ปลดล็อกกำไรสูงสุด: 7 กลยุทธ์การทำกำไร Forex ที่มืออาชีพใช้

ในการซื้อขายในตลาด Forex หนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ทั้งมือใหม่และมืออาชีพ ไม่ใช่แค่การหาจุดเข้าซื้อขายที่ทำกำไรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตัดสินใจที่สำคัญว่า “เมื่อใดควรออกจากการซื้อขายเพื่อรักษากำไรที่ทำได้” การจัดการกับอารมณ์ความโลภที่อยากได้เพิ่ม และความกลัวที่จะขาดทุนเมื่อตลาดเริ่มกลับตัว เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์จำนวนมากประสบปัญหา นี่คือเหตุผลที่กลยุทธ์การทำกำไร (Profit-Taking Strategies) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และเป็นส่วนประกอบที่ไม่สามารถละเลยได้ในระบบการซื้อขายที่สมบูรณ์แบบ
บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมายและบทบาทของกลยุทธ์การทำกำไร พร้อมนำเสนอ 7 กลยุทธ์ยอดนิยมที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยให้เทรดเดอร์สามารถล็อกกำไรและปรับปรุงประสิทธิภาพการซื้อขายได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ เราจะอธิบายวิธีการนำแต่ละกลยุทธ์ไปใช้ ประโยชน์ที่ได้รับ ข้อควรระวัง และตัวอย่างประกอบ เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณได้อย่างแท้จริง
กลยุทธ์การทำกำไรในการซื้อขาย Forex คืออะไร?
กลยุทธ์การทำกำไร (Profit-Taking Strategy) คือ ชุดของกฎเกณฑ์หรือหลักการที่เทรดเดอร์ใช้เพื่อกำหนดจุดออกจากการซื้อขายที่เปิดอยู่ เพื่อรักษาและเพิ่มผลกำไรสูงสุดที่ทำได้ หรือในบางกรณีคือการจำกัดการขาดทุนไม่ให้บานปลาย โดยเป้าหมายหลักคือการป้องกันไม่ให้กำไรที่กำลังเกิดขึ้นกลับกลายเป็นขาดทุนเมื่อตลาดเปลี่ยนทิศทาง การมีกลยุทธ์การทำกำไรที่ชัดเจนช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจได้อย่างมีวินัย ไม่ใช้อารมณ์ และเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการ บริหารความเสี่ยง และ วางแผนการเทรด โดยรวม
ความสำคัญของกลยุทธ์การทำกำไร
- ป้องกันการคืนกำไร: หลายครั้งที่เทรดเดอร์เห็นกำไรลอยตัวจำนวนมาก แต่กลับไม่ปิดสถานะเพราะความโลภ สุดท้ายกำไรนั้นก็หายไปหรือกลายเป็นขาดทุน กลยุทธ์การทำกำไรจะช่วยกำหนดจุดที่เหมาะสมในการล็อกกำไรไว้
- สร้างวินัยในการเทรด: การมีกฎที่ชัดเจนว่าจะออกเมื่อไหร่ ช่วยลดการตัดสินใจที่ใช้อารมณ์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เทรดเดอร์มือใหม่ล้มเหลว
- เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยง: การตั้ง Take Profit ควบคู่ไปกับ Stop Loss เป็นหลักการพื้นฐานของการ บริหารความเสี่ยง ทำให้แต่ละการเทรดมี Risk-Reward Ratio ที่เหมาะสม
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน: เมื่อปิดการเทรดที่ทำกำไรได้เร็วขึ้น เงินทุนก็จะพร้อมสำหรับการเทรดครั้งต่อไป ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรโดยรวม
วิธีการใช้กลยุทธ์การทำกำไร
เทรดเดอร์มีวิธีการใช้กลยุทธ์การทำกำไรที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับสไตล์และสถานการณ์ตลาด ได้แก่:
- ปิดตำแหน่งทั้งหมดในคราวเดียว (Full Exit): เมื่อราคาไปถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็จะปิดสถานะทั้งหมดทันที
- ปิดตำแหน่งบางส่วน (Partial Exit / Scaling Out): เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการและทำกำไรได้ระดับหนึ่ง อาจปิดสถานะบางส่วนเพื่อล็อกกำไรไว้ก่อน แล้วปล่อยส่วนที่เหลือวิ่งต่อไปเพื่อทำกำไรที่มากขึ้น ซึ่งเป็นการ บริหารความเสี่ยง ได้ดี
- อิงการวิเคราะห์ทางเทคนิค: กำหนดเป้าหมายกำไรจากระดับราคาสำคัญ, อินดิเคเตอร์ หรือรูปแบบกราฟ
- เป้าหมายคงที่: กำหนดเป้าหมายเป็นจำนวน Pip หรือมูลค่าดอลลาร์ที่แน่นอน เช่น 50 pips, $100
- ตามความรู้สึกหรือข่าวสาร: แม้ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่ แต่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์อาจใช้สัญชาตญาณหรือตอบสนองต่อ ข่าวเศรษฐกิจ ที่สำคัญซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถานะที่เปิดอยู่
7 กลยุทธ์การทำกำไร Forex ที่สำคัญและมีประสิทธิภาพ
หลังจากเข้าใจพื้นฐานของกลยุทธ์การทำกำไรแล้ว มาเจาะลึกถึง 7 กลยุทธ์ยอดนิยมที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับการซื้อขาย Forex ของคุณได้
1. การออกตามแนวโน้ม (Trend Following Exits) ด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
กลยุทธ์นี้เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและง่ายที่สุดในการกำหนดจุดออก โดยเฉพาะในตลาดที่มี แนวโน้ม ชัดเจน เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เป็น อินดิเคเตอร์ พื้นฐานที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้เทรดเดอร์ระบุทิศทางของแนวโน้มและจุดกลับตัวที่เป็นไปได้
คืออะไร/ทำงานอย่างไร
การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำหรับการออกจากการซื้อขายอาศัยหลักการที่ว่า ตราบใดที่ราคายังคงอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (สำหรับแนวโน้มขาขึ้น) หรือต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (สำหรับแนวโน้มขาลง) เทรนด์นั้นยังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดกับเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (หรือราคาทะลุเส้นค่าเฉลี่ยที่สำคัญ) นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการอ่อนตัวของแนวโน้ม หรือการเริ่มต้นของการกลับตัว
ทำไมถึงใช้
- ความเรียบง่าย: เป็นกลยุทธ์ที่เข้าใจและนำไปใช้ง่าย ไม่ซับซ้อน
- การติดตามแนวโน้ม: ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถ “ปล่อยให้กำไรวิ่ง” ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในตลาดที่มีแนวโน้ม
- เป็นระบบ: สัญญาณออกค่อนข้างชัดเจน ลดการใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ
- ตลาดที่มีแนวโน้ม: กลยุทธ์นี้ทำงานได้ดีที่สุดในตลาดที่มี แนวโน้ม ที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง
- หลีกเลี่ยงตลาด Sideway: ในตลาดที่ราคาเคลื่อนไหวแบบ Sideway หรือไม่มีแนวโน้มชัดเจน (Consolidating) กลยุทธ์นี้จะให้สัญญาณหลอกบ่อยครั้ง (whipsaws) ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนเล็กน้อยหลายครั้ง
ตัวอย่าง: การใช้ 5 และ 20 Simple Moving Average (SMA)
เทรดเดอร์จำนวนมากนิยมใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Simple Moving Average (SMA) โดยเฉพาะ 5-period SMA (เส้นสีน้ำเงิน) และ 20-period SMA (เส้นสีแดง) สำหรับการออกจากการซื้อขาย:
- สำหรับสถานะ Long (ซื้อ): จะถือสถานะไว้ตราบใดที่ 5-period SMA ยังคงอยู่เหนือ 20-period SMA เมื่อ 5-period SMA ตัดลงต่ำกว่า 20-period SMA ถือเป็นสัญญาณให้ออกจากสถานะ
- สำหรับสถานะ Short (ขาย): จะถือสถานะไว้ตราบใดที่ 5-period SMA ยังคงอยู่ต่ำกว่า 20-period SMA เมื่อ 5-period SMA ตัดขึ้นสูงกว่า 20-period SMA ถือเป็นสัญญาณให้ออกจากสถานะ

จากแผนภูมิ US500 ด้านบน แสดงให้เห็นแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021 หากคุณเข้าซื้อและใช้กลยุทธ์ 5/20 SMA Crossover คุณจะสามารถทำกำไรได้ดีมากจากการถือสถานะตามแนวโน้ม

แต่ในแผนภูมิ AUD/USD ด้านบน ซึ่งแสดงช่วงเวลาของการรวมบัญชี (Consolidation) จะเห็นว่าสัญญาณออกด้วย 5/20 SMA Crossover จะเกิดขึ้นบ่อยครั้งและอาจทำให้เกิดการขาดทุนเล็กน้อยจากการถูก “สับเข้าสับออก” (choppy market) ซึ่งตอกย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์นี้ในตลาดที่มีแนวโน้มเท่านั้น
2. Trailing Stop ด้วย Average True Range (ATR)
กลยุทธ์ Trailing Stop (จุดหยุดเคลื่อนที่) โดยใช้ Average True Range (ATR) เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการกำหนดจุดออกที่ปรับตาม ความผันผวน ของคู่สกุลเงินหรือตราสารที่คุณกำลังซื้อขาย ทำให้จุดหยุดมีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คืออะไร/ทำงานอย่างไร
ATR คือ อินดิเคเตอร์ ที่ใช้วัดค่า ความผันผวน โดยเฉลี่ยในช่วงเวลาหนึ่งๆ ยิ่งค่า ATR สูง ตราสารนั้นก็ยิ่งมีความผันผวนมาก และมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในกรอบที่กว้างขึ้น การใช้ ATR ในการตั้ง Trailing Stop หมายถึงการกำหนดจุดออกที่ “ตามหลัง” ราคา โดยมีระยะห่างที่สัมพันธ์กับความผันผวนของตลาดในขณะนั้น
ทำไมถึงใช้
- ปรับตามความผันผวน: นี่คือข้อดีหลัก หากตลาดมีความผันผวนสูง จุดหยุดของคุณจะถูกตั้งให้กว้างขึ้น เพื่อป้องกันการถูก Stop Out โดยไม่จำเป็น ในทางกลับกัน หากตลาดมีความผันผวนต่ำ จุดหยุดก็จะอยู่ใกล้ราคามากขึ้น เพื่อรักษากำไรที่ทำได้
- ลดโอกาสถูก Stop Out ก่อนเวลาอันควร: การหยุดที่ไม่ยืดหยุ่น อาจทำให้ถูก Stop Out ได้ง่ายเมื่อตลาดมีความผันผวนสูง ATR ช่วยให้คุณให้ “พื้นที่หายใจ” แก่การเทรดมากขึ้น
- เป็นระบบและเป็นกลาง: การคำนวณ ATR เป็นไปโดยอัตโนมัติ ทำให้การตั้งจุดออกเป็นไปตามหลักการ ไม่ใช้อารมณ์
ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ
- ตลาดทุกประเภท: ATR Trailing Stop สามารถใช้ได้กับตลาดที่มีแนวโน้มและตลาดที่ผันผวน
- การเลือก Multiplier: โดยทั่วไปนิยมใช้ 1.5xATR, 2xATR หรือ 3xATR เพื่อกำหนดระยะห่างของจุดหยุดจากจุดต่ำสุดของวัน (สำหรับสถานะ Long) หรือจุดสูงสุดของวัน (สำหรับสถานะ Short) การเลือกค่า Multiplier ที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและตราสารที่คุณซื้อขาย
- Long Position: Trailing Stop อาจถูกกำหนดที่ 2-3 เท่าของ ATR รายวันจากจุดต่ำสุดของวันปัจจุบันหรือแท่งเทียนก่อนหน้า
- Short Position: Trailing Stop อาจถูกกำหนดที่ 2-3 เท่าของ ATR รายวันจากจุดสูงสุดของวันปัจจุบันหรือแท่งเทียนก่อนหน้า
ตัวอย่าง: ATR Trailing Stop ในตลาดทองคำ

จากแผนภูมิทองคำด้านบน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ถึงกลางเดือนสิงหาคม 2564 ค่า ATR อยู่ในช่วง 17.70 ถึง 31.37 ซึ่งหมายความว่าในช่วงที่ทองคำมีความผันผวนสูงสุด ราคาเคลื่อนไหวประมาณ $31 ต่อวัน หากคุณตั้งจุดหยุดไว้ที่ 2xATR นั่นหมายถึงประมาณ $62 จากจุดต่ำสุดของวัน การใช้ ATR ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าจุดหยุดของคุณมี “พื้นที่” เพียงพอที่จะรองรับความผันผวนของตลาดในขณะนั้น ลดโอกาสที่จะถูก Stop Out จากการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นตามปกติ
3. การใช้แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance) ในการออก
แนวรับและแนวต้านเป็นแนวคิดพื้นฐานแต่ทรงพลังในการ วิเคราะห์ทางเทคนิค ที่ใช้ในการกำหนดจุดเข้าและจุดออก การใช้ระดับเหล่านี้เป็นเป้าหมายกำไรเป็นกลยุทธ์ที่ตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพ
คืออะไร/ทำงานอย่างไร
แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่ในอดีตเคยมีแรงซื้อหรือแรงขายเข้ามามาก ทำให้ราคาเกิดการกลับตัวหรือชะลอตัวลงเมื่อมาถึงระดับเหล่านั้น:
- แนวรับ: ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามามากพอที่จะดันราคาขึ้นไปได้
- แนวต้าน: ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงขายเข้ามามากพอที่จะกดราคาลงมาได้
ในกลยุทธ์นี้ เทรดเดอร์จะใช้ระดับแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจนเป็นจุด Take Profit ที่เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดสถานะ Long ใกล้แนวรับ คุณสามารถตั้งเป้าหมายกำไรที่แนวต้านถัดไป
ทำไมถึงใช้
- ชัดเจนและเข้าใจง่าย: ระดับราคาเหล่านี้มักจะเห็นได้ชัดเจนบนกราฟและเป็นจุดที่เทรดเดอร์จำนวนมากให้ความสนใจ
- มีเหตุผลทางจิตวิทยา: เนื่องจากเทรดเดอร์จำนวนมากเฝ้าระดับเหล่านี้ ราคาจึงมีแนวโน้มที่จะตอบสนองเมื่อมาถึง
- เหมาะกับตลาด Sideway: กลยุทธ์นี้มีประสิทธิภาพมากในตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบ (Ranging Market) ซึ่งราคามักจะเด้งไปมาระหว่างแนวรับและแนวต้าน
ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ
- ตลาดที่มีกรอบจำกัด: ใช้ได้ดีที่สุดเมื่อคู่สกุลเงิน, ดัชนี หรือสินค้าโภคภัณฑ์เคลื่อนไหวในกรอบที่ชัดเจน
- ระวังการ Breakout: แม้ว่า S/R จะเป็นจุดกลับตัว แต่ก็เป็นจุดที่อาจเกิดการ Breakout ได้เช่นกัน ควรมี Stop Loss เสมอ
- ยืนยันด้วยสัญญาณอื่น: ใช้ร่วมกับ อินดิเคเตอร์ หรือ รูปแบบแท่งเทียน อื่นๆ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ตัวอย่าง: การซื้อขาย NZD/CAD ในช่วง Sideway

จากแผนภูมิ NZD/CAD ด้านบน แสดงให้เห็นช่วงการรวมบัญชีที่คู่สกุลเงินเคลื่อนไหวในกรอบ 300 pips ระหว่างแนวรับประมาณ 0.86 และแนวต้านประมาณ 0.89 หากคุณเข้าซื้อเมื่อราคาสัมผัสแนวรับ 0.86 คุณสามารถตั้งเป้าหมายทำกำไรก่อนถึงแนวต้านสำคัญ 0.89 ซึ่งเป็นจุดที่มีโอกาสสูงที่ราคาจะชะลอตัวหรือกลับตัวลงมา
4. การใช้สัญญาณ Divergence เพื่อออกจากตำแหน่งของคุณ
Divergence (ภาวะขัดแย้ง) เป็นหนึ่งในสัญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดและได้รับการยอมรับใน การวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่บ่งชี้ถึงการอ่อนตัวของแนวโน้มปัจจุบันและการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นได้ การเข้าใจและนำ Divergence มาใช้สามารถช่วยให้คุณออกจากสถานะที่ทำกำไรได้ก่อนที่ตลาดจะพลิกกลับ
คืออะไร/ทำงานอย่างไร
Divergence เกิดขึ้นเมื่อทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาไม่สอดคล้องกับทิศทางการเคลื่อนไหวของ อินดิเคเตอร์ ประเภท Oscillator (เช่น Stochastic, RSI, MACD) โดยแบ่งเป็นสองประเภทหลัก:
- Bullish Divergence (ภาวะขัดแย้งขาขึ้น): เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Low) แต่ อินดิเคเตอร์ Oscillator กลับทำจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Low) นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าแรงขายกำลังอ่อนตัวลง และอาจเกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้น
- Bearish Divergence (ภาวะขัดแย้งขาลง): เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher High) แต่ อินดิเคเตอร์ Oscillator กลับทำจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower High) นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าแรงซื้อกำลังอ่อนตัวลง และอาจเกิดการกลับตัวเป็นขาลง
เมื่อพบ Bearish Divergence ในขณะที่คุณมีสถานะ Long อยู่ ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการพิจารณาปิดสถานะเพื่อรักษากำไรไว้
ทำไมถึงใช้
- สัญญาณเตือนล่วงหน้า: Divergence มักจะปรากฏก่อนที่ราคาจะเกิดการกลับตัวจริง ทำให้เทรดเดอร์มีโอกาสออกจากตลาดก่อนที่จะเกิดการขาดทุนหรือกำไรหดตัว
- ความน่าเชื่อถือสูง: เป็นหนึ่งในสัญญาณที่เทรดเดอร์มืออาชีพให้ความเชื่อถือมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น
ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ
- ยืนยันด้วย Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น: สัญญาณ Divergence ใน Timeframe ที่ใหญ่ (เช่น H4, Daily) มักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าใน Timeframe เล็ก
- ใช้ร่วมกับแนวรับ/แนวต้าน: หาก Bearish Divergence เกิดขึ้นใกล้ระดับแนวต้านที่สำคัญ จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
- ศึกษาอินดิเคเตอร์ที่เหมาะสม: Oscillator ยอดนิยมที่ใช้ในการหา Divergence คือ RSI, Stochastic และ MACD
ตัวอย่าง: Bearish Divergence ใน USD/CHF

สมมติว่าคุณเข้าซื้อ USD/CHF จากจุดต่ำสุดในเดือนธันวาคม 2020 และสถานะของคุณกำลังทำกำไรที่ดี แต่ในช่วงกลางเดือนมีนาคม คุณสังเกตเห็น Bearish Divergence บน RSI ในกราฟรายวัน (ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น แต่ RSI ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง) ในสถานการณ์นี้ คุณสามารถพิจารณาออกจากการซื้อขายตามสัญญาณ Bearish Divergence นี้ ซึ่งจะช่วยให้คุณรักษากำไรไว้ได้ก่อนที่การปรับฐานของราคาจะเริ่มเพิ่มโมเมนตัมและทำให้กำไรของคุณลดลง
5. การออกตามเวลา (Time-based Exits)
ในขณะที่กลยุทธ์ส่วนใหญ่เน้นที่การเคลื่อนไหวของราคา การออกตามเวลาเป็นกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับ “ระยะเวลา” ที่การซื้อขายเปิดอยู่ ซึ่งสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอและลดการใช้เงินทุนในสถานะที่ไม่มีประสิทธิภาพ
คืออะไร/ทำงานอย่างไร
กลยุทธ์การออกตามเวลาหมายถึง การปิดสถานะการซื้อขายที่เปิดอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปถึงระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยไม่คำนึงถึงว่าการซื้อขายนั้นกำลังทำกำไรหรือขาดทุนมากน้อยเพียงใด หลักการคือการเชื่อว่าการเทรดที่ดีมักจะเริ่มทำกำไรอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การเทรดที่ลอยตัวอยู่เฉยๆ หรือไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญเป็นเวลานาน มักจะไม่มีทิศทางที่ชัดเจนและอาจเป็น “Dead Trade” ที่ผูกเงินทุนไว้โดยเปล่าประโยชน์
ทำไมถึงใช้
- ป้องกันการผูกเงินทุน: การเทรดที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน จะทำให้เงินทุนถูกผูกไว้โดยไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่ดี
- ลดความเสี่ยง: การถือสถานะไว้นานเกินไป อาจทำให้เผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันหรือข่าวสำคัญที่อาจทำให้ตลาดพลิกผัน
- เพิ่มประสิทธิภาพ: ช่วยให้เทรดเดอร์มีวินัยในการตัดสินใจ และนำเงินทุนไปใช้ในโอกาสการซื้อขายอื่นๆ ที่มีศักยภาพมากกว่า
- จัดการอารมณ์: การกำหนดเวลาออกที่ชัดเจน ช่วยลดความเครียดจากการเฝ้าติดตามการเทรดที่ไม่มีความคืบหน้า
ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ
- ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาการเทรด: ระยะเวลาที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตาม สไตล์การเทรด ของคุณ
- เทรดเดอร์ระหว่างวัน (Intraday Traders): อาจกำหนดเวลาออกที่สั้นมาก เช่น 10 นาที, 30 นาที หรือภายในสิ้นสุดช่วงเวลาตลาด
- เทรดเดอร์รายวัน (End-of-Day Traders): อาจอนุญาตให้มีการเคลื่อนไหวด้านข้างเป็นเวลา 1-5 วันก่อนที่จะออก
- เทรดเดอร์ระยะยาว (Swing/Position Traders): อาจกำหนดเป็นสัปดาห์หรือเดือน
- รวมกับกลยุทธ์อื่น: แม้ว่าการออกตามเวลาจะเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลัง แต่ควรใช้ร่วมกับ Stop Loss และ Take Profit เสมอ
ตัวอย่าง: การออกตามเวลาในกราฟเงิน

กราฟเงินรายชั่วโมงด้านบนแสดงช่วงเวลาของการรวมบัญชีที่ยาวนาน หากเป็นเทรดเดอร์ระยะสั้น การติดอยู่ในสถานะแบบนี้จะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายและสิ้นเปลืองโอกาสอย่างมาก การกำหนดกฎว่า “หากการเทรดนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญภายใน X ชั่วโมง/วัน ให้ปิดสถานะทันที” จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ได้
6. รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) เพื่อการออก
รูปแบบแท่งเทียน เป็นเครื่องมือ Price Action ที่มีประสิทธิภาพสูงในการระบุจุดกลับตัวและจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม การเรียนรู้รูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญสำหรับการกลับตัวสามารถให้สัญญาณออกที่มีความแม่นยำและรวดเร็ว
คืออะไร/ทำงานอย่างไร
รูปแบบแท่งเทียนคือการรวมกันของแท่งเทียนหนึ่งแท่งหรือมากกว่า ที่บ่งบอกถึงอารมณ์และพฤติกรรมของตลาดในขณะนั้น รูปแบบบางอย่างเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการต่อเนื่องของแนวโน้ม ขณะที่บางรูปแบบเป็นสัญญาณของการกลับตัว (Reversal Pattern) สำหรับกลยุทธ์การทำกำไร เราจะเน้นไปที่รูปแบบกลับตัวที่บ่งชี้ถึงการอ่อนตัวของแนวโน้มปัจจุบัน
- สำหรับสถานะ Long (ซื้อ): มองหารูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาลง (Bearish Reversal Patterns) เพื่อเป็นสัญญาณในการปิดสถานะ
- สำหรับสถานะ Short (ขาย): มองหารูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal Patterns) เพื่อเป็นสัญญาณในการปิดสถานะ
ทำไมถึงใช้
- สัญญาณเตือนล่วงหน้า: รูปแบบแท่งเทียนมักจะให้สัญญาณเร็วกว่า อินดิเคเตอร์ อื่นๆ
- เข้าใจอารมณ์ตลาด: รูปแบบเหล่านี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของแรงซื้อแรงขาย ณ จุดนั้นๆ
- ใช้งานง่าย: เมื่อจดจำรูปแบบได้ การตัดสินใจจะรวดเร็ว
ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ
- ฝึกฝนและทดสอบ: มีรูปแบบแท่งเทียนมากมาย คุณต้องทำความคุ้นเคยกับรูปแบบที่สำคัญ และทดสอบว่ารูปแบบใดทำงานได้ดีกับระบบการซื้อขายและ กรอบเวลา ของคุณ
- ยืนยันด้วยบริบท: รูปแบบแท่งเทียนจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเกิดขึ้นที่ระดับราคาสำคัญ เช่น แนวรับหรือแนวต้าน
- ตัวอย่างรูปแบบ Bearish Reversal ที่ควรทราบ (สำหรับการออก Long Position):
- Dark Cloud Cover
- Bearish Engulfing
- Shooting Star
- Evening Star
- Three Black Crows
ตัวอย่าง: รูปแบบ Bearish Engulfing

แผนภูมิด้านบนแสดงรูปแบบ Bearish Engulfing ซึ่งเป็นรูปแบบกลับตัวที่แข็งแกร่ง โดยแท่งเทียนสีเขียวก่อนหน้า (แท่งเทียนขาขึ้น) ถูก “กลืน” โดยแท่งเทียนสีแดงที่ใหญ่กว่ามาก (แท่งเทียนขาลง) ยิ่งแท่งเทียนที่สอง (แท่งเทียนขาลง) มีขนาดยาวเท่าใด ยิ่งบ่งชี้ถึงแรงขายที่แข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และเป็นสัญญาณเตือนให้พิจารณาปิดสถานะ Long
7. การออกตามปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Exits)
แม้ว่าการ วิเคราะห์ทางเทคนิค จะมีความสำคัญ แต่ปัจจัยพื้นฐานก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนตลาด Forex เหตุการณ์ข่าวสำคัญสามารถสร้าง ความผันผวน รุนแรงและเปลี่ยน แนวโน้ม ตลาดในระยะยาวได้ การมีกลยุทธ์การออกตามปัจจัยพื้นฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็น
คืออะไร/ทำงานอย่างไร
กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการ ปิดสถานะการซื้อขายที่เปิดอยู่ เมื่อมี ข่าวเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์ทางการเมือง/ภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญเข้าสู่ตลาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคู่สกุลเงินหรือตราสารที่คุณกำลังซื้อขาย เทรดเดอร์จะติดตามปฏิทินเศรษฐกิจและแหล่งข่าวสาร เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และตัดสินใจว่าจะออกจากตลาดหรือไม่เพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือล็อกกำไร
ทำไมถึงใช้
- ป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน: ข่าวสำคัญที่ไม่เป็นไปตามคาดสามารถทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว การออกก่อนจะช่วยปกป้องเงินทุน
- ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด: บางข่าวสามารถเปลี่ยนมุมมองพื้นฐานของตลาดต่อสกุลเงินนั้นๆ ได้อย่างสิ้นเชิง การออกจะช่วยให้คุณปรับตัวตามสถานการณ์
- ลดผลกระทบจาก Slippage: ในช่วงข่าวแรงๆ อาจเกิด Slippage (การเคลื่อนที่ของราคาที่แตกต่างจากที่คาดไว้) การออกก่อนช่วยลดความเสี่ยงนี้
ควรใช้เมื่อใด และเคล็ดลับ
- ติดตามปฏิทินเศรษฐกิจ: ตรวจสอบ ข่าวเศรษฐกิจ ที่สำคัญและกำหนดเวลาการประกาศอย่างสม่ำเสมอ
- ทำความเข้าใจผลกระทบ: เรียนรู้ว่า ข่าวเศรษฐกิจ แต่ละประเภท (เช่น อัตราดอกเบี้ย, GDP, CPI, NFP) มีผลกระทบต่อตลาดอย่างไร
- พิจารณาน้ำหนักของข่าว: ข่าวบางข่าวมีผลกระทบสูงมาก (Red Folder News) ซึ่งควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
ตัวอย่าง: ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

เหตุการณ์ข่าวพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ที่ Donald Trump ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ซึ่งเป็นผลที่ไม่คาดคิดสำหรับหลายคน จะเห็นได้ว่า Dow Jones พุ่งขึ้นถึง 9,100 จุดในเวลาเพียงหนึ่งปีหลังจากข่าวดังกล่าว หากคุณมีสถานะที่อาจได้รับผลกระทบในทางลบจากข่าวนี้ การตัดสินใจออกจากตำแหน่งทันทีเมื่อข่าวถูกประกาศออกมา อาจเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด (เมื่อมองย้อนกลับไป)
เหตุการณ์ ข่าวเศรษฐกิจ พื้นฐานอื่นๆ ที่ควรพิจารณาเมื่อทำการซื้อขายในตลาด:
- ผล NFP (Non-Farm Payroll) และข้อมูลการว่างงานทั้งหมด
- การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง (เช่น Fed, ECB, BoJ)
- ตัวเลข GDP (Gross Domestic Product)
- ข้อมูลเงินเฟ้อ (CPI – Consumer Price Index)
- การประชุมของธนาคารกลางที่สำคัญ เช่น FOMC (Federal Open Market Committee) และ ECB (European Central Bank)
ตารางสรุป 7 กลยุทธ์การทำกำไร Forex
| กลยุทธ์ | หลักการ | ข้อดี | ข้อควรระวัง/เหมาะสมกับตลาดแบบใด |
|---|---|---|---|
| 1. ออกตามแนวโน้ม (Moving Averages) | ใช้การตัดกันของ MA สั้น-ยาว เป็นสัญญาณออก | เรียบง่าย, ปล่อยกำไรวิ่งในแนวโน้ม | สัญญาณหลอกในตลาด Sideway |
| 2. ATR Trailing Stop | ปรับจุดหยุดตาม ความผันผวน ด้วย ATR | ยืดหยุ่น, ลด Stop Out ก่อนเวลา | ต้องเลือก Multiplier ที่เหมาะสม |
| 3. แนวรับและแนวต้าน | ใช้ระดับ S/R เป็นเป้าหมาย Take Profit | ชัดเจน, เหมาะกับตลาด Sideway | ระวังการ Breakout |
| 4. สัญญาณ Divergence | ราคาขัดแย้งกับ อินดิเคเตอร์ Oscillator | สัญญาณกลับตัวที่แข็งแกร่ง, เตือนล่วงหน้า | ต้องเข้าใจรูปแบบที่ถูกต้อง, ยืนยัน Timeframe ใหญ่ |
| 5. ออกตามเวลา | ปิดสถานะเมื่อครบกำหนดเวลาที่ตั้งไว้ | ป้องกันการผูกเงินทุน, ลดความเสี่ยง | ต้องกำหนดระยะเวลาให้เหมาะสมกับ สไตล์การเทรด |
| 6. รูปแบบแท่งเทียน | ใช้ รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว เป็นสัญญาณออก | สัญญาณรวดเร็ว, สะท้อนอารมณ์ตลาด | ต้องฝึกฝนจดจำ, ใช้ร่วมกับบริบทอื่น |
| 7. ปัจจัยพื้นฐาน | ปิดสถานะตาม ข่าวเศรษฐกิจ/เหตุการณ์สำคัญ | ป้องกันความเสี่ยงจาก ความผันผวน สูง, ตอบสนองการเปลี่ยนโครงสร้าง | ต้องติดตามข่าวสาร, เข้าใจผลกระทบ |
เลือกกลยุทธ์การทำกำไรที่เหมาะสมได้อย่างไร?
คำถามที่ว่า “กลยุทธ์การทำกำไรที่ดีที่สุดคืออะไร?” ไม่มีคำตอบเดียวที่ตายตัว เพราะความเหมาะสมของแต่ละกลยุทธ์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้:
- แผนการเทรด และระบบการเทรดของคุณ: กลยุทธ์การทำกำไรที่ดีที่สุดคือกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับวิธีการเข้าเทรด, การบริหารความเสี่ยง และเป้าหมายโดยรวมของระบบการเทรดของคุณ
- กรอบเวลา การซื้อขาย:
- เทรดเดอร์ระยะสั้น (Scalping, Day Trading): อาจเหมาะกับกลยุทธ์ที่ให้สัญญาณออกเร็ว เช่น รูปแบบแท่งเทียน, การออกตามเวลาที่เข้มงวด
- เทรดเดอร์ระยะกลางถึงยาว (Swing Trading, Position Trading): อาจเหมาะกับกลยุทธ์ที่ปล่อยกำไรวิ่งได้นานขึ้น เช่น ATR Trailing Stop, การออกตามแนวโน้ม
- สไตล์การเทรด ส่วนบุคคล:
- เทรดเดอร์ที่ชอบความเรียบง่าย: อาจเลือกใช้ Moving Averages หรือแนวรับ/แนวต้าน
- เทรดเดอร์ที่ชอบความแม่นยำและสัญญาณเตือนล่วงหน้า: อาจเน้นไปที่ Divergence หรือรูปแบบแท่งเทียน
- ความผันผวน ของตลาด: ตลาดที่มีความผันผวนสูง การใช้ ATR Trailing Stop จะช่วยได้มาก
- การทดสอบ (Backtesting) และ บัญชีทดลอง (Demo Account): สิ่งสำคัญที่สุดคือการทดลองใช้แต่ละกลยุทธ์ในอดีต (Backtesting) และทดสอบใน บัญชีทดลอง เพื่อดูว่ากลยุทธ์ใดทำงานได้ดีที่สุดสำหรับคุณและเครื่องมือที่คุณซื้อขาย
แนะนำให้เริ่มต้นด้วยกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและค่อยๆ เพิ่มความซับซ้อนเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น และอย่าลืมว่าการปรับแต่งและผสมผสานกลยุทธ์ต่างๆ อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q1: กลยุทธ์การทำกำไรแตกต่างจาก Stop Loss อย่างไร?
A: กลยุทธ์การทำกำไร (Take Profit Strategy) คือการกำหนดจุดออกเพื่อ ล็อกกำไร ที่เกิดขึ้นแล้วหรือตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้กำไรกลับเป็นขาดทุนหรือลดลง ส่วน Stop Loss คือการกำหนดจุดออกเพื่อ จำกัดการขาดทุน ไม่ให้เกินกว่าที่ยอมรับได้ ทั้งสองเป็นส่วนสำคัญของ การบริหารความเสี่ยง และควรตั้งควบคู่กันในการเทรดทุกครั้ง
Q2: ควรใช้กลยุทธ์การทำกำไรหลายกลยุทธ์พร้อมกันหรือไม่?
A: การใช้กลยุทธ์การทำกำไรหลายกลยุทธ์พร้อมกันสามารถทำได้และอาจเพิ่มประสิทธิภาพได้ ตัวอย่างเช่น คุณอาจใช้สัญญาณจาก Moving Averages เพื่อติดตามแนวโน้ม แต่ใช้ รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว หรือ Divergence เป็นสัญญาณออกที่แม่นยำยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้มากเกินไปจนซับซ้อนและเกิดความขัดแย้งกันเอง ควรเลือกกลยุทธ์ที่เสริมกันและทดสอบอย่างละเอียด
Q3: กลยุทธ์การทำกำไรแบบไหนเหมาะกับมือใหม่?
A: สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย เช่น การใช้แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance) หรือ การออกตามแนวโน้มด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เนื่องจากมีหลักการที่ชัดเจนและสังเกตได้ง่ายบนกราฟ เมื่อมีประสบการณ์และความเข้าใจมากขึ้นจึงค่อยๆ ศึกษาและนำกลยุทธ์ที่ซับซ้อนขึ้นมาใช้
Q4: การตั้ง Take Profit สำคัญแค่ไหนในการเทรด Forex?
A: การตั้ง Take Profit มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเทียบเท่ากับการตั้ง Stop Loss มันช่วยให้คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเทรด สร้างวินัย ป้องกันความโลภไม่ให้กำไรที่ทำได้หายไป และเป็นส่วนหนึ่งของการ บริหารความเสี่ยง เพื่อให้แต่ละการเทรดมี Risk-Reward Ratio ที่เหมาะสม การไม่ตั้ง Take Profit อาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการล็อกกำไรสูงสุดและเผชิญกับความผันผวนของตลาดที่ไม่จำเป็น
Q5: มีความเสี่ยงอะไรบ้างหากไม่มีกลยุทธ์การทำกำไร?
A: หากไม่มีกลยุทธ์การทำกำไรที่ชัดเจน คุณจะเผชิญกับความเสี่ยงหลายประการ เช่น:
- การคืนกำไร (Giving Back Profits): กำไรที่เห็นบนหน้าจออาจหายไปหรือกลับเป็นขาดทุนได้ง่ายเมื่อตลาดพลิกกลับ
- การตัดสินใจด้วยอารมณ์: ขาดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ทำให้ตัดสินใจตามความกลัวและความโลภ ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่สอดคล้องกัน
- การผูกเงินทุน: การถือสถานะที่ไม่มีประสิทธิภาพนานเกินไป ทำให้เงินทุนของคุณถูกผูกไว้โดยเปล่าประโยชน์
- ขาดวินัย: ระบบการเทรดที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ยากที่จะประเมินและปรับปรุงประสิทธิภาพการเทรดในระยะยาว
สรุป
กลยุทธ์การทำกำไรคือเสาหลักสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในตลาด Forex ไม่แพ้ การบริหารความเสี่ยง และการวิเคราะห์ตลาด ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์สไตล์ใด การมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการตัดสินใจออกจากการซื้อขายจะช่วยให้คุณสามารถล็อกกำไร รักษาเงินทุน และพัฒนาระเบียบวินัยในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับ แผนการเทรด, กรอบเวลา และ สไตล์การเทรด ของแต่ละบุคคล สิ่งสำคัญคือการศึกษา ทำความเข้าใจ ทดลองใช้ใน บัญชีทดลอง และปรับแต่งให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดจริง เพื่อให้คุณสามารถปลดล็อกศักยภาพการทำกำไรสูงสุดในเส้นทางการซื้อขายของคุณ
หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรด Forex หรือต้องการเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจ สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราเพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกและแหล่งความรู้เพิ่มเติม


