TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
รีวิวโบรกเกอร์ วิธีสมัคร

ระดับ Margin และระดับ Stop out ใน forex

กันยายน 15, 2022

เข้าใจลึกซึ้ง: ระดับ Margin และ Stop Out ในตลาด Forex – คู่มือสำคัญสำหรับเทรดเดอร์

ในการเทรด Forex นั้น มีคำศัพท์และแนวคิดสำคัญหลายประการที่เทรดเดอร์ทุกคน โดยเฉพาะมือใหม่ จำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงและปกป้องเงินทุนของตนเอง หนึ่งในแนวคิดเหล่านั้นคือ "ระดับ Margin" และ "Stop Out" ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่โบรกเกอร์ใช้เพื่อรักษาสมดุลของบัญชีเทรด และป้องกันไม่ให้เทรดเดอร์ขาดทุนเกินกว่าเงินทุนที่มีอยู่ บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมาย ความสำคัญ วิธีการทำงาน รวมถึงเคล็ดลับในการจัดการระดับ Margin เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์อย่าง Margin Call และ Stop Out

ความสำคัญของ Margin ในตลาด Forex

ก่อนที่เราจะเข้าถึงระดับ Margin เราจำเป็นต้องเข้าใจพื้นฐานของ "Margin" เสียก่อน

Margin คืออะไร?

Margin (มาร์จิ้น) ในตลาด Forex คือ เงินประกันที่เทรดเดอร์ต้องวางไว้กับโบรกเกอร์เพื่อเปิดและรักษาสถานะการซื้อขายที่มีขนาดใหญ่กว่าเงินทุนจริงของตนเอง นี่คือหัวใจสำคัญของการเทรดด้วย เลเวอเรจ (Leverage) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มอำนาจในการซื้อขาย ทำให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมตำแหน่งขนาดใหญ่ด้วยเงินทุนที่น้อยลง

ทำไมต้องมี Margin? โบรกเกอร์ต้องการให้แน่ใจว่าคุณมีเงินทุนเพียงพอในบัญชีเพื่อครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขายของคุณ หากไม่มี Margin เทรดเดอร์อาจเปิดสถานะขนาดใหญ่เกินตัว และหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง ก็อาจทำให้โบรกเกอร์ต้องรับผิดชอบความเสียหายนั้นเอง

ตัวอย่าง: หากโบรกเกอร์ให้เลเวอเรจ 1:500 หมายความว่า คุณสามารถควบคุมการซื้อขายมูลค่า 500,000 ดอลลาร์ ด้วยเงิน Margin เพียง 1,000 ดอลลาร์ (1/500 ของ 500,000) ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการทำกำไร แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนเช่นกัน

ประเภทของ Margin: Used Margin และ Free Margin

Margin สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลักที่สำคัญต่อการทำความเข้าใจสถานะบัญชีของคุณ:

  • Used Margin (มาร์จิ้นที่ใช้แล้ว): คือส่วนหนึ่งของเงินทุนในบัญชีของคุณที่ถูกกันไว้เพื่อเปิดและรักษาสถานะการซื้อขายที่กำลังเปิดอยู่ หากคุณเปิดสถานะการซื้อขายมากขึ้น Used Margin ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  • Free Margin (มาร์จิ้นอิสระ): คือส่วนที่เหลือของเงินทุนในบัญชีของคุณที่ยังไม่ได้ถูกใช้เป็น Margin สำหรับสถานะที่เปิดอยู่ และสามารถนำไปใช้ในการเปิดสถานะใหม่ หรือรองรับการขาดทุนของสถานะปัจจุบันได้ ยิ่ง Free Margin สูงเท่าไร คุณก็ยิ่งมีความยืดหยุ่นในการซื้อขายมากขึ้นเท่านั้น

ความสัมพันธ์: Equity = Used Margin + Free Margin

เจาะลึกระดับ Margin

ระดับ Margin คือตัวชี้วัดสุขภาพของบัญชีเทรดของคุณ เป็นสิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ระดับ Margin คืออะไร?

ระดับ Margin (Margin Level) คือ อัตราส่วนร้อยละของ Equity (เงินทุนทั้งหมดในบัญชี) ต่อ Used Margin (เงินประกันที่ใช้ไปแล้ว) ในบัญชีซื้อขายของคุณ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้:

ระดับ Margin = (Equity / Used Margin) x 100%

Equity (เงินทุน) คือ ยอดรวมของ Balance (เงินคงเหลือในบัญชี) บวกด้วยกำไรหรือขาดทุนลอยตัว (Floating P/L) ของสถานะที่เปิดอยู่ทั้งหมด

ทำไมต้องคำนวณด้วย Equity? เพราะ Equity สะท้อนถึงมูลค่าเงินทุนที่แท้จริงในบัญชีของคุณ ณ ปัจจุบัน ซึ่งรวมผลการดำเนินงานของสถานะที่ยังไม่ปิดด้วย หากบัญชีซื้อขายของคุณไม่มีสถานะที่เปิดอยู่ Equity ก็จะเท่ากับ Balance และ Used Margin จะเป็นศูนย์ ส่งผลให้ระดับ Margin ไม่สามารถคำนวณได้หรือแสดงค่าสูงมาก

สูตรคำนวณระดับ Margin

การคำนวณระดับ Margin พร้อมตัวอย่าง

เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน เรามาดูตัวอย่างการคำนวณกัน:

สถานการณ์ที่ 1: บัญชีที่ดี

  • Balance (ยอดคงเหลือ): $10,000
  • Floating Profit/Loss (กำไร/ขาดทุนลอยตัว): $0 (ยังไม่มีสถานะเปิด)
  • Equity (เงินทุน): $10,000
  • Used Margin (มาร์จิ้นที่ใช้แล้ว): $500 (สำหรับการเปิดสถานะ)
  • ระดับ Margin: ($10,000 / $500) x 100% = 2000%

ระดับ Margin ที่ 2000% บ่งชี้ว่าบัญชีซื้อขายอยู่ในสถานะที่ดีมาก มี Free Margin เหลือเฟือสำหรับการเปิดสถานะเพิ่มเติม หรือรองรับการขาดทุนจำนวนมาก

สถานการณ์ที่ 2: บัญชีที่เริ่มมีความเสี่ยง

  • Balance (ยอดคงเหลือ): $10,000
  • Floating Profit/Loss (กำไร/ขาดทุนลอยตัว): -$8,000
  • Equity (เงินทุน): $2,000 ($10,000 – $8,000)
  • Used Margin (มาร์จิ้นที่ใช้แล้ว): $500
  • ระดับ Margin: ($2,000 / $500) x 100% = 400%

ระดับ Margin ที่ 400% ยังถือว่าปลอดภัย แต่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บ่งชี้ว่าสถานะที่เปิดอยู่กำลังขาดทุนและลด Equity ของคุณลง คุณยังคงมี Free Margin สำหรับการดำเนินการเพิ่มเติม แต่ควรเริ่มระมัดระวังมากขึ้น

ความหมายของระดับ Margin ที่แตกต่างกัน

  • ระดับ Margin สูง (เช่น 1000% ขึ้นไป): แสดงว่าบัญชีมีสุขภาพดีเยี่ยม มีเงินทุนสำรองมากพอสำหรับสถานะที่เปิดอยู่ คุณมีอิสระในการเปิดสถานะใหม่ได้อีกมาก และทนต่อความผันผวนของตลาดได้สูง
  • ระดับ Margin ปานกลาง (เช่น 200% – 500%): บัญชียังคงปลอดภัย แต่มีพื้นที่ให้เกิดการขาดทุนได้น้อยลง คุณควรเริ่มพิจารณากลยุทธ์การเทรดหรือการ บริหารความเสี่ยง ของคุณ
  • ระดับ Margin ต่ำ (ใกล้ 100%): บัญชีมีความเสี่ยงสูงมาก หมายความว่า Equity ของคุณกำลังเข้าใกล้ Used Margin อย่างมาก และอาจนำไปสู่สถานการณ์ Margin Call หรือ Stop Out ได้ง่าย

ระดับ Margin ที่ปลอดภัยใน Forex

โดยทั่วไปแล้ว โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะกำหนดข้อจำกัดว่าคุณจะไม่สามารถเปิดสถานะใหม่ได้เมื่อระดับ Margin ของบัญชีซื้อขายของคุณลดลงถึง 100% หรือต่ำกว่านั้น

  • ทำไมต้อง 100%? ที่ระดับ 100% หมายความว่า Equity ของคุณเท่ากับ Used Margin พอดี นั่นคือ Free Margin ของคุณเป็นศูนย์ ซึ่งไม่มีเงินทุนสำรองเหลือสำหรับการเปิดสถานะใหม่ หรือแม้แต่รองรับการขาดทุนเพียงเล็กน้อยของสถานะปัจจุบัน
  • กฎ: ระดับ Margin ที่ปลอดภัย ต้องมากกว่า 100% เสมอ ยิ่งสูงกว่า 100% มากเท่าไร บัญชีของคุณก็ยิ่งปลอดภัยและมีความยืดหยุ่นมากเท่านั้น
  • ผลกระทบ: หากระดับ Margin ต่ำกว่า 100% คุณจะไม่สามารถเปิดสถานะเพิ่มได้ และไม่สามารถทำการ Hedging (การเปิดสถานะสวนทางเพื่อลดความเสี่ยง) ได้ ซึ่งจำกัดความสามารถในการจัดการพอร์ตการลงทุนของคุณอย่างรุนแรง

Margin Call ใน MT4

Margin Call คือสัญญาณเตือนแรกที่โบรกเกอร์ส่งให้คุณเมื่อบัญชีของคุณเริ่มมีปัญหา

Margin Call คืออะไร?

Margin Call (มาร์จิ้นคอล) คือการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์ว่าระดับ Margin ในบัญชีของคุณลดลงถึงเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งหมายความว่าเงินทุนในบัญชีของคุณไม่เพียงพอที่จะรักษาสถานะการซื้อขายที่เปิดอยู่ต่อไปได้ โบรกเกอร์แต่ละรายจะกำหนดเปอร์เซ็นต์ระดับ Margin สำหรับ Margin Call ที่แตกต่างกันออกไป (เช่น 30%, 50%, 70%)

เมื่อเกิด Margin Call:

  • คุณจะได้รับการแจ้งเตือน (ผ่านแพลตฟอร์ม MT4, อีเมล หรือ SMS)
  • คุณจะไม่สามารถเปิดสถานะใหม่ได้อีกต่อไป
  • คุณต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อเพิ่มระดับ Margin ขึ้นไปเหนือระดับ Margin Call

ทำไมถึงเกิดขึ้น? ส่วนใหญ่เกิดจากการที่สถานะที่เปิดอยู่กำลังขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และ Equity ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ Free Margin เหลือน้อย

ภาพแสดง Margin Call

สาเหตุและการป้องกัน Margin Call

สาเหตุหลัก:

  1. การใช้เลเวอเรจสูงเกินไป: การเปิดสถานะขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับเงินทุนในบัญชี ทำให้ Used Margin สูง และหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางเพียงเล็กน้อย ก็จะส่งผลให้ Equity ลดลงอย่างรวดเร็ว
  2. การขาดทุนสะสมจากสถานะที่เปิดอยู่: เมื่อสถานะการซื้อขายหลายตำแหน่งกำลังขาดทุนพร้อมกัน Equity ของบัญชีจะลดลงอย่างต่อเนื่อง
  3. การไม่ตั้ง Stop Loss: การไม่กำหนดจุดตัดขาดทุนล่วงหน้า ทำให้การขาดทุนลอยตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีการจำกัด
  4. การเทรดสวนเทรนด์โดยไม่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดี: การพยายามจับจุดกลับตัวของตลาดโดยไม่มีแผนที่ชัดเจน อาจนำไปสู่การขาดทุนหนัก

วิธีป้องกัน Margin Call:

  • บริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด: กำหนดขนาด Lot ที่เหมาะสมกับเงินทุนของคุณ ไม่ใช้เลเวอเรจสูงเกินไป และจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง (เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง)
  • ตั้ง Stop Loss เสมอ: ใช้ Stop Loss เพื่อจำกัดการขาดทุนสูงสุดของแต่ละสถานะ หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์
  • ตรวจสอบระดับ Margin อย่างสม่ำเสมอ: เฝ้าระวัง Equity และระดับ Margin ของคุณบนแพลตฟอร์ม MT4 อยู่เสมอ
  • เพิ่มเงินฝาก (Deposit): หากระดับ Margin เริ่มลดลง คุณสามารถฝากเงินเพิ่มเข้าไปในบัญชี เพื่อเพิ่ม Equity และยกระดับ Margin ให้สูงขึ้นได้
  • ปิดสถานะที่ขาดทุนบางส่วน: การปิดสถานะที่ขาดทุนบางส่วนจะช่วยลด Used Margin และเพิ่ม Free Margin ซึ่งจะช่วยยกระดับ Margin ของคุณขึ้น

Stop Out ใน Forex

Stop Out คือจุดจบของสถานะการซื้อขายที่ไม่ได้รับการจัดการความเสี่ยงที่ดี และเป็นกลไกสุดท้ายที่โบรกเกอร์ใช้เพื่อป้องกันการติดลบของบัญชี

Stop Out คืออะไร?

Stop Out (สต็อปเอาต์) คือ ระดับการบังคับปิดสถานะการซื้อขายอัตโนมัติจากโบรกเกอร์ เป็นกลไกที่ทำงานเมื่อระดับ Margin ของบัญชีลดลงถึงเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำกว่า Margin Call ซึ่งมักจะอยู่ที่ประมาณ 20% – 30% (ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโบรกเกอร์) เมื่อถึงระดับนี้ โบรกเกอร์จะเริ่มปิดสถานะการซื้อขายของคุณทีละรายการ โดยเริ่มจากสถานะที่ขาดทุนมากที่สุด เพื่อเพิ่ม Equity และยกระดับ Margin ให้สูงขึ้นกว่าเกณฑ์ Stop Out

ตัวอย่าง: หากโบรกเกอร์กำหนด Stop Out ที่ 20% หมายความว่า หาก Equity ของคุณลดลงจนเหลือเพียง 20% ของ Used Margin โบรกเกอร์จะเริ่มปิดสถานะของคุณโดยอัตโนมัติ

  • ถ้า…จะเป็นอย่างไร? หากคุณมีสถานะเปิดอยู่หลายตำแหน่ง และบัญชีของคุณถึงระดับ Stop Out โบรกเกอร์จะทยอยปิดสถานะเหล่านั้นทีละรายการ จนกว่า Equity ของคุณจะสูงกว่า Used Margin เพียงพอที่จะทำให้ระดับ Margin กลับมาอยู่เหนือระดับ Stop Out ที่กำหนด
  • ผลลัพธ์: การปิดสถานะอัตโนมัตินี้จะทำให้คุณขาดทุนจริงตามสถานะที่ถูกปิดไป และอาจทำให้แผนการเทรดของคุณพังลง

ผลกระทบของ Stop Out และการป้องกัน

ผลกระทบ:

  • การขาดทุนจริง: สถานะที่ถูกปิดจะบันทึกเป็นการขาดทุนจริงในบัญชีของคุณ
  • การสูญเสียโอกาส: คุณอาจพลาดโอกาสในการที่ตลาดจะกลับตัวทำกำไร หากสถานะของคุณถูกปิดไปก่อน
  • ผลกระทบทางจิตวิทยา: การถูก Stop Out อาจส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจของเทรดเดอร์ ทำให้เกิดความท้อแท้หรือตัดสินใจผิดพลาดในการเทรดครั้งต่อไป

วิธีป้องกัน Stop Out:

  • เฝ้าระวังระดับ Margin อย่างต่อเนื่อง: การตรวจสอบระดับ Margin บนแพลตฟอร์ม MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5 เป็นสิ่งสำคัญ หากเห็นว่าลดลงอย่างรวดเร็ว ให้พิจารณาปิดสถานะบางส่วนหรือฝากเงินเพิ่ม
  • ตั้ง Stop Loss และ Take Profit: การใช้ Stop Loss ที่เหมาะสมกับแผนการเทรดของคุณจะช่วยจำกัดการขาดทุนก่อนที่จะถึงระดับ Stop Out ในขณะที่ Take Profit ช่วยให้คุณล็อกกำไรเมื่อถึงเป้าหมาย
  • หลีกเลี่ยงการ Over-leverage: อย่าใช้เลเวอเรจมากเกินไป หรือเปิดสถานะขนาดใหญ่เกินกว่าที่เงินทุนในบัญชีจะรองรับความผันผวนได้
  • กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรถือครองสถานะที่มีความสัมพันธ์กันมากเกินไป หรือกระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์เดียว

Negative Balance Protection: เกราะป้องกันสำหรับเทรดเดอร์

โบรกเกอร์ Forex ที่ได้รับการกำกับดูแลส่วนใหญ่มีนโยบาย Negative Balance Protection (การคุ้มครองยอดคงเหลือติดลบ) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์

  • คืออะไร? นโยบายนี้รับประกันว่าคุณจะไม่สามารถขาดทุนได้เกินกว่าเงินทุนที่คุณฝากไว้ในบัญชีเทรด หากเกิดสถานการณ์ที่ตลาดมีความผันผวนรุนแรงจนทำให้บัญชีของคุณติดลบ โบรกเกอร์จะรับผิดชอบส่วนที่ติดลบนั้น ทำให้ยอดคงเหลือในบัญชีของคุณกลับมาเป็นศูนย์
  • ทำไมถึงสำคัญ? ช่วยป้องกันเทรดเดอร์จากการเป็นหนี้โบรกเกอร์ในสถานการณ์ที่รุนแรง เช่น ช่วงที่ข่าวสำคัญออก หรือตลาดเกิด Flash Crash ทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและ Stop Loss ไม่สามารถทำงานได้ทันท่วงที
  • อย่างไร? แม้ว่า Stop Out จะทำงานเพื่อปิดสถานะของคุณ แต่ในบางสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงมาก การปิดสถานะอาจไม่ทันท่วงทีและทำให้บัญชีติดลบได้ ซึ่ง Negative Balance Protection จะเข้ามาช่วยตรงจุดนี้

Negative Balance Protection

ตารางเปรียบเทียบ: Margin Call vs. Stop Out

เพื่อสรุปความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Margin Call และ Stop Out ได้อย่างชัดเจน เราได้จัดทำตารางเปรียบเทียบดังนี้:

คุณสมบัติ Margin Call Stop Out
วัตถุประสงค์ แจ้งเตือนเทรดเดอร์ว่าเงินทุนเหลือน้อยและมีความเสี่ยง บังคับปิดสถานะอัตโนมัติเพื่อป้องกันบัญชีติดลบ
ระดับ Margin (%) สูงกว่า Stop Out (เช่น 30% – 100% ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์) ต่ำกว่า Margin Call (เช่น 0% – 20% ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์)
การดำเนินการของโบรกเกอร์ ส่งการแจ้งเตือน, ห้ามเปิดสถานะใหม่ เริ่มปิดสถานะที่ขาดทุนมากที่สุดทีละรายการ
การดำเนินการของเทรดเดอร์ มีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ (ฝากเงินเพิ่ม, ปิดสถานะบางส่วน) สถานะถูกปิดโดยอัตโนมัติ, การควบคุมจำกัด
ผลลัพธ์ เป็นสัญญาณเตือนให้ระมัดระวังและปรับกลยุทธ์ เกิดการขาดทุนจริง, พอร์ตเสียหาย
ความรุนแรง ระดับความเสี่ยงปานกลาง ระดับความเสี่ยงสูง, สถานการณ์วิกฤติ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: ระดับ Margin ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่?

A: ไม่มีตัวเลขที่แน่นอนสำหรับ "ระดับ Margin ที่ดีที่สุด" เนื่องจากขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรด, ขนาดบัญชี, และความเสี่ยงที่เทรดเดอร์ยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม ระดับ Margin ควรอยู่ที่ 500% ขึ้นไป ถือเป็นระดับที่ปลอดภัยและยืดหยุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ หรือเมื่อมีสถานะเปิดอยู่หลายตำแหน่ง ระดับ Margin ที่สูงกว่า 1000% ยิ่งดี เพราะแสดงว่าคุณมี Free Margin จำนวนมากที่สามารถรองรับความผันผวนของตลาดได้ดี การรักษาระดับ Margin ให้สูงเข้าไว้คือหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยง

Q2: ทำไมโบรกเกอร์ต้องมี Margin Call และ Stop Out?

A: โบรกเกอร์มีกลไก Margin Call และ Stop Out เพื่อปกป้องทั้งตัวเทรดเดอร์และโบรกเกอร์เองเป็นหลัก โดยเฉพาะในตลาดที่มีการใช้เลเวอเรจสูงอย่าง Forex

  1. ปกป้องเทรดเดอร์: เพื่อป้องกันไม่ให้เทรดเดอร์ขาดทุนเกินกว่าเงินทุนที่มีในบัญชีจนเป็นหนี้โบรกเกอร์
  2. ปกป้องโบรกเกอร์: เพื่อลดความเสี่ยงที่โบรกเกอร์จะต้องรับภาระการขาดทุน หากบัญชีของลูกค้าติดลบมากเกินไป และเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้ามีเงินประกันเพียงพอสำหรับการเทรด

กลไกเหล่านี้ช่วยรักษาสภาพคล่องและความมั่นคงของระบบการซื้อขายโดยรวม

Q3: จะเกิดอะไรขึ้นหากบัญชีของฉันติดลบ?

A: หากบัญชีของคุณติดลบ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนรุนแรงและรวดเร็วมากจนกลไก Stop Out ไม่สามารถปิดสถานะได้ทัน (เช่น มี Gap ราคาใหญ่ หรือข่าวเศรษฐกิจสำคัญออก) โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ที่มี Negative Balance Protection จะทำการปรับยอดเงินในบัญชีของคุณให้กลับมาเป็นศูนย์โดยอัตโนมัติ นั่นหมายความว่า คุณจะไม่ต้องรับผิดชอบยอดเงินที่ติดลบนั้นและไม่เป็นหนี้โบรกเกอร์ แต่หากโบรกเกอร์ที่คุณเลือกไม่มีนโยบายนี้ คุณอาจจะต้องรับผิดชอบยอดเงินที่ติดลบนั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

Q4: มีวิธีใดบ้างที่จะหลีกเลี่ยง Margin Call และ Stop Out?

A: การหลีกเลี่ยง Margin Call และ Stop Out เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการเทรด Forex โดยมีแนวทางดังนี้:

  • บริหารขนาด Lot ให้เหมาะสม: เปิดสถานะด้วยขนาด Lot ที่สอดคล้องกับขนาดเงินทุนของคุณ ไม่ใช้เลเวอเรจมากเกินไป
  • ตั้ง Stop Loss เสมอ: กำหนดจุดตัดขาดทุน ล่วงหน้าทุกครั้ง เพื่อจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง
  • ตรวจสอบระดับ Margin อย่างสม่ำเสมอ: หมั่นดู "Margin Level" บนแพลตฟอร์ม MT4 ของคุณ หากต่ำกว่า 300-500% ควรเริ่มพิจารณาการจัดการ
  • เพิ่มเงินทุน: หากจำเป็น ให้พิจารณาฝากเงินเพิ่มเพื่อเพิ่ม Equity และรักษาระดับ Margin ให้สูงขึ้น
  • ปิดสถานะที่ขาดทุน: หากสถานะใดมีแนวโน้มขาดทุนต่อเนื่องและส่งผลต่อระดับ Margin อย่างมีนัยสำคัญ การปิดสถานะเหล่านั้นอาจช่วยลดความเสี่ยงได้
  • ใช้กลยุทธ์ การบริหารความเสี่ยง ที่ดี: กำหนดกฎเกณฑ์การเทรดที่ชัดเจนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

Q5: Equity กับ Balance ต่างกันอย่างไรในการคำนวณ Margin?

A: Equity และ Balance เป็นสองคำที่มักจะถูกใช้สับสน แต่มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างมากในการเทรด Forex และในการคำนวณระดับ Margin:

  • Balance (ยอดคงเหลือ): คือจำนวนเงินทั้งหมดในบัญชีเทรดของคุณที่ไม่ได้ถูกผูกติดกับสถานะที่กำลังเปิดอยู่ เป็นเงินสดที่สามารถถอนออกได้ทันที หรือใช้ในการเปิดสถานะใหม่ได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากกำไรหรือขาดทุนลอยตัวของสถานะที่ยังเปิดอยู่
  • Equity (เงินทุน): คือมูลค่าเงินทุนที่แท้จริงในบัญชีของคุณ ณ ปัจจุบัน ซึ่งรวมเอา Balance บวกกับกำไรหรือขาดทุนลอยตัว (Floating P/L) ของสถานะที่เปิดอยู่ทั้งหมด หากสถานะที่เปิดอยู่มีกำไร Equity จะเพิ่มขึ้น และหากขาดทุน Equity ก็จะลดลง Equity จึงเป็นตัวเลขที่ใช้ในการคำนวณระดับ Margin และเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของบัญชีที่แม่นยำที่สุด

สรุป: Balance คือเงินที่นิ่งอยู่ (ยกเว้นตอนปิด/เปิดสถานะหรือฝาก/ถอน) ในขณะที่ Equity คือมูลค่าเงินที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามผลกำไรหรือขาดทุนของสถานะที่เปิดอยู่

สรุปและ Call to Action

ระดับ Margin และ Stop Out คือกลไกสำคัญในตลาด Forex ที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อปกป้องเงินทุนและบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเฝ้าระวังระดับ Margin อย่างใกล้ชิด การตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสม และการใช้ กลยุทธ์บริหารความเสี่ยง ที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงสถานการณ์ Margin Call และ Stop Out ได้ และเพิ่มโอกาสในการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว

เริ่มต้นการเดินทางในโลก Forex ด้วยความรู้ที่ถูกต้องและการเตรียมพร้อมที่ดี หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรด การบริหารความเสี่ยง หรือต้องการคำแนะนำในการเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ fttinvesting.com มีแหล่งข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอ อย่าปล่อยให้ความเข้าใจผิดนำไปสู่การขาดทุนที่ไม่จำเป็น

You Might Also Like

Contact Us on Line