TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

7 กลยุทธ์การทำกำไรในการซื้อขาย Forex?

ตุลาคม 3, 2022

ปลดล็อกกำไรสูงสุด: 7 กลยุทธ์การทำกำไร Forex ที่มืออาชีพใช้

กลยุทธ์การทำกำไร Forex

ในการซื้อขายในตลาด Forex หนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ทั้งมือใหม่และมืออาชีพ ไม่ใช่แค่การหาจุดเข้าซื้อขายที่ทำกำไรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตัดสินใจที่สำคัญว่า “เมื่อใดควรออกจากการซื้อขายเพื่อรักษากำไรที่ทำได้” การจัดการกับอารมณ์ความโลภที่อยากได้เพิ่ม และความกลัวที่จะขาดทุนเมื่อตลาดเริ่มกลับตัว เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์จำนวนมากประสบปัญหา นี่คือเหตุผลที่กลยุทธ์การทำกำไร (Profit-Taking Strategies) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และเป็นส่วนประกอบที่ไม่สามารถละเลยได้ในระบบการซื้อขายที่สมบูรณ์แบบ

บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมายและบทบาทของกลยุทธ์การทำกำไร พร้อมนำเสนอ 7 กลยุทธ์ยอดนิยมที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยให้เทรดเดอร์สามารถล็อกกำไรและปรับปรุงประสิทธิภาพการซื้อขายได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ เราจะอธิบายวิธีการนำแต่ละกลยุทธ์ไปใช้ ประโยชน์ที่ได้รับ ข้อควรระวัง และตัวอย่างประกอบ เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณได้อย่างแท้จริง

กลยุทธ์การทำกำไรในการซื้อขาย Forex คืออะไร?

กลยุทธ์การทำกำไร (Profit-Taking Strategy) คือ ชุดของกฎเกณฑ์หรือหลักการที่เทรดเดอร์ใช้เพื่อกำหนดจุดออกจากการซื้อขายที่เปิดอยู่ เพื่อรักษาและเพิ่มผลกำไรสูงสุดที่ทำได้ หรือในบางกรณีคือการจำกัดการขาดทุนไม่ให้บานปลาย โดยเป้าหมายหลักคือการป้องกันไม่ให้กำไรที่กำลังเกิดขึ้นกลับกลายเป็นขาดทุนเมื่อตลาดเปลี่ยนทิศทาง การมีกลยุทธ์การทำกำไรที่ชัดเจนช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจได้อย่างมีวินัย ไม่ใช้อารมณ์ และเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการ บริหารความเสี่ยง และ วางแผนการเทรด โดยรวม

ความสำคัญของกลยุทธ์การทำกำไร

  • ป้องกันการคืนกำไร: หลายครั้งที่เทรดเดอร์เห็นกำไรลอยตัวจำนวนมาก แต่กลับไม่ปิดสถานะเพราะความโลภ สุดท้ายกำไรนั้นก็หายไปหรือกลายเป็นขาดทุน กลยุทธ์การทำกำไรจะช่วยกำหนดจุดที่เหมาะสมในการล็อกกำไรไว้
  • สร้างวินัยในการเทรด: การมีกฎที่ชัดเจนว่าจะออกเมื่อไหร่ ช่วยลดการตัดสินใจที่ใช้อารมณ์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เทรดเดอร์มือใหม่ล้มเหลว
  • เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยง: การตั้ง Take Profit ควบคู่ไปกับ Stop Loss เป็นหลักการพื้นฐานของการ บริหารความเสี่ยง ทำให้แต่ละการเทรดมี Risk-Reward Ratio ที่เหมาะสม
  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน: เมื่อปิดการเทรดที่ทำกำไรได้เร็วขึ้น เงินทุนก็จะพร้อมสำหรับการเทรดครั้งต่อไป ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรโดยรวม

วิธีการใช้กลยุทธ์การทำกำไร

เทรดเดอร์มีวิธีการใช้กลยุทธ์การทำกำไรที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับสไตล์และสถานการณ์ตลาด ได้แก่:

  • ปิดตำแหน่งทั้งหมดในคราวเดียว (Full Exit): เมื่อราคาไปถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็จะปิดสถานะทั้งหมดทันที
  • ปิดตำแหน่งบางส่วน (Partial Exit / Scaling Out): เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการและทำกำไรได้ระดับหนึ่ง อาจปิดสถานะบางส่วนเพื่อล็อกกำไรไว้ก่อน แล้วปล่อยส่วนที่เหลือวิ่งต่อไปเพื่อทำกำไรที่มากขึ้น ซึ่งเป็นการ บริหารความเสี่ยง ได้ดี
  • อิงการวิเคราะห์ทางเทคนิค: กำหนดเป้าหมายกำไรจากระดับราคาสำคัญ, อินดิเคเตอร์ หรือรูปแบบกราฟ
  • เป้าหมายคงที่: กำหนดเป้าหมายเป็นจำนวน Pip หรือมูลค่าดอลลาร์ที่แน่นอน เช่น 50 pips, $100
  • ตามความรู้สึกหรือข่าวสาร: แม้ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่ แต่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์อาจใช้สัญชาตญาณหรือตอบสนองต่อ ข่าวเศรษฐกิจ ที่สำคัญซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถานะที่เปิดอยู่

7 กลยุทธ์การทำกำไร Forex ที่สำคัญและมีประสิทธิภาพ

หลังจากเข้าใจพื้นฐานของกลยุทธ์การทำกำไรแล้ว มาเจาะลึกถึง 7 กลยุทธ์ยอดนิยมที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับการซื้อขาย Forex ของคุณได้

1. การออกตามแนวโน้ม (Trend Following Exits) ด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)

กลยุทธ์นี้เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและง่ายที่สุดในการกำหนดจุดออก โดยเฉพาะในตลาดที่มี แนวโน้ม ชัดเจน เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เป็น อินดิเคเตอร์ พื้นฐานที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้เทรดเดอร์ระบุทิศทางของแนวโน้มและจุดกลับตัวที่เป็นไปได้

คืออะไร/ทำงานอย่างไร

การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำหรับการออกจากการซื้อขายอาศัยหลักการที่ว่า ตราบใดที่ราคายังคงอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (สำหรับแนวโน้มขาขึ้น) หรือต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (สำหรับแนวโน้มขาลง) เทรนด์นั้นยังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดกับเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (หรือราคาทะลุเส้นค่าเฉลี่ยที่สำคัญ) นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการอ่อนตัวของแนวโน้ม หรือการเริ่มต้นของการกลับตัว

ทำไมถึงใช้

  • ความเรียบง่าย: เป็นกลยุทธ์ที่เข้าใจและนำไปใช้ง่าย ไม่ซับซ้อน
  • การติดตามแนวโน้ม: ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถ “ปล่อยให้กำไรวิ่ง” ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในตลาดที่มีแนวโน้ม
  • เป็นระบบ: สัญญาณออกค่อนข้างชัดเจน ลดการใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ

ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ

  • ตลาดที่มีแนวโน้ม: กลยุทธ์นี้ทำงานได้ดีที่สุดในตลาดที่มี แนวโน้ม ที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง
  • หลีกเลี่ยงตลาด Sideway: ในตลาดที่ราคาเคลื่อนไหวแบบ Sideway หรือไม่มีแนวโน้มชัดเจน (Consolidating) กลยุทธ์นี้จะให้สัญญาณหลอกบ่อยครั้ง (whipsaws) ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนเล็กน้อยหลายครั้ง

ตัวอย่าง: การใช้ 5 และ 20 Simple Moving Average (SMA)

เทรดเดอร์จำนวนมากนิยมใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Simple Moving Average (SMA) โดยเฉพาะ 5-period SMA (เส้นสีน้ำเงิน) และ 20-period SMA (เส้นสีแดง) สำหรับการออกจากการซื้อขาย:

  • สำหรับสถานะ Long (ซื้อ): จะถือสถานะไว้ตราบใดที่ 5-period SMA ยังคงอยู่เหนือ 20-period SMA เมื่อ 5-period SMA ตัดลงต่ำกว่า 20-period SMA ถือเป็นสัญญาณให้ออกจากสถานะ
  • สำหรับสถานะ Short (ขาย): จะถือสถานะไว้ตราบใดที่ 5-period SMA ยังคงอยู่ต่ำกว่า 20-period SMA เมื่อ 5-period SMA ตัดขึ้นสูงกว่า 20-period SMA ถือเป็นสัญญาณให้ออกจากสถานะ

การออกตามแนวโน้มด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

จากแผนภูมิ US500 ด้านบน แสดงให้เห็นแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021 หากคุณเข้าซื้อและใช้กลยุทธ์ 5/20 SMA Crossover คุณจะสามารถทำกำไรได้ดีมากจากการถือสถานะตามแนวโน้ม

Moving Average ในตลาด Sideway

แต่ในแผนภูมิ AUD/USD ด้านบน ซึ่งแสดงช่วงเวลาของการรวมบัญชี (Consolidation) จะเห็นว่าสัญญาณออกด้วย 5/20 SMA Crossover จะเกิดขึ้นบ่อยครั้งและอาจทำให้เกิดการขาดทุนเล็กน้อยจากการถูก “สับเข้าสับออก” (choppy market) ซึ่งตอกย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์นี้ในตลาดที่มีแนวโน้มเท่านั้น

2. Trailing Stop ด้วย Average True Range (ATR)

กลยุทธ์ Trailing Stop (จุดหยุดเคลื่อนที่) โดยใช้ Average True Range (ATR) เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการกำหนดจุดออกที่ปรับตาม ความผันผวน ของคู่สกุลเงินหรือตราสารที่คุณกำลังซื้อขาย ทำให้จุดหยุดมีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

คืออะไร/ทำงานอย่างไร

ATR คือ อินดิเคเตอร์ ที่ใช้วัดค่า ความผันผวน โดยเฉลี่ยในช่วงเวลาหนึ่งๆ ยิ่งค่า ATR สูง ตราสารนั้นก็ยิ่งมีความผันผวนมาก และมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในกรอบที่กว้างขึ้น การใช้ ATR ในการตั้ง Trailing Stop หมายถึงการกำหนดจุดออกที่ “ตามหลัง” ราคา โดยมีระยะห่างที่สัมพันธ์กับความผันผวนของตลาดในขณะนั้น

ทำไมถึงใช้

  • ปรับตามความผันผวน: นี่คือข้อดีหลัก หากตลาดมีความผันผวนสูง จุดหยุดของคุณจะถูกตั้งให้กว้างขึ้น เพื่อป้องกันการถูก Stop Out โดยไม่จำเป็น ในทางกลับกัน หากตลาดมีความผันผวนต่ำ จุดหยุดก็จะอยู่ใกล้ราคามากขึ้น เพื่อรักษากำไรที่ทำได้
  • ลดโอกาสถูก Stop Out ก่อนเวลาอันควร: การหยุดที่ไม่ยืดหยุ่น อาจทำให้ถูก Stop Out ได้ง่ายเมื่อตลาดมีความผันผวนสูง ATR ช่วยให้คุณให้ “พื้นที่หายใจ” แก่การเทรดมากขึ้น
  • เป็นระบบและเป็นกลาง: การคำนวณ ATR เป็นไปโดยอัตโนมัติ ทำให้การตั้งจุดออกเป็นไปตามหลักการ ไม่ใช้อารมณ์

ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ

  • ตลาดทุกประเภท: ATR Trailing Stop สามารถใช้ได้กับตลาดที่มีแนวโน้มและตลาดที่ผันผวน
  • การเลือก Multiplier: โดยทั่วไปนิยมใช้ 1.5xATR, 2xATR หรือ 3xATR เพื่อกำหนดระยะห่างของจุดหยุดจากจุดต่ำสุดของวัน (สำหรับสถานะ Long) หรือจุดสูงสุดของวัน (สำหรับสถานะ Short) การเลือกค่า Multiplier ที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและตราสารที่คุณซื้อขาย
  • Long Position: Trailing Stop อาจถูกกำหนดที่ 2-3 เท่าของ ATR รายวันจากจุดต่ำสุดของวันปัจจุบันหรือแท่งเทียนก่อนหน้า
  • Short Position: Trailing Stop อาจถูกกำหนดที่ 2-3 เท่าของ ATR รายวันจากจุดสูงสุดของวันปัจจุบันหรือแท่งเทียนก่อนหน้า

ตัวอย่าง: ATR Trailing Stop ในตลาดทองคำ

ATR Trailing Stop ในตลาดทองคำ

จากแผนภูมิทองคำด้านบน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ถึงกลางเดือนสิงหาคม 2564 ค่า ATR อยู่ในช่วง 17.70 ถึง 31.37 ซึ่งหมายความว่าในช่วงที่ทองคำมีความผันผวนสูงสุด ราคาเคลื่อนไหวประมาณ $31 ต่อวัน หากคุณตั้งจุดหยุดไว้ที่ 2xATR นั่นหมายถึงประมาณ $62 จากจุดต่ำสุดของวัน การใช้ ATR ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าจุดหยุดของคุณมี “พื้นที่” เพียงพอที่จะรองรับความผันผวนของตลาดในขณะนั้น ลดโอกาสที่จะถูก Stop Out จากการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นตามปกติ

3. การใช้แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance) ในการออก

แนวรับและแนวต้านเป็นแนวคิดพื้นฐานแต่ทรงพลังในการ วิเคราะห์ทางเทคนิค ที่ใช้ในการกำหนดจุดเข้าและจุดออก การใช้ระดับเหล่านี้เป็นเป้าหมายกำไรเป็นกลยุทธ์ที่ตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพ

คืออะไร/ทำงานอย่างไร

แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่ในอดีตเคยมีแรงซื้อหรือแรงขายเข้ามามาก ทำให้ราคาเกิดการกลับตัวหรือชะลอตัวลงเมื่อมาถึงระดับเหล่านั้น:

  • แนวรับ: ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามามากพอที่จะดันราคาขึ้นไปได้
  • แนวต้าน: ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงขายเข้ามามากพอที่จะกดราคาลงมาได้

ในกลยุทธ์นี้ เทรดเดอร์จะใช้ระดับแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจนเป็นจุด Take Profit ที่เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดสถานะ Long ใกล้แนวรับ คุณสามารถตั้งเป้าหมายกำไรที่แนวต้านถัดไป

ทำไมถึงใช้

  • ชัดเจนและเข้าใจง่าย: ระดับราคาเหล่านี้มักจะเห็นได้ชัดเจนบนกราฟและเป็นจุดที่เทรดเดอร์จำนวนมากให้ความสนใจ
  • มีเหตุผลทางจิตวิทยา: เนื่องจากเทรดเดอร์จำนวนมากเฝ้าระดับเหล่านี้ ราคาจึงมีแนวโน้มที่จะตอบสนองเมื่อมาถึง
  • เหมาะกับตลาด Sideway: กลยุทธ์นี้มีประสิทธิภาพมากในตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบ (Ranging Market) ซึ่งราคามักจะเด้งไปมาระหว่างแนวรับและแนวต้าน

ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ

  • ตลาดที่มีกรอบจำกัด: ใช้ได้ดีที่สุดเมื่อคู่สกุลเงิน, ดัชนี หรือสินค้าโภคภัณฑ์เคลื่อนไหวในกรอบที่ชัดเจน
  • ระวังการ Breakout: แม้ว่า S/R จะเป็นจุดกลับตัว แต่ก็เป็นจุดที่อาจเกิดการ Breakout ได้เช่นกัน ควรมี Stop Loss เสมอ
  • ยืนยันด้วยสัญญาณอื่น: ใช้ร่วมกับ อินดิเคเตอร์ หรือ รูปแบบแท่งเทียน อื่นๆ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

ตัวอย่าง: การซื้อขาย NZD/CAD ในช่วง Sideway

แนวรับและแนวต้าน NZD/CAD

จากแผนภูมิ NZD/CAD ด้านบน แสดงให้เห็นช่วงการรวมบัญชีที่คู่สกุลเงินเคลื่อนไหวในกรอบ 300 pips ระหว่างแนวรับประมาณ 0.86 และแนวต้านประมาณ 0.89 หากคุณเข้าซื้อเมื่อราคาสัมผัสแนวรับ 0.86 คุณสามารถตั้งเป้าหมายทำกำไรก่อนถึงแนวต้านสำคัญ 0.89 ซึ่งเป็นจุดที่มีโอกาสสูงที่ราคาจะชะลอตัวหรือกลับตัวลงมา

4. การใช้สัญญาณ Divergence เพื่อออกจากตำแหน่งของคุณ

Divergence (ภาวะขัดแย้ง) เป็นหนึ่งในสัญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดและได้รับการยอมรับใน การวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่บ่งชี้ถึงการอ่อนตัวของแนวโน้มปัจจุบันและการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นได้ การเข้าใจและนำ Divergence มาใช้สามารถช่วยให้คุณออกจากสถานะที่ทำกำไรได้ก่อนที่ตลาดจะพลิกกลับ

คืออะไร/ทำงานอย่างไร

Divergence เกิดขึ้นเมื่อทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาไม่สอดคล้องกับทิศทางการเคลื่อนไหวของ อินดิเคเตอร์ ประเภท Oscillator (เช่น Stochastic, RSI, MACD) โดยแบ่งเป็นสองประเภทหลัก:

  • Bullish Divergence (ภาวะขัดแย้งขาขึ้น): เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Low) แต่ อินดิเคเตอร์ Oscillator กลับทำจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Low) นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าแรงขายกำลังอ่อนตัวลง และอาจเกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้น
  • Bearish Divergence (ภาวะขัดแย้งขาลง): เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher High) แต่ อินดิเคเตอร์ Oscillator กลับทำจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower High) นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าแรงซื้อกำลังอ่อนตัวลง และอาจเกิดการกลับตัวเป็นขาลง

เมื่อพบ Bearish Divergence ในขณะที่คุณมีสถานะ Long อยู่ ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการพิจารณาปิดสถานะเพื่อรักษากำไรไว้

ทำไมถึงใช้

  • สัญญาณเตือนล่วงหน้า: Divergence มักจะปรากฏก่อนที่ราคาจะเกิดการกลับตัวจริง ทำให้เทรดเดอร์มีโอกาสออกจากตลาดก่อนที่จะเกิดการขาดทุนหรือกำไรหดตัว
  • ความน่าเชื่อถือสูง: เป็นหนึ่งในสัญญาณที่เทรดเดอร์มืออาชีพให้ความเชื่อถือมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น

ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ

  • ยืนยันด้วย Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น: สัญญาณ Divergence ใน Timeframe ที่ใหญ่ (เช่น H4, Daily) มักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าใน Timeframe เล็ก
  • ใช้ร่วมกับแนวรับ/แนวต้าน: หาก Bearish Divergence เกิดขึ้นใกล้ระดับแนวต้านที่สำคัญ จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
  • ศึกษาอินดิเคเตอร์ที่เหมาะสม: Oscillator ยอดนิยมที่ใช้ในการหา Divergence คือ RSI, Stochastic และ MACD

ตัวอย่าง: Bearish Divergence ใน USD/CHF

Bearish Divergence USD/CHF

สมมติว่าคุณเข้าซื้อ USD/CHF จากจุดต่ำสุดในเดือนธันวาคม 2020 และสถานะของคุณกำลังทำกำไรที่ดี แต่ในช่วงกลางเดือนมีนาคม คุณสังเกตเห็น Bearish Divergence บน RSI ในกราฟรายวัน (ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น แต่ RSI ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง) ในสถานการณ์นี้ คุณสามารถพิจารณาออกจากการซื้อขายตามสัญญาณ Bearish Divergence นี้ ซึ่งจะช่วยให้คุณรักษากำไรไว้ได้ก่อนที่การปรับฐานของราคาจะเริ่มเพิ่มโมเมนตัมและทำให้กำไรของคุณลดลง

5. การออกตามเวลา (Time-based Exits)

ในขณะที่กลยุทธ์ส่วนใหญ่เน้นที่การเคลื่อนไหวของราคา การออกตามเวลาเป็นกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับ “ระยะเวลา” ที่การซื้อขายเปิดอยู่ ซึ่งสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอและลดการใช้เงินทุนในสถานะที่ไม่มีประสิทธิภาพ

คืออะไร/ทำงานอย่างไร

กลยุทธ์การออกตามเวลาหมายถึง การปิดสถานะการซื้อขายที่เปิดอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปถึงระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยไม่คำนึงถึงว่าการซื้อขายนั้นกำลังทำกำไรหรือขาดทุนมากน้อยเพียงใด หลักการคือการเชื่อว่าการเทรดที่ดีมักจะเริ่มทำกำไรอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การเทรดที่ลอยตัวอยู่เฉยๆ หรือไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญเป็นเวลานาน มักจะไม่มีทิศทางที่ชัดเจนและอาจเป็น “Dead Trade” ที่ผูกเงินทุนไว้โดยเปล่าประโยชน์

ทำไมถึงใช้

  • ป้องกันการผูกเงินทุน: การเทรดที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน จะทำให้เงินทุนถูกผูกไว้โดยไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่ดี
  • ลดความเสี่ยง: การถือสถานะไว้นานเกินไป อาจทำให้เผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันหรือข่าวสำคัญที่อาจทำให้ตลาดพลิกผัน
  • เพิ่มประสิทธิภาพ: ช่วยให้เทรดเดอร์มีวินัยในการตัดสินใจ และนำเงินทุนไปใช้ในโอกาสการซื้อขายอื่นๆ ที่มีศักยภาพมากกว่า
  • จัดการอารมณ์: การกำหนดเวลาออกที่ชัดเจน ช่วยลดความเครียดจากการเฝ้าติดตามการเทรดที่ไม่มีความคืบหน้า

ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ

  • ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาการเทรด: ระยะเวลาที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตาม สไตล์การเทรด ของคุณ
    • เทรดเดอร์ระหว่างวัน (Intraday Traders): อาจกำหนดเวลาออกที่สั้นมาก เช่น 10 นาที, 30 นาที หรือภายในสิ้นสุดช่วงเวลาตลาด
    • เทรดเดอร์รายวัน (End-of-Day Traders): อาจอนุญาตให้มีการเคลื่อนไหวด้านข้างเป็นเวลา 1-5 วันก่อนที่จะออก
    • เทรดเดอร์ระยะยาว (Swing/Position Traders): อาจกำหนดเป็นสัปดาห์หรือเดือน
  • รวมกับกลยุทธ์อื่น: แม้ว่าการออกตามเวลาจะเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลัง แต่ควรใช้ร่วมกับ Stop Loss และ Take Profit เสมอ

ตัวอย่าง: การออกตามเวลาในกราฟเงิน

การออกตามเวลาในกราฟเงิน

กราฟเงินรายชั่วโมงด้านบนแสดงช่วงเวลาของการรวมบัญชีที่ยาวนาน หากเป็นเทรดเดอร์ระยะสั้น การติดอยู่ในสถานะแบบนี้จะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายและสิ้นเปลืองโอกาสอย่างมาก การกำหนดกฎว่า “หากการเทรดนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญภายใน X ชั่วโมง/วัน ให้ปิดสถานะทันที” จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ได้

6. รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) เพื่อการออก

รูปแบบแท่งเทียน เป็นเครื่องมือ Price Action ที่มีประสิทธิภาพสูงในการระบุจุดกลับตัวและจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม การเรียนรู้รูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญสำหรับการกลับตัวสามารถให้สัญญาณออกที่มีความแม่นยำและรวดเร็ว

คืออะไร/ทำงานอย่างไร

รูปแบบแท่งเทียนคือการรวมกันของแท่งเทียนหนึ่งแท่งหรือมากกว่า ที่บ่งบอกถึงอารมณ์และพฤติกรรมของตลาดในขณะนั้น รูปแบบบางอย่างเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการต่อเนื่องของแนวโน้ม ขณะที่บางรูปแบบเป็นสัญญาณของการกลับตัว (Reversal Pattern) สำหรับกลยุทธ์การทำกำไร เราจะเน้นไปที่รูปแบบกลับตัวที่บ่งชี้ถึงการอ่อนตัวของแนวโน้มปัจจุบัน

  • สำหรับสถานะ Long (ซื้อ): มองหารูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง (Bearish Reversal Patterns) เพื่อเป็นสัญญาณในการปิดสถานะ
  • สำหรับสถานะ Short (ขาย): มองหารูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal Patterns) เพื่อเป็นสัญญาณในการปิดสถานะ

ทำไมถึงใช้

  • สัญญาณเตือนล่วงหน้า: รูปแบบแท่งเทียนมักจะให้สัญญาณเร็วกว่า อินดิเคเตอร์ อื่นๆ
  • เข้าใจอารมณ์ตลาด: รูปแบบเหล่านี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของแรงซื้อแรงขาย ณ จุดนั้นๆ
  • ใช้งานง่าย: เมื่อจดจำรูปแบบได้ การตัดสินใจจะรวดเร็ว

ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ

  • ฝึกฝนและทดสอบ: มีรูปแบบแท่งเทียนมากมาย คุณต้องทำความคุ้นเคยกับรูปแบบที่สำคัญ และทดสอบว่ารูปแบบใดทำงานได้ดีกับระบบการซื้อขายและ กรอบเวลา ของคุณ
  • ยืนยันด้วยบริบท: รูปแบบแท่งเทียนจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเกิดขึ้นที่ระดับราคาสำคัญ เช่น แนวรับหรือแนวต้าน
  • ตัวอย่างรูปแบบ Bearish Reversal ที่ควรทราบ (สำหรับการออก Long Position):

ตัวอย่าง: รูปแบบ Bearish Engulfing

รูปแบบแท่งเทียน Bearish Engulfing

แผนภูมิด้านบนแสดงรูปแบบ Bearish Engulfing ซึ่งเป็นรูปแบบกลับตัวที่แข็งแกร่ง โดยแท่งเทียนสีเขียวก่อนหน้า (แท่งเทียนขาขึ้น) ถูก “กลืน” โดยแท่งเทียนสีแดงที่ใหญ่กว่ามาก (แท่งเทียนขาลง) ยิ่งแท่งเทียนที่สอง (แท่งเทียนขาลง) มีขนาดยาวเท่าใด ยิ่งบ่งชี้ถึงแรงขายที่แข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และเป็นสัญญาณเตือนให้พิจารณาปิดสถานะ Long

7. การออกตามปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Exits)

แม้ว่าการ วิเคราะห์ทางเทคนิค จะมีความสำคัญ แต่ปัจจัยพื้นฐานก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนตลาด Forex เหตุการณ์ข่าวสำคัญสามารถสร้าง ความผันผวน รุนแรงและเปลี่ยน แนวโน้ม ตลาดในระยะยาวได้ การมีกลยุทธ์การออกตามปัจจัยพื้นฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็น

คืออะไร/ทำงานอย่างไร

กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการ ปิดสถานะการซื้อขายที่เปิดอยู่ เมื่อมี ข่าวเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์ทางการเมือง/ภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญเข้าสู่ตลาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคู่สกุลเงินหรือตราสารที่คุณกำลังซื้อขาย เทรดเดอร์จะติดตามปฏิทินเศรษฐกิจและแหล่งข่าวสาร เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และตัดสินใจว่าจะออกจากตลาดหรือไม่เพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือล็อกกำไร

ทำไมถึงใช้

  • ป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน: ข่าวสำคัญที่ไม่เป็นไปตามคาดสามารถทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว การออกก่อนจะช่วยปกป้องเงินทุน
  • ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด: บางข่าวสามารถเปลี่ยนมุมมองพื้นฐานของตลาดต่อสกุลเงินนั้นๆ ได้อย่างสิ้นเชิง การออกจะช่วยให้คุณปรับตัวตามสถานการณ์
  • ลดผลกระทบจาก Slippage: ในช่วงข่าวแรงๆ อาจเกิด Slippage (การเคลื่อนที่ของราคาที่แตกต่างจากที่คาดไว้) การออกก่อนช่วยลดความเสี่ยงนี้

ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ

  • ติดตามปฏิทินเศรษฐกิจ: ตรวจสอบ ข่าวเศรษฐกิจ ที่สำคัญและกำหนดเวลาการประกาศอย่างสม่ำเสมอ
  • ทำความเข้าใจผลกระทบ: เรียนรู้ว่า ข่าวเศรษฐกิจ แต่ละประเภท (เช่น อัตราดอกเบี้ย, GDP, CPI, NFP) มีผลกระทบต่อตลาดอย่างไร
  • พิจารณาน้ำหนักของข่าว: ข่าวบางข่าวมีผลกระทบสูงมาก (Red Folder News) ซึ่งควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

ตัวอย่าง: ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ข่าวพื้นฐานและการเคลื่อนไหวของ Dow Jones

เหตุการณ์ข่าวพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ที่ Donald Trump ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ซึ่งเป็นผลที่ไม่คาดคิดสำหรับหลายคน จะเห็นได้ว่า Dow Jones พุ่งขึ้นถึง 9,100 จุดในเวลาเพียงหนึ่งปีหลังจากข่าวดังกล่าว หากคุณมีสถานะที่อาจได้รับผลกระทบในทางลบจากข่าวนี้ การตัดสินใจออกจากตำแหน่งทันทีเมื่อข่าวถูกประกาศออกมา อาจเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด (เมื่อมองย้อนกลับไป)

เหตุการณ์ ข่าวเศรษฐกิจ พื้นฐานอื่นๆ ที่ควรพิจารณาเมื่อทำการซื้อขายในตลาด:

  • ผล NFP (Non-Farm Payroll) และข้อมูลการว่างงานทั้งหมด
  • การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง (เช่น Fed, ECB, BoJ)
  • ตัวเลข GDP (Gross Domestic Product)
  • ข้อมูลเงินเฟ้อ (CPI – Consumer Price Index)
  • การประชุมของธนาคารกลางที่สำคัญ เช่น FOMC (Federal Open Market Committee) และ ECB (European Central Bank)

ตารางสรุป 7 กลยุทธ์การทำกำไร Forex

กลยุทธ์ หลักการ ข้อดี ข้อควรระวัง/เหมาะสมกับตลาดแบบใด
1. ออกตามแนวโน้ม (Moving Averages) ใช้การตัดกันของ MA สั้น-ยาว เป็นสัญญาณออก เรียบง่าย, ปล่อยกำไรวิ่งในแนวโน้ม สัญญาณหลอกในตลาด Sideway
2. ATR Trailing Stop ปรับจุดหยุดตาม ความผันผวน ด้วย ATR ยืดหยุ่น, ลด Stop Out ก่อนเวลา ต้องเลือก Multiplier ที่เหมาะสม
3. แนวรับและแนวต้าน ใช้ระดับ S/R เป็นเป้าหมาย Take Profit ชัดเจน, เหมาะกับตลาด Sideway ระวังการ Breakout
4. สัญญาณ Divergence ราคาขัดแย้งกับ อินดิเคเตอร์ Oscillator สัญญาณกลับตัวที่แข็งแกร่ง, เตือนล่วงหน้า ต้องเข้าใจรูปแบบที่ถูกต้อง, ยืนยัน Timeframe ใหญ่
5. ออกตามเวลา ปิดสถานะเมื่อครบกำหนดเวลาที่ตั้งไว้ ป้องกันการผูกเงินทุน, ลดความเสี่ยง ต้องกำหนดระยะเวลาให้เหมาะสมกับ สไตล์การเทรด
6. รูปแบบแท่งเทียน ใช้ รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว เป็นสัญญาณออก สัญญาณรวดเร็ว, สะท้อนอารมณ์ตลาด ต้องฝึกฝนจดจำ, ใช้ร่วมกับบริบทอื่น
7. ปัจจัยพื้นฐาน ปิดสถานะตาม ข่าวเศรษฐกิจ/เหตุการณ์สำคัญ ป้องกันความเสี่ยงจาก ความผันผวน สูง, ตอบสนองการเปลี่ยนโครงสร้าง ต้องติดตามข่าวสาร, เข้าใจผลกระทบ

เลือกกลยุทธ์การทำกำไรที่เหมาะสมได้อย่างไร?

คำถามที่ว่า “กลยุทธ์การทำกำไรที่ดีที่สุดคืออะไร?” ไม่มีคำตอบเดียวที่ตายตัว เพราะความเหมาะสมของแต่ละกลยุทธ์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้:

  1. แผนการเทรด และระบบการเทรดของคุณ: กลยุทธ์การทำกำไรที่ดีที่สุดคือกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับวิธีการเข้าเทรด, การบริหารความเสี่ยง และเป้าหมายโดยรวมของระบบการเทรดของคุณ
  2. กรอบเวลา การซื้อขาย:
    • เทรดเดอร์ระยะสั้น (Scalping, Day Trading): อาจเหมาะกับกลยุทธ์ที่ให้สัญญาณออกเร็ว เช่น รูปแบบแท่งเทียน, การออกตามเวลาที่เข้มงวด
    • เทรดเดอร์ระยะกลางถึงยาว (Swing Trading, Position Trading): อาจเหมาะกับกลยุทธ์ที่ปล่อยกำไรวิ่งได้นานขึ้น เช่น ATR Trailing Stop, การออกตามแนวโน้ม
  3. สไตล์การเทรด ส่วนบุคคล:
    • เทรดเดอร์ที่ชอบความเรียบง่าย: อาจเลือกใช้ Moving Averages หรือแนวรับ/แนวต้าน
    • เทรดเดอร์ที่ชอบความแม่นยำและสัญญาณเตือนล่วงหน้า: อาจเน้นไปที่ Divergence หรือรูปแบบแท่งเทียน
  4. ความผันผวน ของตลาด: ตลาดที่มีความผันผวนสูง การใช้ ATR Trailing Stop จะช่วยได้มาก
  5. การทดสอบ (Backtesting) และ บัญชีทดลอง (Demo Account): สิ่งสำคัญที่สุดคือการทดลองใช้แต่ละกลยุทธ์ในอดีต (Backtesting) และทดสอบใน บัญชีทดลอง เพื่อดูว่ากลยุทธ์ใดทำงานได้ดีที่สุดสำหรับคุณและเครื่องมือที่คุณซื้อขาย

แนะนำให้เริ่มต้นด้วยกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและค่อยๆ เพิ่มความซับซ้อนเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น และอย่าลืมว่าการปรับแต่งและผสมผสานกลยุทธ์ต่างๆ อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: กลยุทธ์การทำกำไรแตกต่างจาก Stop Loss อย่างไร?

A: กลยุทธ์การทำกำไร (Take Profit Strategy) คือการกำหนดจุดออกเพื่อ ล็อกกำไร ที่เกิดขึ้นแล้วหรือตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้กำไรกลับเป็นขาดทุนหรือลดลง ส่วน Stop Loss คือการกำหนดจุดออกเพื่อ จำกัดการขาดทุน ไม่ให้เกินกว่าที่ยอมรับได้ ทั้งสองเป็นส่วนสำคัญของ การบริหารความเสี่ยง และควรตั้งควบคู่กันในการเทรดทุกครั้ง

Q2: ควรใช้กลยุทธ์การทำกำไรหลายกลยุทธ์พร้อมกันหรือไม่?

A: การใช้กลยุทธ์การทำกำไรหลายกลยุทธ์พร้อมกันสามารถทำได้และอาจเพิ่มประสิทธิภาพได้ ตัวอย่างเช่น คุณอาจใช้สัญญาณจาก Moving Averages เพื่อติดตามแนวโน้ม แต่ใช้ รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว หรือ Divergence เป็นสัญญาณออกที่แม่นยำยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้มากเกินไปจนซับซ้อนและเกิดความขัดแย้งกันเอง ควรเลือกกลยุทธ์ที่เสริมกันและทดสอบอย่างละเอียด

Q3: กลยุทธ์การทำกำไรแบบไหนเหมาะกับมือใหม่?

A: สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย เช่น การใช้แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance) หรือ การออกตามแนวโน้มด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เนื่องจากมีหลักการที่ชัดเจนและสังเกตได้ง่ายบนกราฟ เมื่อมีประสบการณ์และความเข้าใจมากขึ้นจึงค่อยๆ ศึกษาและนำกลยุทธ์ที่ซับซ้อนขึ้นมาใช้

Q4: การตั้ง Take Profit สำคัญแค่ไหนในการเทรด Forex?

A: การตั้ง Take Profit มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเทียบเท่ากับการตั้ง Stop Loss มันช่วยให้คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเทรด สร้างวินัย ป้องกันความโลภไม่ให้กำไรที่ทำได้หายไป และเป็นส่วนหนึ่งของการ บริหารความเสี่ยง เพื่อให้แต่ละการเทรดมี Risk-Reward Ratio ที่เหมาะสม การไม่ตั้ง Take Profit อาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการล็อกกำไรสูงสุดและเผชิญกับความผันผวนของตลาดที่ไม่จำเป็น

Q5: มีความเสี่ยงอะไรบ้างหากไม่มีกลยุทธ์การทำกำไร?

A: หากไม่มีกลยุทธ์การทำกำไรที่ชัดเจน คุณจะเผชิญกับความเสี่ยงหลายประการ เช่น:

  • การคืนกำไร (Giving Back Profits): กำไรที่เห็นบนหน้าจออาจหายไปหรือกลับเป็นขาดทุนได้ง่ายเมื่อตลาดพลิกกลับ
  • การตัดสินใจด้วยอารมณ์: ขาดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ทำให้ตัดสินใจตามความกลัวและความโลภ ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่สอดคล้องกัน
  • การผูกเงินทุน: การถือสถานะที่ไม่มีประสิทธิภาพนานเกินไป ทำให้เงินทุนของคุณถูกผูกไว้โดยเปล่าประโยชน์
  • ขาดวินัย: ระบบการเทรดที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ยากที่จะประเมินและปรับปรุงประสิทธิภาพการเทรดในระยะยาว

สรุป

กลยุทธ์การทำกำไรคือเสาหลักสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในตลาด Forex ไม่แพ้ การบริหารความเสี่ยง และการวิเคราะห์ตลาด ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์สไตล์ใด การมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการตัดสินใจออกจากการซื้อขายจะช่วยให้คุณสามารถล็อกกำไร รักษาเงินทุน และพัฒนาระเบียบวินัยในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับ แผนการเทรด, กรอบเวลา และ สไตล์การเทรด ของแต่ละบุคคล สิ่งสำคัญคือการศึกษา ทำความเข้าใจ ทดลองใช้ใน บัญชีทดลอง และปรับแต่งให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดจริง เพื่อให้คุณสามารถปลดล็อกศักยภาพการทำกำไรสูงสุดในเส้นทางการซื้อขายของคุณ

หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรด Forex หรือต้องการเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจ สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราเพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกและแหล่งความรู้เพิ่มเติม

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line