TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
จิตวิทยา การบริหารเงิน

GAP คืออะไร?

กรกฎาคม 4, 2022

เจาะลึก ‘Gap’ ในการเทรด Forex และหุ้น: โอกาสและความเสี่ยงที่เทรดเดอร์มืออาชีพต้องรู้

ในโลกของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาด Forex, ตลาดหุ้น หรือสินทรัพย์อื่นๆ หนึ่งในปรากฏการณ์ที่เทรดเดอร์ให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ “Gap” หรือ “ช่องว่างราคา” ซึ่งหมายถึงการที่ราคาเปิดของสินทรัพย์หนึ่งๆ ไม่ต่อเนื่องจากราคาปิดของช่วงเวลาก่อนหน้า ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความผิดปกติบนกราฟเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณสำคัญที่อาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ตลาด, ความรุนแรงของข่าวสาร หรือแม้กระทั่งการเริ่มต้นและสิ้นสุดของแนวโน้มราคา บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจทุกแง่มุมของ Gap อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย, สาเหตุที่มา, ประเภทต่างๆ, กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสม รวมถึงข้อควรระวังและความเสี่ยงที่เทรดเดอร์ทุกคนควรทราบ เพื่อให้คุณสามารถใช้ Gap เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และตัดสินใจเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

Gap คืออะไร? ทำไมจึงเกิดช่องว่างราคาบนกราฟ

Gap หรือ ช่องว่างราคา คือช่วงที่ไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นบนกราฟราคา ซึ่งหมายความว่าราคาปัจจุบันได้กระโดดข้ามช่วงราคาหนึ่งๆ ไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีแท่งเทียนหรือกราฟใดๆ ปรากฏในระหว่างนั้น ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อมีแรงซื้อหรือแรงขายที่รุนแรงมากผิดปกติ จนทำให้ราคาเปิดของช่วงเวลาถัดไปแตกต่างจากราคาปิดของช่วงเวลาก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ เราสามารถแบ่ง Gap ออกเป็นสองประเภทหลักๆ ได้แก่ Gap Up และ Gap Down

Gap Up คืออะไร?

Gap Up เกิดขึ้นเมื่อราคาเปิดของแท่งเทียนปัจจุบันสูงกว่าราคาปิดสูงสุดของแท่งเทียนก่อนหน้าอย่างชัดเจน ซึ่งหมายความว่าในช่วงที่ตลาดปิดทำการ หรือในช่วงที่มีความผันผวนสูง มีแรงซื้อเข้ามาอย่างมหาศาล ทำให้เมื่อตลาดเปิดทำการอีกครั้ง ราคาได้กระโดดขึ้นไปทันทีโดยไม่มีการซื้อขายในช่วงราคาที่ต่ำกว่านั้น บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นเชิงบวกอย่างรุนแรงในตลาด และมักจะเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นหรือการต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น

Gap Down คืออะไร?

ตรงกันข้ามกับ Gap Up, Gap Down เกิดขึ้นเมื่อราคาเปิดของแท่งเทียนปัจจุบันต่ำกว่าราคาปิดต่ำสุดของแท่งเทียนก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ นี่แสดงให้เห็นว่ามีแรงขายอย่างหนักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดปิด หรือในช่วงที่มีเหตุการณ์สำคัญ ทำให้เมื่อตลาดเปิดอีกครั้ง ราคาได้ร่วงลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการซื้อขายในช่วงราคานั้น บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นเชิงลบที่รุนแรง และมักเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นหรือการต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Gap ในตลาดการเงิน

การเกิด Gap ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีปัจจัยพื้นฐานและเหตุการณ์สำคัญหลายประการที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็วนี้ การทำความเข้าใจสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์และเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

1. ช่วงวันหยุดของตลาดการเงินและข่าวสำคัญ

หนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิด Gap คือช่วงที่ตลาดปิดทำการ เช่น วันหยุดสุดสัปดาห์ (วันเสาร์-อาทิตย์) หรือวันหยุดราชการสำคัญต่างๆ ทั่วโลก ในช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาด Forex ปิดทำการนี้ ข้อมูลข่าวสารทางเศรษฐกิจ, การเมือง, หรือเหตุการณ์สำคัญระดับโลกยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนและสถาบันการเงินไม่สามารถตอบสนองต่อข่าวเหล่านั้นได้ทันที ทำให้เกิดการสะสมแรงซื้อหรือแรงขายจำนวนมหาศาล และเมื่อตลาดเปิดทำการอีกครั้งในวันจันทร์หรือหลังวันหยุด แรงซื้อ/ขายที่อัดอั้นนี้ก็จะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน ส่งผลให้ราคาเปิดกระโดดข้ามช่วงไปอย่างรวดเร็ว เกิดเป็น Gap ขึ้นมาทันที ข่าวทองคำ หรือ ข่าวที่มีผลกระทบต่อตลาด มักจะเป็นตัวเร่งให้เกิด Gap ได้อย่างรุนแรงหากข่าวเหล่านั้นมีผลกระทบอย่างมาก

2. เหตุการณ์ (ข่าวร้ายหรือข่าวดี) ที่มีพลังมหาศาลและส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน

นอกจากข่าวสารทั่วไปแล้ว เหตุการณ์สำคัญที่เหนือความคาดหมายและมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดการเงินสามารถเป็นชนวนให้เกิด Gap ได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง, รายงานผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ที่พลิกโผอย่างมาก, การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมืองของประเทศเศรษฐกิจหลัก, ภัยธรรมชาติครั้งใหญ่, หรือแม้กระทั่งความขัดแย้งระหว่างประเทศ เหตุการณ์เหล่านี้สร้างความไม่แน่นอนและความกังวล (หรือความเชื่อมั่น) อย่างรุนแรงในหมู่นักลงทุน ทำให้เกิดคำสั่งซื้อขายจำนวนมากในทิศทางเดียวกันอย่างฉับพลัน ในบางกรณี ความต้องการซื้อหรือขายอาจรุนแรงจนไม่มีคู่ค้าในระดับราคาใกล้เคียง ส่งผลให้ราคาต้องกระโดดไปหาผู้ซื้อหรือผู้ขายในระดับราคาที่ห่างออกไป ทำให้เกิดช่องว่างราคาขึ้นได้ง่ายๆ หากธนาคารหรือสถาบันการเงินขนาดใหญ่ตัดสินใจเทขายสกุลเงินจำนวนมหาศาลเพราะข่าวร้าย ก็จะสร้าง Gap Down ได้อย่างรวดเร็ว

3. สภาพคล่องต่ำในช่วงวันหยุดสำคัญ

ในช่วงเทศกาลสำคัญระดับโลก เช่น วันคริสต์มาส, วันหยุดสิ้นปี, หรือวันหยุดยาวอื่นๆ สภาพคล่องในตลาดการเงินมักจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากธนาคาร สถาบันการเงินขนาดใหญ่ และผู้เล่นรายใหญ่จำนวนมากหยุดทำการซื้อขาย หรือลดกิจกรรมลงอย่างมาก เมื่อมีปริมาณผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดน้อยลง การจับคู่คำสั่งซื้อขายก็จะทำได้ยากขึ้น และแม้เพียงคำสั่งซื้อขายขนาดกลางๆ ก็สามารถส่งผลกระทบต่อราคาให้เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้เกิดการกระโดดของราคา หรือ Gap ได้ง่ายกว่าช่วงเวลาปกติที่มีสภาพคล่องสูง หากในช่วงนี้มีข่าวสารบางอย่างออกมา แม้จะไม่ใช่ข่าวร้ายแรง แต่ด้วยสภาพคล่องที่ต่ำ ก็สามารถทำให้ราคาเกิด Gap ได้อย่างไม่คาดคิด ดังนั้น เทรดเดอร์ควรระมัดระวังเป็นพิเศษในการเทรดช่วงวันหยุดยาวเหล่านี้

ประเภทของ Gap ที่พบบ่อยและความหมายเชิงเทคนิค

การเข้าใจประเภทของ Gap เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ Gap แต่ละประเภทให้สัญญาณและนัยยะที่แตกต่างกันในการวิเคราะห์ทางเทคนิค และนำไปสู่กลยุทธ์การเทรดที่ไม่เหมือนกัน

1. Breakaway Gap (ช่องว่างทะลุแนว)

Breakaway Gap คือ Gap ที่เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบกราฟบางอย่าง เช่น รูปแบบการพักตัว (Consolidation Pattern) หรือช่วงการสะสมกำลัง (Accumulation/Distribution Phase) ไม่ว่าจะเป็นการทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ Gap ประเภทนี้มักจะบ่งชี้ถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ที่แข็งแกร่ง และมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงมากผิดปกติ นั่นหมายถึงมีนักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจและเข้าซื้อหรือขายอย่างมีนัยสำคัญ

  • ทำไมจึงสำคัญ: Breakaway Gap มักจะไม่ถูกปิดในระยะเวลาอันสั้น (unfilled gap) และบริเวณช่องว่างที่เกิดขึ้นมักจะกลายเป็น แนวรับ หรือ แนวต้านใหม่ที่แข็งแกร่ง หากราคาพยายามกลับมาทดสอบบริเวณ Gap นี้ มักจะถูกผลักดันกลับไปในทิศทางเดิมของแนวโน้มใหม่ที่เกิดขึ้น
  • เคล็ดลับการสังเกต: มักจะตามมาด้วยแท่งเทียนที่ยาวและแข็งแกร่งในทิศทางเดียวกับการทะลุ
  • ตัวอย่าง:
    • หากราคา Gap Up เหนือโซนแนวต้าน บ่งชี้ว่าตลาดมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ขาขึ้นที่แข็งแกร่ง และ Gap Up นั้นจะกลายเป็นโซนแนวรับใหม่ที่สำคัญ
    • หากราคา Gap Down ต่ำกว่าโซนแนวรับ บ่งชี้ว่าตลาดมีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ขาลง และ Gap Down นั้นจะกลายเป็นโซนแนวต้านใหม่ที่แข็งแกร่ง

2. Runaway Gap (ช่องว่างต่อเนื่อง / ช่องว่างวัดผล)

Runaway Gap หรือ Measuring Gap คือ Gap ที่ปรากฏขึ้นในขณะที่แนวโน้มของราคากำลังดำเนินไปอย่างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง Gap ประเภทนี้บ่งชี้ว่ามีนักลงทุนที่พลาดโอกาสในการเข้าเทรดในช่วงแรก และตัดสินใจเข้าตลาดในช่วงที่แนวโน้มนั้นชัดเจน ทำให้เกิดแรงซื้อหรือแรงขายเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ราคาเกิดการกระโดดซ้ำในทิศทางเดิมของแนวโน้ม

  • ทำไมจึงสำคัญ: Runaway Gap มักจะเป็นสัญญาณยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มปัจจุบัน และมักจะเกิดขึ้นในช่วงกลางของแนวโน้ม นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการประมาณการเป้าหมายราคาได้ โดยการวัดระยะห่างจากจุดเริ่มต้นของแนวโน้มไปจนถึง Runaway Gap แล้วคาดการณ์ว่าราคาอาจเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันอีกครั้งในระยะทางที่ใกล้เคียงกัน
  • เคล็ดลับการสังเกต: มักจะไม่ถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว และมีปริมาณการซื้อขายที่สูง แต่ไม่ถึงกับสูงผิดปกติเท่า Breakaway Gap
  • ตัวอย่าง:
    • หากราคาอยู่ในช่วงขาขึ้นที่แข็งแกร่ง แล้วเกิด Gap Up ขึ้นมาอีกครั้ง บ่งชี้ว่าแรงซื้อยังคงมีอยู่มาก และราคามีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วต่อไป
    • หากราคาอยู่ในช่วงขาลงที่แข็งแกร่ง แล้วเกิด Gap Down ขึ้นมา บ่งชี้ว่าแรงขายยังคงมีอยู่มาก และราคามีแนวโน้มที่จะดิ่งลงอย่างรวดเร็วต่อไป
  • เทคนิคการอ่าน Trend ที่แม่นยำจะช่วยให้แยกแยะ Gap ชนิดนี้ได้ดีขึ้น

3. Exhaustion Gap (ช่องว่างหมดแรง)

Exhaustion Gap คือ Gap ที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายของแนวโน้มที่ยาวนานและแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่าแรงซื้อหรือแรงขายในแนวโน้มปัจจุบันกำลังจะหมดลง และอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวของราคาในไม่ช้า Gap ประเภทนี้มักจะเกิดขึ้นจากความตื่นตระหนกหรือความหวังครั้งสุดท้ายของนักลงทุนที่ไล่ราคาตามแนวโน้มเดิม ทำให้เกิดการกระโดดของราคาครั้งใหญ่ก่อนที่จะมีการกลับตัว

  • ทำไมจึงสำคัญ: Exhaustion Gap เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญที่สุดสำหรับการกลับตัวของราคา หากคุณกำลังถือสถานะในทิศทางเดียวกับแนวโน้มเดิม การเห็น Exhaustion Gap ควรทำให้คุณพิจารณาปิดสถานะและเตรียมตัวสำหรับทิศทางราคาใหม่
  • เคล็ดลับการสังเกต:
    • มักจะเกิดพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงมากผิดปกติ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของปริมาณการซื้อขายในแนวโน้มนั้นๆ
    • หลังจากเกิด Gap นี้ มักจะตามมาด้วยแท่งเทียนที่แสดงถึงความไม่แน่ชัด (เช่น Doji) หรือแท่งเทียนกลับตัว Candlestick Reversal Pattern และราคามักจะพยายามปิด Gap ลงอย่างรวดเร็ว
    • หาก 8 แพทเทิร์น จุดกลับตัว เกิดขึ้นหลังจาก Gap นี้ ยิ่งเป็นการยืนยันสัญญาณ
  • ผลลัพธ์เป็นยังไง: หากเกิด Exhaustion Gap ในขาขึ้น มักตามมาด้วยการร่วงลง และในขาลงมักตามมาด้วยการฟื้นตัว หากเทรดเดอร์ละเลยสัญญาณนี้ อาจทำให้ติดสถานะในทิศทางที่ผิดและขาดทุนอย่างหนัก

กลยุทธ์การเทรด Gap ที่มีประสิทธิภาพ

การเทรด Gap ไม่ใช่แค่การเห็นช่องว่างบนกราฟแล้วเข้าเทรด แต่ต้องอาศัยความเข้าใจในบริบทของตลาดและประเภทของ Gap เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม

1. กลยุทธ์การเทรด Breakaway Gap

Breakaway Gap บ่งชี้ถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการเข้าเทรดตามทิศทางของ Gap

  • วิธีการ:
    1. ยืนยันการทะลุ: รอดูว่าราคาปิดเหนือ (สำหรับ Gap Up) หรือต่ำกว่า (สำหรับ Gap Down) แนวรับ/แนวต้านที่ถูกทะลุออกไปอย่างชัดเจนหรือไม่ และควรสังเกตปริมาณการซื้อขายที่สูงผิดปกติเพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของการทะลุ
    2. จุดเข้า: เข้าซื้อเมื่อราคา Gap Up หรือเข้าขายเมื่อราคา Gap Down หลังจากยืนยันการทะลุแล้ว หรือรอให้ราคากลับมาทดสอบบริเวณขอบของ Gap ซึ่งจะกลายเป็นแนวรับ/แนวต้านใหม่ที่แข็งแกร่ง
    3. การตั้ง Stop Loss:
      • สำหรับ Gap Up: ตั้ง Stop Loss ใต้ขอบล่างของ Gap หรือต่ำกว่าแนวต้านเดิมเล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยงหาก Gap นั้นกลายเป็น False Breakout
      • สำหรับ Gap Down: ตั้ง Stop Loss เหนือขอบบนของ Gap หรือสูงกว่าแนวรับเดิมเล็กน้อย
    4. การตั้ง Take Profit: สามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น การวัดระยะจากรูปแบบกราฟก่อนหน้า, การใช้ Fibonacci Retracement/Extension หรือการหาแนวต้าน/แนวรับถัดไปเพื่อกำหนดเป้าหมายกำไร

2. กลยุทธ์การเทรด Runaway Gap

Runaway Gap ยืนยันความต่อเนื่องของแนวโน้ม ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับการเข้าเพิ่มสถานะหรือคงสถานะเดิมไว้

  • วิธีการ:
    1. ยืนยันแนวโน้ม: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มที่ชัดเจนและแข็งแกร่งอยู่แล้ว โดยใช้ Trend Following Strategy หรืออินดิเคเตอร์ที่บอกแนวโน้ม
    2. จุดเข้า: หากคุณยังไม่มีสถานะในแนวโน้มนั้น Runaway Gap อาจเป็นโอกาสในการเข้าเทรดตามแนวโน้มที่กำลังดำเนินอยู่ หากมีสถานะอยู่แล้ว อาจพิจารณาเพิ่มสถานะ (add to position) แต่ควรระมัดระวังเรื่องการบริหารความเสี่ยง
    3. การตั้ง Stop Loss: ตั้ง Stop Loss ใต้ขอบล่างของ Gap (สำหรับ Gap Up) หรือเหนือขอบบนของ Gap (สำหรับ Gap Down) เพื่อป้องกันความเสี่ยงหาก Gap ไม่สามารถทำหน้าที่เป็น Gap ต่อเนื่องได้
    4. การตั้ง Take Profit: ใช้การวัดระยะจากจุดเริ่มต้นของแนวโน้มไปยัง Runaway Gap เพื่อคาดการณ์เป้าหมายราคาถัดไป หรือใช้แนวต้าน/แนวรับที่สำคัญถัดไป

3. กลยุทธ์การเทรด Exhaustion Gap

Exhaustion Gap เป็นสัญญาณการกลับตัว ดังนั้นกลยุทธ์ควรเป็นการเตรียมตัวเพื่อเข้าเทรดในทิศทางตรงกันข้าม

  • วิธีการ:
    1. ยืนยันสัญญาณกลับตัว: หลังจากเห็น Exhaustion Gap ควรรอสัญญาณยืนยันการกลับตัวจากรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว (เช่น Engulfing, Hammer, Shooting Star) หรืออินดิเคเตอร์ที่บอกสภาวะ Overbought/Oversold (เช่น RSI, Stochastic) ที่มี Volume สูง
    2. จุดเข้า: เข้าเทรดในทิศทางตรงกันข้ามหลังจากได้รับการยืนยันการกลับตัวแล้ว
    3. การตั้ง Stop Loss: ตั้ง Stop Loss เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่เกิด Gap (สำหรับ Gap Up ที่กลับตัวลง) หรือใต้จุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่เกิด Gap (สำหรับ Gap Down ที่กลับตัวขึ้น)
    4. การตั้ง Take Profit: สามารถใช้ระดับ Fibonacci หรือแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญถัดไปในทิศทางใหม่

ข้อควรระวังและความเสี่ยงในการเทรด Gap

แม้ Gap จะเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่เทรดเดอร์ต้องทำความเข้าใจและจัดการอย่างรอบคอบ

  • Slippage (การคลาดเคลื่อนของราคา): เมื่อเกิด Gap โดยเฉพาะ Gap ที่รุนแรง ราคาอาจเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนคำสั่งซื้อขายของคุณไม่สามารถจับคู่ได้ที่ราคาที่คุณต้องการ Slippage คืออะไร คือปรากฏการณ์ที่คำสั่งซื้อขายถูกเติมเต็มที่ราคาที่แตกต่างจากราคาที่ตั้งไว้ ซึ่งอาจทำให้คุณได้ราคาที่แย่กว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะเมื่อตลาดมีความผันผวนสูง
  • False Gaps (Gap ลวง): บางครั้ง Gap ที่ดูเหมือนจะเป็น Breakaway Gap หรือ Runaway Gap อาจถูกปิดลงอย่างรวดเร็วและราคาเคลื่อนที่กลับไปในทิศทางเดิม ทำให้เกิดสัญญาณหลอก (False Signal) การยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขายและรูปแบบแท่งเทียนอื่นๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น
  • Over-reliance (การพึ่งพามากเกินไป): การใช้ Gap เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจเทรดเป็นเรื่องที่ไม่แนะนำ ควรใช้ Gap เป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ทางเทคนิคโดยรวม ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น แนวรับ-แนวต้าน, อินดิเคเตอร์, และรูปแบบกราฟ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของการตัดสินใจ
  • ความผันผวนสูง: ช่วงเวลาที่เกิด Gap มักเป็นช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรวดเร็วและคาดเดาได้ยาก หากเทรดเดอร์ไม่มี การบริหารความเสี่ยง ที่ดีพอ เช่น การตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสม ก็อาจนำไปสู่การขาดทุนจำนวนมากได้
  • สภาพคล่องต่ำ: ดังที่กล่าวไปแล้ว Gap มักเกิดขึ้นในช่วงที่สภาพคล่องของตลาดต่ำ ซึ่งทำให้การเข้าและออกจากสถานะทำได้ยากขึ้น และมีความเสี่ยงต่อ Slippage สูงขึ้น
  • ถ้าเทรด Gap โดยไม่มีความเข้าใจที่ถ่องแท้จะเป็นอย่างไร?: การไม่เข้าใจประเภทของ Gap และนัยยะที่ซ่อนอยู่ อาจทำให้คุณตีความสัญญาณผิดพลาด และเปิดสถานะในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งจะนำไปสู่การขาดทุนอย่างรุนแรง

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Gap ในการเทรด

Q1: Gap Filling คืออะไร และสำคัญอย่างไรในการเทรด?

A1: Gap Filling หรือการปิด Gap คือปรากฏการณ์ที่ราคาเคลื่อนที่กลับไปในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อเติมเต็มช่องว่างราคาที่เคยเกิดขึ้นบนกราฟจนหมด (หรือเกือบหมด) ความสำคัญของ Gap Filling คือ:

  1. แนวรับ/แนวต้าน: บริเวณ Gap มักทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง เมื่อราคาเข้าใกล้ Gap นักลงทุนจำนวนมากมักจะคาดการณ์ว่าราคาจะกลับตัวหรือเกิดการพักตัวบริเวณนั้น
  2. โอกาสในการเทรด: เทรดเดอร์บางคนใช้กลยุทธ์ Gap Filling โดยจะเข้าเทรดในทิศทางตรงกันข้ามกับ Gap โดยคาดหวังว่าราคาจะกลับมาปิดช่องว่างนั้น
  3. สัญญาณยืนยัน: การที่ Gap ไม่ถูกปิดลงเลย โดยเฉพาะ Breakaway Gap หรือ Runaway Gap อาจเป็นสัญญาณยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มที่กำลังดำเนินอยู่

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุก Gap ที่จะถูกปิด และเวลาที่ใช้ในการปิด Gap ก็แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของ Gap และปัจจัยอื่นๆ ในตลาด

Q2: Gap มีผลต่อการเทรดระยะสั้น (Scalping) หรือระยะยาวอย่างไร?

A2: Gap มีผลกระทบที่แตกต่างกันไปตามกรอบเวลาการเทรด:

  • การเทรดระยะสั้น (Scalping): Scalping Trading เป็นการเทรดที่อาศัยการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย Gap มักจะสร้างความผันผวนอย่างรุนแรงในระยะสั้น ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งโอกาสและภัยคุกคามสำหรับ Scalper Gap ขนาดใหญ่อาจทำให้เกิด Slippage และ Stop Loss ที่กว้างขึ้น อย่างไรก็ตาม บาง Scalper อาจใช้กลยุทธ์การเทรด Gap Filling ในระยะสั้นเพื่อทำกำไรจากการที่ราคาพยายามกลับมาปิด Gap
  • การเทรดระยะยาว (Swing/Position Trading): สำหรับเทรดเดอร์ระยะยาว Gap มักถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่สำคัญยิ่งกว่า โดยเฉพาะ Breakaway Gap และ Exhaustion Gap ที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหรือการยืนยันแนวโน้ม การเข้าใจประเภทของ Gap ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจเข้าหรือออกสถานะขนาดใหญ่ได้อย่างมีข้อมูล และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาพรวมของตลาดในระยะยาว

Q3: เราควรตั้ง Stop Loss บริเวณ Gap อย่างไร?

A3: การตั้ง Stop Loss บริเวณ Gap เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อจำกัดความเสี่ยง:

  • สำหรับ Breakaway Gap: หากคุณเข้าเทรดตามทิศทางของ Gap (เช่น ซื้อหลังจาก Gap Up) ควรตั้ง Stop Loss ใต้ขอบล่างของ Gap นั้น หรือต่ำกว่าแนวต้านเดิมที่ถูกทะลุไปเล็กน้อย หากราคาปิดกลับลงมาใน Gap นั่นอาจเป็นสัญญาณของ Gap ลวง
  • สำหรับ Runaway Gap: คล้ายกับ Breakaway Gap ควรตั้ง Stop Loss ใต้ขอบล่างของ Gap (สำหรับ Gap Up) หรือเหนือขอบบนของ Gap (สำหรับ Gap Down) เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากแนวโน้มไม่ได้ต่อเนื่องอย่างที่คาดไว้
  • สำหรับ Exhaustion Gap: หากคุณกำลังเทรดสวนทางกับแนวโน้มเดิม (เช่น ขายหลังจาก Gap Up ที่หมดแรง) ควรตั้ง Stop Loss เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่เกิด Gap นั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากราคาไม่กลับตัว

หลักการคือการตั้ง Stop Loss ในจุดที่หากราคาเคลื่อนที่ไปถึง จะบ่งชี้ว่าการวิเคราะห์ Gap ของคุณผิดพลาด เพื่อตัดขาดทุนและออกจากตลาดก่อนที่ความเสียหายจะรุนแรงขึ้น

Q4: มีอินดิเคเตอร์ใดบ้างที่ช่วยวิเคราะห์ Gap ได้ดี?

A4: แม้ว่า Gap จะเป็นรูปแบบราคาที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าบนกราฟ แต่การใช้อินดิเคเตอร์ร่วมด้วยจะช่วยยืนยันสัญญาณและเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์:

  • Volume (ปริมาณการซื้อขาย): เป็นอินดิเคเตอร์ที่สำคัญที่สุดในการวิเคราะห์ Gap Breakaway Gap และ Exhaustion Gap มักจะเกิดขึ้นพร้อมกับ Volume ที่สูงผิดปกติ ซึ่งยืนยันความแข็งแกร่งของสัญญาณ
  • Moving Averages (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่): ใช้เพื่อยืนยันแนวโน้มและดูว่า Gap เกิดขึ้นสัมพันธ์กับเส้นค่าเฉลี่ยอย่างไร หาก Gap ทะลุเส้นค่าเฉลี่ยสำคัญ (เช่น MA200) อาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มครั้งใหญ่
  • RSI (Relative Strength Index) หรือ Stochastic Oscillator: ใช้เพื่อระบุสภาวะ Overbought (ซื้อมากเกินไป) หรือ Oversold (ขายมากเกินไป) หากเกิด Exhaustion Gap พร้อมกับสัญญาณ Overbought/Oversold ในอินดิเคเตอร์เหล่านี้ จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณกลับตัว
  • Bollinger Bands: Gap ที่เกิดขึ้นอาจทะลุออกจาก Bollinger Bands ซึ่งเป็นสัญญาณของความผันผวนที่รุนแรง และอาจบ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวราคาที่แข็งแกร่งหรือการกลับตัว

การผสมผสานการวิเคราะห์ Gap กับอินดิเคเตอร์เหล่านี้จะช่วยให้คุณมีมุมมองที่ครอบคลุมและตัดสินใจได้ดีขึ้น

Q5: Gap ในตลาด Forex แตกต่างจากตลาดหุ้นอย่างไร?

A5: Gap ในตลาด Forex และตลาดหุ้นมีความคล้ายคลึงกันในด้านความหมาย แต่มีความแตกต่างที่สำคัญบางประการ:

  • ความถี่และขนาด:
    • ตลาดหุ้น: Gap เกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีขนาดใหญ่กว่า โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทประกาศผลประกอบการ, มีข่าวควบรวมกิจการ, หรือเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ เนื่องจากตลาดหุ้นมีช่วงเวลาปิดทำการที่ชัดเจนในแต่ละวัน
    • ตลาด Forex: Gap เกิดขึ้นไม่บ่อยเท่าตลาดหุ้น และมักมีขนาดเล็กกว่า เนื่องจากตลาด Forex เปิดทำการเกือบตลอด 24 ชั่วโมง (วันจันทร์เช้าถึงวันศุกร์เย็น) Gap ใน Forex ส่วนใหญ่จึงมักเกิดขึ้นในช่วงเปิดตลาดวันจันทร์ (Monday Gap) หลังจากปิดทำการช่วงสุดสัปดาห์ หรือในช่วงที่เกิดข่าวสำคัญที่ตลาดไม่มีสภาพคล่องเพียงพอในช่วงกลางสัปดาห์
  • สาเหตุ:
    • ตลาดหุ้น: นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคแล้ว ข่าวสารเฉพาะบริษัท เช่น ผลประกอบการ, การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร, ข่าวผลิตภัณฑ์ใหม่ มีผลอย่างมากต่อการเกิด Gap
    • ตลาด Forex: ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิด Gap คือข่าวเศรษฐกิจมหภาคระดับโลก (เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ย, รายงาน GDP, การจ้างงาน), เหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ, และความผันผวนของสภาพคล่องในช่วงวันหยุดยาว

แม้จะมีความแตกต่าง แต่หลักการวิเคราะห์และกลยุทธ์การเทรด Gap ยังคงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งสองตลาด โดยต้องปรับให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของแต่ละตลาด

สรุป: การเข้าใจ Gap กุญแจสู่การเทรดอย่างชาญฉลาด

Gap ไม่ใช่เพียงแค่ช่องว่างบนกราฟราคา แต่เป็นหนึ่งในสัญญาณที่ทรงพลังที่สุดในการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สามารถบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ตลาด, ความรุนแรงของข่าวสาร, การเริ่มต้นแนวโน้มใหม่, การต่อเนื่องของแนวโน้ม, หรือแม้กระทั่งการสิ้นสุดของแนวโน้ม การทำความเข้าใจประเภทของ Gap ทั้ง Breakaway Gap, Runaway Gap และ Exhaustion Gap รวมถึงสาเหตุที่ทำให้เกิด Gap เหล่านี้ จะช่วยให้คุณสามารถอ่านภาษาราคาได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจเข้าและออกจากสถานะได้อย่างแม่นยำ

อย่างไรก็ตาม การเทรด Gap ไม่ได้ปราศจากความเสี่ยง เทรดเดอร์จำเป็นต้องมีวินัยในการบริหารความเสี่ยง, ตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสม, และไม่พึ่งพา Gap เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจ แต่ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

เพื่อพัฒนาทักษะการเทรด Gap ของคุณ ขอแนะนำให้ศึกษาเพิ่มเติมและฝึกฝนการวิเคราะห์บน บัญชี Demo เพื่อทำความคุ้นเคยกับพฤติกรรมของ Gap ในตลาดจริงก่อนที่จะนำไปใช้กับการลงทุนด้วยเงินจริง และหากคุณกำลังมองหาเครื่องมือช่วยในการเทรดที่มีประสิทธิภาพ หรือต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ลองพิจารณาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ ระบบเทรดอัตโนมัติ หรือเข้าร่วมชุมชนนักลงทุนที่มีประสบการณ์ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และยกระดับการเทรดของคุณให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น.

You Might Also Like