TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

ระบบเทรดแบบฮาร์โมนิค (Harmonic)

มกราคม 2, 2022

เจาะลึกรูปแบบ Harmonic Trading: กลยุทธ์ทำกำไรจากความแม่นยำของ Fibonacci

ในโลกของการซื้อขาย (Trading) รูปแบบแผนภูมิต่างๆ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม มีรูปแบบหนึ่งที่โดดเด่นด้วยความแม่นยำและโครงสร้างที่ชัดเจน นั่นคือ รูปแบบ Harmonic ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การเทรดที่อาศัยสัดส่วน Fibonacci เพื่อระบุจุดกลับตัวของราคาที่อาจเกิดขึ้น การทำความเข้าใจและนำรูปแบบ Harmonic ไปใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างผลกำไรในตลาดที่มีความผันผวนสูง

Harmonic คืออะไร? ทำไมจึงมีความสำคัญในตลาดการเงิน?

รูปแบบ Harmonic คือกลุ่มของรูปแบบแผนภูมิราคาที่ใช้ อัตราส่วน Fibonacci เป็นแกนหลักในการระบุโครงสร้างการเคลื่อนไหวของราคาที่อาจบ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม (Reversal Pattern) หรือการต่อเนื่องของแนวโน้ม (Continuation Pattern) ความแตกต่างที่สำคัญของ Harmonic เมื่อเทียบกับรูปแบบแผนภูมิพื้นฐานทั่วไปคือความแม่นยำในการกำหนดจุดต่างๆ โดยอาศัยกฎของ Fibonacci Retracement และ Fibonacci Extension อย่างเคร่งครัด ซึ่งช่วยลดการตีความที่คลุมเครือและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสัญญาณการซื้อขาย

ลักษณะเฉพาะของรูปแบบ Harmonic ที่ควรรู้

  • โครงสร้าง 5 จุดที่แม่นยำ: รูปแบบ Harmonic ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยโครงสร้าง 5 จุด (เช่น XA, AB, BC, CD) โดยแต่ละจุดจะมีความสัมพันธ์กันด้วยอัตราส่วน Fibonacci ที่เฉพาะเจาะจง
  • การใช้ Fibonacci เป็นแกนหลัก: หัวใจสำคัญของ Harmonic คือการนำ Fibonacci Retracement และ Fibonacci Extension มาใช้ในการวัดสัดส่วนของแต่ละขาของรูปแบบ เพื่อยืนยันความถูกต้องและระบุจุดกลับตัวที่เป็นไปได้ (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Fibonacci และแนวโน้มราคา)
  • การทำซ้ำในตลาด: แม้จะดูซับซ้อน แต่รูปแบบ Harmonic มักจะเกิดขึ้นซ้ำๆ ในตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดขาขึ้น ขาลง หรือตลาด Sideway
  • ความต้องการความอดทน: การเทรดด้วยรูปแบบ Harmonic ต้องอาศัยความอดทนสูง เนื่องจากคุณต้องรอให้รูปแบบก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์และตรงตามอัตราส่วน Fibonacci ที่กำหนดไว้ทั้งหมดก่อนที่จะเข้าทำการซื้อขาย

ประเภทของรูปแบบ Harmonic ที่นิยม

รูปแบบ Harmonic มีหลากหลายประเภท โดยแต่ละประเภทมีโครงสร้างและอัตราส่วน Fibonacci ที่แตกต่างกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ:

  1. โครงสร้างการกลับรายการ 5 จุด (5-Point Reversal Structures): รูปแบบเหล่านี้มักจะบ่งชี้ถึงการกลับตัวของราคาที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น:
    • Gartley Pattern: รูปแบบคลาสสิกที่มักจะเกิดขึ้นในจุดที่ราคาเริ่มอ่อนแรงและบ่งบอกถึงการกลับตัว
    • Bat Pattern: คล้ายกับ Gartley แต่มีอัตราส่วน Fibonacci ที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยเฉพาะที่จุด D ซึ่งมักจะเป็นจุดกลับตัวที่สำคัญ
  2. รูปแบบส่วนขยาย 5 จุด (5-Point Extension Structures): รูปแบบเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่เกินกว่าจุดเริ่มต้นของรูปแบบ และยังคงบ่งบอกถึงการกลับตัวที่รุนแรงกว่า เช่น:
    • Butterfly Pattern: เป็นรูปแบบที่บ่งชี้ถึงการกลับตัวที่จุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่
    • Crab Pattern: เป็นรูปแบบที่บ่งบอกถึงการกลับตัวที่จุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่ “ลึก” กว่า Butterfly ซึ่งให้โอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้นแต่ก็มีความเสี่ยงสูงขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีรูปแบบอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น Three-Drive Pattern, Shark Pattern, Cypher Pattern เป็นต้น ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีกฎเกณฑ์และอัตราส่วน Fibonacci ของตนเอง

3 ขั้นตอนสู่การทำกำไรด้วยระบบเทรด Harmonic

การนำรูปแบบ Harmonic มาใช้ในการเทรดให้ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้เพียงแค่การจดจำรูปร่าง แต่ต้องเข้าใจถึงกระบวนการวิเคราะห์และยืนยันความถูกต้องของรูปแบบ ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าทำกำไร โดยมี 3 ขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญดังนี้:

ขั้นที่ 1: ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic

ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดคือการมองหารูปแบบที่คล้ายคลึงกับโครงสร้าง Harmonic ที่รู้จักบนกราฟราคา การระบุในขั้นต้นนี้อาจยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นรูปแบบใดที่แน่ชัด แต่เป็นการสังเกตถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่สร้างยอดและฐานที่สัมพันธ์กันเป็น 5 จุด คุณต้องมีสายตาที่เฉียบคมในการสังเกตการก่อตัวของคลื่นราคาที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของรูปแบบ Harmonic

ภาพแสดงการระบุรูปแบบ Harmonic ในขั้นต้น

ในภาพตัวอย่างนี้ เราจะเห็นว่ามีการเคลื่อนไหวของราคาที่สร้างจุด X, A, B, C และ D ซึ่งดูเหมือนจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของรูปแบบ Harmonic บางชนิด ในขั้นตอนนี้ เรายังไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเป็น Bat, Crab หรือรูปแบบใด แต่ให้โฟกัสที่การระบุ “จุดกลับตัว” ที่เป็นไปได้ ซึ่งก็คือจุด X, A, B, C และ D การฝึกฝนจะช่วยให้คุณสามารถแยกแยะการก่อตัวของรูปแบบเหล่านี้ออกจากความผันผวนของตลาดทั่วไปได้

ขั้นที่ 2: ประเมินรูปแบบ Harmonic ด้วยอัตราส่วน Fibonacci

เมื่อระบุการก่อตัวของรูปแบบที่น่าสงสัยได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการใช้เครื่องมือ Fibonacci เพื่อประเมินความถูกต้องของรูปแบบว่าเป็น Harmonic ชนิดใดและมีสัดส่วนที่ตรงตามเกณฑ์หรือไม่ นี่คือส่วนที่ต้องการความแม่นยำและเป็นเหตุผลที่ทำให้รูปแบบ Harmonic มีความน่าเชื่อถือสูงกว่ารูปแบบแผนภูมิอื่นๆ

ภาพแสดงการประเมินรูปแบบ Harmonic ด้วย Fibonacci

ในภาพตัวอย่างข้างต้น รูปแบบที่ปรากฏคือ Bullish ABCD Pattern ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบ Harmonic พื้นฐานที่บ่งบอกถึงโอกาสในการซื้อ (Buy) เราจะใช้เครื่องมือ Fibonacci เพื่อวัดความสัมพันธ์ของแต่ละขา:

  1. เส้น BC อยู่ที่ระดับ 0.618 ของเส้น AB: การวัด Fibonacci Retracement จากจุด A ไปยังจุด B จะพบว่าจุด C ควรจะอยู่ใกล้ระดับ 61.8% หรือประมาณ 0.618 ของความยาวคลื่น AB การที่จุด C ตรงกับระดับนี้เป็นสัญญาณที่ดีว่ารูปแบบกำลังก่อตัวอย่างถูกต้อง
  2. เส้น CD อยู่ที่ระดับ 1.272 Extension ของเส้น BC: การวัด Fibonacci Extension จากจุด B ไปยังจุด C แล้วกลับไปที่ B อีกครั้ง จะพบว่าจุด D ควรจะอยู่ใกล้ระดับ 127.2% หรือประมาณ 1.272 ของความยาวคลื่น BC จุด D นี้คือจุดที่คาดการณ์ว่าจะเกิดการกลับตัวของราคา
  3. ความยาวของเส้น AB จะมีความยาวใกล้เคียงกับความยาวของเส้น CD: ข้อนี้เป็นคุณสมบัติสำคัญของรูปแบบ ABCD ที่บ่งบอกถึงความสมมาตรของราคา หากความยาวของคลื่น AB และ CD มีความใกล้เคียงกัน จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับรูปแบบ

หากสัดส่วนเหล่านี้ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดสำหรับรูปแบบ ABCD แสดงว่ารูปแบบมีความสมบูรณ์และพร้อมสำหรับการเข้าทำกำไร (ศึกษา การใช้อินดิเคเตอร์อื่นๆ ประกอบเพื่อเพิ่มความมั่นใจ)

ขั้นที่ 3: ส่ง Order Buy หรือ Sell เมื่อรูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

เมื่อรูปแบบ Harmonic ได้รับการยืนยันความถูกต้องด้วยอัตราส่วน Fibonacci แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการตัดสินใจเข้าทำกำไร การเทรดรูปแบบ Harmonic ที่สมบูรณ์แบบจะมุ่งเน้นไปที่จุดกลับตัวที่คาดการณ์ไว้ (ในที่นี้คือจุด D) ซึ่งเป็นจุดที่มีโอกาสสูงที่ราคาจะเปลี่ยนทิศทาง

ภาพแสดงการส่ง Order ซื้อขายตามรูปแบบ Harmonic

ในกรณีของ Bullish ABCD Pattern ดังตัวอย่างนี้ เมื่อราคาวิ่งลงมาถึงจุด D (ซึ่งอยู่ที่ 1.272 Fibonacci Extension ของคลื่น CB) คุณควรพิจารณา ส่ง Order Buy ณ จุดนี้ โดยมีเหตุผลดังนี้:

  • จุด D เป็น Potential Reversal Zone (PRZ): จุด D คือบริเวณที่รูปแบบ Harmonic คาดการณ์ว่าจะเกิดการกลับตัวของราคาจากขาลงเป็นขาขึ้น
  • การกำหนด Stop Loss: เพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ คุณควรตั้งค่า Stop Loss ให้ต่ำกว่าจุด D เล็กน้อย เพื่อจำกัดการขาดทุนหากราคาวิ่งสวนทางกับที่คาดการณ์ไว้
  • การกำหนด Take Profit: เป้าหมายกำไร (Take Profit) สามารถกำหนดได้จากระดับ Fibonacci Retracement ของคลื่น AD เช่น ที่ระดับ 0.382 หรือ 0.618 หรือพิจารณาจากแนวรับแนวต้านสำคัญในอดีต (ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ แนวรับ Support และแนวต้าน Resistance)

การเข้าทำกำไร ณ จุด D หลังจากรูปแบบ Harmonic สมบูรณ์แล้ว ถือเป็นกลยุทธ์ที่มีความน่าจะเป็นสูง อย่างไรก็ตาม การเทรดด้วยรูปแบบ Harmonic ไม่ได้ง่ายเสมอไป เนื่องจากความท้าทายหลักอยู่ที่การระบุรูปแบบที่ถูกต้องและการอดทนรอจนกว่ารูปแบบจะสมบูรณ์ตามเงื่อนไขทุกประการ

ความท้าทายและข้อควรพิจารณาในการเทรด Harmonic

แม้รูปแบบ Harmonic จะให้สัญญาณที่มีความแม่นยำสูง แต่ก็มีข้อควรพิจารณาและความท้าทายที่เทรดเดอร์ควรทราบ:

  • ความยากในการระบุ: การมองหารูปแบบ Harmonic ที่สมบูรณ์แบบบนกราฟราคาจริงนั้นต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝนอย่างมาก บางครั้งอาจมีการก่อตัวของคลื่นราคาที่ดูคล้าย แต่กลับไม่เป็นไปตามอัตราส่วน Fibonacci ที่กำหนด
  • ความต้องการความอดทน: ตลาดไม่ได้สร้างรูปแบบ Harmonic ที่สมบูรณ์แบบตลอดเวลา คุณอาจต้องรอนานหลายชั่วโมงหรือหลายวันกว่าจะพบรูปแบบที่เข้าเงื่อนไขทั้งหมด การรีบร้อนเข้าเทรดก่อนที่รูปแบบจะสมบูรณ์อาจนำไปสู่การขาดทุน
  • การรวมกันของเครื่องมือ: เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเทรด ควรใช้รูปแบบ Harmonic ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น อินดิเคเตอร์ (RSI, MACD) หรือ รูปแบบแท่งเทียน เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว (คู่มือการใช้อินดิเคเตอร์ Moving Average, RSI, MACD)
  • การบริหารความเสี่ยง: การตั้ง Stop Loss และ Take Profit อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด Harmonic เพื่อปกป้องเงินทุนและล็อคกำไร การละเลย การบริหารความเสี่ยง อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง

การมีวินัยและจิตวิทยาการเทรดที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้กลยุทธ์ Harmonic Trading ให้ประสบความสำเร็จ (จิตวิทยาการเทรดทองคำสำหรับมือใหม่)

สรุป รูปแบบราคาแบบ Harmonic

รูปแบบ Harmonic เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูง โดยอาศัยความแม่นยำของอัตราส่วน Fibonacci ในการระบุจุดกลับตัวของราคาที่สำคัญ รูปแบบเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ทิศทางของราคาได้แม่นยำยิ่งขึ้น และสามารถสร้างโอกาสในการทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ

รูปแบบ Harmonic ที่พบบ่อย:

  • รูปแบบ ABCD: รูปแบบพื้นฐานที่บ่งบอกถึงความสมมาตรของราคา
  • รูปแบบ Three-Drive: คล้ายกับ ABCD แต่มีโครงสร้าง 3 คลื่นที่ชัดเจน
  • รูปแบบ Gartley: รูปแบบกลับตัวที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย
  • รูปแบบ Crab (ปู): รูปแบบกลับตัวที่ให้เป้าหมายกำไรที่ลึกกว่า
  • รูปแบบ Bat (ค้างคาว): คล้ายกับ Gartley แต่มีอัตราส่วน Fibonacci ที่แตกต่างกัน
  • รูปแบบ Butterfly (ผีเสื้อ): รูปแบบกลับตัวที่มักจะเกิดขึ้นในจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่

ขั้นตอนสำคัญในการเทรด Harmonic:

  1. ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic ที่มีศักยภาพ
  2. ประเมินรูปแบบด้วยอัตราส่วน Fibonacci เพื่อยืนยันความถูกต้อง
  3. ส่ง Order ซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) ณ จุดกลับตัวที่สมบูรณ์พร้อมกับการตั้ง Stop Loss

แม้รูปแบบ Harmonic จะมีความสมบูรณ์แบบในทางทฤษฎี แต่การนำไปใช้จริงนั้นต้องอาศัยการฝึกฝน ความอดทน และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการวัดค่า Fibonacci การผสมผสานรูปแบบ Harmonic เข้ากับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ และการบริหารความเสี่ยงที่ดี จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการซื้อขายของคุณได้อย่างมีนัยสำคัญ

ภาพสรุปรูปแบบ Harmonic

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Harmonic Trading

Q1: รูปแบบ Harmonic แตกต่างจากรูปแบบแผนภูมิทั่วไปอย่างไร?

A1: ความแตกต่างหลักอยู่ที่ความแม่นยำในการกำหนดรูปแบบ รูปแบบ Harmonic ใช้ อัตราส่วน Fibonacci Retracement และ Extension ที่แม่นยำในการยืนยันแต่ละขาของรูปแบบ ในขณะที่รูปแบบแผนภูมิทั่วไปอาจมีการตีความที่ยืดหยุ่นกว่า การใช้ Fibonacci ช่วยให้สัญญาณการกลับตัวของ Harmonic มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าและลดโอกาสในการตีความผิดพลาด

Q2: จำเป็นต้องจดจำอัตราส่วน Fibonacci ของทุกรูปแบบ Harmonic หรือไม่?

A2: การทำความเข้าใจและจดจำอัตราส่วนที่สำคัญสำหรับรูปแบบหลักๆ จะเป็นประโยชน์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม โปรแกรมวิเคราะห์กราฟส่วนใหญ่จะมีเครื่องมือวาดรูปแบบ Harmonic ที่ช่วยคำนวณอัตราส่วนให้โดยอัตโนมัติ สิ่งสำคัญกว่าการจดจำคือการเข้าใจว่าแต่ละอัตราส่วนมีความหมายอย่างไรและบ่งบอกถึงอะไรในโครงสร้างของราคา

Q3: ควรใช้อินดิเคเตอร์อะไรเพิ่มเติมในการเทรด Harmonic?

A3: เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเข้าทำกำไร คุณสามารถใช้อินดิเคเตอร์ยืนยันสัญญาณได้หลายตัว เช่น:

  • RSI (Relative Strength Index): เพื่อดูภาวะ Overbought/Oversold และยืนยันการกลับตัวของโมเมนตัม (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ RSI และ Stochastic)
  • MACD (Moving Average Convergence Divergence): เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มและโมเมนตัม
  • Stochastic Oscillator: คล้ายกับ RSI ในการบ่งบอกภาวะ Overbought/Oversold
  • Volume: ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงการก่อตัวของจุดกลับตัว อาจเป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่ง

การใช้อินดิเคเตอร์เหล่านี้ร่วมกับรูปแบบ Harmonic จะช่วยให้คุณมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่รอบด้านมากขึ้น

Q4: รูปแบบ Harmonic สามารถใช้ได้กับ Timeframe ใดบ้าง?

A4: รูปแบบ Harmonic สามารถใช้ได้กับทุก Timeframe ตั้งแต่ Timeframe สั้นๆ (เช่น M5, M15) สำหรับ Day Trading หรือ Scalping ไปจนถึง Timeframe ที่ยาวขึ้น (เช่น H1, H4, Daily) สำหรับ Swing Trading หรือ Position Trading อย่างไรก็ตาม การใช้ใน Timeframe ที่ยาวขึ้นมักจะให้สัญญาณที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น (การวิเคราะห์ Multi-Timeframe)

Q5: อะไรคือความเสี่ยงหลักของการเทรดด้วยรูปแบบ Harmonic?

A5: ความเสี่ยงหลักคือการระบุรูปแบบผิดพลาดหรือการเข้าเทรดก่อนที่รูปแบบจะสมบูรณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุน นอกจากนี้ รูปแบบ Harmonic บางครั้งอาจไม่ทำงานตามที่คาดการณ์ไว้ (Failure Pattern) โดยเฉพาะในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือมีข่าวสารสำคัญเข้ามากระทบอย่างกะทันหัน ดังนั้น การบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยการตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมและไม่ใช้ Leverage มากเกินไปจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

สรุปและ Call to Action

รูปแบบ Harmonic Trading นำเสนอแนวทางที่มีโครงสร้างและแม่นยำในการวิเคราะห์กราฟราคา ด้วยการผสานพลังของเรขาคณิตและการคำนวณด้วยอัตราส่วน Fibonacci ที่เป็นธรรมชาติของตลาด เทรดเดอร์สามารถระบุจุดกลับตัวที่มีศักยภาพสูงเพื่อเข้าทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกฝนความอดทน การเรียนรู้ที่จะระบุและยืนยันรูปแบบอย่างถูกต้อง รวมถึงการจัดการความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการนำกลยุทธ์ Harmonic Trading ไปใช้ในตลาดการเงิน

หากคุณต้องการยกระดับการเทรดของคุณด้วยระบบอัตโนมัติและเครื่องมือขั้นสูง เราขอแนะนำให้คุณพิจารณาใช้ Expert Advisors (EA) หรือระบบเทรดอัตโนมัติ ซึ่งสามารถช่วยในการระบุรูปแบบและส่งคำสั่งซื้อขายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำ

#แจกฟรี! ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) และเข้ากลุ่ม Line VIP!
สำหรับเทรดเดอร์ที่สนใจพัฒนาศักยภาพการเทรดให้ดียิ่งขึ้น ด้วย EA indicator ที่ทรงประสิทธิภาพ และต้องการเข้าถึงชุมชนนักเทรดที่มีคุณภาพเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และกลยุทธ์ต่างๆ คุณสามารถรับ EA ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆ ได้ในอนาคต เพียงแค่ปฏิบัติตามเงื่อนไขง่ายๆ ดังนี้:
เงื่อนไข:
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ชั้นนำตามลิงค์ด้านล่างนี้ คุณก็สามารถรับ EA ฟรีทั้งหมด และสิทธิพิเศษในการเข้าร่วมกลุ่ม Line VIP ของเราได้ทันที!
  • XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย: https://bit.ly/XmFree30USD
  • Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ: https://bit.ly/MTRatsamee
  • Exness – โบรกเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด: https://bit.ly/ExnessCom
**เมื่อสมัครเสร็จแล้ว โปรดส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id: @ft.th เพื่อขอรับ EA ได้ฟรี!**
ช่องทางการพูดคุยและติดตามข้อมูล:
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like