กลยุทธ์การวางคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ (Pending Orders) ใน MT4: เครื่องมือสำคัญสำหรับนักเทรดมืออาชีพ
การบริหารจัดการคำสั่งซื้อขายในตลาด Forex และสินทรัพย์อื่นๆ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดให้ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักเทรดไม่สามารถเฝ้าหน้าจอได้ตลอดเวลา Pending Order หรือ คำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ คือเครื่องมืออันทรงพลังบนแพลตฟอร์ม MetaTrader 4 (MT4) ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถกำหนดจุดเข้าและออกจากการเทรดล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะเจาะลึกถึงความสำคัญ ประเภท และวิธีการใช้งาน Pending Order แต่ละชนิด เพื่อให้นักเทรดทุกระดับสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหนือชั้น
Pending Order คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญ?
Pending Order คือคำสั่งที่นักเทรดตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อเปิดสถานะการซื้อขาย (Buy หรือ Sell) โดยอัตโนมัติเมื่อราคาตลาดเคลื่อนที่ไปถึงระดับที่กำหนดไว้ ซึ่งแตกต่างจาก Instant Execution หรือการส่งคำสั่งซื้อขายทันที ณ ราคาตลาดปัจจุบัน
ทำไม Pending Order จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเทรด?
- ความยืดหยุ่นในการเทรด: ช่วยให้นักเทรดไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา สามารถวางแผนการเทรดล่วงหน้าและปล่อยให้ระบบจัดการตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้
- การเข้าถึงจุดสำคัญของตลาด: นักเทรดสามารถตั้งคำสั่งเพื่อเข้าซื้อขาย ณ ระดับแนวรับ (Support) หรือแนวต้าน (Resistance) ที่สำคัญ ซึ่งเป็นจุดที่คาดการณ์ว่าราคาจะมีการกลับตัวหรือทะลุผ่าน
- การควบคุมอารมณ์: การวางแผนล่วงหน้าด้วย Pending Order ช่วยลดผลกระทบจากอารมณ์ความรู้สึกที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเทรดสด เช่น ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO) หรือความโลภ
- การบริหารความเสี่ยง: สามารถกำหนด Stop Loss และ Take Profit ไปพร้อมกับการตั้ง Pending Order ได้ทันที ซึ่งช่วยให้การบริหารความเสี่ยงเป็นไปตามแผนที่วางไว้

ประเภทของ Pending Order ใน MT4
ในแพลตฟอร์ม MT4 มี Pending Order หลักๆ 4 ประเภท ที่นักเทรดควรทำความเข้าใจและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดและกลยุทธ์การเทรดของตนเอง ได้แก่ Buy Stop, Sell Stop, Buy Limit และ Sell Limit
1. Buy Stop: ซื้อเมื่อราคาสูงขึ้นเพื่อทะลุแนวต้าน
Buy Stop คืออะไร: เป็นคำสั่งซื้อที่ตั้งไว้เหนือราคาตลาดปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดสถานะซื้อ (Long Position) เมื่อราคาตลาดเคลื่อนที่สูงขึ้นไปถึงจุดที่กำหนดไว้
ทำไมต้องใช้ Buy Stop: เหมาะสำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบ Breakout เมื่อนักเทรดคาดการณ์ว่าราคาจะทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นไป และต้องการเข้าซื้อหลังจากราคายืนยันการทะลุแนวต้านแล้ว เพื่อจับเทรนด์ขาขึ้นที่กำลังจะเกิดขึ้น
ตัวอย่างการใช้งาน: สมมติว่าคู่เงิน EURUSD ราคาตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 1.3710 และมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1.3750 นักเทรดเชื่อว่าหากราคา EURUSD ทะลุ 1.3750 ขึ้นไปได้ จะเกิดการเคลื่อนไหวขาขึ้นที่แข็งแกร่ง จึงสามารถวางคำสั่ง Buy Stop ที่ 1.3750 เมื่อราคาถึงจุดนี้ คำสั่งซื้อจะถูกเปิดโดยอัตโนมัติ
ขั้นตอนการวางคำสั่ง Buy Stop ใน MT4:
- คลิก “New Order” (คำสั่งซื้อใหม่)
- เลือก “Type” (ประเภทคำสั่งซื้อ): “Pending Order” (รอดำเนินการ)
- เลือก “Type” (ประเภทคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ): “Buy Stop”
- กำหนด “Price” (ราคา) ที่ต้องการให้คำสั่งเปิด (เช่น 1.3750)
- กำหนด “Expiration” (วันหมดอายุ) หากต้องการให้คำสั่งถูกยกเลิกอัตโนมัติเมื่อถึงเวลาที่กำหนด (หากไม่กำหนด คำสั่งจะยังคงอยู่จนกว่าจะถูกยกเลิกด้วยตนเองหรือมีการดำเนินการ)
- คลิก “Place” (วาง)

เคล็ดลับ: การตั้งวันหมดอายุ (Expiration) สำหรับ Pending Order เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากเงื่อนไขของตลาดเปลี่ยนแปลงไปหรือคำสั่งไม่ถูกดำเนินการภายในระยะเวลาที่เหมาะสม การตั้งวันหมดอายุจะช่วยป้องกันไม่ให้คำสั่งค้างอยู่ในตลาดและถูกดำเนินการในสภาวะที่ไม่เป็นไปตามแผนการเทรดเดิม
2. Sell Stop: ขายเมื่อราคาต่ำลงเพื่อทะลุแนวรับ
Sell Stop คืออะไร: เป็นคำสั่งขายที่ตั้งไว้ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดสถานะขาย (Short Position) เมื่อราคาตลาดเคลื่อนที่ต่ำลงไปถึงจุดที่กำหนดไว้
ทำไมต้องใช้ Sell Stop: เหมาะสำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบ Breakout ในทิศทางขาลง เมื่อนักเทรดคาดการณ์ว่าราคาจะทะลุแนวรับสำคัญลงไป และต้องการเข้าขายหลังจากราคายืนยันการทะลุแนวรับแล้ว เพื่อจับเทรนด์ขาลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
ตัวอย่างการใช้งาน: สมมติว่าคู่เงิน AUDNZD ราคาตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 1.0793 และมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1.0770 นักเทรดเชื่อว่าหากราคา AUDNZD ทะลุ 1.0770 ลงไปได้ จะเกิดการเคลื่อนไหวขาลงที่รุนแรง จึงสามารถวางคำสั่ง Sell Stop ที่ 1.0770 เมื่อราคาถึงจุดนี้ คำสั่งขายจะถูกเปิดโดยอัตโนมัติ
ขั้นตอนการวางคำสั่ง Sell Stop ใน MT4:
- คลิก “New Order” (คำสั่งซื้อใหม่)
- เลือก “Type” (ประเภทคำสั่งซื้อ): “Pending Order” (รอดำเนินการ)
- เลือก “Type” (ประเภทคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ): “Sell Stop”
- กำหนด “Price” (ราคา) ที่ต้องการให้คำสั่งเปิด (เช่น 1.0770)
- กำหนด “Expiration” (วันหมดอายุ) หากจำเป็น
- คลิก “Place” (วาง)

3. Buy Limit: ซื้อเมื่อราคาต่ำลงเพื่อกลับตัวขึ้น
Buy Limit คืออะไร: เป็นคำสั่งซื้อที่ตั้งไว้ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดสถานะซื้อ (Long Position) เมื่อราคาตลาดเคลื่อนที่ต่ำลงไปถึงจุดที่กำหนดไว้และคาดว่าจะมีการกลับตัวขึ้น
ทำไมต้องใช้ Buy Limit: เหมาะสำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบ Reversal หรือการเทรดสวนแนวโน้มระยะสั้น เมื่อนักเทรดคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับที่แข็งแกร่งและจะเด้งกลับขึ้นไปอีกครั้ง
ตัวอย่างการใช้งาน: สมมติว่าคู่เงิน AUDUSD ราคาตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 0.9300 และมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 0.9270 นักเทรดคาดว่าราคาจะลงมาทดสอบแนวรับนี้ก่อนที่จะปรับตัวขึ้น จึงวางคำสั่ง Buy Limit ที่ 0.9270 เมื่อราคาถึงจุดนี้ คำสั่งซื้อจะถูกเปิดโดยอัตโนมัติ
ขั้นตอนการวางคำสั่ง Buy Limit ใน MT4:
- คลิก “New Order” (คำสั่งซื้อใหม่)
- เลือก “Type” (ประเภทคำสั่งซื้อ): “Pending Order” (รอดำเนินการ)
- เลือก “Type” (ประเภทคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ): “Buy Limit”
- กำหนด “Price” (ราคา) ที่ต้องการให้คำสั่งเปิด (เช่น 0.9270)
- กำหนด “Expiration” (วันหมดอายุ) หากจำเป็น
- คลิก “Place” (วาง)

4. Sell Limit: ขายเมื่อราคาสูงขึ้นเพื่อกลับตัวลง
Sell Limit คืออะไร: เป็นคำสั่งขายที่ตั้งไว้สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดสถานะขาย (Short Position) เมื่อราคาตลาดเคลื่อนที่สูงขึ้นไปถึงจุดที่กำหนดไว้และคาดว่าจะมีการกลับตัวลง
ทำไมต้องใช้ Sell Limit: เหมาะสำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบ Reversal หรือการเทรดสวนแนวโน้มระยะสั้น เมื่อนักเทรดคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่แข็งแกร่งและจะกลับตัวลงไปอีกครั้ง
ตัวอย่างการใช้งาน: สมมติว่าคู่เงิน USDJPY ราคาตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 101.55 และมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 101.70 นักเทรดคาดว่าราคาจะขึ้นมาทดสอบแนวต้านนี้ก่อนที่จะปรับตัวลง จึงวางคำสั่ง Sell Limit ที่ 101.70 เมื่อราคาถึงจุดนี้ คำสั่งขายจะถูกเปิดโดยอัตโนมัติ
ขั้นตอนการวางคำสั่ง Sell Limit ใน MT4:
- คลิก “New Order” (คำสั่งซื้อใหม่)
- เลือก “Type” (ประเภทคำสั่งซื้อ): “Pending Order” (รอดำเนินการ)
- เลือก “Type” (ประเภทคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ): “Sell Limit”
- กำหนด “Price” (ราคา) ที่ต้องการให้คำสั่งเปิด (เช่น 101.70)
- กำหนด “Expiration” (วันหมดอายุ) หากจำเป็น
- คลิก “Place” (วาง)

การตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit สำหรับ Pending Order
การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการเทรด Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP) เป็นเครื่องมือที่ช่วยจำกัดความเสี่ยงและล็อคกำไรที่คาดหวัง การตั้งค่า SL และ TP ไปพร้อมกับ Pending Order จะช่วยให้นักเทรดมีความอุ่นใจว่าทุกคำสั่งมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจน
เหตุผลที่ควรตั้ง Stop Loss และ Take Profit เสมอ:
- จำกัดการขาดทุน: Stop Loss ช่วยป้องกันการขาดทุนที่มากเกินไปหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คาดการณ์ไว้
- ล็อคกำไร: Take Profit ช่วยให้นักเทรดสามารถเก็บกำไรได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอเพื่อปิดคำสั่งด้วยตนเอง
- วินัยในการเทรด: การกำหนด SL และ TP ล่วงหน้าเป็นการสร้างวินัยในการเทรด ลดการตัดสินใจที่ใช้อารมณ์
- การคำนวณ Risk-Reward Ratio: ช่วยให้นักเทรดสามารถคำนวณอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรด
วิธีการตั้งค่า: ขณะที่ท่านกำลังวางคำสั่ง Pending Order ในหน้าต่าง “New Order” ท่านจะเห็นช่องสำหรับใส่ “Stop Loss” และ “Take Profit” ท่านสามารถกรอกระดับราคาที่ต้องการลงไปได้ทันที หากท่านไม่แน่ใจเรื่องการคำนวณจุด Stop Loss และ Take Profit ที่เหมาะสม ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เทคนิคการบริหารความเสี่ยง หรือใช้เครื่องมือช่วยคำนวณจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
กลยุทธ์และเคล็ดลับในการใช้ Pending Order
การใช้ Pending Order อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจในกลยุทธ์และวินัยในการเทรด นี่คือเคล็ดลับเพิ่มเติม:
- การวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านอย่างละเอียด: การกำหนดจุดวาง Pending Order ควรมาจาก การวิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ ไม่ใช่การคาดเดา
- การใช้ Multiple Timeframe Analysis: พิจารณาแนวโน้มและระดับราคาสำคัญในหลายๆ Timeframe เพื่อให้ได้จุดเข้าที่แม่นยำยิ่งขึ้น
- หลีกเลี่ยงการวางคำสั่งใกล้ราคาปัจจุบันมากเกินไป: หากวางคำสั่งใกล้ราคาตลาดมากเกินไป อาจถูก Trigger โดยความผันผวนเพียงเล็กน้อยที่ไม่มีนัยสำคัญ
- พิจารณาข่าวและเหตุการณ์สำคัญ: ในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญ ราคาอาจเคลื่อนไหวรุนแรงและผันผวน การวาง Pending Order ในช่วงดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงสูง ควรพิจารณาเลี่ยงหรือปรับกลยุทธ์
- การทดสอบในบัญชี Demo: ก่อนที่จะใช้ Pending Order ในบัญชีจริง ควรฝึกฝนและทดสอบกลยุทธ์ใน บัญชี Demo เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของคำสั่งและผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น
ตารางสรุปประเภทของ Pending Order
| ประเภทคำสั่ง | ทิศทาง | ตำแหน่งราคาเมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน | สถานการณ์ที่เหมาะสม |
|---|---|---|---|
| Buy Stop | ซื้อ | เหนือราคาปัจจุบัน | คาดว่าราคาจะทะลุแนวต้านและขึ้นต่อไป (Breakout) |
| Sell Stop | ขาย | ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน | คาดว่าราคาจะทะลุแนวรับและลงต่อไป (Breakout) |
| Buy Limit | ซื้อ | ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน | คาดว่าราคาจะลงมาทดสอบแนวรับแล้วกลับตัวขึ้น (Reversal) |
| Sell Limit | ขาย | เหนือราคาปัจจุบัน | คาดว่าราคาจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านแล้วกลับตัวลง (Reversal) |
FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวางคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ
Q1: การใช้ Pending Order มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง?
A1: แม้ Pending Order จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน หากการวิเคราะห์ผิดพลาด ราคาอาจเคลื่อนไหวไปถึงจุดที่ตั้งคำสั่งแล้วเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการขาดทุน นอกจากนี้ ในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง (เช่น ช่วงประกาศข่าวสำคัญ) อาจเกิด Slippage (การเปิดคำสั่งที่ราคาแตกต่างจากที่ตั้งไว้เล็กน้อย) ซึ่งอาจส่งผลต่อผลกำไรหรือขาดทุนได้ การตั้ง Stop Loss อย่างรัดกุมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการความเสี่ยงเหล่านี้
Q2: สามารถแก้ไขหรือยกเลิก Pending Order ที่วางไปแล้วได้หรือไม่?
A2: ได้อย่างแน่นอน ท่านสามารถแก้ไขระดับราคาของ Pending Order, ระดับ Stop Loss และ Take Profit รวมถึงวันหมดอายุ หรือยกเลิกคำสั่งทั้งหมดได้ตราบใดที่คำสั่งยังไม่ถูกดำเนินการ วิธีการคือไปที่แท็บ “Trade” ใน MT4, คลิกขวาที่คำสั่งที่ต้องการแก้ไข/ยกเลิก และเลือก “Modify or Delete Order” (แก้ไขหรือลบคำสั่ง) ซึ่งความยืดหยุ่นนี้เป็นข้อดีที่ช่วยให้นักเทรดสามารถปรับแผนได้ตามสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
Q3: ควรใช้ Pending Order ประเภทไหนหากต้องการเข้าเทรดตามเทรนด์?
A3: หากท่านต้องการเข้าเทรดตามเทรนด์เมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านเพื่อยืนยันการต่อเนื่องของเทรนด์ ควรใช้ Buy Stop สำหรับเทรนด์ขาขึ้น (ราคาต้องทะลุแนวต้านขึ้นไป) และ Sell Stop สำหรับเทรนด์ขาลง (ราคาต้องทะลุแนวรับลงมา) คำสั่งเหล่านี้จะช่วยให้ท่านจับการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงหลังจากเกิด Breakout ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Q4: Pending Order จะทำงานแม้ว่าแพลตฟอร์ม MT4 จะปิดอยู่หรือไม่?
A4: ใช่ Pending Order ที่ท่านวางไว้บนแพลตฟอร์ม MT4 จะถูกบันทึกและประมวลผลโดย Server ของ Broker โดยตรง ดังนั้น แม้ว่าท่านจะปิดโปรแกรม MT4 บนคอมพิวเตอร์หรือมือถือของท่านไปแล้ว คำสั่งเหล่านั้นก็จะยังคงทำงานและถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติเมื่อราคาตลาดถึงระดับที่กำหนดไว้ นี่เป็นข้อดีที่ทำให้นักเทรดมีความยืดหยุ่นและไม่จำเป็นต้องออนไลน์ตลอดเวลา
Q5: อะไรคือความแตกต่างระหว่าง Pending Order และ Instant Execution?
A5: ความแตกต่างหลักคือเวลาและเงื่อนไขการดำเนินการ:
- Instant Execution (คำสั่งซื้อขายทันที): เป็นการเปิดสถานะการซื้อขายทันที ณ ราคาตลาดปัจจุบันที่เห็นอยู่บนหน้าจอ เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการเข้าเทรดอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
- Pending Order (คำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ): เป็นการตั้งเงื่อนไขล่วงหน้าเพื่อเปิดสถานะการซื้อขายเมื่อราคาตลาดเคลื่อนที่ไปถึงระดับที่ท่านระบุไว้ คำสั่งจะไม่ถูกดำเนินการทันที แต่จะรอจนกว่าเงื่อนไขราคาจะบรรลุผล
การเลือกใช้ประเภทคำสั่งขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และสถานการณ์การเทรดของแต่ละบุคคล
สรุป: เพิ่มประสิทธิภาพการเทรดด้วย Pending Order
การเข้าใจและประยุกต์ใช้ Pending Order ทั้งสี่ประเภทอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็น Buy Stop, Sell Stop, Buy Limit หรือ Sell Limit คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้นักเทรดสามารถบริหารจัดการการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดบนแพลตฟอร์ม MT4 เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความยืดหยุ่นในการวางแผนการเทรด แต่ยังช่วยลดอิทธิพลของอารมณ์และเสริมสร้างวินัยในการบริหารความเสี่ยง การใช้ Pending Order ร่วมกับการวิเคราะห์ตลาดที่แม่นยำและการกำหนด Stop Loss, Take Profit ที่เหมาะสม จะนำไปสู่ผลลัพธ์การเทรดที่ดีขึ้นและยั่งยืนในระยะยาว
เริ่มต้นฝึกฝนการใช้ Pending Order ใน บัญชีทดลอง วันนี้ เพื่อยกระดับกลยุทธ์การเทรดของคุณให้ก้าวไปอีกขั้น และหากคุณสนใจระบบเทรดอัตโนมัติหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเทรด สามารถเข้าร่วมกลุ่มผู้ใช้ EA ของเราได้ทันที!

