TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

แผนภูมิ Kagi ในการเทรด Forex คืออะไร?

กรกฎาคม 7, 2022

เจาะลึกแผนภูมิ Kagi: เครื่องมือวิเคราะห์ราคาที่ไม่ขึ้นกับเวลาสำหรับการเทรด Forex

ในการ เทรด Forex การทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาเป็นหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ แผนภูมิ Kagi เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นแนวโน้มราคาได้อย่างชัดเจน โดยปราศจากสัญญาณรบกวนจากปัจจัยเวลา บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับแผนภูมิ Kagi อย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ส่วนประกอบ การสร้าง ไปจนถึงข้อดีข้อเสีย และความแตกต่างจากแผนภูมิประเภทอื่น เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการ วิเคราะห์ตลาด Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แผนภูมิ Kagi คืออะไร และมีที่มาอย่างไร?

แผนภูมิ Kagi (คางิ) เป็นแผนภูมิประเภทหนึ่งที่นำเสนอการเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์ทางการเงิน โดยมีลักษณะเด่นคือการแสดงผลที่ไม่ขึ้นกับเวลา ซึ่งแตกต่างจากแผนภูมิราคาทั่วไปที่ใช้แกนเวลาเป็นหลัก แผนภูมิ Kagi ถูกพัฒนาขึ้นในประเทศญี่ปุ่นช่วงปี 1870 โดยเทรดเดอร์ในยุคนั้นเพื่อใช้ในการวัดอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ของตลาด

รากศัพท์และความหมายของ “Kagi”

คำว่า “Kagi” ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า “กุญแจ” หรือ “ตัว L” ซึ่งสื่อถึงลักษณะของเส้นที่ประกอบกันในแผนภูมิที่มีการเปลี่ยนทิศทางในรูปแบบคล้ายตัว L จึงเป็นที่มาของอีกชื่อหนึ่งที่บางครั้งเรียกว่า “แผนภูมิหลัก (Key Chart)”

ลักษณะเด่นของแผนภูมิ Kagi

  • ไม่ขึ้นกับเวลา: แกน Y ของแผนภูมิ Kagi แสดงมูลค่าราคา ในขณะที่แกน X ไม่ได้แสดงมาตราส่วนเวลาที่สอดคล้องกัน แต่จะแสดงช่วงเวลาที่สำคัญเมื่อมีการพลิกกลับของราคาเท่านั้น สิ่งนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถโฟกัสไปที่การเปลี่ยนแปลงของราคาที่แท้จริง โดยไม่ถูกรบกวนจากความผันผวนเล็กน้อยในช่วงเวลาที่กำหนด
  • เส้นแนวตั้งและแนวนอน: แผนภูมิประกอบด้วยเส้นแนวตั้งและแนวนอนที่เชื่อมต่อกันเป็นมุม 90 องศา
  • ความหนาและสีของเส้น: เส้นในแผนภูมิ Kagi สามารถมีความหนาและสีที่แตกต่างกันเพื่อบ่งบอกถึงแนวโน้มราคา โดยทั่วไปแล้ว:
    • เส้นหนา (Thick Line): มักใช้เป็นสีเขียว เพื่อแสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) หรือการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์
    • เส้นบาง (Thin Line): มักใช้เป็นสีแดง เพื่อแสดงถึงแนวโน้มขาลง (Downtrend) หรือการเพิ่มขึ้นของอุปทาน

ส่วนประกอบสำคัญของแผนภูมิ Kagi ที่นักเทรดควรรู้

เพื่อให้เข้าใจการทำงานและตีความสัญญาณจากแผนภูมิ Kagi ได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องทำความรู้จักกับส่วนประกอบหลักของมัน

  • เส้นหยาง (Yang Line): เป็นเส้นที่แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น โดยมีลักษณะเป็นเส้นที่หนาขึ้น หรือเปลี่ยนเป็นสีเขียว (ตามการตั้งค่าของผู้ใช้) การปรากฏของเส้นหยางบ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในตลาด และเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับเทรดเดอร์
  • เส้นหยิน (Yin Line): ตรงกันข้ามกับเส้นหยาง เส้นหยินเป็นเส้นที่แสดงถึงแนวโน้มขาลง โดยมีลักษณะเป็นเส้นที่บางลง หรือเปลี่ยนเป็นสีแดง การปรากฏของเส้นหยินบ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของอุปทานในตลาด และเป็นสัญญาณเชิงลบสำหรับเทรดเดอร์
  • ไหล่ (Shoulder): คือเส้นแนวนอนที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างเส้นที่กำลังขึ้น (หยาง) และเส้นที่กำลังลง (หยิน) การก่อตัวของ “ไหล่” บนแผนภูมิ Kagi เป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงการกลับตัวของราคาจากแนวโน้มขาขึ้นไปสู่แนวโน้มขาลง เป็นจุดที่เทรดเดอร์ควรพิจารณาในการเปิดสถานะขาย หรือปิดสถานะซื้อ
  • เอว (Waist): คือเส้นแนวนอนที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างเส้นที่กำลังลง (หยิน) และเส้นที่กำลังขึ้น (หยาง) การก่อตัวของ “เอว” บนแผนภูมิ Kagi เป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงการกลับตัวของราคาจากแนวโน้มขาลงไปสู่แนวโน้มขาขึ้น เป็นจุดที่เทรดเดอร์ควรพิจารณาในการเปิดสถานะซื้อ หรือปิดสถานะขาย

การทำความเข้าใจส่วนประกอบเหล่านี้อย่างถ่องแท้ จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดกลับตัวของราคาและยืนยันแนวโน้มได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นเมื่อใช้แผนภูมิ Kagi

ขั้นตอนการสร้างแผนภูมิ Kagi และกฎการเปลี่ยนแปลงเส้น

การสร้างแผนภูมิ Kagi มีหลักการที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงของราคาเป็นสำคัญ ไม่ใช่เวลาที่ผ่านไป เพื่อให้ได้แผนภูมิที่กรองสัญญาณรบกวนและแสดงแนวโน้มได้อย่างชัดเจน

กฎการสร้างเริ่มต้น

  1. การลงจุดเริ่มต้น: ขั้นแรก แผนภูมิจะเริ่มต้นด้วยการลงจุดเส้นแนวนอน ณ ระดับราคาปิดของช่วงเวลาเริ่มต้น
  2. เส้นแนวตั้งแรก: ถัดไป จะมีการพล็อตเส้นแนวตั้งเชื่อมระหว่างเส้นแนวนอนแรกกับระดับราคาปิดของช่วงเวลาถัดไป

กฎการเปลี่ยนแปลงของเส้นตามการเคลื่อนไหวของราคา

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคา ดังนี้:

  • หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน: หากราคาปิดของช่วงเวลาปัจจุบันยังคงเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับเส้นแนวตั้งก่อนหน้า (เช่น หากเส้นเดิมเป็นขาขึ้น และราคายังคงสูงขึ้น) เส้นแนวตั้งนั้นจะถูกขยายออกไปจนถึงระดับราคาปิดปัจจุบัน
  • หากราคาย้อนกลับการเคลื่อนไหวแต่น้อยกว่าค่าที่กำหนด: หากราคามีการย้อนกลับทิศทาง (เช่น จากขึ้นเป็นลง หรือจากลงเป็นขึ้น) แต่การย้อนกลับนั้นมีขนาดไม่มากพอที่จะเกิน “ค่าการกลับตัวที่กำหนดไว้ (Reversal Amount)” แผนภูมิ Kagi จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น เส้นจะยังคงดำเนินต่อไปในทิศทางเดิม สิ่งนี้คือหัวใจสำคัญของการกรองสัญญาณรบกวนออกไป
  • หากราคาย้อนกลับการเคลื่อนไหวและมากกว่าค่าที่กำหนด: หากราคามีการย้อนกลับทิศทางและขนาดของการย้อนกลับนั้น มากกว่าหรือเท่ากับค่าการกลับตัวที่กำหนดไว้ แผนภูมิ Kagi จะมีการสร้างเส้นใหม่ดังนี้:
    1. จะมีการวาดเส้นแนวนอนใหม่จากจุดสิ้นสุดของเส้นแนวตั้งก่อนหน้า
    2. จากนั้น จะมีการวาดเส้นแนวตั้งใหม่ที่เริ่มต้นจากเส้นแนวนอนใหม่นี้ และสิ้นสุดที่ระดับราคาปิดปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้าง “ไหล่” หรือ “เอว” ของแผนภูมิ Kagi ซึ่งบ่งชี้ถึงการกลับตัวของแนวโน้ม

กฎการเปลี่ยนความหนาและสีของเส้น

นอกจากการสร้างเส้นใหม่แล้ว แผนภูมิ Kagi ยังมีกฎในการเปลี่ยนความหนาและสีของเส้นเพื่อบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้ม:

  • เปลี่ยนเป็นเส้นหนา/เขียว: หากราคาปิดปัจจุบันอยู่เหนือจุดสูงสุดก่อนหน้า (ซึ่งถูกเรียกว่า “ไหล่” หรือ “Shoulder”) เส้นในแผนภูมิจะเปลี่ยนเป็นเส้นหนา หรือเปลี่ยนเป็นสีเขียว เพื่อบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งขึ้น
  • เปลี่ยนเป็นเส้นบาง/สีแดง: หากราคาปิดปัจจุบันเคลื่อนตัวต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า (ซึ่งถูกเรียกว่า “เอว” หรือ “Waist”) เส้นในแผนภูมิจะเปลี่ยนเป็นเส้นบาง หรือเปลี่ยนเป็นสีแดง เพื่อบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่งขึ้น

การกำหนด “ค่าการกลับตัว (Reversal Amount)” เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างแผนภูมิ Kagi ค่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่าการเคลื่อนไหวของราคามากน้อยเพียงใดจึงจะถือว่าเป็นการกลับตัวที่มีนัยสำคัญและสร้างเส้นใหม่ขึ้นมา หากค่านี้ต่ำเกินไป แผนภูมิอาจจะมีความผันผวนและสร้างสัญญาณรบกวนมากเกินไป ในทางกลับกัน หากค่านี้สูงเกินไป แผนภูมิอาจจะไม่สร้างสัญญาณการเทรดที่เพียงพอ ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไร การหาค่าที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์แต่ละคนและแต่ละสินทรัพย์

ข้อดีและข้อเสียของการใช้แผนภูมิ Kagi ในการเทรด Forex

เช่นเดียวกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ แผนภูมิ Kagi มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจก่อนนำไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจซื้อขาย

ข้อดี (Advantages)

  1. กรองสัญญาณรบกวนของตลาด (Market Noise Filtration): ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของแผนภูมิ Kagi คือคุณสมบัติ “ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา (Time-Independent)” การที่แผนภูมิจะเปลี่ยนทิศทางหรือสร้างเส้นใหม่ก็ต่อเมื่อราคาเคลื่อนที่ย้อนกลับเกินกว่าค่าที่กำหนดไว้เท่านั้น ทำให้แผนภูมิ Kagi สามารถกรองความผันผวนของราคาเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีนัยสำคัญ (Market Noise) ออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นแนวโน้มหลักของตลาดได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยไม่ถูกรบกวนจากสัญญาณปลอม
  2. ระบุแนวโน้มได้ง่ายขึ้น (Easier Trend Identification): ด้วยการกรองสัญญาณรบกวนออกไป แผนภูมิ Kagi ช่วยให้การระบุแนวโน้มขาขึ้นและขาลงเป็นไปได้ง่ายและชัดเจน เส้นหยาง (หนา/เขียว) บ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ในขณะที่เส้นหยิน (บาง/แดง) บ่งบอกถึงแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน การเปลี่ยนแปลงจากเส้นหยินเป็นหยาง หรือจากหยางเป็นหยิน มักจะเป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มที่ชัดเจน
  3. ส่งเสริมการเทรดตามแนวโน้ม (Trend-Following): เนื่องจากแผนภูมิ Kagi เน้นการแสดงแนวโน้มที่แท้จริง จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบตามแนวโน้ม (Trend-Following Strategy) ซึ่งเทรดเดอร์จะเข้าซื้อเมื่อแนวโน้มเป็นขาขึ้น และเข้าขายเมื่อแนวโน้มเป็นขาลง
  4. บ่งชี้จุดกลับตัวของราคา (Price Reversal Signals): การก่อตัวของ “ไหล่” และ “เอว” บนแผนภูมิ Kagi เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการกลับตัวของราคา “ไหล่” บ่งบอกถึงการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง ในขณะที่ “เอว” บ่งบอกถึงการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น สิ่งนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าและออกจากตลาดในจังหวะที่เหมาะสม

ข้อเสีย (Disadvantages)

  1. ความจำเป็นในการค้นหาค่าการกลับตัวที่เหมาะสม (Finding the Right Reversal Amount): นี่คือข้อเสียหลักและเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดในการใช้แผนภูมิ Kagi หากเทรดเดอร์ตั้งค่าการกลับตัว (Reversal Amount) ต่ำเกินไป แผนภูมิ Kagi จะมีความละเอียดอ่อนต่อการเปลี่ยนแปลงราคามากเกินไป ทำให้เกิดการพลิกกลับของเส้นบ่อยครั้ง แผนภูมิจะ “ขาดๆ หายๆ” (Choppy) และมีสัญญาณรบกวนมากเกินไป ซึ่งจะไปลดทอนข้อดีของการกรองสัญญาณรบกวนออกไป และทำให้การระบุแนวโน้มทำได้ยากขึ้นอย่างยิ่ง
  2. พลาดโอกาสในการทำกำไรหากตั้งค่าสูงเกินไป (Missed Opportunities with High Setting): ในทางตรงกันข้าม หากเทรดเดอร์ตั้งค่าการกลับตัวสูงเกินไป แผนภูมิ Kagi จะสร้างสัญญาณการเทรดน้อยเกินไป เพราะราคาจะต้องมีการเคลื่อนไหวกลับตัวอย่างรุนแรงมากจึงจะทำให้เส้นเปลี่ยนแปลง การทำเช่นนี้อาจทำให้เทรดเดอร์พลาดโอกาสในการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่มีนัยสำคัญแต่ไม่รุนแรงมากพอที่จะถึงค่าที่ตั้งไว้
  3. ไม่เหมาะกับสินทรัพย์ที่มีการซื้อขายน้อย (Not Suitable for Illiquid Assets): เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของแผนภูมิ Kagi ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคาที่มากพอ สินทรัพย์ที่มีการซื้อขายไม่มาก (Illiquid Assets) หรือมีสภาพคล่องต่ำ ซึ่งมักมีการเปลี่ยนแปลงราคาที่ไม่สม่ำเสมอและมีช่องว่างราคา (Gaps) บ่อยครั้ง แผนภูมิ Kagi อาจจะไม่สามารถสร้างเส้นได้อย่างมีนัยสำคัญหรือไม่สามารถแสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้
  4. อาจเกิดสัญญาณล่าช้า (Lagging Signals): แม้จะช่วยกรองสัญญาณรบกวน แต่โดยธรรมชาติแล้ว การที่แผนภูมิจะเปลี่ยนทิศทางได้ต้องรอให้ราคาเคลื่อนที่กลับตัวตามค่าที่กำหนด ทำให้สัญญาณที่เกิดจากแผนภูมิ Kagi อาจจะล่าช้ากว่าสัญญาณที่เกิดจากแผนภูมิราคาที่ขึ้นอยู่กับเวลา ซึ่งอาจทำให้เทรดเดอร์พลาดจุดเข้าหรือออกที่ดีที่สุดได้

ดังนั้น การใช้แผนภูมิ Kagi จึงจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์และการทดลองในการกำหนดค่าการกลับตัวที่เหมาะสมสำหรับสินทรัพย์และกรอบเวลาการเทรดแต่ละแบบ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากเครื่องมือนี้

แผนภูมิ Kagi แตกต่างจากแผนภูมิเชิงเทียน (Candlestick Charts) อย่างไร?

ความแตกต่างที่สำคัญและเป็นพื้นฐานที่สุดระหว่างแผนภูมิ Kagi และแผนภูมิเชิงเทียน (รวมถึงแผนภูมิราคาแบบอื่นๆ เช่น Bar Chart หรือ Line Chart) อยู่ที่หลักการ “การขึ้นอยู่กับเวลา”

คุณลักษณะ แผนภูมิ Kagi แผนภูมิเชิงเทียน
การแสดงผลตามเวลา ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา (Time-Independent): จะสร้างการเปลี่ยนแปลงหรือ “U-turn” ก็ต่อเมื่อราคากลับทิศทางเกินกว่าค่าที่กำหนดไว้เท่านั้น แกน X ไม่แสดงมาตราส่วนเวลาที่สอดคล้องกัน แต่จะแสดงจุดกลับตัวของราคาที่สำคัญ ขึ้นอยู่กับเวลา (Time-Dependent): จะสร้างแท่งเทียนใหม่สำหรับทุกๆ ช่วงเวลาที่กำหนดไว้ (เช่น ทุกนาที, 5 นาที, ชั่วโมง, วัน, สัปดาห์ ฯลฯ) ไม่ว่าราคาจะเคลื่อนไหวมากน้อยเพียงใด
การกรองสัญญาณรบกวน กรองสัญญาณรบกวนได้ดี: ความผันผวนของราคาเล็กน้อยที่ไม่ถึงค่า Reversal Amount จะไม่ปรากฏบนแผนภูมิ ทำให้มองเห็นแนวโน้มหลักได้ชัดเจน ไม่กรองสัญญาณรบกวน: แสดงการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นทั้งหมดภายในช่วงเวลาที่กำหนด รวมถึงความผันผวนเล็กน้อยด้วย
การระบุแนวโน้ม ระบุแนวโน้มง่ายกว่า: ด้วยเส้นที่เรียบง่ายและมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางเมื่อมีนัยสำคัญเท่านั้น ทำให้การระบุแนวโน้มขาขึ้น (เส้นหยาง) และขาลง (เส้นหยิน) ทำได้ง่าย ระบุแนวโน้มด้วยรูปแบบแท่งเทียน: ต้องอาศัยการวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) และการเชื่อมโยงแท่งเทียนหลายๆ แท่งเข้าด้วยกันเพื่อระบุแนวโน้ม ซึ่งอาจซับซ้อนกว่า
สัญญาณการกลับตัว ชัดเจนด้วย “ไหล่” และ “เอว”: การก่อตัวของเส้นแนวนอนที่เป็น “ไหล่” หรือ “เอว” เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการกลับตัวของราคา ต้องอาศัยรูปแบบกลับตัว: ต้องอาศัยการจดจำรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick Patterns) เช่น Hammer, Shooting Star, Engulfing Pattern เพื่อระบุจุดกลับตัว
ข้อมูลที่แสดง แสดงเฉพาะการเคลื่อนไหวของราคาที่สำคัญ ช่วยให้ข้อมูลดูสะอาดตาและเน้นแนวโน้ม แสดงข้อมูลราคาเปิด, ปิด, สูงสุด, ต่ำสุด ในแต่ละช่วงเวลา ให้ข้อมูลรายละเอียดที่ครบถ้วนแต่ก็อาจมีสัญญาณรบกวนมาก
ความซับซ้อนในการตั้งค่า จำเป็นต้องกำหนด “ค่าการกลับตัว (Reversal Amount)” ที่เหมาะสม ซึ่งเป็นจุดที่ต้องใช้ประสบการณ์และการปรับแต่ง ไม่จำเป็นต้องตั้งค่าเฉพาะสำหรับการเปลี่ยนแปลงเส้นกราฟ เพียงเลือก Timeframe ที่ต้องการ

ทำไมการไม่ขึ้นกับเวลาจึงสำคัญ?

แผนภูมิเชิงเทียนจะสร้างแท่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าราคาจะเคลื่อนไหวเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ซึ่งอาจทำให้เกิด “สัญญาณรบกวน (Noise)” จำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาด Sideways หรือมีความผันผวนสูง ในทางกลับกัน แผนภูมิ Kagi จะสร้างการเปลี่ยนแปลงหรือ “U-turn” เฉพาะเมื่อราคากลับทิศทางอย่างมีนัยสำคัญเท่านั้น นั่นคือเมื่อการกลับตัวของราคามากกว่าค่าที่กำหนดไว้

ด้วยเหตุนี้ แผนภูมิ Kagi จึงมีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะถูกรบกวนจากความผันผวนระยะสั้นที่ไม่สำคัญ ทำให้:

  • ง่ายต่อการใช้ในการระบุแนวโน้ม: เส้นที่เรียบง่ายและมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางเมื่อจำเป็นเท่านั้น ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นแนวโน้มหลักได้ง่ายขึ้นมาก
  • ช่วยให้สามารถแสดงข้อมูลเพิ่มเติมในกรอบเวลาเดียวกันได้: เนื่องจากไม่ได้ถูกจำกัดด้วยกรอบเวลาที่ตายตัว แผนภูมิ Kagi สามารถแสดงภาพรวมของแนวโน้มราคาที่ยาวนานขึ้นได้อย่างกระชับและชัดเจนในหน้าจอเดียว

ดังนั้น แผนภูมิ Kagi จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการกรองสัญญาณรบกวนและมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของราคาที่แท้จริง ในขณะที่แผนภูมิเชิงเทียนเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการรายละเอียดปลีกย่อยของราคาและวิเคราะห์พฤติกรรมราคาในแต่ละช่วงเวลาอย่างละเอียด

เคล็ดลับการใช้แผนภูมิ Kagi ในการเทรด Forex

การนำแผนภูมิ Kagi ไปใช้ในการเทรด Forex ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น ต้องอาศัยความเข้าใจและเคล็ดลับบางประการ

  1. การเลือกค่า Reversal Amount ที่เหมาะสม:
    • ทำไมถึงสำคัญ? นี่คือหัวใจสำคัญของการใช้แผนภูมิ Kagi ค่า Reversal Amount เป็นตัวกำหนดว่าราคาต้องกลับตัวไปมากน้อยเพียงใด เส้นบนแผนภูมิ Kagi จึงจะเปลี่ยนทิศทาง
    • ถ้าค่าต่ำเกินไป: แผนภูมิจะ Sensitive เกินไป เปลี่ยนทิศทางบ่อยครั้ง มี Noise เยอะ ทำให้ยากต่อการระบุแนวโน้มที่แท้จริง เหมือนกับการใช้ Moving Average ที่มี period สั้นๆ
    • ถ้าค่าสูงเกินไป: แผนภูมิจะตอบสนองช้าต่อการเปลี่ยนแปลงราคา ทำให้สัญญาณซื้อขายเกิดช้าหรือน้อยเกินไป อาจพลาดโอกาสในการทำกำไร เหมือนกับการใช้ Moving Average ที่มี period ยาวๆ
    • คำแนะนำ: ไม่มีค่าตายตัวที่ “ดีที่สุด” ขึ้นอยู่กับคู่สกุลเงิน, Timeframe และสไตล์การเทรดของคุณ ควรทดลองปรับค่านี้ใน บัญชี Demo และสังเกตว่าแผนภูมิแสดงแนวโน้มได้ชัดเจนและกรอง Noise ได้ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์นั้นๆ โดยอาจเริ่มต้นจากการใช้ค่าเปอร์เซ็นต์ (เช่น 0.5% หรือ 1% ของราคาปัจจุบัน) หรือค่า Pip ที่คงที่
  2. การยืนยันแนวโน้มด้วยเส้น Yang และ Yin:
    • แนวโน้มขาขึ้น: สังเกตเมื่อแผนภูมิแสดงเส้น Yang (หนา/เขียว) อย่างต่อเนื่อง นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนของแนวโน้มขาขึ้น เทรดเดอร์ควรพิจารณาเข้าซื้อ (Long Position)
    • แนวโน้มขาลง: สังเกตเมื่อแผนภูมิแสดงเส้น Yin (บาง/แดง) อย่างต่อเนื่อง นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนของแนวโน้มขาลง เทรดเดอร์ควรพิจารณาเข้าขาย (Short Position)
    • กฎการเทรด:
      • เข้าซื้อ: เมื่อเส้น Kagi เปลี่ยนจาก Yin เป็น Yang และราคาปิดปัจจุบันอยู่สูงกว่าไหล่ (Shoulder) ก่อนหน้า
      • เข้าขาย: เมื่อเส้น Kagi เปลี่ยนจาก Yang เป็น Yin และราคาปิดปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าเอว (Waist) ก่อนหน้า
  3. การใช้สัญญาณ Shoulder และ Waist:
    • ไหล่ (Shoulder): เมื่อแผนภูมิสร้างไหล่ (เส้นแนวนอนที่เชื่อมจาก Yang ไป Yin) เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง เป็นจุดพิจารณาในการปิดสถานะซื้อหรือเปิดสถานะขาย
    • เอว (Waist): เมื่อแผนภูมิสร้างเอว (เส้นแนวนอนที่เชื่อมจาก Yin ไป Yang) เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น เป็นจุดพิจารณาในการปิดสถานะขายหรือเปิดสถานะซื้อ
    • การยืนยัน: ควรใช้สัญญาณเหล่านี้ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น แนวรับแนวต้าน หรือรูปแบบราคาอื่นๆ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  4. การผสมผสานกับเครื่องมืออื่นๆ:
    • แม้แผนภูมิ Kagi จะมีประสิทธิภาพในการระบุแนวโน้ม แต่ก็ไม่ควรใช้เพียงลำพัง ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ เช่น
      • Indicators: RSI, MACD, Stochastic Oscillator เพื่อยืนยัน Momentum หรือภาวะ Overbought/Oversold
      • Chart Patterns: รูปแบบราคาเช่น Head and Shoulders, Triangles เพื่อหาจุดกลับตัวหรือต่อเนื่อง
      • Price Action: การวิเคราะห์พฤติกรรมราคาโดยตรงจากแท่งเทียนควบคู่กันไป
  5. การฝึกฝนและ Backtesting:
    • การทำความเข้าใจแผนภูมิ Kagi ต้องใช้เวลาในการฝึกฝน การ Backtesting (ย้อนหลังทดสอบ) บนข้อมูลราคาในอดีตจะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของเส้น และเข้าใจว่าค่า Reversal Amount ที่แตกต่างกันส่งผลต่อสัญญาณอย่างไร

การปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถใช้แผนภูมิ Kagi ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในการเทรด Forex

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผนภูมิ Kagi

Q1: แผนภูมิ Kagi เหมาะกับนักเทรดประเภทใด?

A1: แผนภูมิ Kagi เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดที่เน้นกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม (Trend-Following) และผู้ที่ต้องการกรองสัญญาณรบกวน (Noise) ออกจากตลาดเพื่อมองเห็นแนวโน้มหลักได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นนักเทรดระยะกลางถึงระยะยาว หรือนักเทรดระยะสั้นที่ต้องการสัญญาณแนวโน้มที่ชัดเจนโดยไม่ถูกรบกวนจากความผันผวนเล็กน้อย นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับนักเทรดที่ไม่ต้องการถูกจำกัดด้วยกรอบเวลาที่แน่นอน และต้องการให้การเปลี่ยนแปลงของแผนภูมิขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคาที่แท้จริงเป็นหลัก

Q2: ควรตั้งค่า “Reversal Amount” สำหรับแผนภูมิ Kagi อย่างไรให้เหมาะสม?

A2: การตั้งค่า “Reversal Amount” เป็นปัจจัยสำคัญและไม่มีค่าตายตัวที่ “ดีที่สุด” สำหรับทุกกรณี การเลือกค่าที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สินทรัพย์ที่เทรด (เช่น คู่สกุลเงิน, ทองคำ), ระดับความผันผวนของตลาด, และสไตล์การเทรดส่วนบุคคล (Scalping, Day Trading, Swing Trading)

  • การเริ่มต้น: คุณอาจเริ่มต้นจากการใช้ค่าเปอร์เซ็นต์ เช่น 0.5% ถึง 1% ของราคาปัจจุบัน หรือใช้ค่าเป็น Pip ที่คงที่ (เช่น 20-50 Pips สำหรับคู่สกุลเงินหลัก)
  • การทดลองและปรับแต่ง: สิ่งสำคัญคือการทดลองปรับค่านี้ใน บัญชีทดลอง (Demo Account) และสังเกตว่าแผนภูมิ Kagi แสดงแนวโน้มได้อย่างชัดเจนและกรองสัญญาณรบกวนได้ดีที่สุดสำหรับสินทรัพย์และ Timeframe ที่คุณสนใจ การทำ Backtesting ก็เป็นวิธีที่ดีในการหาค่าที่เหมาะสมที่สุด
  • หลีกเลี่ยง: ไม่ควรตั้งค่าต่ำเกินไปจนแผนภูมิ “ขาดๆ หายๆ” และมีสัญญาณรบกวนมากเกินไป และไม่ควรสูงเกินไปจนพลาดโอกาสการเทรดที่มีนัยสำคัญ

Q3: แผนภูมิ Kagi สามารถใช้ร่วมกับ Indicator ทางเทคนิคอื่นๆ ได้หรือไม่?

A3: ได้อย่างแน่นอน! แม้ว่าแผนภูมิ Kagi จะมีประสิทธิภาพในการระบุแนวโน้ม แต่การใช้ร่วมกับ Indicator ทางเทคนิค อื่นๆ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์และยืนยันสัญญาณการเทรดได้อย่างดีเยี่ยม

  • Moving Average (MA): ใช้เพื่อยืนยันแนวโน้มหลักหรือเป็นแนวรับแนวต้านแบบ Dynamic
  • Relative Strength Index (RSI) หรือ Stochastic Oscillator: ใช้เพื่อระบุภาวะ Overbought/Oversold และ Momentum ของราคา
  • MACD: ใช้เพื่อยืนยันทิศทางและโมเมนตัมของแนวโน้ม
  • แนวรับแนวต้าน (Support and Resistance): ใช้ร่วมกับจุดกลับตัวของแผนภูมิ Kagi (Shoulder และ Waist) เพื่อหาจุดเข้าออกที่แข็งแกร่ง

การผสมผสานเครื่องมือจะช่วยให้คุณมีการยืนยันหลายชั้นและลดความเสี่ยงในการตัดสินใจที่ผิดพลาด

Q4: แผนภูมิ Kagi มีข้อจำกัดอะไรบ้าง?

A4: แผนภูมิ Kagi มีข้อจำกัดบางประการที่ควรทราบ:

  • การตั้งค่า Reversal Amount: ดังที่กล่าวไปแล้ว การหาค่าที่เหมาะสมเป็นความท้าทาย หากตั้งค่าไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดสัญญาณรบกวนมากเกินไป หรือพลาดโอกาสในการเทรด
  • สัญญาณล่าช้า: เนื่องจากแผนภูมิจะเปลี่ยนทิศทางก็ต่อเมื่อราคากลับตัวตามค่าที่กำหนด สัญญาณที่เกิดขึ้นจึงอาจล่าช้ากว่าแผนภูมิที่ขึ้นอยู่กับเวลา ซึ่งอาจทำให้พลาดจังหวะการเข้าออกที่ดีที่สุดในบางครั้ง
  • ไม่เหมาะกับตลาด Sideways แคบๆ: ในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ และไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน แผนภูมิ Kagi อาจจะยังคงเส้นตรงเป็นเวลานาน หรือเปลี่ยนทิศทางไปมาโดยไม่มีนัยสำคัญ ทำให้ไม่เกิดสัญญาณการเทรดที่ชัดเจน
  • การขาดข้อมูลเชิงลึก: แผนภูมิ Kagi ไม่ได้ให้ข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับราคาเปิด, ราคาสูงสุด, ราคาต่ำสุด, หรือปริมาณการซื้อขายในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งเป็นข้อมูลที่แผนภูมิเชิงเทียนให้ได้

การทำความเข้าใจข้อจำกัดเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์ใช้แผนภูมิ Kagi ได้อย่างรอบคอบและเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด

Conclusion: สรุปและบทสรุป

แผนภูมิ Kagi เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การเป็นแผนภูมิที่ไม่ขึ้นกับเวลา ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถกรองสัญญาณรบกวนของตลาดออกไป และมองเห็นแนวโน้มของราคาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น การทำความเข้าใจส่วนประกอบหลักของแผนภูมิ Kagi ไม่ว่าจะเป็นเส้นหยาง เส้นหยิน ไหล่ และเอว รวมถึงหลักการสร้างและกฎการเปลี่ยนแปลงเส้น จะเป็นกุญแจสำคัญในการตีความสัญญาณจากแผนภูมิได้อย่างถูกต้อง

แม้ว่าแผนภูมิ Kagi จะมีข้อดีหลายประการ เช่น การระบุแนวโน้มและจุดกลับตัวได้ง่าย แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนด “ค่าการกลับตัว (Reversal Amount)” ที่เหมาะสม ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยประสบการณ์และการปรับแต่งให้เข้ากับสินทรัพย์และสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน การใช้แผนภูมิ Kagi ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น Indicators หรือรูปแบบราคา จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจและลดความเสี่ยงได้

สำหรับนักเทรด Forex ที่กำลังมองหาวิธีการวิเคราะห์ราคาที่เน้นแนวโน้มและปราศจากสัญญาณรบกวนจากเวลา แผนภูมิ Kagi ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและควรค่าแก่การศึกษาและฝึกฝน การเรียนรู้และประยุกต์ใช้แผนภูมิ Kagi อย่างเชี่ยวชาญ จะช่วยให้คุณมีมุมมองที่แตกต่างและอาจนำไปสู่โอกาสในการทำกำไรที่ดียิ่งขึ้นในตลาด Forex.

ฟรี!ระบบเทรดอัตโนมัติ
สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการใช้ EA indicator ระบบเทรดอัตโนมัติ และเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี
มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงค์ด้านล่าง ก็สามารถรับ EA ระบบเทรดอัตโนมัติ ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆอื่นๆได้อีกในอนาคต
XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
exness – โบรคเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด
**”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อ
ขอรับ EA ได้ฟรี!”**
.
ช่องทางการพูดคุย
.
Line Id :: @ft.th
.
.
กลุ่มพูดคุย :: เทรดฟอเร็กซ์ให้ได้กําไรอย่างยั่งยืน
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line