TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

7 price pattern ที่เทรดเดอร์ต้องรู้

มิถุนายน 22, 2022

Price Pattern: 7 รูปแบบราคาที่นักเทรดมืออาชีพต้องรู้ เพื่อจับสัญญาณการกลับตัวและต่อเนื่องของราคา

Price Pattern คืออะไร

ในโลกของการเทรด Forex และตลาดการเงินอื่นๆ การทำความเข้าใจพฤติกรรมราคาเป็นหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ หนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายคือการวิเคราะห์ Price Pattern หรือรูปแบบราคา การทำความเข้าใจและตีความรูปแบบเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวน และวางแผนการซื้อขายได้อย่างมีเหตุผลและแม่นยำยิ่งขึ้น บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมาย ความสำคัญ และ 7 Price Pattern พื้นฐานที่นักเทรดทุกคนไม่ควรมองข้าม พร้อมทั้งแนะนำกลยุทธ์และข้อควรระวังในการนำไปใช้จริง

Price Pattern คืออะไร? ทำไมจึงสำคัญต่อนักเทรด?

Price Pattern คือรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ บน กราฟแท่งเทียน หรือกราฟราคาประเภทอื่นๆ ซึ่งเกิดจากการสะท้อนถึงการต่อสู้กันระหว่างแรงซื้อ (Demand) และแรงขาย (Supply) ในตลาด รูปแบบเหล่านี้เปรียบเสมือนร่องรอยทางจิตวิทยาของมวลชนที่ปรากฏให้เห็นในอดีต และมักจะส่งสัญญาณบางอย่างเกี่ยวกับทิศทางราคาในอนาคตได้อย่างน่าเชื่อถือ

ความสำคัญของการวิเคราะห์ Price Pattern ในการเทรด Forex

การวิเคราะห์ Price Pattern มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักเทรดด้วยเหตุผลดังนี้:

  • การคาดการณ์ทิศทางราคา: รูปแบบราคาช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์ได้ว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการกลับตัว (Reversal) หรือการเคลื่อนที่ต่อเนื่อง (Continuation) ของแนวโน้มปัจจุบัน
  • การกำหนดจุดเข้าและออก: แต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะที่สามารถใช้กำหนด จุดเข้า (Entry) และ จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ได้อย่างชัดเจน รวมถึงการตั้งเป้าหมายทำกำไร (Take Profit)
  • การทำความเข้าใจจิตวิทยาตลาด: Price Pattern สะท้อนถึงอารมณ์และความเชื่อมั่นของผู้เล่นในตลาด หากรูปแบบใดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ย่อมแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของตลาดที่สามารถคาดเดาได้
  • การยืนยันสัญญาณ: Price Pattern มักถูกใช้ร่วมกับ อินดิเคเตอร์ หรือเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการยืนยันสัญญาณการซื้อขาย

ประเภทของ Price Pattern: รูปแบบต่อเนื่องและรูปแบบกลับตัว

Price Pattern สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่:

  1. รูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Patterns): เป็นรูปแบบที่บ่งชี้ว่าแนวโน้มราคาปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปหลังจากที่รูปแบบเสร็จสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น Triangle Patterns (สามเหลี่ยม), Flag Patterns (ธง), Pennant Patterns (ธงสามเหลี่ยม)
  2. รูปแบบกลับตัว (Reversal Patterns): เป็นรูปแบบที่บ่งชี้ว่าแนวโน้มราคาปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลง และมีโอกาสสูงที่ราคาจะเปลี่ยนทิศทาง ตัวอย่างเช่น Head & Shoulders, Double Top/Bottom, Triple Top/Bottom

การแยกแยะประเภทของรูปแบบเป็นสิ่งสำคัญในการวางกลยุทธ์ที่เหมาะสม หากระบุผิด อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้

7 Price Pattern สำคัญที่นักเทรดมืออาชีพต้องรู้และนำไปใช้ทำกำไร

ต่อไปนี้คือ 7 Price Pattern พื้นฐานที่สำคัญซึ่งนักเทรดทุกคนควรทำความเข้าใจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยง:

1. Ascending Triangle Pattern: สัญญาณการทะลุขึ้น

Ascending Triangle หรือ รูปแบบสามเหลี่ยมยกฐาน เป็นรูปแบบการต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น (Bullish Continuation Pattern) ที่ส่งสัญญาณถึงการสะสมแรงซื้อและมีโอกาสสูงที่ราคาจะทะลุแนวต้านขึ้นไป

  • คืออะไร: เกิดจากการที่ราคาพยายามขึ้นไปทดสอบ แนวต้าน ในระดับเดียวกันหลายครั้ง (เส้นแนวต้านราบ) แต่มีแรงซื้อเข้ามาหนุนให้ราคายก Low สูงขึ้นเรื่อยๆ (เส้นแนวรับเฉียงขึ้น) ทำให้กรอบราคามีการบีบตัวเข้าหากันเป็นรูปสามเหลี่ยม
  • ลักษณะ: มีเส้นแนวต้านแนวนอน (Horizontal Resistance Line) และเส้นแนวรับที่ยกตัวสูงขึ้น (Rising Trendline)
  • ทำไม: แสดงถึงว่าแรงซื้อค่อยๆ มีอำนาจมากขึ้น แม้จะชนแนวต้านเดิม แต่ก็ไม่ยอมลงไปลึกกว่าเดิม บ่งบอกถึงความพยายามที่จะทะลุแนวต้าน
  • เคล็ดลับการเทรด: ควรรอให้ราคาทะลุเส้นแนวต้านขึ้นไปอย่างชัดเจน พร้อมกับปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เพิ่มขึ้น เพื่อยืนยันการ Breakout
  • กฎ:
    • จุดเข้า: เมื่อราคาทะลุแนวต้านแนวนอนขึ้นไปยืนได้อย่างแข็งแกร่ง
    • จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้ใต้เส้นแนวต้านเดิม หรือใต้ Low ล่าสุดภายในรูปแบบ
    • เป้าหมายทำกำไร (Take Profit): วัดจากความสูงที่สุดของฐานสามเหลี่ยม (จากเส้นแนวรับถึงแนวต้าน) แล้วนำไปวางต่อจากจุด Breakout
  • ผลลัพธ์เป็นยังไง: หากมีการทะลุขึ้นจริง ราคามักจะเคลื่อนที่ขึ้นไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ตามเป้าหมายที่คำนวณไว้
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: ถ้าราคาไม่สามารถทะลุแนวต้านได้และกลับตัวลงมาหลุดเส้นแนวรับเฉียงขึ้น อาจกลายเป็นสัญญาณหลอก (False Breakout) หรือเปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่นได้

Ascending Triangle

2. Head & Shoulders Pattern: รูปแบบการกลับตัวสู่ขาลง

Head & Shoulders เป็นหนึ่งในรูปแบบ การกลับตัว (Reversal Pattern) ที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือที่สุด โดยเฉพาะเมื่อปรากฏในแนวโน้มขาขึ้น บ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้นและมีโอกาสสูงที่จะกลับตัวเป็นขาลง

  • คืออะไร: มีลักษณะคล้ายหัวคนและไหล่สองข้าง ประกอบด้วย 3 ยอด โดยยอดตรงกลาง (Head) จะสูงที่สุด และมียอดสองข้าง (Left Shoulder และ Right Shoulder) ที่ต่ำกว่าเล็กน้อย ซึ่งมักจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน เส้นที่เชื่อมระหว่างจุดต่ำสุดของไหล่ซ้ายและหัว (หรือจุดต่ำสุดของหัวและไหล่ขวา) เรียกว่า “Neckline”
  • ลักษณะ: ไหล่ซ้าย (Left Shoulder), หัว (Head), ไหล่ขวา (Right Shoulder) และเส้นฐาน (Neckline)
  • ทำไม: บ่งบอกว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนแรงลงหลังจากการทำจุดสูงสุดใหม่ (Head) และการสร้างไหล่ขวาที่ไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ แสดงถึงแรงขายที่เข้ามาครอบงำตลาด
  • เคล็ดลับการเทรด: รอยืนยันเมื่อราคาทะลุเส้น Neckline ลงมาอย่างชัดเจน พร้อมกับ Volume ที่สูงขึ้น
  • กฎ:
    • จุดเข้า: เมื่อราคาทะลุ Neckline ลงมาอย่างเด็ดขาด
    • จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้เหนือจุดสูงสุดของไหล่ขวา
    • เป้าหมายทำกำไร (Take Profit): วัดจากระยะห่างจากยอด Head ไปยัง Neckline แล้วนำไปวางต่อจากจุดที่ราคา Break Neckline ลงมา
  • ผลลัพธ์เป็นยังไง: หากรูปแบบนี้สมบูรณ์และมีการ Break Neckline ราคามักจะดิ่งลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: ถ้าราคาไม่หลุด Neckline แต่กลับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ อาจเป็นสัญญาณหลอก ควรใช้ การบริหารความเสี่ยง และพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่นๆ

Head & Shoulders

3. Double Bottom Pattern: สัญญาณการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น

Double Bottom เป็นรูปแบบการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal Pattern) ที่มักปรากฏที่จุดต่ำสุดของแนวโน้ม บ่งบอกถึงแรงขายที่อ่อนแรงลงและแรงซื้อที่เริ่มกลับเข้ามา

  • คืออะไร: มีลักษณะคล้ายตัวอักษร “W” ประกอบด้วยจุดต่ำสุดสองจุดที่อยู่ในระดับราคาใกล้เคียงกัน โดยมีจุดสูงสุดระหว่างกลาง (Valley)
  • ลักษณะ: จุดต่ำสุด 2 จุด ที่แตะแนวรับเดียวกัน และจุดสูงสุด 1 จุด ระหว่างสอง Bottoms
  • ทำไม: บ่งบอกว่าราคาลงมาทดสอบแนวรับเดิมถึงสองครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุลงไปได้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวรับและแรงซื้อที่เข้ามาพยุงราคาเอาไว้
  • เคล็ดลับการเทรด: รอยืนยันเมื่อราคาทะลุแนวต้านที่อยู่ตรงกลาง (Neckline หรือจุดสูงสุดของ Valley) ขึ้นไปอย่างชัดเจน
  • กฎ:
    • จุดเข้า: เมื่อราคาทะลุ Neckline ขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญ
    • จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้ใต้จุดต่ำสุดของ Bottom ที่สอง หรือใต้ Neckline
    • เป้าหมายทำกำไร (Take Profit): วัดจากระยะห่างจาก Neckline ลงมายังจุดต่ำสุดของ Bottom แล้วนำไปวางต่อจากจุด Break Neckline ขึ้นไป
  • ผลลัพธ์เป็นยังไง: เมื่อ Breakout ที่ Neckline สำเร็จ ราคามักจะดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: ถ้าราคาไม่สามารถทะลุ Neckline ได้และกลับตัวลงมาหลุดแนวรับเดิม อาจเป็นสัญญาณหลอก หรือกลายเป็นแนวโน้มขาลงที่รุนแรงกว่าเดิม

Double Bottom

4. Double Top Pattern: สัญญาณการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง

Double Top เป็นรูปแบบการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง (Bearish Reversal Pattern) ตรงกันข้ามกับ Double Bottom มักปรากฏที่จุดสูงสุดของแนวโน้ม บ่งบอกถึงแรงซื้อที่อ่อนแรงลงและแรงขายที่เริ่มเข้ามาครอบงำ

  • คืออะไร: มีลักษณะคล้ายตัวอักษร “M” ประกอบด้วยจุดสูงสุดสองจุดที่อยู่ในระดับราคาใกล้เคียงกัน โดยมีจุดต่ำสุดระหว่างกลาง (Trough)
  • ลักษณะ: จุดสูงสุด 2 จุด ที่แตะแนวต้านเดียวกัน และจุดต่ำสุด 1 จุด ระหว่างสอง Tops
  • ทำไม: บ่งบอกว่าราคาขึ้นมาทดสอบแนวต้านเดิมถึงสองครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุขึ้นไปได้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวต้านและแรงขายที่เข้ามาทำให้ราคาร่วงลง
  • เคล็ดลับการเทรด: รอยืนยันเมื่อราคาทะลุแนวรับที่อยู่ตรงกลาง (Neckline หรือจุดต่ำสุดของ Trough) ลงไปอย่างชัดเจน
  • กฎ:
    • จุดเข้า: เมื่อราคาทะลุ Neckline ลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
    • จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้เหนือจุดสูงสุดของ Top ที่สอง หรือเหนือ Neckline
    • เป้าหมายทำกำไร (Take Profit): วัดจากระยะห่างจาก Neckline ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของ Top แล้วนำไปวางต่อจากจุด Break Neckline ลงมา
  • ผลลัพธ์เป็นยังไง: เมื่อ Breakout ที่ Neckline สำเร็จ ราคามักจะดิ่งลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: ถ้าราคาไม่สามารถทะลุ Neckline ได้และกลับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ อาจเป็นสัญญาณหลอก หรือเป็นเพียงการพักฐานก่อนที่จะขึ้นต่อ

Double Top

5. Descending Triangle Pattern: สัญญาณการทะลุลง

Descending Triangle หรือ รูปแบบสามเหลี่ยมกดฐาน เป็นรูปแบบการต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง (Bearish Continuation Pattern) ที่ส่งสัญญาณถึงการสะสมแรงขายและมีโอกาสสูงที่ราคาจะทะลุแนวรับลงไป

  • คืออะไร: เกิดจากการที่ราคาพยายามลงไปทดสอบแนวรับในระดับเดียวกันหลายครั้ง (เส้นแนวรับราบ) แต่มีแรงขายเข้ามาทำให้ราคากด High ต่ำลงเรื่อยๆ (เส้นแนวต้านเฉียงลง) ทำให้กรอบราคามีการบีบตัวเข้าหากันเป็นรูปสามเหลี่ยม
  • ลักษณะ: มีเส้นแนวรับแนวนอน (Horizontal Support Line) และเส้นแนวต้านที่กดตัวต่ำลง (Falling Trendline)
  • ทำไม: แสดงถึงว่าแรงขายค่อยๆ มีอำนาจมากขึ้น แม้จะชนแนวรับเดิม แต่ก็ไม่ยอมขึ้นไปสูงกว่าเดิม บ่งบอกถึงความพยายามที่จะทะลุแนวรับ
  • เคล็ดลับการเทรด: ควรรอให้ราคาทะลุเส้นแนวรับลงไปอย่างชัดเจน พร้อมกับปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เพิ่มขึ้น เพื่อยืนยันการ Breakout
  • กฎ:
    • จุดเข้า: เมื่อราคาทะลุแนวรับแนวนอนลงไปยืนได้อย่างแข็งแกร่ง
    • จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้เหนือเส้นแนวรับเดิม หรือเหนือ High ล่าสุดภายในรูปแบบ
    • เป้าหมายทำกำไร (Take Profit): วัดจากความสูงที่สุดของฐานสามเหลี่ยม (จากเส้นแนวรับถึงแนวต้าน) แล้วนำไปวางต่อจากจุด Breakout
  • ผลลัพธ์เป็นยังไง: หากมีการทะลุลงจริง ราคามักจะเคลื่อนที่ลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ตามเป้าหมายที่คำนวณไว้
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: ถ้าราคาไม่สามารถทะลุแนวรับได้และกลับตัวขึ้นมาหลุดเส้นแนวต้านเฉียงลง อาจกลายเป็นสัญญาณหลอก หรือเปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่นได้

Descending Triangle

6. Triple Bottom Pattern: แนวรับแข็งแกร่ง สัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

Triple Bottom เป็นรูปแบบการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal Pattern) ที่มีความน่าเชื่อถือสูงกว่า Double Bottom มักปรากฏที่จุดต่ำสุดของแนวโน้ม บ่งบอกถึงแรงขายที่หมดแรงอย่างสิ้นเชิงและแรงซื้อที่เข้ามาอย่างมหาศาล

  • คืออะไร: มีลักษณะคล้ายตัวอักษร “W” สองตัวติดกัน ประกอบด้วยจุดต่ำสุดสามจุดที่อยู่ในระดับราคาใกล้เคียงกัน โดยมีจุดสูงสุดสองจุดระหว่างกลาง (Valleys)
  • ลักษณะ: จุดต่ำสุด 3 จุด ที่แตะแนวรับเดียวกัน และจุดสูงสุด 2 จุด ระหว่าง Bottoms
  • ทำไม: บ่งบอกว่าราคาลงมาทดสอบแนวรับเดิมถึงสามครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุลงไปได้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวรับที่ยากจะทำลาย และแรงซื้อที่สะสมกำลังเพื่อผลักดันราคาขึ้น
  • เคล็ดลับการเทรด: รอยืนยันเมื่อราคาทะลุแนวต้านที่อยู่ตรงกลาง (Neckline หรือจุดสูงสุดของ Valleys) ขึ้นไปอย่างชัดเจน
  • กฎ:
    • จุดเข้า: เมื่อราคาทะลุ Neckline ขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญ
    • จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้ใต้จุดต่ำสุดของ Bottom ที่สาม หรือใต้ Neckline
    • เป้าหมายทำกำไร (Take Profit): วัดจากระยะห่างจาก Neckline ลงมายังจุดต่ำสุดของ Bottom แล้วนำไปวางต่อจากจุด Break Neckline ขึ้นไป
  • ผลลัพธ์เป็นยังไง: เมื่อ Breakout ที่ Neckline สำเร็จ ราคามักจะดีดตัวขึ้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ด้วยความน่าเชื่อถือที่สูงกว่า Double Bottom
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: ถ้าราคาไม่สามารถทะลุ Neckline ได้และกลับตัวลงมาหลุดแนวรับเดิม อาจเป็นสัญญาณหลอก หรือบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลงที่ยังคงแข็งแกร่ง

Triple Bottom

7. Triple Top Pattern: แนวต้านแข็งแกร่ง สัญญาณการกลับตัวที่น่าเชื่อถือ

Triple Top เป็นรูปแบบการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง (Bearish Reversal Pattern) ที่มีความน่าเชื่อถือสูงกว่า Double Top ตรงกันข้ามกับ Triple Bottom มักปรากฏที่จุดสูงสุดของแนวโน้ม บ่งบอกถึงแรงซื้อที่หมดแรงอย่างสิ้นเชิงและแรงขายที่เข้ามาอย่างมหาศาล

  • คืออะไร: มีลักษณะคล้ายตัวอักษร “M” สองตัวติดกัน แต่กลับด้าน ประกอบด้วยจุดสูงสุดสามจุดที่อยู่ในระดับราคาใกล้เคียงกัน โดยมีจุดต่ำสุดสองจุดระหว่างกลาง (Troughs)
  • ลักษณะ: จุดสูงสุด 3 จุด ที่แตะแนวต้านเดียวกัน และจุดต่ำสุด 2 จุด ระหว่าง Tops
  • ทำไม: บ่งบอกว่าราคาขึ้นมาทดสอบแนวต้านเดิมถึงสามครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุขึ้นไปได้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวต้านที่ยากจะทำลาย และแรงขายที่สะสมกำลังเพื่อผลักดันราคาลง
  • เคล็ดลับการเทรด: รอยืนยันเมื่อราคาทะลุแนวรับที่อยู่ตรงกลาง (Neckline หรือจุดต่ำสุดของ Troughs) ลงไปอย่างชัดเจน
  • กฎ:
    • จุดเข้า: เมื่อราคาทะลุ Neckline ลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
    • จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): วางไว้เหนือจุดสูงสุดของ Top ที่สาม หรือเหนือ Neckline
    • เป้าหมายทำกำไร (Take Profit): วัดจากระยะห่างจาก Neckline ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของ Top แล้วนำไปวางต่อจากจุด Break Neckline ลงมา
  • ผลลัพธ์เป็นยังไง: เมื่อ Breakout ที่ Neckline สำเร็จ ราคามักจะดิ่งลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ด้วยความน่าเชื่อถือที่สูงกว่า Double Top
  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร: ถ้าราคาไม่สามารถทะลุ Neckline ได้และกลับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ อาจเป็นสัญญาณหลอก หรือบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ยังคงแข็งแกร่ง

Triple Top

กลยุทธ์การเทรดด้วย Price Pattern: เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

การใช้ Price Pattern ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจในตัวรูปแบบและการประยุกต์ใช้ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ นี่คือเคล็ดลับบางประการ:

  • รอการยืนยัน (Confirmation): อย่าเพิ่งรีบเข้าเทรดทันทีที่เห็นรูปแบบก่อตัวขึ้น ควรรอให้ราคาทะลุเส้นแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญของรูปแบบ (Breakout) และปิดแท่งเทียนยืนยันในทิศทางนั้นๆ
  • พิจารณา Volume (ปริมาณการซื้อขาย): การ Breakout ที่มี Volume สูงจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการ Breakout ที่มี Volume ต่ำ บ่งบอกถึงการสนับสนุนจากผู้เล่นในตลาด
  • ใช้ Multiple Timeframes: การวิเคราะห์ Price Pattern ในหลายๆ Timeframe (เช่น ดูภาพรวมใน H4 หรือ Daily แล้วลงมาหาจุดเข้าใน H1 หรือ M30) จะช่วยให้มองเห็นบริบทของตลาดและเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจได้ดีขึ้น (เรียนรู้การอ่านกราฟแท่งเทียนหลาย Timeframe)
  • วาง Stop Loss และ Take Profit อย่างชัดเจน: ทุกรูปแบบ Price Pattern มีวิธีการคำนวณเป้าหมายและจุด Stop Loss ที่ชัดเจน ควรกำหนดสิ่งเหล่านี้ก่อนเข้าเทรดเสมอ เพื่อ บริหารความเสี่ยง (การจัดการความเสี่ยงในการเทรดทอง)
  • หลีกเลี่ยง False Breakout: สัญญาณหลอก (False Breakout) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อย ควรรอให้ราคายืนยันการ Breakout อย่างน้อย 1-2 แท่งเทียน หรือใช้เครื่องมืออื่นช่วยยืนยัน เช่น Stochastic Oscillator หรือ RSI
  • ฝึกฝนและทำความคุ้นเคย: การมองเห็น Price Pattern บนกราฟต้องอาศัยประสบการณ์ ควรฝึกฝนการระบุรูปแบบบนกราฟจริงและกราฟย้อนหลังอย่างสม่ำเสมอ

ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการใช้ Price Pattern

แม้ Price Pattern จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีความเสี่ยงและข้อควรระวังที่นักเทรดควรตระหนักถึง:

  • สัญญาณหลอก (False Signals): ราคาอาจ Breakout ออกจากรูปแบบไปในทิศทางหนึ่ง แต่กลับตัวและเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามในเวลาต่อมา การรอ Confirmation และการใช้ Stop Loss จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
  • ไม่ควรใช้เพียงลำพัง: Price Pattern เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ไม่ควรใช้เป็นเครื่องมือตัดสินใจเพียงอย่างเดียว ควรร่วมกับ อินดิเคเตอร์ อื่นๆ เช่น Moving Average, RSI, MACD หรือการวิเคราะห์ ข่าวเศรษฐกิจ และ Sentiment ของตลาด
  • ความผันผวนของตลาด: ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง (High Volatility) รูปแบบราคาอาจมีการก่อตัวที่ไม่สมบูรณ์ หรือให้สัญญาณที่ไม่น่าเชื่อถือได้ง่าย
  • การตีความที่ผิดพลาด: นักเทรดมือใหม่อาจตีความรูปแบบผิดพลาด หรือพยายามบังคับให้รูปแบบเข้ากับภาพที่ตนเองต้องการเห็น ซึ่งนำไปสู่การเทรดที่ขาดทุน
  • กฎของ Risk Management: ไม่ว่าจะมั่นใจในรูปแบบแค่ไหน การจำกัดความเสี่ยงด้วยการกำหนด Stop Loss และการคำนวณ Lot Size ที่เหมาะสมกับขนาดพอร์ตเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Price Pattern

  1. Price Pattern แตกต่างจาก Candlestick Pattern อย่างไร?

    Price Pattern คือรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาที่ประกอบด้วยแท่งเทียนหลายแท่งหรือเป็นกลุ่มของแท่งเทียนที่รวมตัวกันเป็นรูปทรงขนาดใหญ่ เช่น Head & Shoulders, Double Top/Bottom ซึ่งบอกถึงโครงสร้างของตลาดและแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือต่อเนื่อง

    ในขณะที่ Candlestick Pattern คือรูปแบบที่เกิดจากแท่งเทียนเพียงหนึ่งหรือสองสามแท่ง (เช่น Marubozu, Doji, Pin Bar) ซึ่งให้สัญญาณระยะสั้นเกี่ยวกับการกลับตัวหรือต่อเนื่องของราคา เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Candlestick Patterns

  2. ควรใช้ Price Pattern บน Timeframe ไหนดีที่สุด?

    Price Pattern สามารถใช้ได้กับทุก Timeframe แต่โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบที่เกิดขึ้นบน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น Daily, Weekly) จะมีความน่าเชื่อถือและมีผลกระทบต่อราคามากกว่ารูปแบบที่เกิดขึ้นบน Timeframe ที่เล็กกว่า (เช่น H1, M30) นักเทรดมืออาชีพมักจะใช้ Timeframe ใหญ่ในการมองภาพรวมของรูปแบบ และใช้ Timeframe เล็กลงเพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำ

  3. มีสัญญาณยืนยันอะไรบ้างที่ควรพิจารณาร่วมกับ Price Pattern?

    นอกจากการ Breakout และ Volume แล้ว นักเทรดควรพิจารณาสัญญาณยืนยันอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น:

    • อินดิเคเตอร์: RSI, MACD, Stochastic เพื่อดูภาวะ Overbought/Oversold หรือ Divergence
    • แนวรับแนวต้าน: การที่ Price Pattern ก่อตัวใกล้ แนวรับหรือแนวต้านสำคัญ จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ
    • Trendline: การใช้ Trendline ช่วยในการระบุแนวโน้มและยืนยันการ Breakout
    • ข่าวเศรษฐกิจ: การเข้าใจภาพรวมของ ข่าวและปัจจัยพื้นฐาน สามารถช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์ทางเทคนิคได้
  4. Price Pattern มักจะเกิดซ้ำๆ หรือไม่?

    ใช่ Price Pattern มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นซ้ำๆ ในตลาดการเงิน เนื่องจากรูปแบบเหล่านี้สะท้อนถึงพฤติกรรมทางจิตวิทยาของมนุษย์ในตลาด ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำซ้ำๆ กันเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีรูปแบบใดรับประกันผลลัพธ์ 100% จึงต้องใช้การบริหารความเสี่ยงประกอบกันเสมอ

  5. รูปแบบ Price Pattern สามารถใช้ได้กับทุกตลาดหรือไม่?

    โดยหลักการแล้ว รูปแบบ Price Pattern สามารถนำไปใช้กับการวิเคราะห์กราฟราคาได้ในทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็น Forex, หุ้น, ทองคำ, คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เนื่องจากพื้นฐานของ Price Pattern คือการสะท้อนถึงอุปสงค์และอุปทาน แต่ลักษณะการเกิดและความถี่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละตลาด

สรุป: ประโยชน์ของการเข้าใจ Price Pattern เพื่อการเทรดที่ยั่งยืน

การทำความเข้าใจ Price Pattern เป็นทักษะสำคัญที่นักเทรดทุกคนควรมีติดตัว เพราะมันคือภาษาของตลาดที่บอกเล่าเรื่องราวของแรงซื้อและแรงขาย หากคุณสามารถอ่านภาษานี้ได้อย่างคล่องแคล่ว คุณจะสามารถมองเห็นสัญญาณสำคัญของการกลับตัวหรือการต่อเนื่องของราคาได้ก่อนใคร ทำให้สามารถวางแผนการเข้า-ออกออเดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างยั่งยืน

การฝึกฝนและประยุกต์ใช้ Price Pattern ร่วมกับการบริหารความเสี่ยงที่ดี และการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ จะนำไปสู่การตัดสินใจเทรดที่ชาญฉลาดและประสบความสำเร็จในระยะยาว

………………………………………………………………………………………………….

แจกฟรีระบบเทรดและ EA พร้อมเข้าร่วมกลุ่ม Line VIP!

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการยกระดับการเทรดด้วย EA (Expert Advisor) ระบบเทรดอัตโนมัติ และเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี! เรามีเงื่อนไขง่ายๆ เพียงเล็กน้อย:

เพียง สมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ ที่เราแนะนำตามลิงก์ด้านล่าง คุณก็สามารถรับ EA ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆ อื่นๆ ได้อีกในอนาคต

ขั้นตอนง่ายๆ:

**”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อขอรับ EA ได้ฟรี!”**

ช่องทางการพูดคุยและติดตามข่าวสาร:

*คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line