TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

ข้อดีของการเทรด Forex คืออะไร?

ตุลาคม 6, 2022

ข้อดีของการเทรด Forex ที่นักลงทุนควรรู้: โอกาสทำกำไรในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Forex (Foreign Exchange) เป็นหนึ่งในตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก การเทรด Forex คือการซื้อขายคู่สกุลเงินต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงถึงหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ตลาดนี้มีความเคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์

แม้ว่าการเทรด Forex จะนำเสนอโอกาสในการทำกำไรที่น่าดึงดูดใจ แต่ก็เป็นตลาดที่ต้องการความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่เพียงพอ บทความนี้จะเจาะลึกถึงข้อดีหลักๆ ของการเทรด Forex ที่นักลงทุนมือใหม่และมืออาชีพควรรู้ เพื่อให้เห็นภาพรวมของศักยภาพและลักษณะเฉพาะของตลาดนี้อย่างชัดเจน

1. ความยืดหยุ่นของเวลา: ตลาด Forex เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์

หนึ่งในข้อได้เปรียบที่โดดเด่นที่สุดของการเทรด Forex คือความยืดหยุ่นของเวลาทำการ ตลาด Forex ไม่ได้ผูกติดอยู่กับเวลาทำการของตลาดหุ้นใดๆ ในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นการรวมกันของตลาดการเงินหลักทั่วโลกที่ทำงานต่อเนื่องกันไปเป็นวงจร ทำให้คุณสามารถเข้าถึงและทำการซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ช่วงเย็นวันอาทิตย์ (ตามเวลา EST) จนถึงช่วงเย็นวันศุกร์

ตลาด Forex ทำงานอย่างไร?

การที่ตลาด Forex เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมงนั้นเป็นผลมาจากการที่ศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญทั่วโลกเปิดทำการต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ โดยเริ่มจากตลาดในภูมิภาคเอเชีย (เช่น ซิดนีย์ โตเกียว) ต่อด้วยยุโรป (เช่น ลอนดอน) และตามด้วยอเมริกาเหนือ (เช่น นิวยอร์ก) เมื่อตลาดหนึ่งปิดทำการ อีกตลาดหนึ่งก็จะเปิดทำการต่อทันที ทำให้เกิดการไหลเวียนของการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้แตกต่างจากตลาดหุ้นซึ่งมักมีเวลาเปิดปิดที่แน่นอนในแต่ละวันทำการ

ข้อดีและโอกาสที่เกิดจากเวลาทำการที่ยืดหยุ่น

  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีตารางงานไม่แน่นอน: ไม่ว่าคุณจะมีงานประจำหรือไม่ เวลาทำการที่ยืดหยุ่นทำให้คุณสามารถจัดสรรเวลาในการเทรดได้ตามความสะดวก ไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานเพื่อมาเฝ้าหน้าจอในช่วงเวลาทำการที่จำกัดเหมือนตลาดหุ้น
  • สามารถตอบสนองต่อข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญได้ทันที: ข่าวเศรษฐกิจสำคัญหรือเหตุการณ์ทางการเมืองระดับโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ด้วยตลาดที่เปิด 24 ชั่วโมง เทรดเดอร์จึงสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์เหล่านี้ได้ทันที ไม่ต้องรอให้ตลาดเปิดทำการ
  • โอกาสในการเทรดช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง: ช่วงเวลาที่ตลาดหลักซ้อนทับกัน (เช่น ตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก) มักจะมีความผันผวนและปริมาณการซื้อขายสูง ซึ่งอาจเป็นโอกาสที่ดีในการทำกำไรสำหรับเทรดเดอร์ที่ชอบความเคลื่อนไหว

เคล็ดลับในการบริหารเวลาเทรด

แม้ตลาดจะเปิด 24 ชั่วโมง แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเฝ้าหน้าจออยู่ตลอดเวลา เทรดเดอร์มืออาชีพมักจะเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตนเอง เช่น การเลือกเทรดในช่วงที่ตลาดมีความคึกคักและมีปริมาณการซื้อขายสูง หรือช่วงที่ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประกาศ การวางแผนและบริหารจัดการเวลาเทรดอย่างมีวินัยเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบนี้ได้อย่างเต็มที่

2. สภาพคล่องระดับสูง: โอกาสในการเข้าและออกจากการเทรดได้อย่างรวดเร็ว

สภาพคล่อง (Liquidity) เป็นปัจจัยสำคัญที่บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพและความน่าสนใจของตลาดการเงิน ตลาด Forex ได้รับการยกย่องว่าเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถซื้อหรือขายคู่สกุลเงินต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาตลาด

ความหมายของสภาพคล่องในตลาด Forex

สภาพคล่องในตลาด Forex หมายถึงความสามารถของสินทรัพย์ (ในที่นี้คือคู่สกุลเงิน) ในการถูกแปลงเป็นเงินสดหรือซื้อขายได้โดยไม่มีผลกระทบต่อราคามากนัก หากตลาดมีสภาพคล่องสูง จะมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก ทำให้การจับคู่คำสั่งซื้อขายเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและราคาที่แสดงบนหน้าจอก็จะใกล้เคียงกับราคาที่คุณคาดหวัง การซื้อขาย PIP และ Spread ในสภาวะตลาดที่มีสภาพคล่องสูงเป็นผลดีต่อเทรดเดอร์อย่างมาก

ปริมาณการซื้อขายมหาศาล: “ล้านล้านดอลลาร์” และการกระจายอำนาจ

ในแต่ละวัน มีเงินทุนจำนวนมหาศาลหมุนเวียนอยู่ในตลาด Forex ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีมูลค่าเกินกว่า 6-7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน ปริมาณการซื้อขายที่สูงลิ่วนี้มาจากผู้เข้าร่วมตลาดหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลาง, ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่, สถาบันการเงิน, บริษัทข้ามชาติที่ต้องใช้เงินตราต่างประเทศในการดำเนินธุรกิจ, กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และนักลงทุนรายย่อยทั่วโลก การที่ตลาดมีผู้เล่นจำนวนมากและหลากหลาย ทำให้ตลาด Forex มีความเป็นอิสระและกระจายอำนาจสูง กล่าวคือ ไม่มีผู้ค้าสถาบันรายใดหรือแม้แต่ธนาคารกลางเพียงแห่งเดียวที่สามารถควบคุมราคาตลาดโดยรวมได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการผูกขาดและสร้างความยุติธรรมในการกำหนดราคาให้กับผู้เข้าร่วมตลาดทุกคน

ผลกระทบของสภาพคล่องต่อสเปรด (Spreads) และการดำเนินการคำสั่ง (Order Execution)

สภาพคล่องที่สูงส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการซื้อขายและประสิทธิภาพในการดำเนินการคำสั่งซื้อขายของคุณ:

  • สเปรดที่แคบลง: สเปรดคือส่วนต่างระหว่างราคา Bid (ราคาที่คุณสามารถขายได้) และราคา Ask (ราคาที่คุณสามารถซื้อได้) ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง การแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการสภาพคล่องจะสูง ทำให้สเปรดแคบลง ซึ่งหมายถึงต้นทุนการทำธุรกรรมที่ต่ำลงสำหรับเทรดเดอร์
  • การดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็ว: ด้วยปริมาณผู้ซื้อและผู้ขายที่มหาศาล คำสั่งซื้อขายของคุณจะถูกจับคู่และดำเนินการได้อย่างรวดเร็วแทบจะในทันที (instant execution) ลดปัญหาการเกิด “slippage” (การที่ราคาที่ได้รับไม่ตรงกับราคาที่คาดหวัง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคู่สกุลเงินหลัก

3. ต้นทุนการทำธุรกรรมที่ต่ำ: เข้าถึงตลาดด้วยค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า

การลงทุนในตลาดการเงินมักมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าคอมมิชชั่น, ค่าธรรมเนียม, หรือส่วนต่างราคา (Spread) อย่างไรก็ตาม การเทรด Forex มีข้อได้เปรียบที่โดดเด่นในเรื่องของต้นทุนการทำธุรกรรมที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรสุทธิให้กับเทรดเดอร์

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “สเปรด” (Spread)

ค่าใช้จ่ายหลักในการเทรด Forex ไม่ใช่ค่าคอมมิชชั่นแบบตายตัวเหมือนการซื้อขายหุ้น แต่คือ “สเปรด” (Spread) สเปรดคือส่วนต่างระหว่างราคา Bid (ราคาที่โบรกเกอร์พร้อมจะซื้อสกุลเงินจากคุณ) กับราคา Ask (ราคาที่โบรกเกอร์พร้อมจะขายสกุลเงินให้กับคุณ) ซึ่งเป็นรายได้หลักของ โบรกเกอร์ Forex ที่ให้บริการแก่คุณ ยิ่งสเปรดแคบเท่าไหร่ ต้นทุนที่คุณต้องจ่ายในการเข้าและออกจากตลาดก็จะยิ่งต่ำลงเท่านั้น

การเปรียบเทียบต้นทุนการเทรด Forex กับตลาดหุ้น

คุณสมบัติ ตลาด Forex ตลาดหุ้น
ค่าใช้จ่ายหลัก สเปรด (Spread) ค่าคอมมิชชั่น, ค่าธรรมเนียมต่างๆ
การคิดค่าบริการ รวมอยู่ในราคา Bid/Ask (ไม่มีค่าคอมมิชชั่นแยกส่วนใหญ่) คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการซื้อขาย หรือค่าธรรมเนียมคงที่
ความยืดหยุ่นของต้นทุน สเปรดสามารถผันผวนได้ตามสภาพคล่องและประเภทบัญชี ค่าคอมมิชชั่นมักเป็นไปตามโครงสร้างที่กำหนด
โดยรวม มักมีต้นทุนต่อการทำธุรกรรมที่ต่ำกว่า ต้นทุนอาจสูงกว่า โดยเฉพาะสำหรับการซื้อขายขนาดเล็ก

ทำไมต้นทุนการทำธุรกรรมในตลาด Forex ถึงต่ำกว่า? ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปริมาณการซื้อขายที่มหาศาลและความรุนแรงของการแข่งขันระหว่างโบรกเกอร์ที่ต้องการดึงดูดลูกค้า ทำให้โบรกเกอร์หลายรายเสนอสเปรดที่แข่งขันได้และบางครั้งอาจมีบัญชีแบบ ECN/Raw Spread ที่สเปรดเกือบจะเป็นศูนย์ โดยแลกกับค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อย

เลือกโบรกเกอร์อย่างไรให้ได้สเปรดที่เหมาะสม

การเลือก โบรกเกอร์ ที่มีสเปรดต่ำเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์, ความรวดเร็วในการดำเนินการคำสั่ง, ประเภทบัญชีที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ, และบริการลูกค้า การเลือกโบรกเกอร์ที่นำเสนอสเปรดที่แคบสำหรับคู่สกุลเงินที่คุณเทรดบ่อยๆ จะช่วยให้คุณประหยัดต้นทุนได้อย่างมากในระยะยาว

4. พลังของเลเวอเรจ (Leverage): เพิ่มศักยภาพในการทำกำไรด้วยเงินทุนที่จำกัด

เลเวอเรจ หรืออัตราทดทางการเงิน เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการเทรด Forex ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนจริงที่ตนเองมีอยู่ได้อย่างมาก ถือเป็นดาบสองคมที่สามารถเพิ่มผลตอบแทนได้มหาศาล แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องจัดการอย่างรอบคอบ

เลเวอเรจคืออะไรและทำงานอย่างไร?

เลเวอเรจคือการที่โบรกเกอร์ให้ “วงเงินเครดิต” แก่เทรดเดอร์ เพื่อให้สามารถเปิดตำแหน่งการซื้อขายที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยใช้เงินลงทุนจริงเพียงส่วนน้อยเป็นหลักประกัน (Margin) ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์เสนอเลเวอเรจ 1:1000 หมายความว่า สำหรับทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่คุณมีในบัญชี คุณสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายได้ถึง 1,000 ดอลลาร์ นั่นคือ หากคุณมีเงินทุน $1000 คุณจะสามารถเปิดการซื้อขายที่มีมูลค่าหน้าตักสูงถึง $1,000,000 ได้ (1000 * 1000)

การใช้เลเวอเรจทำให้ตลาด Forex เข้าถึงได้ง่ายสำหรับนักลงทุนที่มีเงินทุนจำกัด โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนจำนวนมากเท่ากับการซื้อขายสินทรัพย์อื่นๆ โดยตรง

ข้อดีของเลเวอเรจสูง

  • เพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างก้าวกระโดด: ด้วยขนาดการซื้อขายที่ใหญ่ขึ้นจากการใช้เลเวอเรจ แม้การเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย (ไม่กี่ PIP) ก็สามารถส่งผลให้เกิดกำไรจำนวนมากเมื่อเทียบกับเงินทุนเริ่มต้นของคุณได้
  • เข้าถึงตลาดใหญ่ด้วยทุนน้อย: เลเวอเรจช่วยลดอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด Forex ทำให้แม้แต่นักลงทุนรายย่อยที่มีเงินทุนไม่มากนักก็สามารถเข้าร่วมและแข่งขันในตลาดระดับโลกนี้ได้

ความเสี่ยงและการจัดการเลเวอเรจ

ในขณะที่เลเวอเรจสามารถขยายกำไรได้ แต่ก็สามารถขยายการขาดทุนได้เช่นกัน หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับตำแหน่งการซื้อขายของคุณ การขาดทุนที่เกิดขึ้นก็จะทวีคูณตามขนาดของเลเวอเรจที่ใช้ นี่คือเหตุผลที่ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) จึงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดเมื่อใช้เลเวอเรจสูง

เคล็ดลับสำคัญในการจัดการเลเวอเรจ:

  • ใช้ Stop Loss อย่างเคร่งครัด: การตั้งค่า Stop Loss ในทุกคำสั่งซื้อขายจะช่วยจำกัดการขาดทุนให้อยู่ในระดับที่คุณยอมรับได้ หากราคาเคลื่อนไหวผิดทาง
  • ไม่ใช้เลเวอเรจเต็มจำนวน: แม้โบรกเกอร์จะเสนอเลเวอเรจสูง แต่คุณไม่จำเป็นต้องใช้มันเต็มจำนวน การใช้เลเวอเรจในระดับที่เหมาะสมกับประสบการณ์และความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณเป็นสิ่งสำคัญ
  • ทำความเข้าใจ Margin Call: ทำความเข้าใจว่า Margin Call คืออะไรและจะเกิดขึ้นเมื่อใด เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีของคุณถูกปิดโดยอัตโนมัติหากหลักประกันไม่เพียงพอ

5. โอกาสทำกำไรสองทาง: ตลาดขาขึ้นหรือขาลงก็ทำเงินได้

หนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญของตลาด Forex เมื่อเทียบกับตลาดการลงทุนบางประเภทคือ ความสามารถในการทำกำไรได้ทั้งจากช่วงเวลาที่ราคาเพิ่มขึ้น (ตลาดขาขึ้น) และช่วงเวลาที่ราคาลดลง (ตลาดขาลง) หรือที่เรียกว่า “การทำกำไรสองทาง” สิ่งนี้มอบความยืดหยุ่นและโอกาสในการเทรดที่มากกว่าให้กับนักลงทุน

ความแตกต่างจากการลงทุนในสินทรัพย์บางประเภท (เช่น หุ้น)

ในการลงทุนในหุ้นแบบดั้งเดิม นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะทำกำไรได้เมื่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น (ซื้อถูกขายแพง) การทำกำไรในตลาดขาลงอาจต้องใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนกว่า เช่น การขายชอร์ต (Short Selling) ซึ่งอาจมีข้อจำกัดและกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่า

แต่ในตลาด Forex การซื้อขายจะเกิดขึ้นในรูปแบบของ “คู่สกุลเงิน” (Currency Pair) เช่น EUR/USD ซึ่งหมายถึงคุณกำลังซื้อสกุลเงินหนึ่งและขายอีกสกุลเงินหนึ่งไปพร้อมๆ กัน ด้วยเหตุนี้ คุณจึงสามารถทำกำไรได้ไม่ว่าเศรษฐกิจของประเทศใดจะแข็งแกร่งขึ้นหรืออ่อนแอลง

กลยุทธ์การทำกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้น (ซื้อ Long)

เมื่อคุณคาดการณ์ว่าสกุลเงิน “ตัวหน้า” (Base Currency) ของคู่สกุลเงินจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงิน “ตัวหลัง” (Quote Currency) คุณจะทำการ “ซื้อ” (Long) คู่สกุลเงินนั้น

  • ตัวอย่าง: คุณเชื่อว่าเงินยูโร (EUR) จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) คุณจึงทำการ “ซื้อ EUR/USD” หาก EUR/USD เคลื่อนไหวจาก 1.1000 ไปยัง 1.1050 คุณก็จะทำกำไรได้จากการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร

กลยุทธ์การทำกำไรจากราคาที่ลดลง (ขาย Short)

ในทางกลับกัน เมื่อคุณคาดการณ์ว่าสกุลเงิน “ตัวหน้า” (Base Currency) ของคู่สกุลเงินจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงิน “ตัวหลัง” (Quote Currency) คุณจะทำการ “ขาย” (Short) คู่สกุลเงินนั้น

  • ตัวอย่าง: คุณเชื่อว่าเงินยูโร (EUR) จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) คุณจึงทำการ “ขาย EUR/USD” หาก EUR/USD เคลื่อนไหวจาก 1.1000 ไปยัง 1.0950 คุณก็จะทำกำไรได้จากการอ่อนค่าลงของเงินยูโร

ความสามารถในการทำกำไรได้ทั้งสองทิศทางนี้ทำให้เทรดเดอร์มีโอกาสในการเทรดในสภาวะตลาดที่หลากหลาย ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น ขาลง หรือแม้กระทั่งตลาดไซด์เวย์ที่ราคาแกว่งตัว แต่การจะประสบความสำเร็จได้นั้นจำเป็นต้องมี กลยุทธ์การซื้อขาย ที่ดีและการวิเคราะห์ตลาดที่แม่นยำ

6. ทุนเริ่มต้นที่เข้าถึงง่าย: เปิดประตูสู่การลงทุนระดับโลกสำหรับทุกคน

ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่เปิดกว้างและเข้าถึงได้ง่ายที่สุดตลาดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเงินทุนเริ่มต้นที่ใช้ในการเทรด ซึ่งเป็นข้อดีอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่อาจมีข้อจำกัดด้านเงินทุน

การเปรียบเทียบทุนเริ่มต้นกับตลาดอื่นๆ

เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่มักต้องการเงินลงทุนเริ่มต้นในหลักหมื่นหรือหลักแสนบาท ตลาด Forex สามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น ในตลาดหุ้น เทรดเดอร์มักจะต้องเริ่มต้นที่ $25,000 (ประมาณ 800,000 บาท) เพื่อที่จะสามารถทำการซื้อขายได้หลากหลาย แต่สำหรับการเทรด Forex คุณสามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินทุนเพียง $500 (ประมาณ 16,000 บาท) หรือน้อยกว่านั้นก็เป็นไปได้ในบางโบรกเกอร์

Micro และ Cent Accounts: ลดขนาดความเสี่ยงสำหรับมือใหม่

เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่มีเงินทุนจำกัด โบรกเกอร์ Forex จำนวนมากได้เสนอประเภทบัญชีที่เรียกว่า “Micro Account” หรือ “Cent Account” ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเทรดด้วยขนาดล็อตที่เล็กลงได้อย่างมาก

  • Micro Account: ช่วยให้คุณเทรดด้วยขนาด 0.01 ล็อต (Micro Lot) ซึ่งเทียบเท่ากับ 1,000 หน่วยของสกุลเงินฐาน
  • Cent Account: เป็นบัญชีที่แม้แต่เงินฝาก 1 ดอลลาร์ ก็จะถูกแปลงเป็น 100 เซ็นต์ในบัญชี ทำให้คุณสามารถเทรดด้วยจำนวนหน่วยที่เล็กกว่า Micro Lot ได้อีก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับ มือใหม่เทรด Forex ที่ต้องการทดลองระบบและฝึกฝนการเทรดด้วยความเสี่ยงที่น้อยที่สุด

ทำไมทุนเริ่มต้นน้อยจึงเป็นข้อดี

  • ลดความเสี่ยงสำหรับมือใหม่: การเริ่มต้นด้วยเงินทุนจำนวนน้อยช่วยให้คุณเรียนรู้และทำความเข้าใจกลไกของตลาด, ทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ, และสร้างประสบการณ์การเทรดโดยไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางการเงินที่สูงเกินไป
  • เปิดโอกาสให้เรียนรู้และฝึกฝน: เทรดเดอร์สามารถใช้เงินจำนวนเล็กน้อยเพื่อเรียนรู้การใช้งานแพลตฟอร์ม, การอ่านกราฟ, การใช้ Technical Indicators และการจัดการอารมณ์ในสถานการณ์จริง โดยไม่ต้องกังวลกับการสูญเสียเงินจำนวนมาก
  • เข้าถึงได้สำหรับทุกคน: ไม่ว่าคุณจะมีสถานะทางการเงินแบบใด การเทรด Forex ก็เปิดโอกาสให้คุณเข้าสู่โลกของการลงทุนระดับโลกได้

ข้อควรระวัง

แม้ว่าทุนเริ่มต้นที่น้อยจะเป็นข้อดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถละเลยการศึกษาและเตรียมความพร้อมได้ การมีเงินทุนน้อยไม่ได้เป็นข้ออ้างในการเทรดแบบไร้กลยุทธ์หรือไม่มีการบริหารความเสี่ยง การเรียนรู้เรื่อง การบริหารความเสี่ยง และการมีวินัยในการเทรดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นด้วยเงินทุนเท่าใดก็ตาม

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. Forex คืออะไร?

Forex ย่อมาจาก Foreign Exchange หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เปิดให้มีการซื้อขายคู่สกุลเงินต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ผู้เข้าร่วมในตลาดนี้มีตั้งแต่ธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ สถาบันการเงิน บริษัทข้ามชาติ ไปจนถึงนักลงทุนรายย่อยทั่วโลก

2. ตลาด Forex มีความเสี่ยงสูงจริงหรือไม่?

ใช่ ตลาด Forex มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากการใช้เลเวอเรจที่สูง ซึ่งสามารถขยายทั้งกำไรและขาดทุนได้รวดเร็ว นอกจากนี้ ตลาดมีความผันผวนจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และข่าวสารต่างๆ ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสามารถจัดการได้ด้วยความรู้ที่เพียงพอ การใช้ การบริหารความเสี่ยง ที่เหมาะสม (เช่น การตั้ง Stop Loss) และวินัยในการเทรด

3. ควรเริ่มต้นเทรด Forex ด้วยเงินทุนเท่าไหร่?

คุณสามารถเริ่มต้นเทรด Forex ด้วยเงินทุนเพียง $500 หรือน้อยกว่านั้นได้ในบางโบรกเกอร์ที่เสนอ Cent Account หรือ Micro Account อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนของคุณ สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นด้วยเงินที่คุณยินดีที่จะสูญเสียและใช้เงินทุนนั้นเพื่อเรียนรู้และฝึกฝน

4. ต้องมีประสบการณ์มากแค่ไหนถึงจะเทรด Forex ได้?

ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์มาก่อน แต่จำเป็นต้องมีการศึกษาและเรียนรู้พื้นฐานที่แข็งแกร่ง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกของตลาด, การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน, การบริหารความเสี่ยง, และจิตวิทยาการเทรดเป็นสิ่งสำคัญ มือใหม่เทรด Forex ควรเริ่มต้นด้วยการฝึกฝนในบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนที่จะใช้เงินจริง

5. Forex แตกต่างจากตลาดหุ้นอย่างไร?

ความแตกต่างหลักๆ ได้แก่:

  • เวลาทำการ: Forex เปิด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ในขณะที่ตลาดหุ้นมีเวลาเปิดปิดที่แน่นอน
  • สินทรัพย์ที่ซื้อขาย: Forex ซื้อขายคู่สกุลเงิน ส่วนตลาดหุ้นซื้อขายหุ้นของบริษัท
  • สภาพคล่อง: Forex มีสภาพคล่องสูงกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่
  • การทำกำไร: Forex ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ในขณะที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่เน้นขาขึ้น
  • เลเวอเรจ: Forex มีเลเวอเรจที่สูงกว่ามาก ซึ่งสามารถเพิ่มทั้งกำไรและขาดทุน

สรุป

การเทรด Forex นำเสนอข้อได้เปรียบที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง, สภาพคล่องระดับสูง, ต้นทุนการทำธุรกรรมที่ต่ำ, พลังของเลเวอเรจที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำกำไร, โอกาสในการทำกำไรได้ทั้งสองทางไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง, และทุนเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ง่าย สิ่งเหล่านี้ทำให้ Forex เป็นตลาดที่ดึงดูดนักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือ แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ตลาด Forex ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงสูง การใช้เลเวอเรจอย่างไม่ระมัดระวังอาจนำไปสู่การขาดทุนจำนวนมากได้ ดังนั้น การจะประสบความสำเร็จในตลาด Forex ได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยการเตรียมความพร้อมที่ดี มีความรู้ความเข้าใจในกลไกของตลาด, มี กลยุทธ์การซื้อขาย ที่ชัดเจน, มีวินัยในการ บริหารความเสี่ยง และหมั่นเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง หากคุณพร้อมที่จะเรียนรู้และมีความรับผิดชอบ การเทรด Forex อาจเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจให้กับพอร์ตการลงทุนของคุณ

You Might Also Like

Contact Us on Line