TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

ประเภทคำสั่งการซื้อขายใน Forex

มิถุนายน 9, 2022

ประเภทคำสั่งซื้อขาย Forex ที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องรู้: วางกลยุทธ์อย่างแม่นยำเพื่อผลกำไรสูงสุด

การซื้อขายในตลาด Forex ถือเป็นการลงทุนที่มีความผันผวนสูงและรวดเร็ว การเข้าใจและเลือกใช้ประเภทคำสั่งซื้อขายที่ถูกต้องจึงเป็นหัวใจสำคัญไม่เพียงแค่การเข้าถึงตลาด แต่ยังรวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงและการสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน บทความนี้จะเจาะลึกถึงประเภทของคำสั่งซื้อขาย Forex ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงขั้นสูง เพื่อให้คุณสามารถวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรสูงสุดในทุกสภาวะตลาด

ประเภทคำสั่งการซื้อขายใน Forex

คำสั่งซื้อขายราคาตลาด (Market Order): การเข้าถึงตลาดแบบทันที

ในโลกของการเทรด Forex ที่ทุกวินาทีมีค่า คำสั่งซื้อขายราคาตลาด (Market Order) คือเครื่องมือที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าสู่หรือออกจากตลาดได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที แต่การใช้คำสั่งประเภทนี้ก็มาพร้อมกับข้อควรพิจารณาที่สำคัญ

Market Order คืออะไร?

Market Order คือคำสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ทันที ณ ราคาที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในตลาดขณะนั้น คำสั่งประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการดำเนินการที่รวดเร็ว โดยไม่คำนึงถึงระดับราคาที่แน่นอน แต่เน้นที่การยืนยันการซื้อขายให้เกิดขึ้นจริงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

วิธีดำเนินการ:

  • คำสั่งซื้อ (Buy Market Order): ระบบจะทำการซื้อ ณ ราคา Ask ที่ต่ำที่สุด ณ เวลานั้น
  • คำสั่งขาย (Sell Market Order): ระบบจะทำการขาย ณ ราคา Bid ที่สูงที่สุด ณ เวลานั้น

ทำไมเทรดเดอร์ถึงใช้ Market Order?

  • ความรวดเร็ว: เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดทันที เช่น เมื่อมีข่าวสำคัญออก หรือเมื่อราคาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเทรดเดอร์ต้องการคว้าโอกาสนั้นโดยไม่ต้องการพลาดจังหวะ
  • ความแน่นอนในการดำเนินการ: คุณมั่นใจได้ว่าคำสั่งของคุณจะถูกดำเนินการ (แม้ว่าราคาอาจไม่ใช่ราคาที่คุณเห็นบนหน้าจอเป๊ะๆ ก็ตาม)

ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณกำลังเฝ้าดูคู่เงิน EUR/USD และเห็นสัญญาณการกลับตัวที่แข็งแกร่งหลังจากข่าวเศรษฐกิจสำคัญออก คุณต้องการเข้าซื้อทันทีเพื่อจับจังหวะการขึ้นของราคา การใช้ Market Order จะทำให้คุณได้เข้าซื้อทันที ณ ราคาที่ดีที่สุดในขณะนั้น เพื่อไม่ให้พลาดโอกาส

ข้อควรระวังของ Market Order: Slippage คืออะไรและส่งผลอย่างไร?

แม้ว่า Market Order จะให้ความรวดเร็ว แต่ก็มีข้อเสียที่สำคัญที่เรียกว่า Slippage (การคลาดเคลื่อนของราคา)

  • Slippage คืออะไร: Slippage คือปรากฏการณ์ที่ราคาที่คำสั่งของคุณถูกดำเนินการไปนั้น แตกต่างจากราคาที่คุณเห็นบนหน้าจอในขณะที่กดส่งคำสั่ง อาจจะเป็นราคาที่ดีกว่าหรือแย่กว่าก็ได้
  • สาเหตุของ Slippage:
    • ความผันผวนสูง (High Volatility): ในช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ราคาจะเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและรวดเร็วมาก จนราคาบนหน้าจออาจไม่สามารถสะท้อนสภาพตลาดจริงได้ทัน
    • สภาพคล่องต่ำ (Low Liquidity): ในช่วงเวลาที่ตลาดมีปริมาณการซื้อขายเบาบาง (เช่น ช่วงวันหยุด หรือตลาดปิด) อาจไม่มีคู่สัญญาที่ราคาที่คุณต้องการ ส่งผลให้คำสั่งของคุณถูกจับคู่กับราคาถัดไปที่มีสภาพคล่อง
  • ผลกระทบต่อเทรดเดอร์: หากเกิด Slippage ในทิศทางที่ไม่พึงประสงค์ (เช่น ต้องการซื้อที่ 1.1000 แต่ได้ที่ 1.1005) อาจส่งผลให้คุณได้ราคาเข้าที่แย่ลง หรือราคาออกที่แย่ลงกว่าที่คาดไว้ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อกำไรขาดทุนของคุณ

การลดผลกระทบจาก Slippage:

  • หลีกเลี่ยงช่วงเวลาผันผวนสูง: หากคุณไม่ต้องการความเสี่ยงจาก Slippage ลองหลีกเลี่ยงการเปิดหรือปิดคำสั่งด้วย Market Order ในช่วงเวลาที่มีข่าวใหญ่
  • ใช้ Limit Order: หากคุณต้องการควบคุมราคาเข้าอย่างแม่นยำ คำสั่งประเภท Limit Order (ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป) เป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะระบบจะไม่ดำเนินการหากไม่ได้ราคาที่คุณกำหนดหรือดีกว่า

คำสั่งรอการซื้อขาย (Pending Orders): การวางแผนกลยุทธ์ล่วงหน้า

ในทางตรงกันข้ามกับ Market Order ที่เน้นความรวดเร็ว Pending Orders คือคำสั่งที่คุณกำหนดเงื่อนไขล่วงหน้า เพื่อให้ระบบทำการซื้อขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาตลาดมาถึงระดับที่คุณต้องการ เครื่องมือนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ บริหารความเสี่ยง และเข้าถึงตลาดในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด แม้ในยามที่คุณไม่ได้เฝ้าหน้าจอ

Limit Order: การควบคุมราคาที่ต้องการ

Limit Order เป็นประเภทของ Pending Order ที่ให้เทรดเดอร์ควบคุมราคาที่จะเข้าซื้อหรือขายได้อย่างเต็มที่ คำสั่งนี้จะถูกดำเนินการก็ต่อเมื่อราคาตลาดไปถึงราคาที่คุณกำหนดไว้ หรือได้ราคาที่ดีกว่าเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยงจาก Slippage ในทิศทางที่ไม่พึงประสงค์เมื่อใช้ Limit Order ในการเข้าทำกำไร (แต่สามารถเกิดขึ้นได้หากใช้ Stop Loss ที่เป็น Market Order ในกรณีที่ตลาดผันผวน)

  • Buy Limit: คำสั่งซื้อที่ตั้งไว้ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
    • วัตถุประสงค์: เทรดเดอร์คาดว่าราคาจะปรับตัวลงมาชั่วคราวก่อนที่จะกลับตัวขึ้นอีกครั้ง จึงต้องการซื้อที่ราคาที่ถูกกว่าปัจจุบัน
    • ตัวอย่าง: EUR/USD ปัจจุบันอยู่ที่ 1.1050 คุณคาดว่าราคาจะลงไปแตะแนวรับที่ 1.1020 แล้วเด้งกลับ คุณสามารถตั้ง Buy Limit ที่ 1.1020 ได้ หากราคาลงมาถึงหรือต่ำกว่านี้ คำสั่งก็จะถูกดำเนินการ
  • Sell Limit: คำสั่งขายที่ตั้งไว้สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
    • วัตถุประสงค์: เทรดเดอร์คาดว่าราคาจะปรับตัวขึ้นไปชั่วคราวก่อนที่จะกลับตัวลงมา จึงต้องการขายที่ราคาที่แพงกว่าปัจจุบัน
    • ตัวอย่าง: GBP/JPY ปัจจุบันอยู่ที่ 145.80 คุณคาดว่าราคาจะขึ้นไปแตะแนวต้านที่ 146.00 แล้วร่วงลง คุณสามารถตั้ง Sell Limit ที่ 146.00 ได้ หากราคาขึ้นมาถึงหรือสูงกว่านี้ คำสั่งก็จะถูกดำเนินการ

ข้อดีของการใช้ Limit Order:

  • ความแม่นยำของราคา: คุณมั่นใจได้ว่าจะได้ราคาที่คุณต้องการหรือดีกว่า
  • ลดความเสี่ยง Slippage: เมื่อใช้ในการเข้าทำกำไร จะช่วยลดความเสี่ยงจากราคาคลาดเคลื่อน
  • เหมาะสำหรับกลยุทธ์การกลับตัว (Reversal Strategies): ใช้ในการดักซื้อที่แนวรับหรือดักขายที่แนวต้าน

Stop Order: การเข้าหรือออกตลาดเมื่อถึงระดับราคาสำคัญ

Stop Order เป็นคำสั่งที่จะกลายเป็น Market Order เมื่อราคาตลาดไปถึงระดับราคาที่คุณกำหนดไว้ มักใช้เพื่อเข้าสู่ตลาดเมื่อมีการทะลุแนวรับ/แนวต้าน (Breakout) หรือเพื่อจำกัดการขาดทุน (Stop Loss)

ในส่วนนี้จะพูดถึง Stop Order ในฐานะคำสั่งเข้าตลาด (Entry Order) ซึ่งมักถูกเรียกว่า Stop Entry

  • Buy Stop: คำสั่งซื้อที่ตั้งไว้สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
    • วัตถุประสงค์: เทรดเดอร์คาดว่าราคาจะมีการทะลุแนวต้านขึ้นไปอย่างชัดเจน และต้องการเข้าซื้อตามแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น
    • ตัวอย่าง: EUR/USD ปัจจุบันอยู่ที่ 1.1050 แต่มีแนวต้านสำคัญที่ 1.1070 คุณเชื่อว่าถ้าทะลุ 1.1070 ไปได้ ราคาจะพุ่งขึ้นต่อ คุณสามารถตั้ง Buy Stop ที่ 1.1071 ได้ หากราคาขึ้นมาถึงจุดนี้ คำสั่ง Buy Market Order จะถูกส่งออกไป
  • Sell Stop: คำสั่งขายที่ตั้งไว้ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
    • วัตถุประสงค์: เทรดเดอร์คาดว่าราคาจะมีการทะลุแนวรับลงมาอย่างชัดเจน และต้องการเข้าขายตามแนวโน้มขาลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
    • ตัวอย่าง: GBP/JPY ปัจจุบันอยู่ที่ 145.80 แต่มีแนวรับสำคัญที่ 145.60 คุณเชื่อว่าถ้าทะลุ 145.60 ไปได้ ราคาจะร่วงลงต่อ คุณสามารถตั้ง Sell Stop ที่ 145.59 ได้ หากราคาลงมาถึงจุดนี้ คำสั่ง Sell Market Order จะถูกส่งออกไป

ข้อดีของการใช้ Stop Order (Entry):

  • ยืนยันการ Breakout: ช่วยให้เข้าสู่ตลาดหลังจากที่ราคาได้ยืนยันการทะลุแนวรับหรือแนวต้านแล้ว
  • เทรดตามแนวโน้ม: เหมาะสำหรับกลยุทธ์ Trend Following

ตารางเปรียบเทียบคำสั่ง Market Order, Limit Order และ Stop Order (Entry)

เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือตารางสรุปความแตกต่างของคำสั่งซื้อขายประเภทหลัก:

ประเภทคำสั่ง ราคาที่ดำเนินการ ความแน่นอนของราคา วัตถุประสงค์หลัก ข้อควรระวัง
Market Order ราคาที่ดีที่สุดที่มีอยู่ทันที ต่ำ (อาจเกิด Slippage) เข้า/ออกตลาดอย่างรวดเร็ว Slippage โดยเฉพาะช่วงผันผวนสูง
Limit Order ราคาที่กำหนดหรือดีกว่า สูง (ได้ราคาที่ต้องการเป๊ะๆ หรือดีกว่า) เข้าตลาดที่ราคาที่ต้องการ (ดักซื้อถูก/ขายแพง) คำสั่งอาจไม่ถูกดำเนินการ หากราคาไม่ถึง
Stop Order (Entry) เป็น Market Order เมื่อถึงราคา Trigger ปานกลาง (อาจเกิด Slippage หลัง Trigger) เข้าตลาดเมื่อราคา Breakout Slippage หากราคา Trigger โดนในช่วงตลาดผันผวน

ประเภทของคำสั่งบริหารความเสี่ยง (Risk Management Orders)

การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เป็นหัวใจสำคัญของการเทรด Forex คำสั่งเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องเงินทุนและรักษากำไรของคุณ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ กลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ

Stop Loss (SL): เกราะป้องกันเงินทุน

Stop Loss (SL) คือคำสั่งอัตโนมัติที่เทรดเดอร์ตั้งไว้เพื่อปิดสถานะการซื้อขายที่กำลังขาดทุนเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการ บริหารความเสี่ยง และปกป้องเงินทุน

  • ทำไม Stop Loss ถึงสำคัญ?
    • จำกัดการขาดทุน: ช่วยให้คุณควบคุมจำนวนเงินสูงสุดที่คุณยินดีจะสูญเสียในแต่ละการเทรด
    • ปกป้องเงินทุน: ป้องกันไม่ให้การขาดทุนเล็กน้อยกลายเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตโดยรวม
    • วินัยในการเทรด: บังคับให้เทรดเดอร์มีแผนการออกล่วงหน้า ไม่ใช่การตัดสินใจด้วยอารมณ์เมื่อตลาดไม่เป็นไปตามคาด
    • ป้องกัน Margin Call: หากไม่ใช้ SL และตลาดเคลื่อนไหวสวนทางอย่างรุนแรง อาจนำไปสู่การถูก Margin Call และล้างพอร์ตได้
  • การตั้งค่า Stop Loss ที่มีประสิทธิภาพ:
    • อ้างอิงจาก Technical Analysis: มักจะตั้งไว้ที่เหนือ/ใต้แนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ (Support/Resistance) หรืออ้างอิงจากรูปแบบกราฟแท่งเทียน (Candlestick Patterns)
    • อ้างอิงจาก Volatility: ใช้ Average True Range (ATR) เพื่อวัดความผันผวนของตลาด และตั้ง SL ในระยะที่เหมาะสม
    • Risk-Reward Ratio: กำหนด SL ร่วมกับ Take Profit เพื่อให้แน่ใจว่าแต่ละการเทรดมีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่คุ้มค่า

Take Profit (TP): การรักษากำไรที่คาดหวัง

Take Profit (TP) คือคำสั่งอัตโนมัติที่เทรดเดอร์ตั้งไว้เพื่อปิดสถานะการซื้อขายที่กำลังทำกำไรเมื่อราคาไปถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

  • ทำไม Take Profit ถึงสำคัญ?
    • รักษากำไร: ช่วยให้คุณสามารถล็อกกำไรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ก่อนที่ราคาจะกลับตัวและทำให้กำไรหายไป
    • ลดความกดดันทางอารมณ์: เมื่อถึงจุดทำกำไรที่กำหนดไว้ ระบบจะปิดเอง คุณไม่จำเป็นต้องตัดสินใจภายใต้ความกดดัน
    • เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเทรด: TP ช่วยให้คุณมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนว่าเมื่อใดควรออกจากตลาด ไม่ใช่การถือไว้โดยไม่มีเป้าหมาย
  • การตั้งค่า Take Profit ที่มีประสิทธิภาพ:
    • อ้างอิงจาก Technical Analysis: ตั้งไว้ที่แนวต้านสำคัญ (สำหรับการซื้อ) หรือแนวรับสำคัญ (สำหรับการขาย)
    • อ้างอิงจาก Risk-Reward Ratio: กำหนด TP ให้มีขนาดใหญ่กว่า SL เสมอ (เช่น 1:2 หรือ 1:3) เพื่อให้การเทรดที่ชนะสามารถชดเชยการเทรดที่แพ้ได้
    • เป้าหมายราคา Fibonacci: ใช้เครื่องมือ Fibonacci Retracement หรือ Extension เพื่อหาเป้าหมายราคาที่เป็นไปได้

Trailing Stop: การเลื่อนจุดตัดขาดทุนเพื่อรักษากำไร

Trailing Stop คือ Stop Loss แบบไดนามิกที่จะเลื่อนตามราคาตลาดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นบวกสำหรับสถานะการซื้อขายของคุณ โดยจะรักษาระยะห่างคงที่จากราคาปัจจุบันที่คุณกำหนดไว้ (หน่วยเป็น Pip หรือจุด)

  • การทำงานของ Trailing Stop:
    • เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นกำไร Trailing Stop จะเลื่อนตามขึ้นไป (สำหรับ Buy Order) หรือลงมา (สำหรับ Sell Order) โดยรักษาระยะห่างเท่าเดิม
    • หากราคาหยุดเคลื่อนไหวหรือเริ่มกลับตัว Trailing Stop จะหยุดอยู่ที่ตำแหน่งล่าสุดที่เลื่อนไป
    • หากราคากลับตัวจนมาแตะ Trailing Stop ที่เลื่อนขึ้นมา คำสั่งก็จะถูกปิดที่ระดับนั้นเพื่อรักษากำไรที่สะสมมา
  • ข้อดีของ Trailing Stop:
    • ล็อคกำไร: ช่วยปกป้องกำไรที่ได้มาแล้ว ในขณะที่ยังคงเปิดโอกาสให้คุณทำกำไรได้มากขึ้น หากแนวโน้มยังคงดำเนินต่อไป
    • ลดความเสี่ยง: เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ถูกต้อง Trailing Stop จะเลื่อนขึ้น/ลงมายังจุดคุ้มทุน หรือแม้กระทั่งเข้าสู่แดนกำไร ทำให้ความเสี่ยงลดลง
    • สะดวกสบาย: ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอเพื่อปรับ Stop Loss ด้วยตนเอง
  • ข้อควรพิจารณา:
    • ความผันผวน: ในตลาดที่มีการเคลื่อนไหวแบบ Sideways หรือผันผวนสูง Trailing Stop อาจถูก Trigger บ่อยครั้งและทำให้คุณพลาดกำไรในระยะยาวได้

การทำความเข้าใจ ค่า Pip และการตั้ง Trailing Stop อย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ

คำสั่ง Pending Orders เฉพาะเจาะจง

นอกจากคำสั่งพื้นฐานข้างต้น ยังมีคำสั่ง Pending Order ย่อยๆ อีกหลายประเภทที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนการเข้าและออกตลาดได้อย่างละเอียดมากขึ้น

Buy Limit และ Sell Limit: การเข้าสู่ตลาดในจังหวะที่เหมาะสม

คำสั่ง Buy Limit และ Sell Limit เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการความแม่นยำในการเข้าทำกำไร โดยอาศัยหลักการที่ว่าราคาจะมีการย่อตัวหรือขึ้นไปทดสอบระดับราคาหนึ่งก่อนที่จะกลับทิศทางเดิม

  • Buy Limit: ดักซื้อเมื่อราคา “ย่อ” ลงมา
    • คืออะไร: การตั้งคำสั่งซื้อล่วงหน้า โดยกำหนดราคาซื้อที่ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
    • เมื่อไรที่ใช้: เมื่อเทรดเดอร์เชื่อว่าราคาจะวิ่งลงมาแตะแนวรับ (Demand Zone) หรือระดับราคาสำคัญที่ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ก่อนที่จะเด้งกลับขึ้นไป
    • ตัวอย่าง: ปัจจุบันคู่เงิน AUD/USD อยู่ที่ 0.6800 คุณวิเคราะห์แล้วเห็นแนวรับที่แข็งแกร่งที่ 0.6780 คุณอาจตั้ง Buy Limit ที่ 0.6785 โดยคาดว่าราคาจะย่อลงมาและคำสั่งจะถูกจับคู่ จากนั้นราคาก็จะกลับตัวขึ้นไป
  • Sell Limit: ดักขายเมื่อราคา “เด้ง” ขึ้นไป
    • คืออะไร: การตั้งคำสั่งขายล่วงหน้า โดยกำหนดราคาขายที่สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
    • เมื่อไรที่ใช้: เมื่อเทรดเดอร์เชื่อว่าราคาจะวิ่งขึ้นไปแตะแนวต้าน (Supply Zone) หรือระดับราคาสำคัญที่สูงกว่าราคาปัจจุบัน ก่อนที่จะกลับตัวลงมา
    • ตัวอย่าง: ปัจจุบันคู่เงิน USD/CAD อยู่ที่ 1.3500 คุณวิเคราะห์แล้วเห็นแนวต้านที่แข็งแกร่งที่ 1.3520 คุณอาจตั้ง Sell Limit ที่ 1.3515 โดยคาดว่าราคาจะเด้งขึ้นไปและคำสั่งจะถูกจับคู่ จากนั้นราคาก็จะกลับตัวลงมา

Buy Stop และ Sell Stop: การตามติดแนวโน้มและการป้องกันความเสี่ยง

คำสั่ง Buy Stop และ Sell Stop มักถูกใช้เพื่อเข้าสู่ตลาดเมื่อมีการยืนยันแนวโน้มใหม่ หรือการทะลุแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ หรือใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ การเทรดระยะสั้น แบบ Breakout

  • Buy Stop: เข้าซื้อเมื่อราคา “ทะลุ” แนวต้านขึ้นไป
    • คืออะไร: การตั้งคำสั่งซื้อล่วงหน้า โดยกำหนดราคาซื้อที่สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
    • เมื่อไรที่ใช้: เมื่อเทรดเดอร์เชื่อว่าราคาจะทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นไป และต้องการเข้าซื้อตามแนวโน้มขาขึ้นที่กำลังจะเริ่มขึ้น หรือเพื่อเข้าซื้อตามกลยุทธ์ Price Action แบบ Breakout
    • ตัวอย่าง: คู่เงิน EUR/JPY ปัจจุบันอยู่ที่ 160.00 มีแนวต้านสำคัญที่ 160.20 คุณคาดว่าหากราคาทะลุ 160.20 ขึ้นไปได้ จะมีการเคลื่อนไหวขึ้นอย่างรุนแรง คุณสามารถตั้ง Buy Stop ที่ 160.25 เพื่อเข้าซื้อเมื่อยืนยันการ Breakout
  • Sell Stop: เข้าขายเมื่อราคา “ทะลุ” แนวรับลงมา
    • คืออะไร: การตั้งคำสั่งขายล่วงหน้า โดยกำหนดราคาขายที่ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
    • เมื่อไรที่ใช้: เมื่อเทรดเดอร์เชื่อว่าราคาจะทะลุแนวรับสำคัญลงมา และต้องการเข้าขายตามแนวโน้มขาลงที่กำลังจะเริ่มขึ้น หรือเพื่อเข้าขายตามกลยุทธ์ Breakout
    • ตัวอย่าง: คู่เงิน XAU/USD (ทองคำ) ปัจจุบันอยู่ที่ 2000.00 มีแนวรับสำคัญที่ 1990.00 คุณคาดว่าหากราคาทะลุ 1990.00 ลงมาได้ จะมีการเคลื่อนไหวลงอย่างรุนแรง คุณสามารถตั้ง Sell Stop ที่ 1989.50 เพื่อเข้าขายเมื่อยืนยันการ Breakout

การเลือกกลยุทธ์การเทรด Forex ให้เหมาะสมกับประเภทคำสั่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับมือใหม่

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประเภทคำสั่งซื้อขาย Forex

Q1: คำสั่งซื้อขาย Forex ที่เหมาะสมกับมือใหม่คืออะไร?

สำหรับมือใหม่ การเริ่มต้นด้วยคำสั่ง Market Order ควบคู่ไปกับการใช้ Stop Loss และ Take Profit ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด Market Order ช่วยให้คุณได้ลองเข้าและออกจากตลาดจริงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้งราคาที่ซับซ้อน ส่วน Stop Loss และ Take Profit เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยปกป้องเงินทุนของคุณและสร้างวินัยในการเทรดตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้แล้ว จึงค่อยศึกษาและลองใช้ Pending Order ประเภทอื่นๆ อย่าง Limit Order และ Stop Order เพื่อความแม่นยำและกลยุทธ์ที่ซับซ้อนขึ้น ควรฝึกฝนบน บัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนเสมอ

Q2: Slippage มีผลกระทบต่อการเทรดอย่างไร และป้องกันได้อย่างไร?

Slippage คือการที่คำสั่งซื้อขายของคุณถูกดำเนินการที่ราคาแตกต่างจากราคาที่คุณเห็นในตอนแรก มีผลกระทบคือคุณอาจได้ราคาเข้า/ออกที่แย่กว่าที่คาดไว้ ทำให้กำไรลดลงหรือขาดทุนมากขึ้น การป้องกัน Slippage ทำได้โดย:

  1. หลีกเลี่ยงช่วงเวลาผันผวนสูง: ไม่ส่งคำสั่ง Market Order ในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญออก หรือช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ
  2. ใช้ Limit Order: หากคุณต้องการราคาที่แน่นอน ใช้ Buy Limit หรือ Sell Limit ในการเข้าทำกำไร ซึ่งรับประกันว่าจะได้ราคาที่กำหนดหรือดีกว่า
  3. ตั้งค่า Max Deviation (ถ้ามี): บางแพลตฟอร์มอนุญาตให้ตั้งค่า “Maximum Deviation” ซึ่งเป็นการระบุว่าคุณยอมรับ Slippage ได้มากน้อยเพียงใด หาก Slippage เกินกว่าที่คุณกำหนด คำสั่งนั้นจะไม่ถูกดำเนินการ

Q3: ควรใช้ Stop Loss และ Take Profit เสมอไปหรือไม่?

ใช่ ควรใช้ Stop Loss และ Take Profit เสมอ! การใช้ Stop Loss และ Take Profit เป็นหลักการพื้นฐานของการ บริหารความเสี่ยง ที่ดีเยี่ยม Stop Loss ช่วยจำกัดการขาดทุนที่คุณยอมรับได้ ปกป้องเงินทุนของคุณจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่คาดคิด ส่วน Take Profit ช่วยให้คุณล็อกกำไรตามเป้าหมายที่วางไว้ ป้องกันไม่ให้กำไรที่ได้มาแล้วหายไปหากราคากลับตัว การเทรดโดยไม่มี Stop Loss คือการเปิดรับความเสี่ยงที่ไม่จำกัด และอาจนำไปสู่การล้างพอร์ตได้ง่ายมาก

Q4: Trailing Stop แตกต่างจาก Stop Loss ปกติอย่างไร?

Stop Loss ปกติจะถูกตั้งไว้ที่ระดับราคาคงที่หนึ่ง เมื่อตั้งแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงจนกว่าราคาจะถึงหรือคุณปรับเปลี่ยนด้วยตนเอง แต่ Trailing Stop เป็น Stop Loss แบบไดนามิกที่จะ เลื่อนตามราคาตลาดโดยอัตโนมัติ เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ทำกำไร โดยจะรักษาระยะห่าง (เช่น 20 Pips) จากราคาปัจจุบัน เมื่อราคาหยุดเคลื่อนไหวหรือกลับตัว Trailing Stop จะหยุดที่ตำแหน่งล่าสุดที่เลื่อนไป และจะถูก Trigger เมื่อราคามาแตะระดับนั้น สิ่งนี้ช่วยให้คุณสามารถล็อคกำไรที่ได้มาแล้ว และยังเปิดโอกาสให้คุณทำกำไรได้มากขึ้นหากแนวโน้มยังคงแข็งแกร่ง

Q5: การเลือกใช้ Pending Order แต่ละประเภทมีหลักการอย่างไร?

หลักการเลือกใช้ Pending Order ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และมุมมองของคุณต่อตลาด:

  • Buy Limit / Sell Limit: ใช้เมื่อคุณเชื่อว่าราคาจะมีการ ย่อตัวหรือปรับขึ้นไปทดสอบ ระดับราคาที่คุณต้องการก่อนที่จะกลับตัวไปในทิศทางที่คุณคาดหวัง เหมาะสำหรับการดักซื้อที่แนวรับ หรือดักขายที่แนวต้าน
  • Buy Stop / Sell Stop: ใช้เมื่อคุณเชื่อว่าราคาจะมีการ ทะลุ (Breakout) แนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ และต้องการเข้าตามแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น เหมาะสำหรับกลยุทธ์ Trend Following หรือ Breakout Trading

การฝึกฝนและทำความเข้าใจพฤติกรรมของราคา (การอ่านกราฟแท่งเทียน) จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าจะใช้ Pending Order แบบใด

สรุป

การทำความเข้าใจประเภทคำสั่งซื้อขายในตลาด Forex อย่างถ่องแท้เป็นรากฐานสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรด ไม่ว่าจะเป็น Market Order เพื่อความรวดเร็ว Limit Order เพื่อความแม่นยำของราคา หรือ Stop Order สำหรับการตามแนวโน้ม การเลือกใช้คำสั่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์และกลยุทธ์จะช่วยให้คุณควบคุมการซื้อขายได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือ การใช้คำสั่งบริหารความเสี่ยงอย่าง Stop Loss และ Take Profit ซึ่งเป็นเสมือนเกราะป้องกันเงินทุนของคุณ และ Trailing Stop ที่ช่วยล็อคกำไรที่ทำมาได้

การเรียนรู้และฝึกฝนการใช้งานคำสั่งเหล่านี้บน บัญชีทดลอง เป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดจริง เพื่อสร้างความคุ้นเคยและพัฒนา กลยุทธ์การเทรดที่แข็งแกร่ง หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Forex สำหรับมือใหม่ เพื่อพัฒนาทักษะการเทรดของคุณได้อย่างต่อเนื่อง

You Might Also Like

Contact Us on Line