TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

Forex กับ หุ้น: แตกต่างกันยังไง?

กันยายน 15, 2022

Forex กับ หุ้น: เจาะลึกความแตกต่างที่นักลงทุนควรรู้ เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่ชาญฉลาด

ในโลกของการลงทุน ตลาด Forex (Foreign Exchange Market) และตลาดหุ้น (Stock Market) นับเป็นสองทางเลือกหลักที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักลงทุนทั่วโลก แต่แม้ว่าทั้งสองตลาดจะมีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างผลกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคา ทว่ากลับมีความแตกต่างในเชิงโครงสร้าง กลไกการทำงาน และปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ การทำความเข้าใจในความแตกต่างเหล่านี้อย่างลึกซึ้งจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกตลาดที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และเป้าหมายทางการเงินของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจความแตกต่างที่สำคัญระหว่างตลาด Forex และตลาดหุ้นในทุกมิติ ตั้งแต่ขนาดของตลาด เวลาทำการ สภาพคล่อง ค่าธรรมเนียม กลไกการทำกำไร ไปจนถึงโอกาสในการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางการเงินอย่างเลเวอเรจ พร้อมทั้งนำเสนอข้อควรพิจารณาเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าตลาดใดคือโอกาสที่ใช่สำหรับเส้นทางการลงทุนของคุณ

ความแตกต่างพื้นฐาน: จุดเด่นและจุดด้อยเบื้องต้นของ Forex และ หุ้น

ก่อนที่เราจะเจาะลึกในแต่ละประเด็น มาดูภาพรวมความแตกต่างหลักที่นักลงทุนมือใหม่มักให้ความสนใจเป็นอันดับแรก ซึ่งจะเป็นรากฐานในการทำความเข้าใจตลาดทั้งสองได้ดียิ่งขึ้น:

  • ขนาดของตลาด: ตลาด Forex มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงกว่าตลาดหุ้นทั่วโลกรวมกันอย่างมหาศาล ประมาณ 200 เท่า ทำให้เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงสุดในโลก
  • เวลาทำการ: ตลาด Forex เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ (จันทร์-ศุกร์) ในขณะที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีเวลาทำการที่จำกัดเพียงวันละ 8-9 ชั่วโมง
  • ค่าธรรมเนียม: โดยทั่วไป ค่าธรรมเนียมการเทรด Forex (ส่วนใหญ่คือ Spread) มักจะต่ำกว่าค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้น
  • ผลตอบแทน: หุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลจากบริษัท แต่ Forex ไม่มีเงินปันผล แต่มี ค่า Swap (อัตราดอกเบี้ยข้ามคืน) ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งค่าใช้จ่ายหรือรายรับ
  • เครื่องมือช่วยขยายกำไร: Forex มี Leverage ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถควบคุมเงินลงทุนจำนวนมากด้วยเงินทุนที่น้อยลง ในขณะที่ตลาดหุ้นโดยปกติไม่มี Leverage หรือมีในสัดส่วนที่จำกัด
  • โอกาสในการทำกำไร: Forex สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงของตลาด ในขณะที่ตลาดหุ้นโดยทั่วไปมักเน้นการทำกำไรจากราคาที่สูงขึ้นเท่านั้น (แม้จะมีการ Short Sell แต่มีเงื่อนไขที่ซับซ้อนกว่า)

จากภาพรวมนี้ เราจะมาเจาะลึกในแต่ละประเด็น เพื่อให้คุณเห็นถึงรายละเอียดและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายในแต่ละตลาดอย่างครบถ้วน

เจาะลึกความแตกต่างหลัก: Forex vs. หุ้น ในมิติต่างๆ

เพื่อให้นักลงทุนมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เราจะวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่าง Forex และหุ้นใน 6 ประเด็นสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อกลยุทธ์การลงทุนและผลลัพธ์ที่คาดหวัง

1. ปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) และสภาพคล่อง (Liquidity) ที่เหนือกว่าของ Forex

หนึ่งในความแตกต่างที่เด่นชัดและส่งผลกระทบอย่างมากต่อการซื้อขายคือขนาดของตลาด ตลาด Forex ถือเป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่สูงกว่า 5-7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูลจากธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ – BIS) ซึ่งหากเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกซึ่งมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยประมาณ 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน จะเห็นได้ว่าตลาด Forex มีขนาดใหญ่กว่าถึงประมาณ 200 เท่า

  • ปริมาณการซื้อขายคืออะไร? คือจำนวนสินทรัพย์ (ในที่นี้คือคู่สกุลเงินหรือหุ้น) ที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในช่วงเวลาหนึ่งๆ ยิ่งมีปริมาณมากเท่าใด แสดงว่าตลาดนั้นมีการเคลื่อนไหวและได้รับความสนใจสูง
  • ทำไมปริมาณการซื้อขายจึงสำคัญ? ปริมาณการซื้อขายที่สูงส่งผลโดยตรงต่อ สภาพคล่อง (Liquidity) ของตลาด สภาพคล่องหมายถึงความสามารถในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยไม่ทำให้ราคาตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ปริมาณการซื้อขายที่มากมายในตลาด Forex โดยเฉพาะในคู่สกุลเงินหลักอย่าง EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD และ AUD/USD ทำให้เทรดเดอร์สามารถดำเนินการคำสั่งซื้อขายได้แทบจะในทันที (Instant Execution) และปิดการซื้อขายได้ในราคาที่ต้องการ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการบริหารจัดการความเสี่ยงและการทำกำไร
  • ผลลัพธ์คืออะไร? การมีสภาพคล่องสูงในทุกจุดราคา ทำให้โอกาสในการเกิด Price Gap (ช่องว่างราคา) หรือ Slippage (การคลาดเคลื่อนของราคาที่คาดหวังกับราคาที่ได้จริง) ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ ซึ่งอาจทำให้การเข้าหรือออกจากการซื้อขายเป็นไปได้ยากขึ้น หรือได้ราคาที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

2. เวลาซื้อขาย (Trading Hours) ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ความยืดหยุ่นของเวลาซื้อขายเป็นอีกหนึ่งความแตกต่างที่สำคัญ

  • ตลาด Forex: เป็นตลาดประเภท OTC (Over-the-Counter) ซึ่งหมายความว่าไม่มีศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนแบบดั้งเดิม แต่เป็นการซื้อขายโดยตรงระหว่างผู้เข้าร่วมตลาด (ธนาคาร สถาบันการเงิน โบรกเกอร์ นักลงทุนรายย่อย) ทั่วโลกผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยเหตุนี้ ตลาด Forex จึงสามารถเปิดทำการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ โดยเริ่มต้นจากตลาดเอเชีย (ซิดนีย์, โตเกียว) ตามด้วยยุโรป (ลอนดอน) และอเมริกา (นิวยอร์ก) ที่เปิดทำการไล่เลี่ยกัน ทำให้นักเทรดมีความยืดหยุ่นสูงในการเข้าถึงตลาด ไม่ว่าจะอยู่ในเขตเวลาใดก็สามารถซื้อขายได้ตามสะดวก และสามารถตอบสนองต่อข่าวสารหรือเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันโดยไม่จำเป็นต้องรอให้ตลาดเปิดทำการในวันถัดไป ทำให้ลดความเสี่ยงจากการเกิด Price Gap ใหญ่ๆ ในช่วงเปิดตลาดได้
  • ตลาดหุ้น: ในทางตรงกันข้าม ตลาดหุ้นแต่ละประเทศมีเวลาทำการที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน โดยเฉลี่ยประมาณ 8-9 ชั่วโมงต่อวัน และหยุดทำการในวันเสาร์-อาทิตย์ รวมถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ การจำกัดเวลาทำการนี้ส่งผลให้นักลงทุนต้องติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิดในช่วงที่ตลาดปิด เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเปิดตลาด ซึ่งมักจะเห็นการกระโดดของราคา (Gap) ที่เกิดจากข่าวสารนอกเวลาทำการได้

3. โครงสร้างค่าธรรมเนียม (Fees) และผลตอบแทน (Dividends/Swap)

การทำความเข้าใจโครงสร้างค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการคำนวณกำไร-ขาดทุนที่แท้จริง

  • ตลาด Forex: ค่าธรรมเนียมหลักในการเทรด Forex คือ Spread ซึ่งคือส่วนต่างระหว่างราคา Bid (ราคาขาย) และ Ask (ราคาซื้อ) ที่โบรกเกอร์เรียกเก็บ Spread อาจมีค่าต่ำมากสำหรับคู่สกุลเงินหลัก (Major Pairs) ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพคล่องที่สูง นอกจากนี้ โบรกเกอร์บางรายอาจเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อยต่อการเทรด แต่โดยรวมแล้ว ต้นทุนการทำธุรกรรมมักจะต่ำกว่าการเทรดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    อีกหนึ่งข้อแตกต่างคือ Forex ไม่มีเงินปันผลเหมือนหุ้น แต่มี ค่า Swap หรือ Rollover Interest ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่คุณจะต้องจ่ายหรือได้รับ เมื่อเปิดสถานะการซื้อขายข้ามคืน (ถือออเดอร์ข้ามวัน) ค่า Swap นี้จะแตกต่างกันไปตามคู่สกุลเงินและอัตราดอกเบี้ยของแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้อง

  • ตลาดหุ้น: นักลงทุนในตลาดหุ้นมักจะต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นสำหรับการซื้อและขายหุ้นในแต่ละครั้ง ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามนโยบายของโบรกเกอร์และมูลค่าการซื้อขาย ค่าคอมมิชชั่นเหล่านี้อาจดูเล็กน้อย แต่หากมีการซื้อขายบ่อยครั้งก็อาจสะสมเป็นจำนวนมากได้

    จุดเด่นของตลาดหุ้นคือ โอกาสในการได้รับเงินปันผล (Dividends) ซึ่งเป็นส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนการถือครองหุ้น เงินปันผลนี้เป็นแหล่งรายได้แบบ Passive Income ที่สำคัญสำหรับนักลงทุนระยะยาว นอกจากนี้ นักลงทุนยังทำกำไรได้จากส่วนต่างราคา (Capital Gain) เมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้น

4. กลไกการทำกำไร (Profit Mechanism): สองทิศทางใน Forex

ความสามารถในการทำกำไรในทิศทางใดของตลาด เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อกลยุทธ์ของนักลงทุน

  • ตลาด Forex: ข้อได้เปรียบที่โดดเด่นของ Forex คือความสามารถในการทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง

    • ทำกำไรขาขึ้น (Buy / Long): หากคุณคาดการณ์ว่าสกุลเงินหลักในคู่เงินจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง (เช่น คาดว่า EUR จะแข็งค่าเมื่อเทียบกับ USD ในคู่ EUR/USD) คุณก็สามารถเปิดสถานะซื้อ (Buy) คู่สกุลเงินนั้นได้ หากราคาเป็นไปตามที่คาดการณ์ คุณก็จะได้รับกำไรจากส่วนต่างราคา
    • ทำกำไรขาลง (Sell / Short): หากคุณคาดการณ์ว่าสกุลเงินหลักจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง (เช่น คาดว่า EUR จะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับ USD ในคู่ EUR/USD) คุณก็สามารถเปิดสถานะขาย (Sell) คู่สกุลเงินนั้นได้ ซึ่งหมายถึงการที่คุณ “ยืม” สกุลเงินหลักมาขายในราคาที่สูง และหวังว่าจะสามารถ “ซื้อคืน” ในราคาที่ต่ำกว่าเพื่อคืนเงินที่ยืมมาได้ หากราคาลดลงตามที่คาดการณ์ คุณก็จะได้รับกำไรจากส่วนต่างราคานี้ กลไกนี้ทำให้นักเทรดสามารถทำกำไรได้แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ หรือตลาดที่มีแนวโน้มขาลง
  • ตลาดหุ้น: โดยทั่วไปแล้ว การทำกำไรในตลาดหุ้นสำหรับนักลงทุนรายย่อยมักจะมาจากตลาดขาขึ้น นั่นคือการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำและขายในราคาที่สูงขึ้น (Capital Gain) และการได้รับเงินปันผล

    • การ Short Sell หุ้น: แม้ว่าการ Short Sell (การขายชอร์ต) หุ้นเพื่อทำกำไรในตลาดขาลงจะเป็นไปได้ แต่กระบวนการมักจะซับซ้อนกว่า มีข้อจำกัดที่เข้มงวดกว่า และมีความเสี่ยงสูงกว่าสำหรับนักลงทุนรายย่อย ต้องมีการยืมหุ้นมาขายและมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนไม่จำกัดหากราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ด้วยความยืดหยุ่นในการทำกำไรได้ทั้งสองทิศทาง ทำให้ตลาด Forex มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในสภาวะตลาดที่หลากหลายกว่า

5. โอกาสในการขยายกำไรด้วยเลเวอเรจ (Leverage) และความเสี่ยงที่มาพร้อมกัน

หนึ่งในคุณสมบัติที่น่าดึงดูดใจและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดของ ตลาด Forex คือการใช้ Leverage หรืออัตราทด

  • Leverage คืออะไร? Leverage คือเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนจริงที่ตนมีอยู่ได้หลายเท่าตัว เช่น หากโบรกเกอร์เสนอ Leverage 1:500 หมายความว่าคุณสามารถควบคุมมูลค่าการซื้อขายได้ถึง 500 เท่าของเงินทุนที่คุณวางเป็น Margin (หลักประกัน) เช่น มีเงิน $100 คุณสามารถเทรดได้เทียบเท่ามูลค่า $50,000
  • ทำไมถึงน่าสนใจ? Leverage ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เงินลงทุนอย่างมาก นักลงทุนสามารถเปิดสถานะขนาดใหญ่ขึ้นด้วยเงินทุนที่น้อยลง ทำให้มีโอกาสในการขยายผลกำไรได้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หากการคาดการณ์ถูกต้อง นี่คือข้อได้เปรียบที่สำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับการเทรดหุ้นที่มักจะต้องใช้เงินทุนเต็มจำนวนในการซื้อ
  • ความเสี่ยงของ Leverage: อย่างไรก็ตาม Leverage เป็นเหมือนดาบสองคม ที่สามารถขยายผลขาดทุนได้เช่นเดียวกับผลกำไร หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ การขาดทุนอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนเงินทุนในบัญชีหมดลง (Margin Call หรือ Stop Out) ดังนั้น การใช้ Leverage จึงจำเป็นต้องมาพร้อมกับการ บริหารความเสี่ยง ที่เข้มงวดและมีวินัยอย่างสูง เช่น การตั้ง Stop Loss อย่างเหมาะสม เพื่อจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
  • ตลาดหุ้น: โดยปกติแล้ว การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะไม่มี Leverage ในลักษณะเดียวกับ Forex นักลงทุนจะต้องใช้เงินทุนเต็มจำนวนในการซื้อหุ้น หรือมีการใช้ Margin Account ซึ่งเป็นการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อซื้อหุ้นเพิ่มเติม แต่ก็มีข้อจำกัดและเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป และมีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาเช่นกัน

6. ระยะเวลาการซื้อขาย (Trading Horizon) และสไตล์ที่เหมาะสม

ธรรมชาติของแต่ละตลาดส่งผลต่อระยะเวลาและสไตล์การเทรดที่เหมาะสมกับนักลงทุน

  • ตลาด Forex: ด้วยสภาพคล่องที่สูงมาก การดำเนินคำสั่งที่รวดเร็ว และการชำระราคาแบบ T+0 (Settlement Time คือการชำระราคาแบบทันที) ตลาด Forex จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบ สไตล์การเทรดระยะสั้น หรือปานกลาง เช่น
    • Scalping: การเปิด-ปิดออเดอร์หลายครั้งในระยะเวลาสั้นๆ (ไม่กี่นาที) เพื่อเก็บกำไรเล็กน้อยแต่บ่อยครั้ง
    • Day Trading: การเปิด-ปิดออเดอร์ภายในวันเดียวกัน โดยไม่ถือสถานะข้ามคืน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากข่าวสารช่วงตลาดปิดและค่า Swap
    • Swing Trading: การถือสถานะในระยะปานกลาง (ไม่กี่วันถึงหลายสัปดาห์) เพื่อทำกำไรจากการสวิงของราคา
  • ตลาดหุ้น: การซื้อขายหุ้นมีสภาพคล่องที่แตกต่างกันไปในแต่ละหลักทรัพย์ และมีระยะเวลาการชำระราคาแบบ T+2 (ซื้อวันนี้ หุ้นจะเข้าพอร์ตและมีการชำระเงินจริงใน 2 วันทำการถัดไป) ซึ่งทำให้การซื้อขายระยะสั้นมากๆ อาจไม่สะดวกเท่า Forex ดังนั้น ตลาดหุ้นจึงมักจะเหมาะกับนักลงทุนที่ชื่นชอบสไตล์การลงทุนในระยะยาว (Long-Term Investing) มากกว่า เช่น
    • Value Investing: การลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานดี แต่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง โดยหวังผลตอบแทนในระยะยาว
    • Growth Investing: การลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคต โดยเน้นการถือครองในระยะยาว

    อย่างไรก็ตาม การเทรดหุ้นระยะสั้น (Short-Term Trading) หรือ Day Trading ในตลาดหุ้นก็สามารถทำได้ โดยเฉพาะกับหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง แต่ก็มีความท้าทายและข้อจำกัดที่แตกต่างจาก Forex.

ตารางสรุปความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Forex และ หุ้น

เพื่อช่วยให้เห็นภาพรวมของความแตกต่างที่สำคัญทั้งหมด เราได้สรุปข้อมูลเปรียบเทียบไว้ในตารางด้านล่างนี้:

คุณสมบัติ ตลาด Forex ตลาดหุ้น
สินทรัพย์ที่ซื้อขาย คู่สกุลเงิน (เช่น EUR/USD, USD/JPY), ทองคำ, น้ำมัน (เป็น CFD) หุ้นของบริษัทจดทะเบียน, กองทุนรวม, ตราสารหนี้
ขนาดตลาด/ปริมาณการซื้อขาย ใหญ่ที่สุดในโลก (กว่า 5-7 ล้านล้าน USD/วัน) เล็กกว่า Forex มาก (ประมาณ 200 พันล้าน USD/วันทั่วโลก)
สภาพคล่อง สูงมาก (โดยเฉพาะคู่สกุลเงินหลัก) แตกต่างกันไปตามหุ้นแต่ละตัว โดยรวมต่ำกว่า Forex
เวลาทำการ 24 ชั่วโมง/วัน, 5 วัน/สัปดาห์ (จันทร์-ศุกร์) จำกัดตามเวลาทำการของแต่ละตลาดหลักทรัพย์ (เช่น 8-9 ชั่วโมง/วัน)
ค่าธรรมเนียมหลัก Spread (ส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย), ค่าคอมมิชชั่น (บางโบรกเกอร์) ค่าคอมมิชชั่น (ซื้อ-ขาย)
ผลตอบแทนเพิ่มเติม ค่า Swap (อาจเป็นบวกหรือลบ) เงินปันผล (Dividend)
กลไกทำกำไร ได้ทั้งขาขึ้น (Buy) และขาลง (Sell) หลักๆ คือขาขึ้น (Buy Low, Sell High), Short Sell ทำได้แต่มีข้อจำกัด
Leverage (อัตราทด) สูงมาก (เช่น 1:100 ถึง 1:1000 หรือสูงกว่า) ไม่มี Leverage ในการซื้อโดยตรง (มี Margin Account แต่มีข้อจำกัด)
สไตล์การเทรดที่เหมาะสม Scalping, Day Trading, Swing Trading Long-Term Investing, Value Investing, Growth Investing
การชำระราคา T+0 (ทันที) T+2 (2 วันทำการ)
ปัจจัยขับเคลื่อนราคาหลัก เศรษฐกิจมหภาค, อัตราดอกเบี้ย, ข่าวการเมือง, นโยบายธนาคารกลาง ผลประกอบการบริษัท, อุตสาหกรรม, เศรษฐกิจมหภาค, ข่าวบริษัท

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Forex และ หุ้น

Q1: มือใหม่ควรเริ่มต้นเทรด Forex หรือ หุ้นดี?

A: การเลือกระหว่าง Forex และหุ้นสำหรับ นักลงทุนมือใหม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จำนวนเงินลงทุนเริ่มต้น และระยะเวลาที่สามารถทุ่มเทให้กับการเรียนรู้และติดตามตลาด

  • หากคุณสนใจ: ความยืดหยุ่นของเวลา การใช้ Leverage เพื่อเพิ่มโอกาสกำไร (แต่ต้องบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด) และการทำกำไรได้ทั้งสองทิศทางของตลาด Forex อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ควรเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนจำนวนน้อยมากๆ หรือใช้ บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อฝึกฝนก่อน
  • หากคุณสนใจ: การลงทุนในบริษัทที่คุณคุ้นเคย มีรายได้จากเงินปันผล และมองหาการลงทุนระยะยาวโดยไม่ต้องติดตามตลาดตลอดเวลา ตลาดหุ้นอาจเหมาะสมกว่า

ไม่ว่าจะเลือกตลาดใด สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาหาความรู้ ทำความเข้าใจความเสี่ยง และเริ่มต้นด้วยการลงทุนในจำนวนที่สามารถรับความเสียหายได้

Q2: การเทรด Forex มีความเสี่ยงมากกว่าหุ้นจริงหรือไม่?

A: โดยทั่วไปแล้ว Forex มักถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นสำหรับนักลงทุนรายย่อย นั่นเป็นเพราะเครื่องมืออย่าง Leverage ที่มีอยู่ในตลาด Forex ซึ่งช่วยเพิ่มอำนาจในการซื้อขายอย่างมาก ทำให้สามารถสร้างผลกำไรก้อนใหญ่ได้จากเงินทุนที่จำกัด แต่ในทางกลับกัน มันก็สามารถขยายผลขาดทุนให้มากขึ้นได้อย่างรวดเร็วเช่นกันหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คาดการณ์ไว้

ในขณะที่ตลาดหุ้นก็มีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาและความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัท แต่โดยพื้นฐานแล้ว การลงทุนในหุ้นโดยไม่ใช้ Margin Account จะมีความเสี่ยงจำกัดอยู่ที่เงินต้นที่ลงทุนไปเท่านั้น การบริหาร ความเสี่ยง และการมีวินัยจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด Forex

Q3: สามารถใช้ Expert Advisor (EA) ในตลาดหุ้นได้หรือไม่?

A: Expert Advisor (EA) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Robot Trading” หรือ “บอทเทรด” เป็นโปรแกรมอัตโนมัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยส่วนใหญ่แล้ว EA ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานบนแพลตฟอร์ม MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับการเทรด Forex

สำหรับตลาดหุ้น แม้จะมีระบบการซื้อขายอัตโนมัติ (Automated Trading Systems) หรือ Algorithmic Trading อยู่ แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่เรียกว่า EA ในความหมายเดียวกับที่ใช้ใน Forex ระบบเหล่านี้มักจะมีความซับซ้อนมากกว่า และมักจะถูกพัฒนาโดยสถาบันการเงินขนาดใหญ่หรือนักลงทุนมืออาชีพ โดยใช้แพลตฟอร์มและภาษาโปรแกรมเฉพาะของตลาดหุ้นนั้นๆ ดังนั้น โดยตรงแล้ว EA ที่ใช้ใน Forex ไม่สามารถนำมาใช้กับตลาดหุ้นได้โดยตรง

Q4: ค่า Swap ใน Forex คืออะไร และส่งผลอย่างไร?

A: ค่า Swap หรือ Rollover Interest คืออัตราดอกเบี้ยที่นักเทรดจะต้องจ่ายหรือได้รับ เมื่อมีการเปิดสถานะการซื้อขาย (ออเดอร์) ข้ามคืน (ถือออเดอร์ไว้หลังจากเวลา 22:00 UTC หรือเวลาปิดตลาดนิวยอร์ก) ค่า Swap เกิดจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินสองสกุลในคู่เงินที่คุณทำการซื้อขาย

  • ผลกระทบ:
    • ค่า Swap เป็นบวก: คุณจะได้รับดอกเบี้ย หากคุณถือสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า และขายสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า
    • ค่า Swap เป็นลบ: คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ย หากคุณถือสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า และขายสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า

    ค่า Swap เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาหากคุณวางแผนที่จะถือสถานะ Forex ในระยะยาว เนื่องจากค่า Swap สามารถสะสมเป็นจำนวนมากได้ และส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนโดยรวมของการเทรดได้

Q5: การเทรด Forex ต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเท่าไหร่?

A: หนึ่งในข้อดีของตลาด Forex คือคุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นจำนวนมาก ด้วยการใช้ Leverage และการมีอยู่ของบัญชีประเภทต่างๆ เช่น บัญชี Cent (บัญชีเซ็นต์) ทำให้สามารถเริ่มต้นเทรด Forex ได้ด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อย บางโบรกเกอร์อนุญาตให้เริ่มต้นได้ด้วยเงินเพียง 10-100 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้จะเริ่มต้นด้วยเงินน้อยได้ แต่ก็ควรพิจารณาถึงหลักการ บริหารความเสี่ยง การมีเงินทุนที่เพียงพอจะช่วยให้คุณสามารถจัดการขนาดล็อต (Lot Size) ได้อย่างเหมาะสม และสามารถทนทานต่อความผันผวนของตลาดได้ดีขึ้น การเริ่มต้นด้วยเงินทุนที่น้อยเกินไปอาจทำให้การบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นไปได้ยากและเสี่ยงต่อการขาดทุนได้ง่าย

สรุป: เลือกตลาดที่ใช่ เพื่อเส้นทางสู่ความสำเร็จในการลงทุน

การเปรียบเทียบระหว่างตลาด Forex และตลาดหุ้นได้เผยให้เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจนในหลายมิติ ทั้งขนาด สภาพคล่อง เวลาทำการ โครงสร้างค่าธรรมเนียม กลไกการทำกำไร โอกาสในการใช้เลเวอเรจ และสไตล์การลงทุนที่เหมาะสม ตลาด Forex โดดเด่นด้วยสภาพคล่องที่สูง การเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง และความสามารถในการทำกำไรได้ทั้งสองทิศทาง พร้อมด้วย Leverage ที่เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ในขณะที่ตลาดหุ้นนำเสนอโอกาสในการเป็นเจ้าของกิจการ การได้รับเงินปันผล และความเหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว

ไม่มีตลาดใดที่ “ดีที่สุด” อย่างแท้จริง การตัดสินใจว่าจะลงทุนใน Forex หรือหุ้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคล ความเข้าใจในความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ ระยะเวลาที่พร้อมทุ่มเทให้กับการเรียนรู้และวิเคราะห์ตลาด รวมถึงสไตล์การเทรดที่สอดคล้องกับบุคลิกของคุณ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ฝึกฝนทักษะการวิเคราะห์ และเริ่มต้นด้วยการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ไม่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางใด การเตรียมตัวที่ดีคือรากฐานสำคัญสู่ความสำเร็จในโลกของการลงทุน

สำหรับนักลงทุนที่สนใจสำรวจโลกของการเทรด Forex และ ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) ทาง FTT Investing มีแหล่งข้อมูลความรู้และเครื่องมือสนับสนุนต่างๆ ที่พร้อมจะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ:

สำหรับพี่ๆที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA หรือศึกษาเพิ่มเติม สามารถเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือของเราได้ทันที!
ส่งเลข MT4 เพื่อรับลิงก์เข้ากลุ่มฟรี และสิทธิประโยชน์พิเศษอื่นๆ อีกมากมาย
________________________________________________
✅ 👍สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
แนะนำโบรกเกอร์ Forex พันธมิตรที่เชื่อถือได้:
XM: มีโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $30 และโบนัสเงินฝากเพิ่มเติม
Exness: สมัครง่าย ฝากถอนรวดเร็วทันใจ
GMI: เทรดดีไม่มีสะดุด ฟรี Free Swap ทุกบัญชี
________________________________________________
✅ ♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–
ติดตามเราได้ที่
📩LINE: @ft.th ( https://lin.ee/u0dwlLM )
🎬Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________

You Might Also Like

Contact Us on Line