TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

กลยุทธ์การเทรดด้วย Quasimodo

กรกฎาคม 7, 2022

กลยุทธ์การเทรดด้วย Quasimodo: เจาะลึกรูปแบบการกลับตัวที่ทรงพลังในตลาด Forex

ในโลกของการเทรด Forex ที่เต็มไปด้วยความผันผวนและโอกาส การทำความเข้าใจรูปแบบกราฟราคา (Chart Patterns) ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์ทิศทางของตลาดและตัดสินใจเข้าออกออเดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns) ที่มักจะส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหลักของตลาด ซึ่งหนึ่งในรูปแบบที่ทรงพลังและน่าสนใจอย่างยิ่งคือ รูปแบบ Quasimodo

บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงแก่นแท้ของกลยุทธ์การเทรดด้วย Quasimodo ตั้งแต่การทำความเข้าใจว่า Quasimodo คืออะไร, ความแตกต่างกับรูปแบบ Head and Shoulder, หลักการทำงาน, กฎการเทรดที่ชัดเจน ไปจนถึงการประยุกต์ใช้เครื่องมือขั้นสูงอย่าง Fibonacci Retracement เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดสูงสุด

Quasimodo คืออะไร? ทำไมจึงเป็นสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญ

รูปแบบ Quasimodo หรือที่นักเทคนิคบางคนเรียกว่า “รูปแบบแผนภูมิสูงหรือต่ำ” (High or Low Chart Pattern) เป็นรูปแบบการกลับตัว (Reversal Pattern) ที่ปรากฏขึ้นเมื่อแนวโน้มปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) เพื่อส่งสัญญาณการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend) หรือที่จุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาลง (Downtrend) เพื่อส่งสัญญาณการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)

โครงสร้างทางกายวิภาคของรูปแบบ Quasimodo

รูปแบบ Quasimodo มีลักษณะเฉพาะที่สามารถสังเกตได้จากโครงสร้างราคาที่ประกอบด้วย “สามยอดและสองหุบเขา” (Three Peaks and Two Valleys) ซึ่งมีความไม่สมมาตรที่ชัดเจน:

  1. ยอดเขากลางที่สูงที่สุด (Middle Peak): ยอดตรงกลางของรูปแบบจะเป็นจุดสูงสุดที่โดดเด่นที่สุด แสดงถึงช่วงเวลาที่แรงซื้อหรือแรงขายไปถึงจุดสูงสุด
  2. ยอดภายนอกสองยอดที่มีความสูงเท่ากัน (Outer Peaks): ยอดซ้ายและยอดขวาที่อยู่ด้านนอกของยอดกลางจะมีความสูงหรือต่ำพอๆ กัน ซึ่งอาจจะต่ำกว่ายอดกลางเล็กน้อยในกรณีของ Bearish Quasimodo หรือสูงกว่าในกรณีของ Bullish Quasimodo
  3. หุบเขาแรก (First Valley): เป็นจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นระหว่างยอดซ้ายและยอดกลาง
  4. หุบเขาที่สอง (Second Valley): เป็นจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นระหว่างยอดกลางและยอดขวา และนี่คือจุดสำคัญที่ทำให้ Quasimodo แตกต่างจากรูปแบบอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุบเขาที่สองนี้จะอยู่ต่ำกว่าหุบเขาแรกอย่างชัดเจน ในกรณีของ Bearish Quasimodo หรือสูงกว่าอย่างชัดเจนในกรณีของ Bullish Quasimodo

ตัวอย่างการเกิดรูปแบบ Quasimodo:
รูปแบบแผนภูมิ Quasimodo

ประเภทของรูปแบบ Quasimodo

รูปแบบ Quasimodo สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ขึ้นอยู่กับทิศทางของแนวโน้มที่จะกลับตัว:

  • Bullish Quasimodo: ปรากฏขึ้นที่จุดสิ้นสุดของ แนวโน้มขาลง (Downtrend) และทำนายการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ในรูปแบบนี้ ยอดกลางจะอยู่ต่ำที่สุด และหุบเขาที่สองจะสูงกว่าหุบเขาแรกอย่างชัดเจน
  • Bearish Quasimodo: ปรากฏขึ้นที่จุดสิ้นสุดของ แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) และทำนายการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend) ในรูปแบบนี้ ยอดกลางจะอยู่สูงสุด และหุบเขาที่สองจะต่ำกว่าหุบเขาแรกอย่างชัดเจน

ตัวอย่างประเภทของรูปแบบ Quasimodo:
ประเภทของรูปแบบ Quasimodo

การทำความเข้าใจความแตกต่างของแต่ละประเภทเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการระบุสัญญาณการเทรดที่ถูกต้องแม่นยำ และช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนการเข้าและออกออเดอร์ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด

ความแตกต่างระหว่าง Quasimodo และ Head and Shoulder: สองรูปแบบการกลับตัวที่คล้ายแต่ไม่เหมือนกัน

หลายคนอาจมองว่ารูปแบบ Quasimodo มีลักษณะคล้ายคลึงกับ รูปแบบ Head and Shoulder ซึ่งเป็นรูปแบบการกลับตัวที่รู้จักกันดีในหมู่นักเทรด อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความคล้ายคลึงกันในบางจุด แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญสองประการที่ทำให้ทั้งสองรูปแบบนี้ไม่เหมือนกันและต้องใช้กลยุทธ์การเทรดที่แตกต่างกัน

ความแตกต่างระหว่าง Quasimodo และ Head and Shoulder

1. โครงสร้างความลึกของหุบเขา (Valley Structure Asymmetry)

  • รูปแบบ Head and Shoulder: หุบเขาทั้งสองข้าง (ระหว่างไหล่ซ้ายกับศีรษะ และระหว่างศีรษะกับไหล่ขวา) มักจะมีระดับความลึกที่ เท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก บ่งบอกถึงการกระจายแรงซื้อขายที่ค่อนข้างสมมาตรก่อนการกลับตัวของแนวโน้ม
  • รูปแบบ Quasimodo: ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดคือ หุบเขาที่สอง (ขาซ้ายในรูปแบบกลับหัว หรือขาขวาในรูปแบบปกติ) จะอยู่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าหุบเขาแรกอย่างมีนัยสำคัญ ใน Bearish Quasimodo หุบเขาที่สองจะต่ำกว่าหุบเขาแรกมาก ทำให้โครงสร้างดู “คดเคี้ยว” หรือ “ผิดรูป” มากกว่า ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Quasimodo (มาจากตัวละครหลังค่อมในวรรณกรรม) ความไม่สมมาตรนี้เป็นกุญแจสำคัญในการแยกแยะรูปแบบ

2. เทคนิคการเข้าออเดอร์ (Entry Techniques)

  • รูปแบบ Head and Shoulder: จุดเข้าออเดอร์สำหรับการกลับตัวมักจะอยู่เมื่อราคาทะลุผ่าน แนวรับ (Neckline) ของรูปแบบ ซึ่งเป็นการยืนยันการกลับตัวที่ชัดเจน
  • รูปแบบ Quasimodo: จุดเข้าออเดอร์ที่แนะนำสำหรับ Quasimodo จะแตกต่างออกไป โดยเราจะพิจารณาวางคำสั่งเข้าใกล้บริเวณ “ไหล่ซ้าย” (Left Shoulder) ของรูปแบบ ซึ่งหมายถึงจุดต่ำสุดของหุบเขาแรกในกรณีของ Bearish Quasimodo หรือจุดสูงสุดของยอดแรกในกรณีของ Bullish Quasimodo การเข้าออเดอร์ในลักษณะนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจับการเคลื่อนไหวของราคาตั้งแต่ช่วงต้นของการกลับตัว ทำให้ได้จุดเข้าที่ดีกว่าและมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น

ตัวอย่างจุดเข้าออเดอร์ Quasimodo เทียบกับ Head and Shoulder:
จุดเข้าออเดอร์ Quasimodo

กล่าวโดยสรุป Quasimodo อาจถูกมองว่าเป็น “รูปแบบ Head and Shoulder ขั้นสูง” ที่มีความไม่สมมาตรและให้จุดเข้าที่เร็วกว่า อย่างไรก็ตาม การระบุรูปแบบ Quasimodo ด้วยตาเปล่าอาจทำได้ยากกว่าเนื่องจากลักษณะที่ “ผิดรูป” นี้ นักเทรดจึงอาจต้องอาศัยประสบการณ์หรือการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูงเพื่อช่วยในการยืนยัน

เมื่อใดควรเทรดการตั้งค่าการซื้อขาย Quasimodo: จังหวะที่เหมาะสมที่สุด

การระบุจังหวะที่เหมาะสมในการเทรดด้วยรูปแบบ Quasimodo เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จ นักเทรดควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:

1. การปรากฏตัวหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาครั้งสำคัญ

เวลาที่ดีที่สุดในการเทรดรูปแบบ Quasimodo คือ หลังจากการปรับตัวขึ้น (Rally) หรือการเทขายออก (Sell-off) ครั้งสำคัญ ไม่ว่าจะอยู่ในกรอบเวลา (Timeframe) ใดก็ตาม รูปแบบกราฟราคาทั้งหมดมีลักษณะเป็นแฟร็กทัล (Fractal) ซึ่งหมายความว่ามันสามารถปรากฏในรูปแบบที่คล้ายกันในกรอบเวลาที่แตกต่างกัน ตั้งแต่กราฟรายวันไปจนถึงกราฟ 1 นาที นี่เป็นข่าวดีสำหรับนักเทรดที่ใช้ การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา (Multi-Timeframe Analysis)

การที่รูปแบบ Quasimodo ปรากฏขึ้นหลังจากแนวโน้มที่มีอยู่ (ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง) บ่งบอกถึงศักยภาพในการจับการกลับตัวของแนวโน้มใหม่ทั้งหมด หรืออย่างน้อยก็มีโอกาสในการทำกำไรจากการกลับตัวชั่วคราว (Temporary Reversal)

2. จุดเข้าที่ได้เปรียบ

รูปแบบแผนภูมิ Quasimodo โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับการเทรดตามแนวโน้ม (Trend Trading) มักจะให้ จุดเข้าที่ดีกว่า ซึ่งหมายถึงโอกาสในการเข้าซื้อหรือขายในราคาที่ได้เปรียบตั้งแต่ช่วงต้นของการกลับตัว แทนที่จะรอให้แนวโน้มใหม่ยืนยันอย่างชัดเจน ซึ่งมักจะส่งผลให้สัญญาณเข้าล่าช้าเกินไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าแม้ว่ารูปแบบ Quasimodo จะมีข้อดีเรื่องจุดเข้า แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน เช่น โอกาสที่จะเกิดสัญญาณหลอก (False Signals) หรือการที่รูปแบบไม่สมบูรณ์ นักเทรดจึงควรใช้เครื่องมือยืนยันอื่น ๆ ร่วมด้วยเสมอ

การซื้อขายรูปแบบ Quasimodo ทำงานอย่างไร: กลไกเบื้องหลังการกลับตัว

รูปแบบ Quasimodo ทำงานโดยอาศัยหลักการพื้นฐานของ ความไม่สมดุลระหว่างแรงอุปทานและอุปสงค์ (Supply and Demand Imbalance) ในตลาด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การติดตามการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างราคา (Price Structure)

1. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด

โครงสร้างตลาดโดยทั่วไปจะประกอบด้วยชุดของจุดสูงสุดที่สูงขึ้น (Higher Highs – HH) และจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Lows – HL) ในแนวโน้มขาขึ้น หรือชุดของจุดต่ำสุดที่ต่ำลง (Lower Lows – LL) และจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower Highs – LH) ในแนวโน้มขาลง

เมื่อรูปแบบ Quasimodo เริ่มก่อตัวขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การทำลายโครงสร้างตลาด (Break of Market Structure – BMS) ราคาจะเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มเดิม นั่นคือ ในแนวโน้มขาขึ้น ราคาจะไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิมได้อีกต่อไป (Fail to make HH) และเริ่มสร้างจุดต่ำสุดที่ต่ำลง (LL) ก่อนที่จะเกิดการกลับตัวอย่างสมบูรณ์

ตัวอย่างการทำลายโครงสร้างตลาด:
quasimodo forex

2. การตีความการไหลของสินทรัพย์

กลยุทธ์การซื้อขายของ Quasimodo ให้กรอบการทำงานที่เหมาะสมแก่นักเทรดในการตีความการลดลงและการไหลของสินทรัพย์ใดๆ ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงิน (Forex), สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrencies), หุ้น (Stocks), สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) เป็นต้น

  • Bearish Quasimodo: เกี่ยวข้องกับวิธีที่ตลาดเปลี่ยนจากโมเมนตัมการซื้อ (Bullish Momentum) ไปสู่โมเมนตัมการขาย (Bearish Momentum) รูปแบบจะเริ่มมองเห็นได้ก็ต่อเมื่อราคาไม่สามารถทำจุดสูงสุดที่สูงขึ้นได้อีกต่อไป (Higher High) แต่กลับสร้างจุดต่ำสุดที่ต่ำลง (Lower Low)
  • Bullish Quasimodo: เกี่ยวข้องกับวิธีที่ตลาดเปลี่ยนจากโมเมนตัมการขาย (Bearish Momentum) ไปสู่โมเมนตัมการซื้อ (Bullish Momentum) รูปแบบจะเริ่มมองเห็นได้ก็ต่อเมื่อราคาไม่สามารถทำจุดต่ำสุดที่ต่ำลงได้อีกต่อไป (Lower Low) แต่กลับสร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้น (Higher High)

สำหรับนักเทรดมือใหม่ การทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันช่วยให้คุณมีกรอบความคิดที่ชัดเจนในการวิเคราะห์ตลาด อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องจำคือ นี่เป็นเพียงแนวทางหนึ่งในการมองตลาด ไม่ใช่วิธีเดียวเท่านั้น นักเทรดควรศึกษาและทำความเข้าใจแนวคิดการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ

กฎการซื้อขายรูปแบบ Quasimodo: ขั้นตอนสู่การทำกำไร

เพื่อให้การเทรดด้วยรูปแบบ Quasimodo มีประสิทธิภาพสูงสุด นักเทรดควรถือปฏิบัติตามกฎและขั้นตอนที่ชัดเจน ดังนี้:

กฎการซื้อขาย Quasimodo สำหรับสัญญาณขาย (Bearish Quasimodo)

สัญญาณขาย (Sell Signal) จะเกิดขึ้นเมื่อรูปแบบ Bearish Quasimodo ก่อตัวขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง

  1. ระบุแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน: ก่อนเกิดรูปแบบ Quasimodo ต้องมีแนวโน้มขาขึ้นที่แพร่หลาย ซึ่งประกอบด้วยชุดของจุดสูงสุดที่สูงขึ้น (Higher Highs – HH) ตามด้วยชุดของจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Lows – HL)
  2. สังเกตการทำลายโครงสร้างตลาด (Break of Market Structure – BMS): ราคาเริ่มแสดงสัญญาณความอ่อนแอของแนวโน้มขาขึ้น โดยไม่สามารถทำ HH ใหม่ได้ และเริ่มสร้างจุดต่ำสุดที่ต่ำลง (Lower Low – LL) ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแรงซื้อขาย
  3. วางคำสั่งขาย (Sell Order): วางคำสั่งขายใกล้บริเวณ “ไหล่ขวา” (Right Shoulder) ของรูปแบบ Quasimodo ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคือบริเวณที่ราคาดีดตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต (มักจะอยู่ใกล้กับจุดสูงสุดของไหล่ซ้าย)
  4. ตั้งค่าหยุดการขาดทุน (Stop Loss): ซ่อน จุดหยุดการขาดทุน ไว้เหนือจุดสูงสุดที่สูงกว่าล่าสุด (Latest Higher High – HH) ของรูปแบบ เพื่อจำกัดความเสี่ยงหากราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์
  5. กำหนดจุดทำกำไร (Take Profit): ขายทำกำไรใกล้บริเวณ “หุบเขาแรก” (First Valley) ของรูปแบบแผนภูมิ Quasimodo ซึ่งเป็นเป้าหมายราคาที่เป็นไปได้แรกของการกลับตัว

แผนภูมิ Forex แสดงรูปแบบ Bearish Quasimodo:
รูปแบบ quasimodo

กฎทั่วไปเพิ่มเติม: รูปแบบ Quasimodo จะมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือมากขึ้น หาก “หุบเขาที่สอง” อยู่ต่ำกว่า “หุบเขาแรก” มาก นั่นหมายความว่ายิ่งระยะห่างระหว่างระดับของหุบเขาทั้งสองมากเท่าใด รูปแบบ Quasimodo ก็ยิ่งแสดงถึงความ “คดเคี้ยว” และสัญญาณการกลับตัวที่แข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

กฎการซื้อขาย Quasimodo สำหรับสัญญาณซื้อ (Bullish Quasimodo)

สัญญาณซื้อ (Buy Signal) จะเกิดขึ้นเมื่อรูปแบบ Bullish Quasimodo ก่อตัวขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น

  1. ระบุแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน: ก่อนเกิดรูปแบบ Quasimodo ต้องมีแนวโน้มขาลงที่แพร่หลาย ซึ่งประกอบด้วยชุดของจุดต่ำสุดที่ต่ำลง (Lower Lows – LL) ตามด้วยชุดของจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower Highs – LH)
  2. สังเกตการทำลายโครงสร้างตลาด (Break of Market Structure – BMS): ราคาเริ่มแสดงสัญญาณความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาลง โดยไม่สามารถทำ LL ใหม่ได้ และเริ่มสร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้น (Higher High – HH) ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแรงขาย
  3. วางคำสั่งซื้อ (Buy Order): วางคำสั่งซื้อใกล้บริเวณ “ไหล่ขวา” (Right Shoulder) ของรูปแบบ Quasimodo ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคือบริเวณที่ราคาดีดตัวลงไปทดสอบแนวรับที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต (มักจะอยู่ใกล้กับจุดต่ำสุดของไหล่ซ้าย)
  4. ตั้งค่าหยุดการขาดทุน (Stop Loss): ซ่อนจุดหยุดการขาดทุนไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดที่ต่ำลงล่าสุด (Latest Lower Low – LL) ของรูปแบบ เพื่อจำกัดความเสี่ยงหากราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์
  5. กำหนดจุดทำกำไร (Take Profit): ขายทำกำไรใกล้บริเวณ “จุดสูงสุดแรก” (First Peak) ของรูปแบบแผนภูมิ Quasimodo ซึ่งเป็นเป้าหมายราคาที่เป็นไปได้แรกของการกลับตัว

แผนภูมิ Forex แสดงรูปแบบ Bullish Quasimodo (USD/JPY):
การซื้อขาย quasimodo

เคล็ดลับการเทรดเพิ่มเติม: การตรวจสอบความ “คดเคี้ยว” ของ Quasimodo
หากคุณต้องการทดสอบว่ารูปแบบกราฟ Quasimodo มีความ “คดเคี้ยว” มากน้อยเพียงใด ให้ลองวาดเส้นบางๆ ตามโครงสร้างราคา (Higher Highs, Lower Lows, Higher Lows, Lower Highs) บนกราฟ เมื่อคุณทำเช่นนี้ โครงสร้างราคา Quasimodo ที่ “ผิดรูป” จะปรากฏขึ้นบนกราฟราคาของคุณอย่างชัดเจน ความคดเคี้ยวที่ชัดเจนจะช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือของรูปแบบได้ดีขึ้น

กลยุทธ์การซื้อขาย Quasimodo ขั้นสูง: ผสาน Fibonacci เพื่อความแม่นยำ

แม้ว่ากฎพื้นฐานของ Quasimodo จะมีประสิทธิภาพ แต่เราสามารถเพิ่มความแม่นยำและลดโอกาสที่พลาดการเทรดด้วยการผสานเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวบ่งชี้ Fibonacci Retracement

ทำไมต้องใช้ Fibonacci Retracement?

ปัญหาหนึ่งที่มักเกิดขึ้นกับการเทรดรูปแบบ Quasimodo แบบพื้นฐานคือ “โอกาสที่พลาดไปมากมาย” (Missed Opportunities) เนื่องจากคลื่นสุดท้ายของการแกว่งราคา (Swing) ในรูปแบบ Quasimodo ไม่ได้ยืดไปถึงบริเวณ “ไหล่ซ้าย” เสมอไป ซึ่งอาจทำให้เราพลาดจังหวะเข้าออเดอร์ที่ดีไปได้

ตัวบ่งชี้ Fibonacci Retracement สามารถช่วยให้เราคาดการณ์ว่าการแกว่งของราคาล่าสุดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบแผนภูมิ Quasimodo อาจจะสิ้นสุดที่ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันช่วยให้เราสามารถระบุ โซนราคาที่น่าเชื่อถือของแนวรับและแนวต้าน ได้

การประยุกต์ใช้ Fibonacci ในกลยุทธ์ Quasimodo

เรามีความสนใจเป็นพิเศษในโซนราคาระหว่าง ระดับ 50% Fibonacci Retracement และ 61.8% Fibonacci Retracement โดยที่ “จุดที่น่าสนใจที่สุด” (Sweet Spot) คือ ระดับ 61.8% Fibonacci Retracement ซึ่งมักจะเป็นบริเวณที่ราคาจะกลับตัวเมื่ออยู่ในช่วงของการปรับฐาน (Retracement)

ตัวอย่างการใช้ Fibonacci ร่วมกับ Quasimodo (กราฟ USD/JPY):
ตัวบ่งชี้รูปแบบ quasimodo
ในตัวอย่างของ USD/JPY ที่เคยพลาดโอกาสไปก่อนหน้านี้ การใช้กฎใหม่ของกลยุทธ์ Quasimodo ขั้นสูงนี้จะช่วยให้เราสามารถจับการกลับตัวได้อย่างสมบูรณ์ โดย USD/JPY พบแนวรับระหว่าง 50% Fibonacci Retracement และ Golden Ratio (61.8%) ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการเข้าซื้อ

3. การประเมินคุณภาพของ Swing Highs และ Swing Lows ด้วยรูปแบบ “V-Shape”

อีกประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อเทรดรูปแบบ Quasimodo คือ คุณภาพของจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของการแกว่ง (Swing Highs and Swing Lows) ในการหาปริมาณคุณภาพนี้ เราจะพิจารณาเฉพาะจุดที่มี รูปแบบ “รูปตัววี” (V-Shape Formation) หรือที่เรียกว่า “ยอดวี” (V-tops) และ “ก้นวี” (V-bottoms)

  • Swing Low รูปตัว V: สามารถรับรู้ได้ง่ายโดยราคาที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วจากตลาดหมี (Bearish Market) เป็นตลาดกระทิง (Bullish Market)
  • Swing High รูปตัว V: สามารถรับรู้ได้ง่ายโดยราคาที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วจากตลาดกระทิง (Bullish Market) เป็นตลาดหมี (Bearish Market)

การเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและชัดเจนในรูปแบบตัว V บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแรงซื้อขายที่รุนแรงและมีนัยสำคัญ ซึ่งจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับรูปแบบ Quasimodo

ตัวอย่าง V-Shape ในโครงสร้างราคา Quasimodo (กราฟ USD/JPY):
ตัวบ่งชี้ quasimodo
หากเราตรวจสอบโครงสร้างราคาของกราฟ USD/JPY เดียวกันและรูปแบบกราฟ Quasimodo เราจะสังเกตเห็นว่าทุกส่วนการแกว่งสูงและต่ำของรูปแบบ Quasimodo เป็นรูปตัววี ซึ่งเป็นการยืนยันคุณภาพของรูปแบบและเพิ่มความมั่นใจในการเข้าเทรด

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรดด้วย Quasimodo

คำถาม คำตอบ
1. รูปแบบ Quasimodo แตกต่างจาก Head and Shoulder อย่างไร? ความแตกต่างหลักอยู่ที่โครงสร้างของหุบเขา (Valleys) ในรูปแบบ Head and Shoulder หุบเขาทั้งสองข้างมักจะมีระดับเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน แต่ในรูปแบบ Quasimodo หุบเขาที่สองจะอยู่ต่ำกว่า (สำหรับ Bearish QM) หรือสูงกว่า (สำหรับ Bullish QM) หุบเขาแรกอย่างชัดเจน ทำให้โครงสร้างดูไม่สมมาตร นอกจากนี้ จุดเข้าออเดอร์ก็แตกต่างกัน โดย Quasimodo จะพิจารณาเข้าใกล้ “ไหล่ซ้าย” ในขณะที่ Head and Shoulder มักจะรอการทะลุแนวรับ (Neckline)
2. ควรใช้ Quasimodo ในกรอบเวลาใด? รูปแบบ Quasimodo มีลักษณะเป็นแฟร็กทัล หมายความว่าสามารถปรากฏในกรอบเวลาใดก็ได้ ตั้งแต่กราฟรายวัน (Daily) ไปจนถึงกราฟ 1 นาที (1-minute chart) ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับนักเทรดที่ใช้กลยุทธ์หลากหลายกรอบเวลา อย่างไรก็ตาม การเทรดในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้นมักจะให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากมี Noise น้อยกว่า
3. การใช้ Fibonacci Retracement ช่วยเสริม Quasimodo อย่างไร? การใช้ Fibonacci Retracement ช่วยให้เราสามารถระบุโซนราคาที่มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างระดับ 50% และ 61.8% Fibonacci Retracement ซึ่งเป็น “Sweet Spot” ในการหาจุดเข้าออเดอร์ วิธีนี้ช่วยลดโอกาสในการพลาดการเทรดที่อาจเกิดขึ้นได้ หากราคากลับตัวไม่ถึงบริเวณ “ไหล่ซ้าย” พอดี
4. อะไรคือความสำคัญของรูปแบบ V-Shape ใน Quasimodo? รูปแบบ V-Shape ในจุด Swing Highs และ Swing Lows บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแรงซื้อขายที่รุนแรงและมีนัยสำคัญ การเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วในรูปแบบตัว V ช่วยยืนยันคุณภาพและความน่าเชื่อถือของรูปแบบ Quasimodo ซึ่งเพิ่มความมั่นใจในการเข้าเทรด หากรูปแบบไม่มี V-Shape ที่ชัดเจน อาจบ่งบอกถึงความอ่อนแอของสัญญาณและควรระมัดระวังมากขึ้น
5. รูปแบบ Quasimodo มีข้อจำกัดหรือความเสี่ยงอะไรบ้าง? เช่นเดียวกับรูปแบบกราฟอื่น ๆ Quasimodo ไม่ได้แม่นยำ 100% อาจเกิดสัญญาณหลอก (False Signals) หรือรูปแบบไม่สมบูรณ์ได้ นอกจากนี้ การระบุรูปแบบด้วยตาเปล่าอาจทำได้ยากกว่า Head and Shoulder เนื่องจากความไม่สมมาตร นักเทรดจึงควรใช้เครื่องมือยืนยันอื่น ๆ เช่น Indicator, Price Action, หรือ Volume Analysis ร่วมด้วยเสมอ เพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นของความสำเร็จและบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

สรุป: การใช้กลยุทธ์ Quasimodo เพื่อการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ

การซื้อขายรูปแบบ Quasimodo เป็นหนึ่งในเทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีศักยภาพสูงในการจับสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มในตลาด Forex และสินทรัพย์อื่น ๆ แม้จะเป็นรูปแบบที่อาจจะต้องใช้ความเข้าใจและประสบการณ์ในการระบุ แต่ด้วยหลักการที่ชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้างราคาที่ประกอบด้วย “สามยอดและสองหุบเขาที่ไม่สมมาตร” รวมถึงการทำลายโครงสร้างตลาด ทำให้ Quasimodo เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักเทรด

หัวใจสำคัญของความสำเร็จในการใช้กลยุทธ์ Quasimodo คือการไม่กลัวที่จะลองใช้ แม้จะเป็นรูปแบบที่ใหม่สำหรับบางคน การรวมองค์ประกอบทั้งหมดของรูปแบบการกลับตัวเข้าด้วยกันอย่างถูกต้อง การกำหนดจุดเข้าและจุดออกที่แม่นยำ (Stop Loss และ Take Profit) ตามกฎที่วางไว้ จะช่วยให้นักเทรดสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้เครื่องมือเสริมอย่าง Fibonacci Retracement เพื่อหาโซนการกลับตัวที่มีศักยภาพ และการประเมินคุณภาพของ Swing Highs/Lows ด้วยรูปแบบ V-Shape จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและความมั่นใจในการเทรดมากยิ่งขึ้น การศึกษาและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้นักเทรดสามารถใช้ กลยุทธ์การซื้อขาย Quasimodo ได้อย่างเชี่ยวชาญ และสร้างความสำเร็จในการเทรดระยะยาว

………………………………………………………………………………………………………………………………

ฟรี! ระบบเทรดอัตโนมัติ
สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการใช้ EA indicator ระบบเทรดอัตโนมัติ และเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี
มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงค์ด้านล่าง ก็สามารถรับ EA ระบบเทรดอัตโนมัติ ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆอื่นๆได้อีกในอนาคต
XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
exness – โบรคเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด
**”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อ
ขอรับ EA ได้ฟรี!”**
.
ช่องทางการพูดคุย
.
Line Id :: @ft.th
.
.
กลุ่มพูดคุย :: เทรดฟอเร็กซ์ให้ได้กําไรอย่างยั่งยืน
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line