TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

คำสั่งซื้อขายใน Forex ทุกประเภท?

กันยายน 12, 2022

ทำความเข้าใจประเภทคำสั่งซื้อขายใน Forex: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์ทุกระดับ

ประเภทคำสั่งซื้อขายใน Forex

การซื้อขายในตลาด Forex (Foreign Exchange) เป็นหนึ่งในการลงทุนที่มีความผันผวนและโอกาสสูง การประสบความสำเร็จในตลาดนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ทิศทางราคาเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเครื่องมือและกลไกการดำเนินการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเภทคำสั่งซื้อขายใน Forex ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องเชี่ยวชาญเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไร บทความนี้จะเจาะลึกถึงคำสั่งซื้อขายแต่ละประเภท พร้อมอธิบายหลักการทำงาน, วิธีการใช้งาน, ข้อดีข้อเสีย, และเคล็ดลับการประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้คำสั่งได้อย่างเหมาะสมและบรรลุเป้าหมายการซื้อขายของคุณ

ความสำคัญของคำสั่งซื้อขายใน Forex ที่เทรดเดอร์มือใหม่ต้องรู้

คำสั่งซื้อขายในตลาด Forex เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถสื่อสารความต้องการในการเข้าหรือออกจากตลาดกับ โบรกเกอร์ ของคุณได้อย่างแม่นยำ การทำความเข้าใจประเภทคำสั่งต่างๆ ไม่ใช่แค่การรู้ว่ามีอะไรบ้าง แต่คือการเข้าใจว่า ทำไม ต้องใช้คำสั่งนั้นๆ อย่างไร จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด และ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร หากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่างๆ

การเลือกใช้คำสั่งที่ผิดพลาดอาจนำไปสู่การขาดทุนที่ไม่จำเป็น หรือพลาดโอกาสในการทำกำไร ดังนั้น การเรียนรู้คำสั่งเหล่านี้อย่างละเอียด จะช่วยให้คุณสามารถ:

  • ควบคุมความเสี่ยง: กำหนดจุดตัดขาดทุนและจุดทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เพิ่มความยืดหยุ่น: วางแผนการเข้าออกตลาดล่วงหน้าได้ แม้ไม่อยู่หน้าจอ
  • ตอบสนองต่อตลาด: เข้าถึงราคาที่ดีที่สุดได้ทันที หรือรอจังหวะที่เหมาะสม
  • บริหารจัดการพอร์ต: ปรับกลยุทธ์การซื้อขายให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

ประเภทหลักของคำสั่งซื้อขายใน Forex

คำสั่งซื้อขายในตลาด Forex โดยพื้นฐานแล้วสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีคำสั่งย่อยลงไปอีก:

  1. คำสั่งของตลาด (Market Order): คำสั่งที่ต้องการให้ดำเนินการซื้อขายทันที ณ ราคาตลาดที่ดีที่สุดในขณะนั้น
  2. คำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ (Pending Order): คำสั่งที่กำหนดเงื่อนไขล่วงหน้า โดยจะดำเนินการซื้อขายต่อเมื่อราคาตลาดถึงระดับที่กำหนดไว้เท่านั้น

1. คำสั่งของตลาด (Market Order)

คำสั่ง Market Order คือคำสั่งที่ง่ายที่สุดและถูกใช้งานบ่อยที่สุด มันคือการ "ซื้อเดี๋ยวนี้" หรือ "ขายเดี๋ยวนี้" ณ ราคาปัจจุบันที่โบรกเกอร์แสดงอยู่บนแพลตฟอร์มการซื้อขายของคุณ

คืออะไร?

Market Order คือคำสั่งที่เทรดเดอร์ส่งไปยังโบรกเกอร์เพื่อเปิดหรือปิดสถานะทันที ณ ราคาที่พร้อมใช้งานที่ดีที่สุดในตลาดขณะนั้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว โบรกเกอร์จะพยายามจับคู่คำสั่งของคุณกับราคา Bid (สำหรับ Sell) หรือ Ask (สำหรับ Buy) ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในเวลานั้น

ทำไมต้องใช้?

เทรดเดอร์มักใช้ Market Order เมื่อต้องการเข้าหรือออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องการรอราคาที่เฉพาะเจาะจง หรือเมื่อมั่นใจว่าการเคลื่อนไหวของราคาในปัจจุบันเป็นโอกาสที่ต้องคว้าไว้ทันที

อย่างไร?

การใช้งาน Market Order ทำได้ง่าย เพียงแค่เปิดแพลตฟอร์มการซื้อขายของคุณ เลือกคู่สกุลเงินที่ต้องการ ระบุปริมาณ (Lot Size) และคลิกปุ่ม "Buy" หรือ "Sell" คำสั่งก็จะถูกดำเนินการทันที

ตัวอย่าง:

สมมติว่าคู่สกุลเงิน USD/GBP มีราคา Bid (ราคาที่คุณสามารถขายได้) อยู่ที่ 1.3903 และราคา Ask (ราคาที่คุณสามารถซื้อได้) อยู่ที่ 1.3906

  • หากคุณต้องการซื้อ (Buy) USD/GBP ทันที: คำสั่งของคุณจะถูกดำเนินการที่ราคา Ask คือ 1.3906 คุณจะได้รับสถานะ Long ในคู่สกุลเงินนี้
  • หากคุณต้องการขาย (Sell) USD/GBP ทันที: คำสั่งของคุณจะถูกดำเนินการที่ราคา Bid คือ 1.3903 คุณจะได้รับสถานะ Short ในคู่สกุลเงินนี้

ข้อสังเกต: โปรดจำไว้ว่าราคา Ask จะสูงกว่าราคา Bid เสมอ ความแตกต่างนี้เรียกว่า สเปรด (Spread) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อขายของคุณ

2. คำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ (Pending Order)

Pending Order คือคำสั่งที่ช่วยให้คุณวางแผนการซื้อขายล่วงหน้าได้ โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา คุณสามารถกำหนดเงื่อนไขเฉพาะเจาะจงที่คำสั่งจะถูกเรียกใช้งานเมื่อราคาตลาดเคลื่อนที่ไปถึงระดับที่คุณตั้งไว้

คืออะไร?

Pending Order คือคำสั่งที่คุณส่งไปยังโบรกเกอร์เพื่อเปิดสถานะในอนาคต หากราคาตลาดถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า คำสั่งเหล่านี้มีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อคุณคาดการณ์ว่าราคาจะถึงจุดใดจุดหนึ่งก่อนที่จะกลับตัว หรือต้องการเข้าซื้อขายเมื่อราคาทะลุแนวรับแนวต้านที่สำคัญ

ทำไมต้องใช้?

  • ความยืดหยุ่น: คุณสามารถกำหนดกลยุทธ์การซื้อขายและปล่อยให้ระบบดำเนินการเองโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะนอนหลับ ทำงาน หรือทำกิจกรรมอื่นๆ
  • ความแม่นยำ: ช่วยให้คุณสามารถเข้าสู่ตลาดได้ที่ราคาที่ต้องการอย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องรีบร้อนกดคำสั่งเมื่อตลาดเคลื่อนไหวเร็ว
  • การบริหารความเสี่ยง: ใช้ร่วมกับ Stop Loss และ Take Profit เพื่อกำหนดขอบเขตความเสี่ยงและผลตอบแทนล่วงหน้า

Pending Order แบ่งออกเป็นหลายประเภทย่อย ได้แก่ Limit Order และ Stop Order

2.1. คำสั่งจำกัด (Limit Order)

Limit Order เป็นคำสั่งที่ใช้เมื่อคุณต้องการซื้อหรือขายที่ราคาดีกว่าราคาตลาดปัจจุบัน หรือที่ราคาที่คุณต้องการเข้า/ออก

คืออะไร?

Limit Order คือคำสั่งที่กำหนดราคาสูงสุดที่คุณยินดีจะซื้อ (Buy Limit) หรือราคาต่ำสุดที่คุณยินดีจะขาย (Sell Limit) คำสั่งจะถูกดำเนินการก็ต่อเมื่อราคาตลาดถึงหรือดีกว่าราคาที่คุณตั้งไว้เท่านั้น

ทำไมต้องใช้?

คุณจะใช้ Limit Order เมื่อคาดการณ์ว่าราคาตลาดจะมีการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว (เพิ่มขึ้นหรือลดลง) และคุณต้องการใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานั้นเพื่อเข้าซื้อในราคาที่ถูกลง หรือขายในราคาที่แพงขึ้น

ประเภทของ Limit Order:

  • Buy Limit Order: ใช้เมื่อคุณต้องการ ซื้อ คู่สกุลเงินที่ราคา ต่ำกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน
    • ตัวอย่าง: ราคาปัจจุบัน EUR/USD อยู่ที่ 1.1050 แต่คุณคาดว่าราคาจะลดลงเล็กน้อยก่อนจะดีดตัวขึ้น คุณจึงตั้ง Buy Limit ที่ 1.1020 หากราคาลดลงมาถึง 1.1020 หรือต่ำกว่า คำสั่งซื้อของคุณจะถูกดำเนินการ
    • ผลลัพธ์: หากราคาไม่ลงมาถึง 1.1020 คำสั่งนี้จะไม่ถูกดำเนินการ และคุณจะพลาดโอกาสในการเข้าซื้อ
  • Sell Limit Order: ใช้เมื่อคุณต้องการ ขาย คู่สกุลเงินที่ราคา สูงกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน
    • ตัวอย่าง: ราคาปัจจุบัน GBP/JPY อยู่ที่ 145.80 แต่คุณคาดว่าราคาจะปรับตัวขึ้นอีกเล็กน้อยก่อนจะลดลง คุณจึงตั้ง Sell Limit ที่ 146.10 หากราคาเพิ่มขึ้นมาถึง 146.10 หรือสูงกว่า คำสั่งขายของคุณจะถูกดำเนินการ
    • ผลลัพธ์: หากราคาไม่ขึ้นไปถึง 146.10 คำสั่งนี้จะไม่ถูกดำเนินการ และคุณจะพลาดโอกาสในการเข้าขาย

Limit Order

2.2. คำสั่งหยุด (Stop Order)

Stop Order เป็นคำสั่งที่ใช้เมื่อคุณต้องการซื้อหรือขายต่อเมื่อราคาทะลุระดับที่คุณกำหนดไว้ ซึ่งมักใช้ในการเข้าสู่ตลาดตามแนวโน้ม หรือเพื่อป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น

คืออะไร?

Stop Order คือคำสั่งที่เมื่อราคาตลาดถึงระดับที่ตั้งไว้ คำสั่งจะเปลี่ยนเป็น Market Order และถูกดำเนินการทันที ณ ราคาตลาดที่ดีที่สุดในขณะนั้น ซึ่งหมายความว่าราคาที่ได้อาจแตกต่างจากราคา Stop ที่ตั้งไว้เล็กน้อย (Slippage)

ทำไมต้องใช้?

คุณจะใช้ Stop Order หากคุณต้องการเข้าซื้อคู่สกุลเงินในขณะที่ราคากำลังเพิ่มขึ้น (Buy Stop) หรือต้องการขายคู่สกุลเงินในขณะที่ราคากำลังลดลง (Sell Stop) เพื่อยืนยันการเคลื่อนไหวของแนวโน้ม หรือเพื่อป้องกันการขาดทุนที่รุนแรง

ประเภทของ Stop Order:

  • Buy Stop Order: ใช้เมื่อคุณต้องการ ซื้อ คู่สกุลเงินที่ราคา สูงกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน
    • ตัวอย่าง: ราคาปัจจุบัน EUR/USD ซื้อขายอยู่ที่ 1.1050 และคุณคาดว่าหากราคาทะลุแนวต้านที่ 1.1070 จะเกิดแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง คุณจึงตั้ง Buy Stop ที่ 1.1070 หากราคาขึ้นมาถึง 1.1070 คำสั่งซื้อของคุณจะถูกดำเนินการ (เปลี่ยนเป็น Market Order)
    • ผลลัพธ์: หากราคาไม่ขึ้นไปถึง 1.1070 คำสั่งนี้จะไม่ถูกดำเนินการ
  • Sell Stop Order: ใช้เมื่อคุณต้องการ ขาย คู่สกุลเงินที่ราคา ต่ำกว่า ราคาตลาดปัจจุบัน
    • ตัวอย่าง: ราคาปัจจุบัน GBP/JPY ซื้อขายอยู่ที่ 145.80 และคุณคาดว่าหากราคาทะลุแนวรับที่ 145.50 จะเกิดแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง คุณจึงตั้ง Sell Stop ที่ 145.50 หากราคาลงมาถึง 145.50 คำสั่งขายของคุณจะถูกดำเนินการ (เปลี่ยนเป็น Market Order)
    • ผลลัพธ์: หากราคาไม่ลงมาถึง 145.50 คำสั่งนี้จะไม่ถูกดำเนินการ

การใช้ Stop Order แทนการรอให้ราคาถึงระดับหนึ่งด้วยตนเอง ช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสในการเข้าสู่เทรนด์ หรือสามารถจำกัดความเสียหายได้อย่างรวดเร็ว

Stop Order

2.3. คำสั่งหยุดการสูญเสีย (Stop Loss Order)

Stop Loss Order เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน

คืออะไร?

Stop Loss Order คือคำสั่งที่ใช้ในการจำกัดการขาดทุนในสถานะที่เปิดอยู่ หากราคาตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับการวิเคราะห์ของคุณ เมื่อราคาถึงระดับ Stop Loss ที่ตั้งไว้ คำสั่งจะถูกดำเนินการเพื่อปิดสถานะนั้นโดยอัตโนมัติ ช่วยลดความเสียหายให้น้อยที่สุด

ทำไมต้องใช้?

การใช้ Stop Loss เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อ บริหารความเสี่ยง และป้องกันการสูญเสียเงินทุนจำนวนมากโดยไม่คาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด Forex ที่มีความผันผวนสูง

อย่างไร?

  • สำหรับการเปิดสถานะ Long (ซื้อ): คุณจะวาง Buy Stop Loss ที่ราคาต่ำกว่าราคาเข้า เพื่อป้องกันการขาดทุนหากราคาลดลง
  • สำหรับการเปิดสถานะ Short (ขาย): คุณจะวาง Sell Stop Loss ที่ราคาสูงกว่าราคาเข้า เพื่อป้องกันการขาดทุนหากราคาเพิ่มขึ้น

ตัวอย่าง:

คุณเปิดสถานะ Buy EUR/USD ที่ 1.1050 หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางและราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง คุณอาจตั้ง Stop Loss ที่ 1.1020 เพื่อจำกัดการขาดทุนไว้ที่ 30 Pips หากราคาลงมาถึง 1.1020 สถานะของคุณจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ

เคล็ดลับ: การกำหนดระดับ Stop Loss ควรอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แข็งแกร่ง และต้องพิจารณาถึงความผันผวนของคู่สกุลเงินนั้นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูก Stop Loss บ่อยครั้งโดยไม่จำเป็น

3. คำสั่งทำกำไร (Take Profit Order)

Take Profit Order ทำงานคู่กับ Stop Loss เพื่อให้การบริหารจัดการการซื้อขายของคุณสมบูรณ์

คืออะไร?

Take Profit Order คือคำสั่งที่ใช้เพื่อปิดสถานะที่ทำกำไรโดยอัตโนมัติ เมื่อราคาตลาดถึงระดับเป้าหมายที่คุณตั้งไว้

ทำไมต้องใช้?

การใช้ Take Profit ช่วยให้คุณสามารถล็อกกำไรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และป้องกันไม่ให้กำไรที่ได้มาแล้วลดลงหรือกลายเป็นขาดทุน หากราคากลับตัวหลังจากแตะจุดสูงสุด

อย่างไร?

  • สำหรับการเปิดสถานะ Long (ซื้อ): คุณจะวาง Take Profit ที่ราคาสูงกว่าราคาเข้า
  • สำหรับการเปิดสถานะ Short (ขาย): คุณจะวาง Take Profit ที่ราคาต่ำกว่าราคาเข้า

ตัวอย่าง:

คุณเปิดสถานะ Buy EUR/USD ที่ 1.1050 และวิเคราะห์ว่าราคาอาจจะขึ้นไปถึง 1.1100 คุณจึงตั้ง Take Profit ที่ 1.1100 หากราคาขึ้นมาถึง 1.1100 สถานะของคุณจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ และคุณจะทำกำไร 50 Pips

เคล็ดลับ: การกำหนดระดับ Take Profit ควรพิจารณาจากแนวต้านที่สำคัญ, ระดับ Fibonacci, หรืออัตราส่วน Risk-Reward ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ของคุณ

คำสั่งซื้อขายขั้นสูง (Advanced Pending Orders)

นอกจากคำสั่งพื้นฐานแล้ว โบรกเกอร์บางรายยังมีคำสั่งซื้อขายที่ซับซ้อนขึ้นอีกเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อกลยุทธ์เฉพาะ

Buy Limit / Sell Stop Limit และ Buy Stop / Sell Stop Limit

คำสั่งเหล่านี้เป็นการรวมกันระหว่าง Stop Order และ Limit Order เพื่อให้คุณสามารถควบคุมราคาเข้าที่ดีขึ้น หลังจากที่ราคาได้ผ่านจุดกระตุ้น (Stop Price) ไปแล้ว

คืออะไร?

แทนที่จะเปลี่ยนเป็น Market Order ทันทีเมื่อถึงราคา Stop คำสั่งเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็น Limit Order แทน โดยจะพยายามเข้าซื้อขายที่ราคา Limit ที่คุณกำหนด หรือดีกว่า

  • Buy Stop Limit Order: เมื่อราคาตลาดถึงราคา Stop ที่คุณตั้งไว้ คำสั่งจะกลายเป็น Buy Limit Order ที่ราคา Limit ที่คุณกำหนด ซึ่งหมายความว่าคุณต้องการซื้อเมื่อราคาทะลุ Stop ขึ้นไป แต่จะซื้อก็ต่อเมื่อราคาไม่เกิน Limit ที่คุณตั้งไว้เท่านั้น (เพื่อป้องกันการซื้อในราคาที่สูงเกินไปหากเกิด Slippage มาก)
  • Sell Stop Limit Order: เมื่อราคาตลาดถึงราคา Stop ที่คุณตั้งไว้ คำสั่งจะกลายเป็น Sell Limit Order ที่ราคา Limit ที่คุณกำหนด ซึ่งหมายความว่าคุณต้องการขายเมื่อราคาทะลุ Stop ลงไป แต่จะขายก็ต่อเมื่อราคาไม่ต่ำกว่า Limit ที่คุณตั้งไว้เท่านั้น (เพื่อป้องกันการขายในราคาที่ต่ำเกินไปหากเกิด Slippage มาก)

ทำไมต้องใช้?

คำสั่งเหล่านี้มีประโยชน์ในตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือเมื่อมีข่าวสำคัญออก เทรดเดอร์ที่ต้องการความแน่นอนในราคาเข้ามากขึ้น มักจะเลือกใช้คำสั่งประเภทนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเติมคำสั่งที่ราคาแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้มาก

ข้อควรระวัง:

คำสั่ง Stop Limit อาจไม่ถูกดำเนินการเลย หากราคาเคลื่อนไหวผ่านช่วงระหว่าง Stop Price และ Limit Price ไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่กลับมาแตะราคา Limit ที่คุณตั้งไว้

การประยุกต์ใช้คำสั่งซื้อขายในกลยุทธ์ต่างๆ

การเลือกใช้ประเภทคำสั่งที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การซื้อขายและสถานการณ์ตลาด

1. สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเข้าตลาดทันที (Day Trading / Scalping)

เทรดเดอร์ประเภทนี้มักใช้ Market Order เป็นหลัก เพื่อเข้าและออกจากตลาดอย่างรวดเร็วเพื่อคว้ากำไรเล็กๆ น้อยๆ จากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การใช้ Stop Loss และ Take Profit ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้แต่กับการซื้อขายระยะสั้น เพื่อป้องกันการขาดทุนที่รุนแรง

  • เคล็ดลับ: ควรกำหนด Stop Loss และ Take Profit ทันทีที่เปิดคำสั่ง เพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย

2. สำหรับเทรดเดอร์ที่รอกำหนดจุดเข้า (Swing Trading / Position Trading)

เทรดเดอร์ประเภทนี้จะใช้ Pending Order เป็นหลัก เพื่อวางแผนการเข้าและออกล่วงหน้า และใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อกำหนดจุดเข้าและออกที่เหมาะสม

  • Buy Limit / Sell Limit: ใช้เมื่อคุณคาดว่าราคาจะกลับตัว ณ จุดแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ และต้องการเข้าในราคาที่ดีกว่า
  • Buy Stop / Sell Stop: ใช้เมื่อคุณคาดว่าราคาจะทะลุแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ และต้องการเข้าตามแนวโน้มใหม่ที่เกิดขึ้น
  • เคล็ดลับ: ผนวกการวิเคราะห์ แนวรับแนวต้าน, รูปแบบแท่งเทียน, และ อินดิเคเตอร์ ต่างๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตั้ง Pending Order

________________________________________

สำหรับพี่ๆที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA เปิดบัญชีคลิกที่ลิงค์
ส่งเลข MT4 รับลิงค์ได้เลย
________________________________________________
✅ ??สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
XM มีโบนัสสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่ $30 และมีโบนัสเงินฝาก
Exness สมัครง่ายฝากถอนเร็ว
GMI เทรดดีไม่มีสะดุด ฟรี Free Swap ทุกบัญชี
https://bit.ly/GMI-TH
________________________________________________
✅ ♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่?https://bit.ly/MTRatsamee
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–
ติดตามเราได้ที่
?LINE: @ft.th ( https://lin.ee/u0dwlLM )
?Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________

ตารางสรุปประเภทคำสั่งซื้อขายใน Forex

เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือตารางสรุปคุณสมบัติของคำสั่งซื้อขายแต่ละประเภท:

ประเภทคำสั่ง วัตถุประสงค์ เงื่อนไขการดำเนินการ ข้อดี ข้อเสีย/ความเสี่ยง
Market Order เข้า/ออกจากตลาดทันที ดำเนินการทันที ณ ราคาตลาดที่ดีที่สุด รวดเร็ว, ได้ราคาปัจจุบัน อาจได้ราคาไม่ตรงเป้าหากตลาดผันผวน (Slippage)
Buy Limit ซื้อเมื่อราคาลดลงถึงเป้าหมาย ราคา Bid/Ask ≤ ราคาที่ตั้งไว้ ได้ราคาเข้าที่ถูกกว่าที่ต้องการ อาจไม่ถูกดำเนินการหากราคาไม่ถึง
Sell Limit ขายเมื่อราคาเพิ่มขึ้นถึงเป้าหมาย ราคา Bid/Ask ≥ ราคาที่ตั้งไว้ ได้ราคาออกที่แพงกว่าที่ต้องการ อาจไม่ถูกดำเนินการหากราคาไม่ถึง
Buy Stop ซื้อเมื่อราคาทะลุขึ้นไป ราคา Bid/Ask ≥ ราคาที่ตั้งไว้ (เปลี่ยนเป็น Market Order) เข้าตามแนวโน้มขาขึ้น, ป้องกัน Short Covering อาจเกิด Slippage ได้ราคาที่แย่กว่า, อาจถูก Stop Hunt
Sell Stop ขายเมื่อราคาทะลุลงไป ราคา Bid/Ask ≤ ราคาที่ตั้งไว้ (เปลี่ยนเป็น Market Order) เข้าตามแนวโน้มขาลง, ป้องกัน Long Unwinding อาจเกิด Slippage ได้ราคาที่แย่กว่า, อาจถูก Stop Hunt
Stop Loss จำกัดการขาดทุน ราคา Bid/Ask ถึงระดับที่ตั้งไว้ (เปลี่ยนเป็น Market Order) บริหารความเสี่ยง, ป้องกันขาดทุนหนัก อาจเกิด Slippage ได้ราคาที่แย่กว่า
Take Profit ล็อกกำไร ราคา Bid/Ask ถึงระดับที่ตั้งไว้ (เปลี่ยนเป็น Market Order) ทำกำไรตามเป้าหมาย อาจจำกัดกำไรหากราคายังไปต่อได้อีก

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับคำสั่งซื้อขายใน Forex

Q1: Slippage คืออะไร และมีผลอย่างไรต่อคำสั่งซื้อขาย?

A1: Slippage คือความแตกต่างระหว่างราคาที่คุณตั้งคำสั่งซื้อขายไว้ (โดยเฉพาะ Stop Order และ Market Order ในตลาดที่ผันผวน) กับราคาจริงที่คำสั่งของคุณถูกดำเนินการ ความผันผวนของตลาดที่รุนแรง, สภาพคล่องต่ำ, หรือข่าวเศรษฐกิจสำคัญ สามารถทำให้เกิด Slippage ได้ โดยทั่วไปแล้ว Slippage จะส่งผลให้คุณได้ราคาที่แย่กว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย ทำให้กำไรลดลงหรือขาดทุนมากขึ้น

Q2: ควรใช้ Stop Loss และ Take Profit ในทุกๆ คำสั่งซื้อขายหรือไม่?

A2: ใช่ ควรใช้ในทุกๆ คำสั่งซื้อขาย! การใช้ Stop Loss และ Take Profit เป็นหลักการบริหารความเสี่ยงและบริหารเงินทุน (Money Management) ที่สำคัญที่สุดในตลาด Forex การไม่ตั้ง Stop Loss อาจนำไปสู่การขาดทุนที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ การกำหนดจุดทำกำไรก็ช่วยให้คุณมีวินัยในการล็อกกำไร และป้องกันไม่ให้โลภจนกำไรหายไป

Q3: Pending Order มีวันหมดอายุหรือไม่?

A3: โดยทั่วไปแล้ว Pending Order จะมีระยะเวลาการใช้งานจนกว่าจะถูกยกเลิก (Good Till Canceled – GTC) อย่างไรก็ตาม คุณสามารถกำหนดวันหมดอายุของคำสั่งได้ (Expiration) เช่น ให้คำสั่งหมดอายุภายในสิ้นวันหรือสิ้นสัปดาห์ หากคำสั่งไม่ถูกดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด คำสั่งนั้นก็จะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ

Q4: คำสั่งประเภทไหนที่เหมาะกับมือใหม่มากที่สุด?

A4: สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจ Market Order และ Pending Order พื้นฐาน (Buy Limit, Sell Limit, Buy Stop, Sell Stop) รวมถึงการใช้งาน Stop Loss และ Take Profit อย่างเคร่งครัด การฝึกฝนบน บัญชีทดลอง (Demo Account) จะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับการทำงานของคำสั่งเหล่านี้ก่อนที่จะใช้เงินจริง

Q5: อะไรคือความแตกต่างระหว่าง Stop Order และ Stop Loss Order?

A5:

  • Stop Order (Buy Stop/Sell Stop): เป็นคำสั่งที่ใช้ เปิด สถานะใหม่เมื่อราคาถึงระดับที่กำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าสู่ตลาดตามแนวโน้ม
  • Stop Loss Order: เป็นคำสั่งที่ใช้ ปิด สถานะที่เปิดอยู่เพื่อ จำกัดการขาดทุน เมื่อราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไว้

แม้จะมีคำว่า "Stop" เหมือนกัน แต่มีวัตถุประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

สรุป: กุญแจสู่ความสำเร็จในการซื้อขาย Forex ด้วยการควบคุมคำสั่ง

การทำความเข้าใจและเชี่ยวชาญประเภทคำสั่งซื้อขายต่างๆ ในตลาด Forex ถือเป็นรากฐานสำคัญสู่การเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมีประสบการณ์ การเลือกใช้คำสั่งที่ถูกต้องและเหมาะสมกับกลยุทธ์ของคุณจะช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ คว้าโอกาสในการทำกำไร และควบคุมอารมณ์ในการซื้อขายได้ดียิ่งขึ้น

อย่าหยุดเรียนรู้และฝึกฝนการใช้คำสั่งเหล่านี้บนบัญชีทดลองจนกว่าคุณจะคุ้นเคยและมั่นใจ การมีวินัยในการตั้ง Stop Loss และ Take Profit ในทุกๆ คำสั่งจะเป็นเกราะป้องกันเงินทุนของคุณ และช่วยให้คุณเติบโตในเส้นทางของการเป็นเทรดเดอร์ Forex ได้อย่างยั่งยืน

You Might Also Like

Contact Us on Line