TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
เทรดทองคำ

รูปแบบแผนภูมิ Hikkake

ตุลาคม 21, 2022

รูปแบบแผนภูมิ Hikkake
รูปแบบแผนภูมิ Hikkake: กลยุทธ์จับสัญญาณหลอกในตลาด Forex และทองคำ

ในโลกของการเทรด Forex และสินทรัพย์ต่างๆ เทรดเดอร์จำนวนมากมักเผชิญกับความท้าทายในการแยกแยะสัญญาณการซื้อขายที่แท้จริงออกจาก “สัญญาณหลอก” หรือ False Breakout ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและขาดทุนได้ ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ทุกระดับประสบ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ รูปแบบแผนภูมิ Hikkake (ฮิคคาเคะ) คือหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเทรดเดอร์ในการระบุและใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ “กับดัก” เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชื่อ Hikkake มาจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งมีความหมายว่า “กับดัก” หรือ “กับดักที่จับได้” สะท้อนถึงธรรมชาติของรูปแบบที่พยายามหลอกล่อเทรดเดอร์ให้เข้าใจผิดคิดว่าราคาจะไปในทิศทางหนึ่ง ก่อนที่จะกลับตัวหรือพุ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างรวดเร็ว

บทความนี้จะเจาะลึกถึงรูปแบบแผนภูมิ Hikkake อย่างละเอียด ตั้งแต่โครงสร้างของแท่งเทียนแต่ละแท่ง เงื่อนไขการยืนยันสัญญาณ ไปจนถึงกลยุทธ์การซื้อขายที่เหมาะสมที่สุด พร้อมตัวอย่างการใช้งานจริง เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมั่นใจและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาดที่มีความผันผวนสูงได้อย่างมืออาชีพ

ทำความเข้าใจโครงสร้างรูปแบบแผนภูมิ Hikkake อย่างละเอียด

การเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานของรูปแบบ Hikkake เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการระบุและตีความสัญญาณได้อย่างถูกต้อง รูปแบบนี้ประกอบด้วยชุดของแท่งเทียนที่แสดงถึงความลังเลและการพยายาม Breakout ที่ล้มเหลว

แท่งเทียน Hikkake คืออะไร: แก่นแท้ของสัญญาณกับดัก

Hikkake เป็นรูปแบบที่แสดงถึง “กับดัก” หรือ “False Breakout” โดยแก่นแท้ของมันคือการพยายามที่ล้มเหลวของราคาที่จะทะลุผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ ก่อนที่จะกลับตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างรุนแรง สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันช่วยให้เทรดเดอร์สามารถหลีกเลี่ยงการติดกับดักและกลับกันมาใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงหลังจากกับดักถูกเปิดเผย

รูปแบบนี้มักจะเกิดขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ค่อนข้างแรง หรือหลังจากการก่อตัวของ รูปแบบแท่งเทียน Inside Bar ซึ่งแสดงถึงความลังเลของตลาด การที่ราคาไม่สามารถยืนเหนือหรือต่ำกว่าระดับที่พยายาม Breakout ได้ ชี้ให้เห็นว่าแรงซื้อหรือแรงขายในทิศทางนั้นเริ่มอ่อนแอลง และกำลังถูกแรงอีกฝั่งเข้ามาครอบงำ ทำให้เกิดการกลับตัวของราคา

องค์ประกอบของ Hikkake: แท่งเทียนหลักสองแท่ง

รูปแบบ Hikkake ประกอบด้วยแท่งเทียนหลักสองแท่ง ซึ่งแท่งแรกนั้นยังอ้างอิงกับแท่งเทียนก่อนหน้าด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  1. แท่งเทียนที่ 1 (Inner Bar หรือ Inside Bar):
    • แท่งเทียนนี้คือหัวใจสำคัญของรูปแบบ Hikkake

    • คุณสมบัติ: ราคาสูงสุดของแท่งเทียนนี้ ต่ำกว่า ราคาสูงสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า และราคาต่ำสุดของแท่งเทียนนี้ สูงกว่า ราคาต่ำสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า

    • ความหมาย: แท่งเทียน Inner Bar แสดงถึงช่วงเวลาของความไม่แน่ใจ การหยุดพัก หรือการรวมฐานของราคาหลังจากมีการเคลื่อนไหวมาก่อนหน้านี้ มันบอกเป็นนัยว่าตลาดกำลังหายใจหรือกำลังรอสัญญาณใหม่ โดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (ผู้ซื้อหรือผู้ขาย) มีอำนาจเหนือกว่าอย่างชัดเจน

    • สีของแท่งเทียน Inner Bar (เปิด/ปิด) ไม่ได้มีความสำคัญในรูปแบบ Hikkake

  2. แท่งเทียนที่ 2 (Hikkake Bar):
    • แท่งเทียนนี้เป็นแท่งที่พยายาม “หลอกล่อ” เทรดเดอร์

    • สำหรับรูปแบบ Bullish Hikkake (สัญญาณซื้อ): แท่งเทียนที่สองจะมี ราคาสูงสุดที่ต่ำกว่า และ ราคาต่ำสุดที่ต่ำกว่า แท่งเทียน Inner Bar (แท่งที่ 1) ราวกับว่ากำลังจะเกิดการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง นี่คือ “กับดัก” ที่พยายามล่อให้เทรดเดอร์ Sell ตาม

    • สำหรับรูปแบบ Bearish Hikkake (สัญญาณขาย): แท่งเทียนที่สองจะมี ราคาสูงสุดที่สูงกว่า และ ราคาต่ำสุดที่สูงกว่า แท่งเทียน Inner Bar (แท่งที่ 1) ราวกับว่ากำลังจะเกิดการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่คือ “กับดัก” ที่พยายามล่อให้เทรดเดอร์ Buy ตาม

    • เช่นเดียวกับ Inner Bar สีของแท่งเทียน Hikkake Bar (เปิด/ปิด) ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการพิจารณา

เงื่อนไขการยืนยันสัญญาณ Hikkake: เมื่อกับดักถูกเปิดเผย

การที่แท่งเทียนทั้งสองแท่งแรกก่อตัวขึ้นยังไม่เพียงพอที่จะยืนยันสัญญาณ Hikkake เทรดเดอร์จะต้องรอการยืนยันจากแท่งเทียนที่ตามมา นี่คือจุดที่ “กับดัก” ถูกเปิดเผยและสร้างโอกาสในการซื้อขายที่แท้จริง

  • การยืนยันสำหรับ Bullish Hikkake:
    • หลังจากที่แท่งเทียน Hikkake Bar (แท่งที่ 2) ก่อตัวขึ้น จะต้องมี แท่งเทียนใดแท่งหนึ่งในสามแท่งถัดไป ที่มีราคาปิด ทะลุผ่านราคาสูงสุดของแท่งเทียน Inner Bar (แท่งที่ 1)

    • หากเกิดเงื่อนไขนี้ขึ้น แสดงว่าความพยายามที่จะปรับตัวลงหลัง Hikkake Bar ล้มเหลว และแรงซื้อได้เข้าครอบงำตลาด ทำให้เกิดสัญญาณซื้อที่แข็งแกร่ง

  • การยืนยันสำหรับ Bearish Hikkake:
    • หลังจากที่แท่งเทียน Hikkake Bar (แท่งที่ 2) ก่อตัวขึ้น จะต้องมี แท่งเทียนใดแท่งหนึ่งในสามแท่งถัดไป ที่มีราคาปิด ทะลุผ่านราคาต่ำสุดของแท่งเทียน Inner Bar (แท่งที่ 1)

    • หากเกิดเงื่อนไขนี้ขึ้น แสดงว่าความพยายามที่จะปรับตัวขึ้นหลัง Hikkake Bar ล้มเหลว และแรงขายได้เข้าครอบงำตลาด ทำให้เกิดสัญญาณขายที่แข็งแกร่ง

ทำไมการยืนยันจึงสำคัญ? การรอการยืนยันเป็นกฎที่เข้มงวดในการเทรดด้วย Hikkake เพราะมันช่วยกรองสัญญาณหลอกที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีแท่งเทียนใดทะลุผ่านระดับสำคัญภายในสามแท่งถัดไป รูปแบบ Hikkake นั้นจะถือว่าไม่สมบูรณ์และไม่ควรนำมาใช้ในการซื้อขาย การยึดมั่นในกฎนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการเข้าสู่การเทรดที่อาจผิดพลาด และเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณที่ได้รับ

รูปแบบ Hikkake ขาขึ้น (Bullish Hikkake) รูปแบบ Hikkake ขาลง (Bearish Hikkake)
กระทิง Hikkake หมี Hikkake

ภาพด้านบนแสดงให้เห็นเส้นประที่แสดงถึงขอบเขตของแท่งเทียน Inner Bar ซึ่งเป็นระดับที่ราคาจะต้องทะลุผ่านโดยแท่งเทียนที่ตามมาเพื่อยืนยันสัญญาณการซื้อขาย การที่ Hikkake ไม่ได้คำนึงถึงระดับราคาเปิด-ปิดของแท่งเทียน ทำให้เป็นรูปแบบที่ทรงพลังและยืดหยุ่น โดยเฉพาะในตลาดที่มีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงอย่าง Forex ซึ่งแท่งเทียนรายวันจะปิดและเปิดเพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นที่เปิดและปิดทุกวัน การโฟกัสที่ราคา High และ Low เป็นหลัก ทำให้ Hikkake สามารถให้สัญญาณที่ชัดเจนโดยไม่ถูกรบกวนจากความแตกต่างของราคาเปิด-ปิดที่อาจเกิดขึ้นในตลาดที่ไม่ต่อเนื่อง

ทำไม Hikkake จึงมีประสิทธิภาพในตลาด Forex?

รูปแบบแผนภูมิ Hikkake มีความโดดเด่นและเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรด Forex ด้วยเหตุผลหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการให้สัญญาณที่ชัดเจนในตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและเปิดตลอด 24 ชั่วโมง

ความยืดหยุ่นของ Hikkake ต่อราคาเปิด-ปิด

จุดเด่นสำคัญของรูปแบบ Hikkake คือการที่มัน ไม่ให้ความสำคัญกับระดับราคาเปิดและปิดของแท่งเทียน แต่จะเน้นไปที่ระดับราคาสูงสุด (High) และราคาต่ำสุด (Low) ของแท่งเทียนเป็นหลัก นี่คือเหตุผลที่ทำให้ Hikkake มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในตลาด Forex:

  • ไม่ขึ้นกับช่องว่างราคา (Gaps) หรือวันหยุดตลาด: ในตลาด Forex ที่ซื้อขายกันตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ การเกิดช่องว่างราคา (Gaps) จากการปิดและเปิดตลาดข้ามคืนเหมือนในตลาดหุ้นนั้นเกิดขึ้นได้น้อยมาก (ยกเว้นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือข่าวสำคัญ) รูปแบบ Hikkake ที่เน้น High/Low ทำให้มันยังคงให้สัญญาณที่เชื่อถือได้แม้จะไม่มีการปิด-เปิดตลาดที่ชัดเจนในแต่ละวัน
  • ลดความซับซ้อนของการตีความ: รูปแบบแท่งเทียนบางชนิดต้องพิจารณาสีของแท่งเทียน (บ่งบอกถึงราคาเปิด-ปิด) และขนาดของเนื้อเทียน ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละ Timeframe และโบรกเกอร์ การที่ Hikkake ตัดปัจจัยเหล่านี้ออกไป ทำให้การตีความง่ายขึ้นและลดโอกาสในการเกิดความสับสน โดยเน้นไปที่การเคลื่อนไหวของราคาสูงสุดและต่ำสุด ซึ่งเป็นระดับที่แท้จริงที่ตลาดทดสอบ
  • ประสิทธิภาพในตลาดที่มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง: ตลาด Forex มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง การพิจารณาแค่ High และ Low ช่วยให้ Hikkake สามารถจับภาพการพยายาม Breakout และการกลับตัวที่เกิดขึ้นจริงในตลาดได้ดีกว่า

ดังนั้น Hikkake จึงเป็นเครื่องมือที่แข็งแกร่งที่ช่วยให้นักเทรด Forex สามารถกรอง “สัญญาณรบกวน” จากราคาเปิด-ปิด และมุ่งเน้นไปที่การเคลื่อนไหวของราคาที่สำคัญ ซึ่งเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณการซื้อขายได้อย่างมีนัยสำคัญ

กลยุทธ์การซื้อขายด้วยรูปแบบ Hikkake: การวางแผนเข้า-ออกอย่างมืออาชีพ

เมื่อคุณสามารถระบุรูปแบบ Hikkake ที่สมบูรณ์และได้รับการยืนยันแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนการซื้อขายที่รัดกุม ซึ่งรวมถึงการกำหนดจุดเข้า จุดหยุดขาดทุน และจุดทำกำไรอย่างมีวินัย

จุดเข้าซื้อ (Entry Point): การใช้คำสั่ง Stop-Entry

การเข้าสู่การซื้อขายด้วย Hikkake ควรทำด้วยความระมัดระวังและรอการยืนยันสัญญาณอย่างสมบูรณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดกับดักตั้งแต่แรก โดยนิยมใช้คำสั่ง Stop-Entry หรือ Pending Order

  • สำหรับ Bullish Hikkake: หลังจากที่รูปแบบได้รับการยืนยัน (แท่งเทียนทะลุ High ของ Inner Bar) ให้วางคำสั่ง Buy Stop ที่ระดับ เหนือราคาสูงสุดของแท่งเทียน Inner Bar (แท่งที่ 1) เล็กน้อย (เช่น 1-2 Pips เหนือ High)
  • สำหรับ Bearish Hikkake: หลังจากที่รูปแบบได้รับการยืนยัน (แท่งเทียนทะลุ Low ของ Inner Bar) ให้วางคำสั่ง Sell Stop ที่ระดับ ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียน Inner Bar (แท่งที่ 1) เล็กน้อย (เช่น 1-2 Pips ใต้ Low)

ทำไมต้องใช้ Stop-Entry? การใช้คำสั่ง Stop-Entry เป็นการยืนยันว่าราคามีแรงผลักดันที่จะไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้จริงๆ หลังจากที่กับดักถูกเปิดเผย หากราคาไม่สามารถทะลุผ่านจุดนี้ได้ คำสั่งก็จะยังไม่ถูกเปิด ทำให้คุณไม่ต้องเข้าสู่การเทรดที่ไม่เป็นไปตามแผน

การตั้งค่าจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss): การปกป้องเงินทุน

การกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของการ บริหารความเสี่ยง และปกป้องเงินทุนของคุณ แม้ว่า Hikkake จะเป็นรูปแบบที่น่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันผลลัพธ์ได้ 100%

  • สำหรับ Bullish Hikkake: ตั้งค่า Stop Loss ที่ระดับ ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียน Hikkake Bar (แท่งที่ 2)
  • สำหรับ Bearish Hikkake: ตั้งค่า Stop Loss ที่ระดับ สูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งเทียน Hikkake Bar (แท่งที่ 2)

ทำไมต้องเป็นจุดนี้? จุดนี้เป็นระดับที่หากราคาเคลื่อนที่มาถึง จะถือว่ารูปแบบ Hikkake ที่คุณวิเคราะห์นั้นผิดพลาดหรือกับดักไม่ทำงานตามที่คาดการณ์ไว้ การตั้ง Stop Loss ในตำแหน่งนี้จะช่วยจำกัดการขาดทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

การกำหนดจุดทำกำไร (Take Profit): การบริหารผลตอบแทน

การกำหนดจุดทำกำไร (Take Profit) ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและเป้าหมายของคุณ มีหลายวิธีที่สามารถใช้ได้:

  1. การใช้ Risk-Reward Ratio (อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน):
    • วิธีที่นิยมคือการกำหนดเป้าหมายกำไรเป็น 1 เท่า (1xSL), 2 เท่า (2xSL) หรือ 3 เท่า (3xSL) ของระยะห่างจากจุดเข้าถึงจุด Stop Loss

    • ตัวอย่าง: หากคุณเข้า Buy ที่ 1.2000 และ Stop Loss อยู่ที่ 1.1980 (ห่างกัน 20 Pips) การตั้ง Take Profit ที่ 1xSL คือ 1.2020 (กำไร 20 Pips), 2xSL คือ 1.2040 (กำไร 40 Pips) และ 3xSL คือ 1.2060 (กำไร 60 Pips)

  2. การใช้ Trailing Stop:
    • สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการรันเทรนด์และจับการเคลื่อนไหวของราคาที่ยาวนาน Trailing Stop เป็นตัวเลือกที่ดี

    • การทำงาน: เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ Trailing Stop จะเลื่อนตามเพื่อรักษาผลกำไรที่เกิดขึ้นแล้วและยังคงเปิดโอกาสให้คุณทำกำไรได้มากขึ้น หากราคาเกิดการกลับตัว Trailing Stop จะช่วยปิดการเทรดและป้องกันไม่ให้กำไรของคุณหายไป

  3. การใช้ระดับแนวรับ/แนวต้าน หรือ Fibonacci:
    • คุณสามารถใช้ ระดับแนวรับแนวต้าน ที่สำคัญถัดไป หรือ ระดับ Fibonacci เป็นจุดทำกำไรได้เช่นกัน วิธีนี้จะช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายกำไรที่สอดคล้องกับโครงสร้างตลาด

การผสมผสานกลยุทธ์การเข้า-ออกเหล่านี้เข้าด้วยกัน พร้อมกับการบริหารขนาดการเทรดที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากรูปแบบ Hikkake ได้อย่างเต็มศักยภาพ และเพิ่มความน่าจะเป็นในการทำกำไรในระยะยาว

กรณีศึกษา: ตัวอย่างการซื้อขาย Hikkake ในสถานการณ์จริง

เพื่อช่วยให้เห็นภาพการใช้งานรูปแบบ Hikkake ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจะมาพิจารณาตัวอย่างการซื้อขายในชีวิตจริงจากกราฟราคา GBP/USD ซึ่งเป็นคู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูงและได้รับความนิยม รูปแบบที่นำเสนอเหล่านี้เป็นตัวแทนของสิ่งที่เทรดเดอร์อาจพบเจอ ไม่ได้ถูกเลือกมาเฉพาะตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น

การวิเคราะห์ตัวอย่างที่ 1: GBP/USD พฤศจิกายน 2549 – มีนาคม 2550

ในแผนภูมิแรกนี้ แท่งเทียน Inner Bar จะถูกทำเครื่องหมายด้วยสีน้ำเงิน และแท่งเทียน Hikkake Bar ที่สองจะถูกทำเครื่องหมายด้วยสีม่วงแดง แท่งเทียนสีเขียวสดใสคือ Inner Bar ที่ไม่ตามมาด้วยแท่งเทียน Hikkake ที่ถูกต้อง (แท่งที่สูงขึ้น-ต่ำลง หรือต่ำลง-สูงขึ้น) ดังนั้นจึงไม่ถือเป็นรูปแบบ Hikkake ที่สมบูรณ์

ตัวอย่างการซื้อขาย Hikkake ในกราฟรายวัน GBP/USD

  • รูปแบบ A และ D: รูปแบบเหล่านี้ไม่ได้ถูกกระตุ้นให้เกิดสัญญาณซื้อขายโดยแท่งเทียนใดๆ ในสามแท่งถัดไปหลังจากการก่อตัวของ Hikkake Bar นี่เป็นตัวอย่างที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการรอ การยืนยันสัญญาณ หากไม่มีการทะลุผ่าน High หรือ Low ของ Inner Bar ภายในกรอบเวลาที่กำหนด รูปแบบนั้นก็ถือเป็นโมฆะ และเทรดเดอร์ไม่ควรเข้าซื้อขาย
  • รูปแบบ B: รูปแบบนี้ถูกกระตุ้นในแท่งเทียนถัดไปหลังจากการก่อตัวของ Hikkake Bar และภายในสองวันก็สามารถบรรลุเป้าหมายกำไรที่ 1xSL (หนึ่งเท่าของระยะ Stop Loss) ได้สำเร็จ นี่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการทำกำไรของ Hikkake เมื่อสัญญาณได้รับการยืนยันและตลาดเคลื่อนที่ตามทิศทางที่คาดการณ์ไว้
  • รูปแบบ C: รูปแบบนี้ถูกกระตุ้นโดยแท่งเทียนที่สองหลังจากการก่อตัวของ Hikkake Bar และหลังจาก 5 วัน ก็สามารถบรรลุเป้าหมายกำไรที่ 1xSL ได้เช่นกัน นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ยืนยันว่า Hikkake สามารถให้สัญญาณที่นำไปสู่การทำกำไรได้ แต่ระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมายอาจแตกต่างกันไป

จากตัวอย่างนี้ จะเห็นได้ว่ารูปแบบ Hikkake ไม่ได้ให้สัญญาณที่ “ถูกต้อง” เสมอไป การยึดมั่นในกฎการยืนยันและการบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

การวิเคราะห์ตัวอย่างที่ 2: GBP/USD มีนาคม – มิถุนายน 2550

แผนภูมิที่สองนี้แสดงตัวอย่างจากช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2550 โดยมีหลายกรณีของ Hikkake ที่ไม่เคยถูกกระตุ้น

ตัวอย่างการซื้อขาย Hikkake ที่มากขึ้นในกราฟรายวัน GBP/USD

  • รูปแบบ A, C, D, G, H, I และ J: รูปแบบเหล่านี้ไม่สามารถถูกกระตุ้นได้ เนื่องจากไม่มีแท่งเทียนใดทะลุผ่าน High หรือ Low ของ Inner Bar ภายในสามแท่งถัดไป ตอกย้ำถึงความสำคัญของการรอการยืนยันและไม่รีบร้อนเข้าสู่การเทรด
  • รูปแบบ B: ถูกกระตุ้นในวันที่สองและเป้าหมาย 1xSL สำเร็จในวันที่สี่ แสดงให้เห็นถึงรูปแบบที่ทำงานได้ดีและให้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย
  • รูปแบบ E: กลายเป็นรูปแบบระยะยาว แม้จะเริ่มในวันแรก แต่ระดับการทำกำไรยังไม่ถึงในวันที่ 13 นี่แสดงให้เห็นว่าบางครั้งการเทรดอาจใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเทรดเดอร์จำเป็นต้องมีวินัยในการถือครองหรือปรับใช้กลยุทธ์ Trailing Stop เพื่อปกป้องกำไร
  • รูปแบบ F: ค่อนข้างโชคร้าย เพราะถูกกระตุ้นและถูก Stop Loss ในวันที่ #1 นี่เป็นผู้แพ้เพียงคนเดียวในแผนภูมิทั้งสองนี้ (โดยมีการตั้ง Stop Loss ค่อนข้างแน่น) ตัวอย่างนี้เน้นย้ำว่า การบริหารความเสี่ยง และการตั้ง Stop Loss เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่มีกลยุทธ์ใดที่สมบูรณ์แบบ และการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด การยอมรับการขาดทุนเล็กน้อยเพื่อป้องกันการขาดทุนที่ใหญ่กว่าคือสิ่งจำเป็น

จากตัวอย่างเหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่ารูปแบบ Hikkake เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ใช่ “กระสุนเงิน” ที่จะรับประกันกำไรได้เสมอไป การทำความเข้าใจเงื่อนไขการทำงาน การยืนยันสัญญาณ และการบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการใช้ Hikkake ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ Section)

  1. Hikkake คืออะไร และชื่อมีความหมายว่าอย่างไร?

    Hikkake คือรูปแบบแผนภูมิแท่งเทียนประเภทหนึ่งที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อระบุสัญญาณการ Breakout ที่ล้มเหลว หรือ “False Breakout” ซึ่งมักจะนำไปสู่การกลับตัวของราคาอย่างรุนแรง ชื่อ “Hikkake” มาจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแปลว่า “กับดัก” หรือ “กับดักที่จับได้” สะท้อนถึงธรรมชาติของรูปแบบที่พยายามหลอกล่อเทรดเดอร์ให้เข้าใจผิดคิดว่าราคาจะไปในทิศทางหนึ่ง ก่อนที่จะกลับตัวไปในทิศทางตรงกันข้าม

  2. รูปแบบ Hikkake มีกี่ประเภท และแตกต่างกันอย่างไร?

    รูปแบบ Hikkake แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:

    • Bullish Hikkake (สัญญาณซื้อ): เป็นรูปแบบที่บ่งชี้ถึงโอกาสในการซื้อ เกิดขึ้นเมื่อราคาทดสอบแนวรับและดูเหมือนจะ Breakout ลงไป แต่กลับล้มเหลวและดีดตัวขึ้น
    • Bearish Hikkake (สัญญาณขาย): เป็นรูปแบบที่บ่งชี้ถึงโอกาสในการขาย เกิดขึ้นเมื่อราคาทดสอบแนวต้านและดูเหมือนจะ Breakout ขึ้นไป แต่กลับล้มเหลวและปรับตัวลง

    ความแตกต่างหลักอยู่ที่ทิศทางของ “กับดัก” และทิศทางการกลับตัวของราคาที่คาดการณ์ไว้

  3. ควรใช้ Hikkake ใน Timeframe ใด และสามารถใช้กับสินทรัพย์อะไรได้บ้าง?

    รูปแบบ Hikkake สามารถใช้ได้กับทุก Timeframe ตั้งแต่ Timeframe สั้นๆ อย่าง 5 นาที หรือ 15 นาที สำหรับ Scalping ไปจนถึง Timeframe รายวันหรือรายสัปดาห์สำหรับการเทรดระยะยาว อย่างไรก็ตาม การใช้ใน Timeframe ที่สูงขึ้นมักจะให้สัญญาณที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากมี “สัญญาณรบกวน” น้อยลง

    Hikkake สามารถใช้ได้กับสินทรัพย์ทางการเงินหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นคู่สกุลเงินในตลาด Forex, หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำหรือน้ำมัน และแม้แต่สกุลเงินดิจิทัล

  4. มีข้อจำกัดหรือข้อควรระวังในการใช้ Hikkake หรือไม่?

    ใช่ มีข้อจำกัดและข้อควรระวังดังนี้:

    • ไม่ใช่รูปแบบที่ “กันกระสุน” (Not Bulletproof): ไม่มีรูปแบบใดในตลาดที่ให้ผลลัพธ์ 100% Hikkake ก็เช่นกัน
    • โอกาสในการเทรดไม่บ่อย: รูปแบบ Hikkake ที่สมบูรณ์แบบและได้รับการยืนยันอาจไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ซึ่งอาจทำให้เทรดเดอร์ต้องรอนาน
    • ต้องใช้การยืนยัน: การรีบร้อนเข้าเทรดก่อนได้รับการยืนยันสัญญาณเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
    • ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ควรใช้ Hikkake ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น แนวรับแนวต้าน, Indicator หรือ รูปแบบแผนภูมิ อื่นๆ
  5. Hikkake แตกต่างจาก Inside Bar อย่างไร?

    Hikkake สร้างอยู่บนพื้นฐาน ของ Inside Bar แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

    • Inside Bar: เป็นแท่งเทียนที่ราคาสูงสุดต่ำกว่าแท่งก่อนหน้าและราคาต่ำสุดสูงกว่าแท่งก่อนหน้า แสดงถึงความลังเลหรือการรวมฐาน
    • Hikkake: เป็นรูปแบบที่ซับซ้อนกว่า ประกอบด้วย Inside Bar (แท่งที่ 1) และแท่งเทียนที่สอง (Hikkake Bar) ซึ่งมี High/Low สูงกว่าหรือต่ำกว่า Inside Bar ในทิศทางตรงกันข้ามกับการ Breakout ที่คาดการณ์ไว้ และที่สำคัญคือ ต้องมีการยืนยัน โดยแท่งเทียนถัดไปที่ทะลุ High/Low ของ Inside Bar เพื่อยืนยันการกลับทิศทางของราคา

    กล่าวคือ Inside Bar เป็นส่วนประกอบหนึ่งของ Hikkake แต่ Hikkake มีเงื่อนไขการก่อตัวและการยืนยันที่เฉพาะเจาะจงกว่า

บทสรุป

รูปแบบแผนภูมิ Hikkake เปรียบเสมือน “กับดักอัจฉริยะ” ที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุและใช้ประโยชน์จากสัญญาณหลอกในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นเครื่องมือที่ “กันกระสุน” และอาจไม่ให้โอกาสในการซื้อขายบ่อยครั้ง แต่ความยืดหยุ่นและการมุ่งเน้นที่ระดับราคาสูงสุดและต่ำสุด ทำให้ Hikkake มีความน่าเชื่อถือสูง โดยเฉพาะในตลาด Forex ที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา

การเรียนรู้และฝึกฝนการใช้งาน Hikkake อย่างถูกต้อง ตั้งแต่การทำความเข้าใจโครงสร้าง การรอการยืนยันสัญญาณ ไปจนถึงการวางแผนจุดเข้า จุดหยุดขาดทุน และจุดทำกำไรอย่างเป็นระบบ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการลงทุนของคุณได้อย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัดและไม่พึ่งพาเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งเพียงอย่างเดียว ควรใช้ Hikkake ร่วมกับ การวิเคราะห์แท่งเทียน อื่นๆ แนวรับแนวต้าน และเครื่องมืออื่นๆ เพื่อสร้างกลยุทธ์การซื้อขายที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ขอแนะนำให้ฝึกฝนการใช้ Hikkake บน บัญชีทดลอง ก่อนที่จะนำไปใช้กับการเทรดด้วยเงินจริง เพื่อสร้างความคุ้นเคยและความมั่นใจในกลยุทธ์ของคุณ

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line