เปิดเผยความลับ Margin Forex: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ
ในโลกของการเทรด Forex ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย
คำว่า “มาร์จิ้น” (Margin) อาจฟังดูซับซ้อนและน่าสับสนสำหรับเทรดเดอร์หลายคน
แต่แท้จริงแล้ว
มาร์จิ้นคือหัวใจสำคัญของการซื้อขายในตลาด Forex
เป็นกลไกที่ช่วยให้เราสามารถเปิดสถานะการซื้อขายที่มีขนาดใหญ่กว่าเงินทุนที่เรามีอยู่จริงได้
บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของมาร์จิ้น
ตั้งแต่ความหมายพื้นฐานไปจนถึงองค์ประกอบสำคัญและผลกระทบต่อกลยุทธ์การเทรดของคุณ
เพื่อให้คุณสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรได้อย่างมืออาชีพ
มาร์จิ้น (Margin) ใน Forex คืออะไร?
มาร์จิ้น (Margin) คือ “เงินหลักประกัน”
ที่คุณต้องวางไว้กับโบรกเกอร์เมื่อทำการเปิดคำสั่งซื้อขาย (Order) ในตลาด
Forex
พูดง่ายๆ คือ
เป็นเงินส่วนหนึ่งที่ถูกหักไว้เพื่อยืนยันว่าคุณมีเงินทุนเพียงพอที่จะครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขายนั้นๆ
เมื่อคุณปิดสถานะการซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็นกำไรหรือขาดทุน
เงินหลักประกันนี้ก็จะถูกคืนกลับเข้าบัญชีเทรดของคุณ
ความสัมพันธ์ระหว่างมาร์จิ้นและเลเวอเรจ (Leverage)
มาร์จิ้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ Leverage (อัตราทด)
ที่คุณเลือกใช้ในการเทรด
Leverage
คือเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มอำนาจในการซื้อขายของคุณ
ทำให้คุณสามารถควบคุมปริมาณการซื้อขายที่ใหญ่ขึ้นด้วยเงินทุนที่น้อยลง
ซึ่งส่งผลให้มาร์จิ้นที่คุณต้องวางลดลงตามไปด้วย
ตัวอย่างความสัมพันธ์ของมาร์จิ้นและ Leverage:
-
Leverage 1:1: หากคุณต้องการเปิด Order
ขนาด 1 Lot (มาตรฐาน 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก)
คุณจะต้องใช้เงินหลักประกัน (Margin) เต็มจำนวน 100,000 USD
ในกรณีนี้ มาร์จิ้นของคุณจะเท่ากับ 100,000 USD -
Leverage 1:100: หากคุณใช้ Leverage
ที่ 1:100
มาร์จิ้นที่คุณต้องวางจะลดลง 100 เท่า
จากเดิมที่ต้องวาง 100,000 USD
ก็จะเหลือเพียง 1,000 USD เท่านั้น
นี่แสดงให้เห็นถึงพลังของ Leverage ที่ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าถึงตลาดด้วยเงินทุนเริ่มต้นที่น้อยลง
จากตัวอย่างนี้ จะเห็นได้ว่ายิ่งคุณใช้อัตรา Leverage
สูงเท่าไหร่
เงินหลักประกันที่ต้องใช้ในการเปิด Order ก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม
การใช้ Leverage สูงก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน
ดังนั้น การทำความเข้าใจและบริหารจัดการ Leverage
และมาร์จิ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
องค์ประกอบสำคัญของมาร์จิ้นที่คุณต้องรู้
นอกจากความหมายพื้นฐานแล้ว
ยังมีองค์ประกอบย่อยๆ ของมาร์จิ้นที่คุณควรทำความเข้าใจเพื่อการเทรดที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น:
1. Available Margin (มาร์จิ้นที่ใช้ไป)
-
คืออะไร: Available Margin
คือจำนวนเงินหลักประกันที่ถูก “ล็อก” ไว้
เมื่อคุณเปิดสถานะการซื้อขายในตลาด
เงินส่วนนี้ไม่สามารถนำไปใช้ในการเปิด Order เพิ่มเติมได้จนกว่า Order ที่เปิดอยู่จะถูกปิด -
ทำไมต้องรู้: การรู้จำนวน Available Margin
ช่วยให้คุณเข้าใจว่าเงินทุนส่วนใดของคุณกำลังถูกใช้ในการรักษาสถานะที่เปิดอยู่
และยังบ่งบอกถึง “ต้นทุน” ของการเปิด Order แต่ละครั้ง -
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: หากคุณมี Available Margin สูง
แสดงว่าคุณกำลังใช้ Leverage
ในระดับที่เหมาะสมและมีเงินทุนสำรองมากพอ
ในทางกลับกัน หาก Available Margin
ของคุณต่ำมาก อาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังเปิดสถานะที่ใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับเงินทุนที่มี
2. Free Margin (มาร์จิ้นอิสระ)
-
คืออะไร: Free Margin
คือ “เงินที่เหลือ” จากมาร์จิ้นทั้งหมดในบัญชีของคุณ
หลังจากหัก Available Margin
และคำนึงถึงกำไร/ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้น (Floating P/L) ของสถานะที่เปิดอยู่
เงินส่วนนี้คือเงินที่คุณสามารถนำไปใช้ในการเปิด Order ใหม่ได้ -
ทำไมต้องรู้: Free Margin มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนของคุณ
เพราะมันคือตัวชี้วัดความยืดหยุ่นของบัญชีเทรดของคุณ
หาก Free Margin
เหลือน้อยลงเรื่อยๆ
คุณจะไม่สามารถเปิด Order ใหม่ได้อีก
ซึ่งอาจจำกัดโอกาสในการทำกำไรของคุณ -
เคล็ดลับ:
ควรพยายามรักษาระดับ Free Margin
ให้มีอยู่เสมอ
เพื่อรักษาสภาพคล่องและโอกาสในการเทรดที่ต่อเนื่อง
หาก Free Margin
ลดลงมาก
ควรพิจารณาลดขนาดสถานะ หรือเติมเงินเข้าบัญชี
เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ Margin Call
ที่อาจเกิดขึ้น
3. Margin Level (ระดับมาร์จิ้น)
-
คืออะไร: Margin Level
คืออัตราส่วนที่แสดงถึงสุขภาพของบัญชีเทรดของคุณ
คำนวณจาก (Equity / Available Margin) x 100%
โดยที่ Equity
คือมูลค่าสุทธิของบัญชีเทรดของคุณ (เงินทุนเริ่มต้น + กำไร/ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้น) -
ทำไมต้องรู้: Margin Level
เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่โบรกเกอร์ใช้ในการประเมินความเสี่ยงของบัญชีเทรดของคุณ
ยิ่งค่า Margin Level
สูงเท่าไหร่
บัญชีของคุณก็ยิ่งมีความปลอดภัยมากเท่านั้น -
กฎสำคัญ:
โดยทั่วไปแล้ว
โบรกเกอร์จะมีระดับ Margin Call
และ Stop Out ที่แตกต่างกันออกไป (อ่านรายละเอียดในหัวข้อถัดไป)
หาก Margin Level
ของคุณลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
คุณอาจเผชิญกับ Margin Call
หรือแม้กระทั่งการถูกปิด Order โดยอัตโนมัติ (Stop Out)
4. Margin Call (การเรียกหลักประกันเพิ่ม)
-
คืออะไร: Margin Call
คือการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์เมื่อ Margin Level
ของคุณลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้ (เช่น 50% หรือ 100% ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์)
สถานการณ์นี้มักเกิดขึ้นเมื่อสถานะการซื้อขายที่คุณเปิดอยู่กำลังขาดทุนอย่างหนัก
และเงินทุนในบัญชีของคุณไม่เพียงพอที่จะรักษาสถานะเหล่านั้นได้อีกต่อไป -
ทำไมจึงเกิดขึ้น: Margin Call
เกิดขึ้นเพื่อเตือนให้คุณดำเนินการบางอย่าง
เช่น
เติมเงินเข้าบัญชีเพิ่ม
หรือปิดสถานะที่ขาดทุนบางส่วน
เพื่อลดความเสี่ยงและรักษาระดับมาร์จิ้น -
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร: หากคุณไม่ดำเนินการใดๆ
และ Margin Level
ยังคงลดต่ำลงไปอีก
คุณจะเข้าสู่สถานการณ์ “Stop Out”
ซึ่งเป็นขั้นถัดไปที่อันตรายกว่ามาก
5. Stop Out (การปิดสถานะโดยอัตโนมัติ)
-
คืออะไร: Stop Out
คือกลไกการป้องกันของโบรกเกอร์ที่จะทำการ “ปิดสถานะการซื้อขายของคุณโดยอัตโนมัติ”
โดยเริ่มจาก Order ที่ขาดทุนมากที่สุด
เพื่อป้องกันไม่ให้ยอดเงินในบัญชีของคุณติดลบเกินกว่าเงินที่คุณฝากไว้
สถานการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อ Margin Level
ของคุณลดลงต่ำกว่าระดับ Stop Out ที่กำหนดไว้ (ซึ่งมักจะต่ำกว่าระดับ Margin Call) -
ทำไมจึงเกิดขึ้น: โบรกเกอร์จำเป็นต้องปกป้องตัวเองจากความเสี่ยงที่ยอดเงินในบัญชีลูกค้าจะติดลบ
และ Stop Out
เป็นมาตรการสุดท้ายในการรักษาสมดุลนี้ -
เคล็ดลับ: การหลีกเลี่ยง Stop Out
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรด Forex
คุณควรมีกลยุทธ์ การบริหารความเสี่ยง
ที่แข็งแกร่ง
กำหนด Stop Loss
และติดตาม Margin Level
ของคุณอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง หรือมีข่าวสำคัญเข้ามากระทบ
แม้ว่าคำว่า “มาร์จิ้น” อาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องรู้สำหรับมือใหม่
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
มันเป็นพื้นฐานสำคัญที่เทรดเดอร์ทุกคนควรทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้
เพราะทุกครั้งที่คุณเปิด Order
ข้อมูลเกี่ยวกับมาร์จิ้นจะแสดงอยู่บนหน้าจอเทรดของคุณเสมอ
การมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมั่นใจ
และบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตารางสรุปองค์ประกอบมาร์จิ้น
เพื่อให้เห็นภาพรวมขององค์ประกอบต่างๆ ของมาร์จิ้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เราได้จัดทำตารางสรุปดังนี้:
| องค์ประกอบมาร์จิ้น | ความหมาย | ความสำคัญ | สิ่งที่เทรดเดอร์ควรทำ |
|---|---|---|---|
| Available Margin | เงินหลักประกันที่ถูกหักไว้เมื่อเปิด Order | บ่งบอกถึงเงินทุนที่ถูกใช้ในการรักษาสถานะ | ตรวจสอบว่าไม่ใช้ Leverage มากเกินไป |
| Free Margin | เงินที่เหลืออยู่ในบัญชีที่สามารถใช้เปิด Order ใหม่ได้ | ตัวชี้วัดความยืดหยุ่นและสภาพคล่องของบัญชี | รักษาระดับให้สูงอยู่เสมอ เพื่อเปิด Order ใหม่และรองรับการขาดทุน |
| Margin Level | อัตราส่วนระหว่าง Equity และ Available Margin (เป็น %) | บ่งบอกสุขภาพโดยรวมของบัญชี ยิ่งสูงยิ่งดี |
ติดตามอย่างใกล้ชิด หลีกเลี่ยงไม่ให้ต่ำกว่าเกณฑ์ Margin Call |
| Margin Call | การแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์เมื่อ Margin Level ต่ำ | สัญญาณเตือนให้บริหารจัดการบัญชีโดยด่วน | เติมเงินเพิ่ม หรือปิดสถานะที่ขาดทุนบางส่วน |
| Stop Out | โบรกเกอร์ปิด Order โดยอัตโนมัติเมื่อ Margin Level ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด | กลไกป้องกันบัญชีติดลบ | ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด ด้วย การบริหารความเสี่ยงที่ดี |
เคล็ดลับการบริหารจัดการมาร์จิ้นเพื่อการเทรดที่ยั่งยืน
การบริหารจัดการมาร์จิ้นอย่างชาญฉลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จในระยะยาว
นี่คือเคล็ดลับที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้:
1. เข้าใจ Leverage และผลกระทบ
-
ทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้:
Leverage
เป็นดาบสองคมที่สามารถเพิ่มกำไรได้มหาศาล
แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงได้มากเช่นกัน
มือใหม่ควรเริ่มต้นด้วย Leverage
ต่ำๆ ก่อน
เช่น 1:50 หรือ 1:100
จนกว่าจะมีความชำนาญมากขึ้น -
อย่าใช้ Leverage สูงเกินไป:
การใช้ Leverage
ที่สูงเกินตัวอาจทำให้คุณต้องวางมาร์จิ้นน้อยลง
แต่ก็ทำให้บัญชีของคุณอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาเพียงเล็กน้อย
และอาจนำไปสู่ Margin Call
หรือ Stop Out ได้ง่ายขึ้น
2. วางแผน การบริหารความเสี่ยง
-
กำหนดขนาด Position ที่เหมาะสม:
คำนวณขนาด Order (Lot Size)
ให้สัมพันธ์กับขนาดบัญชีและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดต่อการเทรดหนึ่งครั้ง -
ใช้ Stop Loss เสมอ:
Stop Loss
คือคำสั่งตั้งค่าปิดสถานะโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามที่คุณคาดการณ์
เป็นเครื่องมือสำคัญในการจำกัดการขาดทุนและปกป้องมาร์จิ้นของคุณ
Stop Loss ที่เหมาะสมควรคำนวณจาก การวิเคราะห์กราฟ
และ การบริหารความเสี่ยง
3. ตรวจสอบ Margin Level อย่างสม่ำเสมอ
-
เป็นนิสัย:
ควรตรวจสอบ Margin Level
และ Free Margin
บนแพลตฟอร์มการเทรดของคุณเป็นประจำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตลาดมีความผันผวนสูง -
ตั้งการแจ้งเตือน:
โบรกเกอร์บางรายมีฟังก์ชันการแจ้งเตือนเมื่อ Margin Level
ของคุณลดลงถึงระดับที่กำหนด
ควรใช้ประโยชน์จากฟังก์ชันนี้เพื่อรับทราบสถานการณ์โดยเร็ว
4. มีเงินทุนสำรองเพียงพอ
-
เติมเงินเมื่อจำเป็น: หาก Free Margin
ของคุณเหลือน้อยและคุณยังต้องการรักษาสถานะที่เปิดอยู่
การเติมเงินเข้าบัญชีเพิ่มเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเพิ่ม Margin Level
และหลีกเลี่ยง Stop Out ได้ -
อย่าฝากเงินทั้งหมด:
ควรมีเงินทุนสำรองนอกเหนือจากเงินที่ใช้เทรด
เพื่อความมั่นคงทางการเงินและลดความกดดันทางจิตวิทยาในการเทรด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Margin Forex
Q1: มาร์จิ้น (Margin) และ Leverage
แตกต่างกันอย่างไร?
A1: มาร์จิ้นคือ “เงินหลักประกัน”
ที่คุณต้องวางไว้กับโบรกเกอร์เพื่อเปิด Order
ในขณะที่ Leverage
คือ “อัตราทด”
ที่ช่วยเพิ่มอำนาจในการซื้อขายของคุณ
ทำให้คุณสามารถควบคุมปริมาณการซื้อขายที่ใหญ่ขึ้นด้วยเงินทุนที่น้อยลง
Leverage
ที่สูงขึ้นจะส่งผลให้มาร์จิ้นที่คุณต้องวางลดลง
Q2: การใช้ Leverage สูงดีหรือไม่?
A2: การใช้ Leverage
สูงสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมหาศาลจากเงินทุนที่จำกัด
แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนได้มากเช่นกัน
หากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คุณคาดการณ์
ดังนั้น
เทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจความเสี่ยง
และใช้ Leverage
อย่างระมัดระวัง
และมีกลยุทธ์ การบริหารความเสี่ยงที่ดี
Q3: จะเกิดอะไรขึ้นหากบัญชีของฉันเกิด Margin Call?
A3: เมื่อเกิด Margin Call
โบรกเกอร์จะแจ้งเตือนให้คุณทราบว่า Margin Level
ของคุณลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนด
คุณมีทางเลือกสองทางคือ
1) เติมเงินเข้าบัญชีเพิ่ม
เพื่อเพิ่ม Equity และรักษาสถานะที่เปิดอยู่
หรือ 2) ปิดสถานะการซื้อขายที่ขาดทุนบางส่วน
เพื่อลด Available Margin
และเพิ่ม Margin Level
หากคุณไม่ดำเนินการใดๆ
บัญชีของคุณอาจถูก Stop Out (ปิดสถานะอัตโนมัติ)
Q4: Stop Out คืออะไรและทำไมโบรกเกอร์ต้องทำ?
A4: Stop Out
คือกลไกของโบรกเกอร์ที่จะปิดสถานะการซื้อขายของคุณโดยอัตโนมัติ
เมื่อ Margin Level
ลดลงถึงระดับที่อันตรายมาก
จุดประสงค์หลักคือ
เพื่อป้องกันไม่ให้ยอดเงินในบัญชีของคุณติดลบเกินกว่าเงินที่คุณได้ฝากไว้
ซึ่งเป็นการปกป้องทั้งตัวเทรดเดอร์เองและโบรกเกอร์จากความเสี่ยงที่มากเกินไป
Q5: ควรมี Free Margin เหลือเท่าไหร่ถึงจะปลอดภัย?
A5: ไม่มีตัวเลขตายตัวว่าควรมี Free Margin
เหลือเท่าไหร่ถึงจะปลอดภัยที่สุด
แต่หลักการทั่วไปคือ
ยิ่งมีมากเท่าไหร่ยิ่งดี
การมี Free Margin
สูงช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นในการเปิด Order ใหม่
และมีเงินสำรองเพื่อรองรับการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่คาดคิด
แนะนำให้รักษาระดับ Margin Level
ให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า 200-300% เสมอ
เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
สรุป: มาร์จิ้น หัวใจสำคัญของการเทรด Forex
มาร์จิ้นเป็นมากกว่าแค่ตัวเลขบนหน้าจอ
แต่เป็นเสาหลักสำคัญในการทำความเข้าใจและบริหารจัดการความเสี่ยงในการเทรด Forex
การมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับมาร์จิ้น
Leverage
และองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง
จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างชาญฉลาด
จำกัดความเสี่ยง
และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างยั่งยืน
จงใช้มาร์จิ้นอย่างระมัดระวัง
บริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด
และเรียนรู้จากประสบการณ์อยู่เสมอ
เพื่อก้าวสู่การเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในตลาด Forex
ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
และเข้าร่วมกลุ่ม Line VIP สุดพิเศษ
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ที่เราแนะนำตามลิงก์ด้านล่างนี้
คุณก็สามารถรับ EA ระบบเทรดอัตโนมัติ
ได้ฟรีทุกตัว พร้อมสิทธิ์ในการรับ EA ตัวใหม่ๆ ที่จะพัฒนาขึ้นในอนาคต!
-
XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย:
https://bit.ly/XmFree30USD
(วิธีเปิดบัญชี XM) -
Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ:
https://bit.ly/MtradingTH -
Exness – โบรกเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด:
https://bit.ly/ExnessCom
(วิธีเปิดบัญชี Exness)
https://lin.ee/toIzT8g
https://fb.com/ForexTipsThailand
https://www.fb.com/groups/1179829495508247


