TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

FTR ใน forex หมายถึงอะไร?

กันยายน 15, 2022

FTR ใน Forex คืออะไร? เจาะลึกกลยุทธ์ Failure to Return พร้อมตัวอย่างและการใช้งานจริง

ในโลกของการเทรด Forex ที่เต็มไปด้วยพลวัตและความผันผวน การทำความเข้าใจพฤติกรรมราคาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความสำเร็จ หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่เทรดเดอร์มืออาชีพให้ความสนใจคือ FTR (Failure to Return) หรือ “ความล้มเหลวในการกลับคืน” ซึ่งเป็นรูปแบบ Price Action ที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงอำนาจตลาดอย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะเจาะลึกว่า FTR คืออะไร มีกลไกการทำงานอย่างไร รวมถึงวิธีการนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้คุณสามารถระบุโซนการเทรดที่แข็งแกร่งและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาด Forex ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

FTR คืออะไรในตลาด Forex? (Failure to Return Explained)

FTR (Failure to Return) หมายถึงสภาวะที่ราคาของคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ในตลาด Forex ทะลุผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ แต่กลับไม่สามารถ “กลับไป” หรือ “รีเทสต์” ระดับนั้นได้อย่างลึกซึ้งตามปกติ ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแรงผลักดันที่แข็งแกร่งในทิศทางของการทะลุนั้นๆ

กลไกการทำงานของ FTR

โดยปกติแล้ว เมื่อราคาทะลุผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง (Breakout) มักจะมีการเคลื่อนไหวแบบ “ดึงกลับ” (Retracement) เพื่อกลับมาทดสอบระดับที่เพิ่งถูกทะลุนั้นอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าระดับนั้นได้เปลี่ยนบทบาทจากแนวรับเป็นแนวต้าน หรือจากแนวต้านเป็นแนวรับเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ในกรณีของการเกิด FTR พฤติกรรมนี้จะแตกต่างออกไป:

  • แทนที่จะมีการดึงกลับที่ลึกและชัดเจน ราคากลับมีการดึงกลับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
  • ราคาอาจจะรวมตัวเป็นช่วงแคบๆ หรือที่เรียกว่า “Base” (ฐาน) เหนือหรือใต้ระดับที่ทะลุไป
  • หลังจากนั้น ราคาจะพุ่งทะยานต่อไปในทิศทางของการทะลุนั้นอย่างรุนแรง

จิตวิทยาเบื้องหลัง FTR

ปรากฏการณ์ FTR สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงสมดุลของอุปสงค์และอุปทานในตลาดอย่างรุนแรง:

  • กรณี FTR ขาขึ้น (Bullish FTR): เมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปและเกิด FTR แสดงว่ามีแรงซื้อที่มหาศาลเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ผู้ซื้อรายใหญ่หรือสถาบันต่าง ๆ เข้ามาเก็บคำสั่งซื้อจำนวนมาก ทำให้ราคาไม่สามารถย้อนกลับลงไปทดสอบแนวต้านเก่าได้อย่างมีนัยสำคัญ ระดับแนวต้านที่เคยเป็นกำแพงขวางทาง กลับกลายเป็นแนวรับใหม่ที่แข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว
  • กรณี FTR ขาลง (Bearish FTR): ตรงกันข้าม เมื่อราคาทะลุแนวรับลงมาและเกิด FTR บ่งชี้ว่ามีแรงขายที่แข็งแกร่งเข้าควบคุมตลาด ผู้ขายรายใหญ่ทิ้งคำสั่งขายจำนวนมาก ทำให้ราคาไม่สามารถดีดกลับขึ้นไปทดสอบแนวรับเก่าได้อย่างลึกซึ้ง ระดับแนวรับที่เคยพยุงราคาไว้ กลับกลายเป็นแนวต้านใหม่ที่ยากจะฝ่าขึ้นไปได้

ด้วยเหตุนี้ FTR จึงเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึง “โซนอุปสงค์ (Demand Zone)” หรือ “โซนอุปทาน (Supply Zone)” ที่มีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ ซึ่งมีศักยภาพในการเป็นจุดกลับตัวของราคา หรือจุดเข้าออเดอร์ที่ดีเยี่ยมในอนาคต

ภาพแสดง FTR ใน Forex

Bullish FTR (FTR ขาขึ้น)

Bullish FTR เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุ แนวต้าน (Resistance) ที่สำคัญขึ้นไป และมีการพักตัวเล็กน้อย (Shallow Retracement/Consolidation) เหนือระดับแนวต้านนั้น ก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปต่ออย่างรุนแรง (Strong Bullish Move) รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงการเข้าครอบงำตลาดของแรงซื้ออย่างเบ็ดเสร็จ

ลักษณะสำคัญของ Bullish FTR

  • การทะลุแนวต้าน: ราคาต้องทะลุผ่านระดับแนวต้านที่แข็งแกร่งอย่างชัดเจน
  • การพักตัวตื้นๆ: หลังการทะลุ ราคาจะมีการย่อตัวหรือพักตัวในกรอบแคบๆ เหนือแนวต้านที่ถูกทะลุ ซึ่งตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะเป็นแนวรับใหม่
  • การเคลื่อนที่ต่อเนื่อง: หลังจากพักตัวไม่นาน ราคาจะกลับมาพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องในทิศทางขาขึ้น
  • รูปแบบ Drop Base Rally: ภายในช่วงการพักตัวเล็กน้อยนั้น มักจะมีการก่อตัวของรูปแบบ Drop Base Rally (DBR) ซึ่งเป็นรูปแบบ Demand Zone ที่แข็งแกร่ง

ทำไมถึงเป็นสัญญาณที่ดี? Bullish FTR แสดงให้เห็นว่าแรงซื้อมีอิทธิพลเหนือตลาดอย่างมากจนสามารถดูดซับแรงขายที่พยายามดันราคาลงมาได้หมด โซนที่เกิด Bullish FTR จึงกลายเป็น Demand Zone ที่มีพลังสูง ซึ่งเทรดเดอร์สามารถรอเข้าซื้อเมื่อราคากลับมาทดสอบโซนนี้อีกครั้ง (First Time Back – FTB)

ภาพแสดง Bullish FTR

Bearish FTR (FTR ขาลง)

Bearish FTR เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุ แนวรับ (Support) ที่สำคัญลงไป และมีการพักตัวเล็กน้อย (Shallow Retracement/Consolidation) ใต้ระดับแนวรับนั้น ก่อนที่จะร่วงลงไปต่ออย่างรุนแรง (Strong Bearish Move) รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงการเข้าครอบงำตลาดของแรงขายอย่างเบ็ดเสร็จ

ลักษณะสำคัญของ Bearish FTR

  • การทะลุแนวรับ: ราคาต้องทะลุผ่านระดับแนวรับที่แข็งแกร่งอย่างชัดเจน
  • การพักตัวตื้นๆ: หลังการทะลุ ราคาจะมีการดีดกลับหรือพักตัวในกรอบแคบๆ ใต้แนวรับที่ถูกทะลุ ซึ่งตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะเป็นแนวต้านใหม่
  • การเคลื่อนที่ต่อเนื่อง: หลังจากพักตัวไม่นาน ราคาจะกลับมาร่วงลงอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องในทิศทางขาลง
  • รูปแบบ Rally Base Drop: ภายในช่วงการพักตัวเล็กน้อยนั้น มักจะมีการก่อตัวของรูปแบบ Rally Base Drop (RBD) ซึ่งเป็นรูปแบบ Supply Zone ที่แข็งแกร่ง

ทำไมถึงเป็นสัญญาณที่ดี? Bearish FTR แสดงให้เห็นว่าแรงขายมีอิทธิพลเหนือตลาดอย่างมากจนสามารถกดดันราคาให้ทะลุแนวรับลงมาได้ และยังคงรักษาระดับการขายไว้ได้ โซนที่เกิด Bearish FTR จึงกลายเป็น Supply Zone ที่มีพลังสูง ซึ่งเทรดเดอร์สามารถรอเข้าขายเมื่อราคากลับมาทดสอบโซนนี้อีกครั้ง (First Time Back – FTB)

ภาพแสดง Bearish FTR

การระบุและวาด FTR Zone ใน Forex

การระบุและวาด FTR Zone อย่างแม่นยำเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้ เนื่องจากจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถ pinpoint จุดเข้าออเดอร์ที่มีความแม่นยำสูงได้ FTR Zone เป็นการรวมตัวของโซนอุปสงค์หรืออุปทานที่เกิดจากการพักตัวของราคาหลังจากการทะลุที่รุนแรง

ขั้นตอนในการระบุและวาด FTR Zone:

  1. ระบุการทะลุแนวรับ/แนวต้านที่ชัดเจน: ขั้นแรกคือการมองหาการ Breakout ที่มีนัยสำคัญของราคาออกจากระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแรงซื้อหรือแรงขาย
  2. ค้นหาช่วง “Base” (ฐาน) หรือการพักตัว: หลังจากเกิด Breakout ให้สังเกตช่วงที่ราคามีการพักตัวหรือรวมตัวกันในกรอบแคบๆ ซึ่งเกิดขึ้นเหนือแนวต้านที่ถูกทะลุ (สำหรับ Bullish FTR) หรือใต้แนวรับที่ถูกทะลุ (สำหรับ Bearish FTR) ช่วงนี้มักประกอบด้วยแท่งเทียนขนาดเล็กที่บ่งบอกถึงความลังเล
  3. ระบุรูปแบบ Demand/Supply ภายใน Base: ภายในช่วง Base นี้ จะมีการก่อตัวของรูปแบบ Demand หรือ Supply ที่สำคัญ ได้แก่:
  4. วาด FTR Zone: ใช้เครื่องมือวาดรูปสี่เหลี่ยมบนแพลตฟอร์มการเทรดของคุณ (เช่น MT4/MT5) เพื่อครอบคลุมแท่งเทียนทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นช่วง “Base” ของรูปแบบ Demand/Supply ที่คุณระบุได้ นี่คือ FTR Zone ของคุณ
  5. ตรวจสอบความสดใหม่ (Freshness): FTR Zone ที่ดีที่สุดคือโซนที่ยัง “สดใหม่” นั่นคือ ยังไม่เคยถูกราคากลับมาทดสอบอย่างจริงจังหลังจากที่มันก่อตัวขึ้น ยิ่งโซนนั้นยังไม่เคยถูกแตะต้องมาก่อนเท่าไหร่ ความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพเมื่อราคากลับมาทดสอบก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

การฝึกฝนการวาด FTR Zone บนกราฟจริงจะช่วยให้คุณสามารถระบุโซนที่มีคุณภาพได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการนำกลยุทธ์ FTR ไปใช้ในการเทรด

ภาพแสดงการวาด FTR Zone

FTB (First Time Back) ใน Forex คืออะไร?

หลังจากที่ FTR Zone ได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญในการเทรดคือการรอให้ราคาเคลื่อนที่กลับมายังโซนนั้น ซึ่งเราเรียกว่า FTB (First Time Back) หรือ “การกลับมาครั้งแรก”

ความหมายและหลักการของ FTB

FTB คือเหตุการณ์ที่ราคาเคลื่อนที่กลับมาทดสอบ FTR Zone ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้น *เป็นครั้งแรก* หลังจากที่ราคาทะลุและเคลื่อนที่ออกไปอย่างรุนแรง

  • โซนที่ยังไม่ถูกแตะต้อง (Untouched Zone): FTR Zone ที่ดีที่สุดและมีศักยภาพสูงสุดสำหรับการเทรดคือโซนที่ยังไม่เคยถูกราคากลับมาทดสอบมาก่อน (Fresh FTR Zone)
  • การเติมเต็มคำสั่ง (Order Fulfillment): เมื่อ FTR Zone ก่อตัวขึ้น มันมักจะทิ้งคำสั่งซื้อหรือขายจำนวนมหาศาลของผู้เล่นรายใหญ่ (เช่น สถาบันการเงิน) ที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มเอาไว้ในโซนนั้น เมื่อราคากลับมายังโซนนี้เป็นครั้งแรก คำสั่งเหล่านี้จะถูกเติมเต็ม ทำให้เกิดปฏิกิริยาของราคาอย่างรุนแรงในทิศทางที่สอดคล้องกับการก่อตัวของ FTR
  • จุดเข้าออเดอร์ที่มีความน่าจะเป็นสูง: FTB จึงเป็นจุดที่เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์ FTR ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการเข้าสู่ตลาดในทิศทางของแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ด้วยความเสี่ยงที่จำกัดและผลตอบแทนที่สูง

การรอคอย FTB อย่างอดทนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หาก FTR Zone ถูกทดสอบหลายครั้งแล้ว (retest) ความแข็งแกร่งของโซนนั้นก็จะลดลง เนื่องจากคำสั่งที่ค้างอยู่ได้ถูกเติมเต็มไปแล้วบางส่วน ทำให้โอกาสที่ราคาจะเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงในครั้งถัดไปมีน้อยลง

โดยสรุป FTB คือการกลับมา retest ครั้งแรกของ FTR Zone ซึ่งเป็นจังหวะทองในการเข้าเทรดสำหรับเทรดเดอร์ที่เข้าใจแนวคิดนี้

ภาพแสดง FTB (First Time Back)

ทำความเข้าใจรูปแบบ Supply and Demand ที่สำคัญ

FTR Zone นั้นเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด Supply and Demand Zones ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการวิเคราะห์ Price Action รูปแบบเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนที่ของราคาอย่างไร และโซนใดที่นักลงทุนรายใหญ่มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ตลาด การทำความเข้าใจรูปแบบเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถระบุ FTR Zone ที่แข็งแกร่งได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

Rally Base Rally (RBR)

Rally Base Rally (RBR) เป็นรูปแบบราคาต่อเนื่องขาขึ้น (Bullish Continuation Pattern) ที่บ่งบอกถึงการสะสมแรงซื้อก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้นต่อไป

  • โครงสร้าง: ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่
    1. Rally (ขาขึ้น): การเคลื่อนที่ของราคาขึ้นอย่างรุนแรง
    2. Base (ฐาน): ช่วงที่ราคาพักตัวหรือเคลื่อนที่ไซด์เวย์ในกรอบแคบๆ ซึ่งบ่งบอกถึงการสะสมคำสั่งซื้อ
    3. Rally (ขาขึ้น): การเคลื่อนที่ของราคาขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง หลังจากช่วง Base
  • จิตวิทยาตลาด: แสดงถึงช่วงที่ผู้ซื้อยังคงมีอำนาจเหนือตลาด แต่มีการพักตัวเพื่อรวบรวมคำสั่งซื้อก่อนที่จะผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปอีก
  • ความสำคัญ: ช่วง “Base” ในรูปแบบ RBR ทำหน้าที่เป็น Demand Zone ที่แข็งแกร่ง ซึ่งหากราคากลับลงมาทดสอบอีกครั้ง มีโอกาสสูงที่จะมีแรงซื้อเข้ามาหนุนให้ราคาดีดตัวกลับขึ้นไป

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Rally Base Rally.

ภาพแสดง Rally Base Rally

Drop Base Drop (DBD)

Drop Base Drop (DBD) เป็นรูปแบบราคาต่อเนื่องขาลง (Bearish Continuation Pattern) ที่บ่งบอกถึงการสะสมแรงขายก่อนที่ราคาจะร่วงลงต่อไป

  • โครงสร้าง: ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่
    1. Drop (ขาลง): การเคลื่อนที่ของราคาลงอย่างรุนแรง
    2. Base (ฐาน): ช่วงที่ราคาพักตัวหรือเคลื่อนที่ไซด์เวย์ในกรอบแคบๆ ซึ่งบ่งบอกถึงการสะสมคำสั่งขาย
    3. Drop (ขาลง): การเคลื่อนที่ของราคาลงอย่างรุนแรงอีกครั้ง หลังจากช่วง Base
  • จิตวิทยาตลาด: แสดงถึงช่วงที่ผู้ขายยังคงมีอำนาจเหนือตลาด แต่มีการพักตัวเพื่อรวบรวมคำสั่งขายก่อนที่จะผลักดันราคาให้ต่ำลงไปอีก
  • ความสำคัญ: ช่วง “Base” ในรูปแบบ DBD ทำหน้าที่เป็น Supply Zone ที่แข็งแกร่ง ซึ่งหากราคากลับขึ้นมาทดสอบอีกครั้ง มีโอกาสสูงที่จะมีแรงขายเข้ามาหนุนให้ราคาถูกกดลงไป

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Drop Base Drop.

ภาพแสดง Drop Base Drop

Rally Base Drop (RBD)

Rally Base Drop (RBD) เป็นรูปแบบการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง (Bearish Reversal Pattern) ที่บ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้นและการเข้าครอบงำของแรงขาย

  • โครงสร้าง: ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่
    1. Rally (ขาขึ้น): การเคลื่อนที่ของราคาขึ้นอย่างรุนแรง
    2. Base (ฐาน): ช่วงที่ราคาพักตัวหรือเคลื่อนที่ไซด์เวย์ บ่งบอกถึงความลังเลและการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขาย
    3. Drop (ขาลง): การเคลื่อนที่ของราคาลงอย่างรุนแรง หลังจากช่วง Base
  • จิตวิทยาตลาด: แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของอำนาจตลาด จากผู้ซื้อเป็นผู้ขาย ช่วง Base คือจุดที่แรงขายเริ่มเข้ามาสะสมตัวและในที่สุดก็เอาชนะแรงซื้อได้
  • ความสำคัญ: ช่วง “Base” ในรูปแบบ RBD ทำหน้าที่เป็น Supply Zone ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมักจะเป็นส่วนหนึ่งของการก่อตัวของ Bearish FTR เป็นจุดที่เทรดเดอร์สามารถพิจารณาเข้าเปิดสถานะขายได้

ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Rally Base Drop.

Drop Base Rally (DBR)

Drop Base Rally (DBR) เป็นรูปแบบการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal Pattern) ที่บ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาลงและการเข้าครอบงำของแรงซื้อ

  • โครงสร้าง: ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่
    1. Drop (ขาลง): การเคลื่อนที่ของราคาลงอย่างรุนแรง
    2. Base (ฐาน): ช่วงที่ราคาพักตัวหรือเคลื่อนที่ไซด์เวย์ บ่งบอกถึงความลังเลและการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขาย
    3. Rally (ขาขึ้น): การเคลื่อนที่ของราคาขึ้นอย่างรุนแรง หลังจากช่วง Base
  • จิตวิทยาตลาด: แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของอำนาจตลาด จากผู้ขายเป็นผู้ซื้อ ช่วง Base คือจุดที่แรงซื้อเริ่มเข้ามาสะสมตัวและในที่สุดก็เอาชนะแรงขายได้
  • ความสำคัญ: ช่วง “Base” ในรูปแบบ DBR ทำหน้าที่เป็น Demand Zone ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมักจะเป็นส่วนหนึ่งของการก่อตัวของ Bullish FTR เป็นจุดที่เทรดเดอร์สามารถพิจารณาเข้าเปิดสถานะซื้อได้

จำสูตรง่ายๆ: Big bearish candle + base candle + big bullish candle

และสิ่งที่สำคัญสำหรับมือใหม่คือ การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา (Multi-timeframe Analysis) ในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า แท่งเทียนขนาดใหญ่หนึ่งแท่งอาจแปลงเป็นแท่งเทียนจำนวนหนึ่งที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวแบบ Impulsive ในขณะที่แท่งเทียน Base จะแปลงเป็นโครงสร้างที่หลากหลายขึ้น

ภาพแสดง Drop Base Rally

กลยุทธ์การเทรด FTR ใน Forex (FTR Trading Strategy)

การนำแนวคิด FTR มาใช้ในการเทรดต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ชัดเจนและมีวินัย เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ นี่คือกฎและขั้นตอนในการสร้างกลยุทธ์ FTR ที่แข็งแกร่ง:

กฎและขั้นตอนในการใช้กลยุทธ์ FTR

  1. การระบุ Breakout ที่มีนัยสำคัญ:
    • เริ่มต้นด้วยการค้นหาการทะลุผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่งและชัดเจน ซึ่งมักจะมาพร้อมกับแท่งเทียนขนาดใหญ่และมี Volume การซื้อขายที่สูง (หากสามารถดูได้)
    • การ Breakout ที่แท้จริงคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดที่มีนัยสำคัญ
  2. การก่อตัวของ FTR Zone (Base):
    • หลังจาก Breakout สังเกตการพักตัวเล็กน้อยของราคา ซึ่งเป็นช่วงที่เกิด “Base” ของรูปแบบ Demand/Supply (DBR สำหรับ Bullish FTR หรือ RBD สำหรับ Bearish FTR)
    • โซนนี้คือพื้นที่ที่ราคาไม่สามารถกลับไปทดสอบระดับ Breakout ได้ลึก ซึ่งเป็นสัญญาณของ FTR
  3. ความสดใหม่ของ Zone (Freshness):
    • FTR Zone ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือโซนที่ยังไม่เคยถูกราคากลับมาทดสอบอย่างจริงจังหลังจากที่มันก่อตัวขึ้น
    • หากโซนนั้นถูกทดสอบหลายครั้งแล้ว ความน่าเชื่อถือจะลดลงอย่างมาก เนื่องจากคำสั่งที่ค้างอยู่ได้ถูกเติมเต็มไปแล้ว
  4. การใช้ Fibonacci เพื่อยืนยัน (เครื่องมือเสริม):
    • ใช้เครื่องมือ Fibonacci Retracement เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของโซน FTR
    • หาก FTR Zone สอดคล้องกับระดับ Fibonacci สำคัญ เช่น 50% หรือ 61.8% หลังจาก Impulsive Move ก่อนหน้า จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับโซนนั้น
  5. การยืนยันด้วย Swing High/Low ก่อนหน้า:
    • สำหรับ Bullish FTR: หาก FTR Zone เกิดขึ้นบริเวณแนวต้านเดิมที่เป็น Swing High ที่ถูกทะลุขึ้นไป แสดงว่าโซนนั้นมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
    • สำหรับ Bearish FTR: หาก FTR Zone เกิดขึ้นบริเวณแนวรับเดิมที่เป็น Swing Low ที่ถูกทะลุลงมา แสดงว่าโซนนั้นมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

การวางแผนการเทรด (Trade Management)

  • จุดเข้า (Entry Point):
    • รอให้ราคาเคลื่อนที่กลับมายัง FTR Zone ที่ยังสดใหม่เป็นครั้งแรก (FTB)
    • เข้าซื้อ (Long) เมื่อราคาแตะ FTR Demand Zone สำหรับ Bullish FTR และแสดงสัญญาณการกลับตัว (เช่น แท่งเทียน Pin Bar, Engulfing Pattern)
    • เข้าขาย (Short) เมื่อราคาแตะ FTR Supply Zone สำหรับ Bearish FTR และแสดงสัญญาณการกลับตัว
  • จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss):
    • สำหรับ Buy Trade (Bullish FTR): วาง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าขอบล่างของ FTR Zone เล็กน้อย เพื่อป้องกันการ False Breakout และจำกัดความเสี่ยง
    • สำหรับ Sell Trade (Bearish FTR): วาง Stop Loss ไว้สูงกว่าขอบบนของ FTR Zone เล็กน้อย เพื่อป้องกันการ False Breakout
    • การคำนวณ Stop Loss ควรคำนึงถึง ATR (Average True Range) เพื่อให้เหมาะสมกับความผันผวนของคู่สกุลเงินนั้นๆ
  • จุดทำกำไร (Take Profit):
    • กำหนด Take Profit โดยใช้ระดับแนวรับ/แนวต้านถัดไปที่สำคัญ
    • ใช้สัดส่วน Risk-Reward ที่เหมาะสม (เช่น 1:2 หรือ 1:3 ขึ้นไป)
    • อาจใช้เครื่องมือ Fibonacci Extension เพื่อหาเป้าหมายราคาในระยะถัดไป

เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา (Multi-Timeframe Analysis): ใช้ FTR Zone ที่ระบุในกรอบเวลาที่สูงขึ้น (เช่น H4, Daily) ในการหาทิศทางแนวโน้มหลัก และใช้กรอบเวลาที่ต่ำลง (เช่น M15, M30) เพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำ
  • จิตวิทยาการเทรด (Trading Psychology): วินัยและความอดทนในการรอให้ราคามาถึง FTR Zone ที่ยังสดใหม่เป็นสิ่งสำคัญมาก อย่ารีบร้อนเข้าเทรดก่อนที่จะเกิด FTB ที่ชัดเจน
  • การบริหารความเสี่ยง (Risk Management): ทุกการเทรดควรมีการกำหนดขนาด Lot Size และ Stop Loss ที่เหมาะสม เพื่อปกป้องเงินทุนของคุณ

ภาพแสดงกลยุทธ์ FTR ใน Forex

_______________________________________

สำหรับพี่ๆที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA เปิดบัญชีคลิกที่ลิงค์
ส่งเลข MT4 รับลิงค์ได้เลย
________________________________________________
✅ ??สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
XM มีโบนัสสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่ $30 และมีโบนัสเงินฝาก
Exness สมัครง่ายฝากถอนเร็ว
GMI เทรดดีไม่มีสะดุด ฟรี Free Swap ทุกบัญชี
https://bit.ly/GMI-TH
________________________________________________
✅ ♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่?https://bit.ly/MTRatsamee
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–
ติดตามเราได้ที่
?LINE: @ft.th ( https://lin.ee/u0dwlLM )
?Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ FTR ใน Forex

1. FTR ต่างจาก Supply/Demand Zone ทั่วไปอย่างไร?

FTR เป็นรูปแบบเฉพาะของ Supply/Demand Zone ที่เกิดขึ้นหลังจาก “Breakout” ของแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ และมีการ “Failure to Return” กลับไปทดสอบระดับนั้นอย่างลึกซึ้ง FTR Zone มักจะแสดงถึงโซนที่มีแรงซื้อหรือแรงขายสะสมอยู่เป็นจำนวนมากและยังไม่ถูกเติมเต็ม ทำให้เป็นโซนที่มีพลังและมีความน่าเชื่อถือสูงกว่า Supply/Demand Zone ทั่วไปที่ไม่ได้เกิดจากการ Breakout และ Failure to Return

2. FTR ใช้ได้กับทุก Timeframe หรือไม่?

ใช่ FTR สามารถพบได้ในทุก Timeframe ตั้งแต่ Timeframe ต่ำ (เช่น M5, M15) ไปจนถึง Timeframe สูง (เช่น H4, Daily, Weekly) อย่างไรก็ตาม FTR Zone ที่เกิดขึ้นใน Timeframe ที่สูงกว่า มักจะมีนัยสำคัญและความแข็งแกร่งมากกว่า และให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือมากกว่า การใช้ Multi-timeframe Analysis โดยระบุ FTR ใน Timeframe สูง และหาจุดเข้าใน Timeframe ต่ำ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเทรดได้เป็นอย่างดี

3. สัญญาณ FTR ที่แข็งแกร่งควรมีลักษณะอย่างไร?

สัญญาณ FTR ที่แข็งแกร่งควรมีลักษณะดังนี้:

  • การ Breakout ที่ชัดเจน: มีแท่งเทียน Breakout ขนาดใหญ่ ปิดทะลุแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญอย่างเด็ดขาด
  • Base ที่กระชับ: ช่วง Base หรือการพักตัวหลัง Breakout ควรเป็นแท่งเทียนขนาดเล็ก และมีกรอบราคาแคบๆ แสดงถึงการรวบรวมคำสั่งอย่างรวดเร็ว
  • Impulsive Move ที่รุนแรง: หลังจากการก่อตัวของ Base ราคาควรพุ่งออกไปอย่างรุนแรง แสดงถึงแรงผลักดันที่แท้จริง
  • Freshness (ความสดใหม่): FTR Zone นั้นยังไม่เคยถูกราคากลับมาทดสอบมาก่อนหลังจากก่อตัวขึ้น
  • สอดคล้องกับปัจจัยอื่น: หาก FTR Zone สอดคล้องกับระดับ Fibonacci สำคัญ หรือ Price Action อื่นๆ จะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่ง

4. ความเสี่ยงหลักของการเทรดด้วย FTR คืออะไร และจะจัดการอย่างไร?

ความเสี่ยงหลักของการเทรดด้วย FTR คือ “False Breakout” หรือการ Breakout หลอก ซึ่งราคาอาจกลับเข้าไปในโซนที่คิดว่าเป็น FTR Zone ได้ การจัดการความเสี่ยงทำได้โดย:

  • ยืนยัน FTR Zone: ตรวจสอบให้แน่ใจว่า FTR Zone นั้นเป็นไปตามกฎที่กำหนดไว้ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องความสดใหม่และการก่อตัวของ Base ที่ชัดเจน
  • ใช้ Stop Loss ที่เหมาะสม: วาง Stop Loss ไว้นอก FTR Zone เล็กน้อย เพื่อป้องกันการ Breakout หลอก
  • รอสัญญาณยืนยัน: แทนที่จะเข้าทันทีที่ราคาแตะโซน ให้รอสัญญาณ Price Action กลับตัวที่ชัดเจนภายใน FTR Zone นั้นๆ ก่อนเข้าเทรด
  • บริหารขนาด Lot Size: คำนวณ Lot Size ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในแต่ละการเทรด

5. FTR สามารถใช้ร่วมกับ Indicator อื่นๆ ได้หรือไม่?

ได้แน่นอน FTR เป็นแนวคิด Price Action ที่ทรงพลัง แต่สามารถเสริมประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ Indicator อื่นๆ เช่น:

  • Moving Averages (MA): ใช้เพื่อยืนยันแนวโน้มและกรองสัญญาณ FTR ที่สวนแนวโน้ม
  • RSI หรือ Stochastic Oscillator: ใช้เพื่อระบุสภาวะ Overbought/Oversold เมื่อราคาเข้าใกล้ FTR Zone
  • Volume Indicator: หากแพลตฟอร์มของคุณมีข้อมูล Volume จะช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของการ Breakout และ Impulsive Move

การผสมผสาน FTR กับเครื่องมืออื่นๆ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเข้าเทรดและกรองสัญญาณที่ไม่น่าเชื่อถือออกไป

สรุป

FTR หรือ Failure to Return เป็นแนวคิดสำคัญใน Price Action ที่บ่งบอกถึงโซนอุปสงค์และอุปทานที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษในตลาด Forex ด้วยการทำความเข้าใจจิตวิทยาเบื้องหลัง การระบุ Bullish และ Bearish FTR รวมถึงการวาด FTR Zone ที่แม่นยำและการรอคอยจังหวะ FTB (First Time Back) คุณจะสามารถพัฒนา กลยุทธ์การเทรด ที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้

โปรดจำไว้ว่า การเทรดต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง การทำความเข้าใจแนวคิดอย่างลึกซึ้ง และการมีวินัยในการบริหารจัดการความเสี่ยง หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้กลยุทธ์การเทรดอื่นๆ หรือต้องการเครื่องมือช่วยเทรดอัตโนมัติ (EA) อย่าลืมเยี่ยมชมส่วนอื่นๆ ของเว็บไซต์ FTT Investing เพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะของคุณในการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ

You Might Also Like

Contact Us on Line