักษะที่คุณได้รับจากบทความนี้ คุณจะสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นเทรดเดอร์ที่เชี่ยวชาญและประสบความสำเร็จในตลาด Forex ได้อย่างแน่นอน