TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

กลยุทธ์ position trading

กรกฎาคม 6, 2022

เจาะลึก Position Trading: กลยุทธ์การลงทุนระยะยาวที่สร้างผลตอบแทนมหาศาลอย่างยั่งยืน

ในโลกของการซื้อขายที่เต็มไปด้วยความผันผวนและโอกาส การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและบุคลิกภาพของนักลงทุนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเครียดจากการเฝ้าหน้าจอและความผันผวนระยะสั้น กลยุทธ์การซื้อขายตำแหน่ง (Position Trading) นำเสนอทางเลือกที่น่าสนใจ โดยมุ่งเน้นการจับคลื่นลูกใหญ่ของตลาดในระยะยาว บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นแท้ของ Position Trading อธิบายหลักการ วิธีการ ลักษณะเฉพาะ ข้อดีข้อเสีย และแนวทางปฏิบัติจริง เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน

การซื้อขายตำแหน่ง (Position Trading) คืออะไร? แก่นแท้ของกลยุทธ์ระยะยาว

Position Trading คือรูปแบบการซื้อขายที่นักลงทุนจะถือครองสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น คู่เงินในตลาด Forex หรือหุ้น ในระยะเวลาที่ยาวนาน ตั้งแต่หลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือนหรือกระทั่งหลายปี โดยมีเป้าหมายหลักในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในแนวโน้มหลักที่ชัดเจน (Major Trend) ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายระยะสั้นอย่าง Scalping หรือ Day Trading ที่มุ่งเน้นการทำกำไรจากความผันผวนในระยะเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่นาทีหรือในวันเดียว

ทำไมต้อง Position Trading? การหลีกเลี่ยง “Noise” และมุ่งสู่ “Signal”

เหตุผลหลักที่ Position Trader เลือกกลยุทธ์นี้คือการหลีกเลี่ยง “สัญญาณรบกวน” (Noise) จากความผันผวนของราคาในกรอบเวลาที่ต่ำ ซึ่งมักเกิดจากข่าวสารหรือเหตุการณ์ชั่วคราวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นฐานในระยะยาว นัก Position Trader เชื่อว่าการมุ่งเน้นไปที่ภาพใหญ่ของตลาด จะช่วยให้พวกเขาสามารถจับทิศทางหลักของราคาที่ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและยั่งยืนได้ดีกว่า

ระยะเวลาการถือครองสถานะ: “อดทนเพื่อผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่”

  • สำหรับตลาด Forex: นัก Position Trader อาจถือครองคู่เงินเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน หรือแม้กระทั่งข้ามปี ตัวอย่างเช่น หากธนาคารกลางของประเทศใดประกาศนโยบายการเงินที่จะส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว นัก Position Trader อาจเข้าซื้อเงินสกุลนั้นและถือครองไว้เพื่อรอเก็บเกี่ยวผลกำไรเมื่อค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้
  • สำหรับตลาดหุ้น: เป็นเรื่องปกติที่ Position Trader จะถือครองหุ้นตั้งแต่ 1 ปีจนถึงหลายสิบปี โดยพิจารณาจากแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในระยะยาว ผลประกอบการ นวัตกรรม หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมก้าวหน้าและมีแนวโน้มการเติบโตของตลาดที่แข็งแกร่งในอนาคต

ความแตกต่างจาก Swing Trading: การจับ “คลื่นใหญ่” เทียบกับ “คลื่นย่อย”

หาก Swing Trading ช่วยให้นักเทรดจับคลื่นลูกเดียวหรือการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงกลางเทอม Position Trading จะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่มากกว่านั้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักเทรดจับคลื่นลูกใหญ่ของแนวโน้มได้อย่างเต็มที่ นั่นคือการอยู่ในแนวโน้มได้นานขึ้นโดยไม่ถูกกำจัดออกจากตลาดจากความผันผวนเล็กน้อยในแต่ละวัน ลองจินตนาการว่า Swing Trader เหมือนนักเล่นกระดานโต้คลื่นที่จับคลื่นแต่ละลูก ในขณะที่ Position Trader คือผู้ที่ล่องเรือตามกระแสน้ำหลักของมหาสมุทรที่พัดพาไปในทิศทางเดียวกันเป็นเวลานาน

ลักษณะเฉพาะและปรัชญาของกลยุทธ์ Position Trading

Position Trading มีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นและปรัชญาการลงทุนที่แตกต่างจากกลยุทธ์การซื้อขายระยะสั้นอย่างชัดเจน การทำความเข้าใจลักษณะเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ว่ากลยุทธ์นี้เหมาะสมกับตนเองหรือไม่

การไม่สนใจความผันผวนระยะสั้น: “Noise” ไม่ใช่ “Signal”

สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของ Position Trading คือการที่นักลงทุนไม่ให้ความสนใจกับความผันผวนของราคาในระยะสั้นมากนัก พวกเขามองว่าการเคลื่อนไหวของราคาในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์นั้นเป็นเพียง “สัญญาณรบกวน” ที่ไม่สะท้อนถึงภาพรวมของแนวโน้มหลัก การตอบสนองต่อความผันผวนเล็กน้อยเหล่านี้อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและการออกจากสถานะก่อนเวลาอันควร ซึ่งจะทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรจากแนวโน้มระยะยาวที่แท้จริง

การวิจัยเชิงลึกและการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: “ลงทุนในอนาคต ไม่ใช่แค่ราคา”

เพื่อที่จะดำเนินการตามกลยุทธ์ Position Trading ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักเทรดมักจะทำการวิจัยและศึกษาประเด็นและข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นอย่างมาก โดยพึ่งพาการ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เป็นหลักในการตัดสินใจซื้อขาย การวิเคราะห์นี้รวมถึง:

  • ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค: เช่น อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP), อัตราเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ย, รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP), ยอดค้าปลีก และนโยบายการเงินของธนาคารกลาง (เช่น การขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ย) ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อค่าเงินและตลาดทุนในระยะยาว
  • ปัจจัยเฉพาะบริษัท (สำหรับหุ้น): เช่น ผลประกอบการและงบการเงิน, ข่าวสารบริษัท, การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่, การขยายตลาด, ความได้เปรียบในการแข่งขัน, การบริหารจัดการ และแนวโน้มอุตสาหกรรมในภาพรวม
  • ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์: เหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ, สงคราม, ความตึงเครียดทางการค้า หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายระดับโลก สามารถสร้างแนวโน้มระยะยาวให้กับตลาดได้

หลังจากที่ทำการวิเคราะห์อย่างรอบคอบและมีความเชื่อมั่นในทิศทางของแนวโน้มแล้ว นักลงทุนจะเข้าซื้อสินทรัพย์และ “ถือครองจนเกือบลืม” นั่นคือการวางใจในผลการวิเคราะห์ของตนเอง และรอคอยจนกว่าจะถึงระดับกำไรที่คาดการณ์ไว้ก่อนที่จะทำการขาย การกระทำนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างสูงในทิศทางของตลาดและปัจจัยพื้นฐานที่รองรับ

ลักษณะของการซื้อขายตำแหน่ง
                                                                                                    ลักษณะของการซื้อขายตำแหน่ง

บทบาทของการวิเคราะห์ทางเทคนิค: “ยืนยันแนวโน้ม ไม่ใช่กำหนดแนวโน้ม”

แม้ว่าการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะเป็นแกนหลัก แต่ Position Trader ก็ยังใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคควบคู่ไปด้วย แต่ไม่ใช่เพื่อจับความผันผวนระยะสั้นเหมือน Day Trader หรือ Scalper หากแต่ใช้เพื่อ ระบุแนวโน้มระยะยาว, ยืนยันจุดเข้าหรือออกที่มีประสิทธิภาพในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น (เช่น กราฟรายวันหรือรายสัปดาห์) และกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ที่เหมาะสมเพื่อบริหารความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ระยะยาว หรือการระบุ แนวรับและแนวต้าน ที่สำคัญในระดับมหภาค

เงินทุนและการกระจายความเสี่ยง: “การลงทุนที่ต้องมีวินัยและเงินทุนสำรอง”

Position Trading จะเห็นได้ทั่วไปในตลาดหุ้นมากกว่าในตลาด Forex เนื่องจากธรรมชาติของหุ้นที่สามารถเติบโตตามผลประกอบการของบริษัทได้ในระยะยาว แต่ในตลาด Forex ก็สามารถประยุกต์ใช้ได้สำหรับคู่เงินที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจขนาดใหญ่ นักเทรดที่ใช้กลยุทธ์นี้มักจะมีเงินทุนจำนวนมากพอที่จะรองรับการถือครองสถานะเป็นเวลานาน และมีความสามารถในการกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท หรือลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์แต่ละรายการในสัดส่วนที่น้อย ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบหากมีสินทรัพย์ใดเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรก้อนใหญ่เมื่อตลาดเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องตามการวิเคราะห์

กลยุทธ์ Position Trading: การจับแก่นแท้ของแนวโน้มตลาด

Position Trading เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการจับคลื่นลูกใหญ่ของตลาด โดยการทำความเข้าใจหลักการและวิธีการประยุกต์ใช้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กรอบเวลาที่ใช้: “มองภาพใหญ่ กรองสัญญาณรบกวน”

ในฐานะนักเทรดระยะยาว กรอบเวลาที่คุณจะทำการซื้อขายและวิเคราะห์กราฟมักจะเป็นกราฟรายวัน (Daily) หรือรายสัปดาห์ (Weekly) บางครั้งอาจพิจารณากราฟรายเดือน (Monthly) เพื่อยืนยันแนวโน้มหลักที่แท้จริง การเลือกกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ:

  • กรองสัญญาณรบกวน: ลดผลกระทบจากความผันผวนเล็กน้อยในระยะสั้นที่อาจทำให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดหรือออกจากสถานะก่อนเวลาอันควร
  • เห็นแนวโน้มที่ชัดเจน: ช่วยให้นักลงทุนสามารถมองเห็นแนวโน้มหลักของตลาดได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

การพึ่งพาการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก: “อ่านข่าวสาร คาดการณ์อนาคต”

หัวใจสำคัญของ Position Trading คือการพึ่งพาการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เป็นหลักในการตัดสินใจ นัก Position Trader จะศึกษาข้อมูลข่าวสารทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างละเอียด เพื่อทำการคาดการณ์ทิศทางของราคาในระยะยาว ตัวอย่างข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่:

  • รายงาน Non-Farm Payroll (NFP): ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อค่าเงินดอลลาร์และตลาดโลก หาก NFP ออกมาดีกว่าคาดการณ์อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง นำไปสู่การแข็งค่าของดอลลาร์ในระยะยาว
  • ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP): ตัวเลข GDP บ่งชี้ถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ หากเศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ค่าเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น
  • ยอดค้าปลีก (Retail Sales): สะท้อนกำลังซื้อและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงเศรษฐกิจที่ดีและอาจหนุนค่าเงิน
  • นโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง: การขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางมีผลกระทบโดยตรงต่อความน่าดึงดูดของสกุลเงินนั้นๆ หากธนาคารกลางมีแนวโน้มที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ อาจดึงดูดนักลงทุนให้ถือครองสกุลเงินนั้นมากขึ้น
  • สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์: เหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ เช่น สงครามการค้า หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สามารถสร้างความไม่แน่นอนและส่งผลกระทบต่อแนวโน้มตลาดในระยะยาวได้

การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อเสริมการตัดสินใจ: “กำหนดจังหวะที่แม่นยำ”

แม้ปัจจัยพื้นฐานจะเป็นตัวกำหนดทิศทางหลัก แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้นัก Position Trader สามารถกำหนดจังหวะการเข้าและออกจากสถานะได้อย่างเหมาะสมภายในแนวโน้มระยะยาวที่ได้วิเคราะห์ไว้แล้ว ตัวอย่างการใช้งานได้แก่:

  • ระบุแนวรับแนวต้านหลัก: การใช้ แนวรับแนวต้าน ในกรอบเวลาที่ใหญ่เพื่อหาจุดที่ราคาอาจกลับตัวหรือพักฐาน ก่อนที่จะไปต่อในแนวโน้มหลัก
  • ยืนยันแนวโน้มด้วย Moving Average: การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (เช่น MA 200) เพื่อยืนยันว่าแนวโน้มหลักยังคงอยู่หรือไม่ และใช้เป็นแนวรับแนวต้านแบบพลวัต
  • หาจุดเข้า/ออกด้วยรูปแบบแท่งเทียน: การใช้ รูปแบบแท่งเทียน ในกรอบเวลาที่สูง (เช่น รายวัน) เพื่อหาจุดเข้าที่ได้เปรียบ หรือจุดออกเมื่อมีสัญญาณของการอ่อนตัวของแนวโน้มหลัก

ข้อดีและข้อเสียของการเป็น Position Trader

เช่นเดียวกับกลยุทธ์การซื้อขายอื่นๆ Position Trading มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่นักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมกับสไตล์การลงทุนและความอดทนของตนเอง

ตารางสรุปข้อดีและข้อเสียของ Position Trading

ข้อดี (Pros) ข้อเสีย (Cons)
ผลตอบแทนสูงจากการจับแนวโน้มใหญ่ (High returns from capturing major trends) เงินทุนจมเป็นเวลานาน (Capital tied up for extended periods)
ใช้เวลาวิเคราะห์กราฟน้อย (Less time spent analyzing charts) ความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่คาดฝัน (Risk of unexpected market movements)
เหมาะสำหรับผู้ที่มีงานประจำ (Suitable for those with full-time jobs) อาจพลาดโอกาสทำกำไรระยะสั้น (May miss short-term profit opportunities)
ลดแรงกดดันทางจิตใจ (Reduced psychological pressure) ต้องมีเงินทุนสำรองเพียงพอ (Requires sufficient reserve capital)
ประหยัดค่าสเปรดและค่าธรรมเนียม (Cost-effective regarding spreads and fees) จำเป็นต้องมีความอดทนสูง (Requires high patience)

ข้อดีของการเป็น Position Trader: “ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความอดทน”

  • การเทรดที่ชนะมักจะให้ผลตอบแทนสูงมาก: เนื่องจาก Position Trader มุ่งหวังที่จะจับการเคลื่อนไหวของราคาในแนวโน้มหลักที่ยาวนาน การทำกำไรจึงมีขนาดใหญ่กว่าการเทรดระยะสั้นหลายเท่าตัว หากการวิเคราะห์ถูกต้องและตลาดเคลื่อนไหวตามแนวโน้มที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนสามารถเห็นพอร์ตเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น การถือหุ้นที่เติบโต 200-300% ในระยะเวลา 2-3 ปี หรือคู่เงินที่แข็งค่าขึ้นหลายพันจุด
  • ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการวิเคราะห์แผนภูมิ: Position Trader ไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอหรือวิเคราะห์กราฟตลอดเวลา การตรวจสอบกราฟเพียงวันละ 30 นาที หรือบางครั้งเพียง 1-2 ครั้งต่อเดือนก็เพียงพอแล้ว การตัดสินใจส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และการตั้งค่าคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า ทำให้มีอิสระในการใช้ชีวิตและทำงานอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีงานประจำ: ด้วยความต้องการเวลาในการเฝ้าหน้าจอที่น้อยมาก กลยุทธ์นี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีงานประจำ นักลงทุนสามารถวางแผนการซื้อขายในวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือช่วงนอกเวลางาน และปล่อยให้ตลาดดำเนินไปตามแนวโน้ม
  • แรงกดดันน้อยกว่ารูปแบบการซื้อขายอื่น ๆ มาก: การไม่จำเป็นต้องตอบสนองต่อทุกความผันผวนของราคา ทำให้ Position Trader มีความกดดันทางจิตใจน้อยกว่า Day Trader หรือ Scalper อย่างมาก สิ่งนี้ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น และลดความเสี่ยงของการ Overtrading
  • ประหยัดค่าสเปรดและค่าธรรมเนียม: เนื่องจากมีการเปิดและปิดสถานะน้อยครั้งกว่าการเทรดระยะสั้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากค่าสเปรดและค่าคอมมิชชั่นได้อย่างมาก แม้ว่าอาจจะต้องจ่ายค่า Swap สำหรับสถานะที่ถือข้ามคืน แต่หากเป็น Positive Swap ก็จะได้รับผลตอบแทนกลับมา หรือหากเป็น Negative Swap การทำกำไรจากแนวโน้มหลักที่ใหญ่ก็จะชดเชยค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้

ข้อเสียของการเป็น Position Trader: “ความท้าทายที่ต้องรับมือ”

  • เงินทุนของผู้ค้าจะถูกฝังอยู่ในการค้าขายนั้นเป็นระยะเวลานาน: ข้อเสียที่สำคัญคือเงินทุนจะถูกผูกไว้ในสถานะซื้อขายเป็นเวลานาน ซึ่งหมายถึงการเสียโอกาสในการนำเงินทุนนั้นไปลงทุนในโอกาสอื่น ๆ (Opportunity Cost) หากปิดคำสั่งกลางคันและถอนทุนออก จะถือว่าเป็นการทำลายแผนเริ่มต้นทั้งหมดและอาจไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
  • ความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่คาดฝัน: แม้จะวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมาอย่างดีเยี่ยม แต่ตลาดก็สามารถผันผวนอย่างคาดไม่ถึงได้เสมอ หากโชคร้ายที่ราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับแนวโน้มที่คาดการณ์ไว้เป็นระยะเวลานาน สถานะซื้อขายอาจประสบความสูญเสียอย่างหนัก หรือเงินทุนอาจถูกฝังโดยไม่มีกำไรเป็นระยะเวลานาน ซึ่งต้องใช้การบริหารความเสี่ยงและการตั้งจุดหยุดขาดทุนที่เหมาะสม
  • อาจพลาดโอกาสทำกำไรระยะสั้น: Position Trader มุ่งเน้นไปที่ภาพใหญ่ ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูงและสร้างโอกาสให้กับ Day Trader
  • ต้องมีเงินทุนสำรองเพียงพอ: เพื่อให้สามารถทนทานต่อการติดลบชั่วคราว (Drawdown) ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างที่ถือสถานะไว้ จำเป็นต้องมีเงินทุนสำรองที่เพียงพอเพื่อป้องกันการถูก Margin Call และเพื่อให้สามารถถือสถานะต่อไปได้จนกว่าจะถึงเป้าหมาย
  • จำเป็นต้องมีความอดทนสูง: การรอคอยให้แนวโน้มระยะยาวดำเนินไปและรอเก็บเกี่ยวผลกำไรต้องใช้ความอดทนและวินัยทางอารมณ์สูงมาก นักลงทุนที่ไม่สามารถอดทนรอได้อาจตัดสินใจปิดสถานะก่อนเวลาอันควร และพลาดกำไรก้อนโต

กลยุทธ์ Position Trading ที่ประสบความสำเร็จ: เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ

นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายรายใช้กลยุทธ์ Position Trading เพราะเข้าใจถึงประโยชน์ที่แท้จริงของการลงทุนระยะยาว ซึ่งนำไปสู่ผลตอบแทนที่ยั่งยืนและลดความเครียดจากการซื้อขาย

ข้อได้เปรียบหลักสำหรับนัก Position Trader ที่ประสบความสำเร็จ

  1. ใช้เวลาจัดการคำสั่งหรือดูกราฟเพียงเล็กน้อย: นี่คือหนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุด นัก Position Trader ไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอหรือดูกราฟตลอดเวลา บางครั้งอาจดูกราฟเพียงเดือนละ 1-2 ครั้งเท่านั้น การทำเช่นนี้ช่วยให้พวกเขาลดความกดดันทางจิตใจได้อย่างมหาศาล และมีเวลามากขึ้นในการทำกิจกรรมอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การทำงานประจำ การใช้เวลากับครอบครัว หรือการพักผ่อน
  2. ผลกำไรที่อาจไม่ด้อยกว่าหรือสูงกว่า Day Trader: แม้จะใช้เวลาน้อยลงในการซื้อขาย แต่ผลกำไรที่ได้จากการเทรดตำแหน่งอาจเทียบเท่าหรือสูงกว่า Day Trader ได้ เนื่องจาก Position Trader มุ่งเน้นการจับคลื่นลูกใหญ่ของตลาด ซึ่งมีศักยภาพในการทำกำไรต่อการเทรดหนึ่งครั้งที่สูงกว่ามาก
  3. จ่ายน้อยลงสำหรับค่าสเปรดและค่าธรรมเนียม: การเปิดและปิดสถานะน้อยครั้ง ทำให้ Position Trader มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสเปรดและค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแตกต่างจาก Day Trader ที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้บ่อยครั้ง นอกจากนี้ ในตลาด Forex ค่า Swap อาจเป็นบวกสำหรับบางคู่เงินที่ถือข้ามคืน ซึ่งถือเป็นรายได้เสริมที่อาจเกิดขึ้นได้
  4. กลืนคลื่นยาวและเก็บเกี่ยวผลกำไรที่มากกว่า: Day Trader หรือ Scalper อาจพบเจอกับคลื่นลูกเล็กและคลื่นสั้น แต่ด้วย Position Trading คุณจะสามารถ “กลืน” คลื่นยาว ๆ ของตลาดได้ ซึ่งหมายถึงการทำกำไรจากแนวโน้มขนาดใหญ่ที่ดำเนินไปเป็นเวลานาน ผลลัพธ์คือผลกำไรโดยรวมที่มหาศาลกว่าการซื้อขายประเภทอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ
ผลประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมจากการซื้อขายตำแหน่ง
                                                                 ผลประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมจากการซื้อขายตำแหน่ง

การประยุกต์ใช้กลยุทธ์ Position Trading ในการซื้อขายจริง

แม้ว่า Position Trading จะเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก แต่การใช้เครื่องมือทางเทคนิคบางอย่างก็สามารถช่วยให้นักลงทุนกำหนดจังหวะการเข้าและออกจากสถานะได้อย่างแม่นยำภายในแนวโน้มระยะยาวที่ได้วิเคราะห์ไว้ บทความนี้จะนำเสนอตัวอย่างการประยุกต์ใช้กลยุทธ์ Position Trading ด้วย Moving Average 200 และแนวรับ/แนวต้าน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

กลยุทธ์ Position Trading ด้วย Indicator MA 200 (Moving Average 200)

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 (MA 200) เป็นหนึ่งใน Indicator ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการระบุแนวโน้มระยะยาว โดยทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านแบบพลวัต และเป็นเส้นแบ่งระหว่างแนวโน้มขาขึ้นและขาลงระยะยาว

เงื่อนไข: ใช้กับกราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นรายวัน (Daily) หรือรายสัปดาห์ (Weekly) พร้อมกับ Indicator MA 200

เปิดคำสั่งซื้อ (Buy Order) เมื่อ: ราคาข้ามตัวบ่งชี้ MA 200 จากด้านล่างขึ้นไป

  • คำอธิบาย: โดยทั่วไปแล้ว เมื่อแผนภูมิแท่งเทียนอยู่ต่ำกว่าเส้น MA 200 เป็นเวลานาน แสดงถึงแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง (Bearish Trend) อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาเริ่มปรับตัวสูงขึ้นและตัดผ่านเส้น MA 200 จากด้านล่างขึ้นไป ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ถึงการกลับตัวของแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal) ในระยะยาว จุดตัดกันนี้เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนอาจพิจารณาเข้าเปิดคำสั่งซื้อได้อย่างปลอดภัย เพื่อเข้าร่วมในแนวโน้มขาขึ้นที่กำลังจะเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น หากหุ้น A เคยอยู่ในช่วงขาลงมานานหลายปี และข่าวดีเกี่ยวกับผลประกอบการใหม่ทำให้ราคาทะลุ MA 200 ขึ้นไป นั่นอาจเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว
เปิดคำสั่งซื้อเมื่อราคาข้าม MA 200 จากด้านล่างใน Etoro
                                                                                            เปิดคำสั่งซื้อเมื่อราคาข้าม MA 200 จากด้านล่าง

เปิดคำสั่งขาย (Sell Order) เมื่อ: ราคาข้ามตัวบ่งชี้ MA 200 จากด้านบนลงมา

  • คำอธิบาย: ตรงกันข้าม เมื่อแผนภูมิแท่งเทียนอยู่เหนือเส้น MA 200 เป็นเวลานาน แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง (Bullish Trend) แต่เมื่อราคาเริ่มปรับตัวลดลงและตัดผ่านเส้น MA 200 จากด้านบนลงมา ถือเป็นสัญญาณเตือนถึงการกลับตัวของแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง (Bearish Reversal) หรืออย่างน้อยก็เป็นช่วงของการปรับฐานครั้งใหญ่ นักลงทุนอาจพิจารณาเปิดคำสั่งขาย หรือปิดสถานะซื้อที่มีอยู่ได้อย่างปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนในแนวโน้มขาลงที่กำลังจะมาถึง ตัวอย่างเช่น หากคู่เงิน EUR/USD แข็งค่าขึ้นมาตลอดปี แต่เริ่มมีข่าวร้ายเกี่ยวกับเศรษฐกิจยุโรป และราคาทะลุ MA 200 ลงมา นั่นอาจเป็นจังหวะในการพิจารณาทำกำไรหรือเปิดสถานะ Short
เปิดคำสั่งขายเมื่อราคาข้าม MA 200 จากด้านบนใน Etoro
                                                                                     เปิดคำสั่งขายเมื่อราคาข้าม MA 200 จากด้านบน

การประยุกต์ใช้กลยุทธ์ Position Trading ด้วยแนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance)

แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่มีนัยสำคัญทางจิตวิทยา ซึ่งบ่งบอกถึงบริเวณที่แรงซื้อและแรงขายมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรง ในมุมมองของ Position Trader ระดับเหล่านี้เป็นจุดสำคัญในการตัดสินใจเข้าหรือออกจากสถานะ

เงื่อนไข: ใช้กับกราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นรายวัน (Daily) หรือรายสัปดาห์ (Weekly) เพื่อระบุแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง

เปิดคำสั่งขาย (Sell Order) เมื่อ: ราคาแตะแนวต้าน

  • คำอธิบาย: ที่โซนแนวต้านส่วนใหญ่ แรงขายมักจะมีอำนาจเหนือกว่าแรงซื้ออย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนจำนวนมากมองว่าระดับราคานี้เป็นจุดที่เหมาะสมในการขายทำกำไร หรือเป็นจุดที่สินทรัพย์มีราคาสูงเกินไป จึงเป็นเรื่องยากที่ราคาจะทะลุออกจากโซนนั้นไปได้ในครั้งแรก อาจต้องใช้การทดสอบแนวต้านสองหรือสามครั้ง หรือมีแรงซื้อที่แข็งแกร่งอย่างมากพร้อมกับปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนจึงจะสามารถทะลุได้ ดังนั้น สำหรับ Position Trader การที่ราคาเข้าใกล้หรือแตะแนวต้านในขณะที่แนวโน้มพื้นฐานเริ่มอ่อนแอลง อาจเป็นจุดปลอดภัยในการพิจารณาปิดสถานะซื้อ หรือแม้กระทั่งเปิดคำสั่งขาย หากมีการยืนยันการกลับตัวของแนวโน้มระยะยาว
เปิดคำสั่งขายเมื่อราคาแตะแนวต้านใน Etoro
                                                                                                   เปิดคำสั่งขายเมื่อราคาแตะแนวต้าน

เปิดคำสั่งซื้อ (Buy Order) เมื่อ: ราคาแตะโซนแนวรับ

  • คำอธิบาย: ในทางตรงกันข้าม ที่บริเวณแนวรับ จะมีกำลังซื้อที่แข็งแกร่งเกิดขึ้นเนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่คิดว่าราคานั้นต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์นั้นๆ ด้วยเหตุนี้ ราคาจึงมีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่โซนแนวรับ หากปัจจัยพื้นฐานยังคงบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว จุดที่ราคาแตะแนวรับเป็นช่วงเวลาที่ปลอดภัยที่สุดในการพิจารณาเปิดคำสั่งซื้อ เพื่อเข้าสู่สถานะ ณ ระดับราคาที่ได้เปรียบ ตัวอย่างเช่น หากทองคำมีแนวโน้มขาขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาได้ปรับฐานลงมาแตะแนวรับสำคัญ นักลงทุนอาจพิจารณาเข้าซื้อเพื่อหวังผลกำไรระยะยาว
เปิดคำสั่งซื้อเมื่อราคาแตะแนวรับใน Etoro

                                                                          เปิดคำสั่งซื้อเมื่อราคาแตะแนวรับ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Position Trading

Q1: Position Trading แตกต่างจากการเทรดประเภทอื่นอย่างไร?

A1: Position Trading มีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากกลยุทธ์อื่น ๆ โดยหลักคือระยะเวลาการถือครองสถานะ โดย Position Trading จะถือสถานะตั้งแต่หลายสัปดาห์ถึงหลายปี เพื่อจับแนวโน้มหลักของตลาด ในขณะที่ Day Trading จะเปิดและปิดสถานะภายในวันเดียว และ Scalping จะทำกำไรจากความผันผวนเล็กน้อยในไม่กี่นาที นอกจากนี้ Position Trading ยังเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เพื่อคาดการณ์ทิศทางระยะยาว ต่างจากการเทรดระยะสั้นที่พึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิคมากกว่า

Q2: ต้องมีเงินทุนเท่าไหร่ในการเริ่มต้น Position Trading?

A2: ไม่มีตัวเลขที่แน่นอนสำหรับการเริ่มต้น Position Trading แต่โดยทั่วไปแล้ว มักจะต้องการเงินทุนที่มากกว่าการเทรดระยะสั้น เนื่องจากต้องเผื่อไว้สำหรับการตั้งจุดหยุดขาดทุนที่กว้างขึ้น และความสามารถในการทนทานต่อการติดลบชั่วคราว (Drawdown) ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างที่ถือสถานะเป็นเวลานาน สิ่งสำคัญคือการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) และการกำหนดขนาดสถานะ (Position Sizing) ให้เหมาะสมกับเงินทุนที่คุณมี เพื่อไม่ให้กระทบกับสถานะทางการเงินโดยรวม

Q3: Position Trader เหมาะกับใคร?

A3: Position Trading เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีลักษณะดังต่อไปนี้:

  • ผู้ที่มีงานประจำหรือมีเวลาจำกัดในการเฝ้าหน้าจอ
  • ผู้ที่มีความอดทนสูง สามารถรอคอยผลลัพธ์ในระยะยาวได้
  • ผู้ที่สนใจในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเชิงลึก และมีความเข้าใจในเศรษฐกิจมหภาค
  • ผู้ที่ต้องการลดความเครียดและแรงกดดันทางจิตใจจากการเทรดถี่ๆ
  • ผู้ที่ต้องการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนและมีขนาดใหญ่ในระยะยาว

Q4: ความเสี่ยงหลักของ Position Trading คืออะไรและจะจัดการอย่างไร?

A4: ความเสี่ยงหลักคือเงินทุนที่ถูกผูกไว้เป็นเวลานาน ทำให้เสียโอกาสในการลงทุนอื่น ๆ และความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่คาดฝันที่อาจสวนทางกับแนวโน้มหลักที่วิเคราะห์ไว้ การจัดการความเสี่ยงทำได้โดย:

  • การบริหารขนาดสถานะ (Position Sizing): ลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเงินทุนรวม เพื่อจำกัดความเสียหายหากเกิดการขาดทุน
  • การตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ที่เหมาะสม: กำหนดจุดหยุดขาดทุนที่กว้างพอที่จะรองรับความผันผวนระยะสั้น แต่ยังคงจำกัดความเสียหายหากแนวโน้มหลักพลิกผัน
  • การทบทวนปัจจัยพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ: ติดตามข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อตรวจสอบว่าสมมติฐานหลักในการลงทุนยังคงถูกต้องอยู่หรือไม่ หากปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ อาจต้องพิจารณาออกจากสถานะ

Q5: ควรใช้ Indicator หรือเครื่องมืออะไรบ้างในการวิเคราะห์สำหรับ Position Trading?

A5: สำหรับ Position Trading เครื่องมือหลักคือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Economic Calendars, ข่าวสาร, รายงานบริษัท, นโยบายธนาคารกลาง) ส่วนเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้เพื่อเสริมการตัดสินใจ ได้แก่:

บทสรุป

Position Trading คือกลยุทธ์การซื้อขายที่ทรงพลังและมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่มหาศาลสำหรับนักลงทุนที่มีวินัย ความอดทน และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในปัจจัยพื้นฐานของตลาด การมุ่งเน้นที่แนวโน้มระยะยาว การลดความสำคัญของความผันผวนระยะสั้น และการใช้การวิเคราะห์ที่รอบด้าน จะช่วยให้นัก Position Trader สามารถหลีกเลี่ยงความเครียดจากการเทรดรายวัน และก้าวไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่ยั่งยืนได้ หากคุณเป็นนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการเติบโตในระยะยาว และพร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนาทักษะการวิเคราะห์เชิงลึก Position Trading อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของคุณในตลาดการเงิน

You Might Also Like

Contact Us on Line