เจาะลึกเวลาเปิด-ปิดตลาด Forex ตามเวลาไทย: คู่มือการเทรดสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ
สำหรับเทรดเดอร์ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Forex (Foreign Exchange) การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับ “เวลาเปิด-ปิดตลาด Forex” ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้ ตลาด Forex มีความโดดเด่นเฉพาะตัวด้วยการเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ แต่ทว่าในแต่ละช่วงเวลานั้นกลับมี “บุคลิก” และสภาวะตลาดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นในด้านของสภาพคล่อง (Liquidity) ความผันผวน (Volatility) และคู่สกุลเงินที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ การเลือกเทรดใน “ช่วงเวลาที่เหมาะสม” กับ กลยุทธ์การเทรด และรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันของตนเอง จึงเป็นกุญแจสำคัญที่สามารถชี้วัดผลกำไรและขาดทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ
บทความเชิงลึกนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวลาตลาด Forex โดยจะพาคุณไปสำรวจช่วงเวลาเปิด-ปิดของศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญทั่วโลกตามเวลาประเทศไทย (GMT+7) อย่างละเอียดถี่ถ้วน พร้อมทั้งวิเคราะห์ลักษณะเด่น ข้อดี ข้อเสีย และเคล็ดลับในการใช้ประโยชน์จากแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างแม่นยำ และฉกฉวยโอกาสในการสร้างผลกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เปรียบเสมือนมีผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
ทำไมตลาด Forex จึงเปิดตลอด 24 ชั่วโมง และมีความสำคัญอย่างไร?
ความสามารถของตลาด Forex ในการเปิดทำการซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมงนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากโครงสร้างและธรรมชาติของตลาดเอง ซึ่งเป็นตลาดแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Market) หรือที่เรียกว่า Over-the-Counter (OTC) แตกต่างจากตลาดหุ้นที่มีศูนย์กลางการซื้อขายที่เป็นกายภาพเพียงแห่งเดียว ในทางตรงกันข้าม ตลาด Forex เกิดจากการเชื่อมโยงกันของเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ระหว่างธนาคารกลาง, ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่, สถาบันการเงิน, กองทุนเฮดจ์ฟันด์, บริษัทขนาดใหญ่ และเทรดเดอร์รายย่อยทั่วทุกมุมโลก
กลไกการทำงานของตลาด 24 ชั่วโมง
การซื้อขายจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตามการหมุนเวียนของเขตเวลา (Time Zone) ของศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลก ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ออสเตรเลีย เอเชีย ยุโรป ไปจนถึงอเมริกาเหนือ เมื่อตลาดแห่งหนึ่งในซีกโลกหนึ่งปิดทำการ ตลาดอีกแห่งหนึ่งในอีกซีกโลกหนึ่งก็จะเริ่มเปิดทำการขึ้นมาแทนที่ทันที ทำให้เกิดการส่งต่อสภาพคล่องและการซื้อขายกันไปอย่างไม่มีสะดุด:
- เริ่มต้นจากตลาดซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ในเช้าวันจันทร์
- ส่งต่อไปยังตลาดโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
- ต่อเนื่องไปที่ตลาดลอนดอน สหราชอาณาจักร
- และปิดท้ายรอบวันด้วยตลาดนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในช่วงเย็นวันศุกร์
วงจรนี้จะดำเนินไปเรื่อยๆ ตลอดสัปดาห์การทำงาน ซึ่งหมายความว่าเทรดเดอร์สามารถเข้าถึงตลาดและดำเนินการซื้อขายได้ตลอดเวลาทำการ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ตลาดใดตลาดหนึ่งเปิดทำการ นี่คือข้อได้เปรียบที่สำคัญของตลาด Forex ที่แตกต่างจากตลาดการลงทุนอื่น ๆ
เจาะลึก 4 ช่วงเวลาตลาด Forex หลัก (Major Forex Sessions) ตามเวลาไทย
เพื่อให้การวางแผนการเทรดของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด การทำความเข้าใจในรายละเอียดของแต่ละช่วงตลาดหลัก (Major Forex Sessions) จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาตามเวลาประเทศไทย (GMT+7)
1. ตลาดซิดนีย์ (Sydney Session): การเริ่มต้นของวันเทรดและโอกาสแรกของสัปดาห์
ตลาดซิดนีย์ถือเป็นตลาดแรกที่เปิดทำการในแต่ละสัปดาห์และในแต่ละวันของภูมิภาคแปซิฟิก เปรียบเสมือนการ “อุ่นเครื่อง” ก่อนที่ตลาดใหญ่ๆ จะเริ่มตื่นตัว
- เวลาเปิด-ปิด (ตามเวลาไทย): โดยประมาณ 05:00 น. – 13:00 น. (อาจมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยตามการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล Daylight Saving Time ของออสเตรเลีย)
- ลักษณะเด่นและสภาวะตลาด:
- สภาพคล่อง (Liquidity): ในช่วงต้นของตลาดซิดนีย์ สภาพคล่องจะค่อนข้างต่ำเนื่องจากตลาดใหญ่อื่นๆ ยังคงปิดทำการ ทำให้ปริมาณการซื้อขายโดยรวมไม่สูงมากนัก
- ความผันผวน (Volatility): ความผันผวนของราคาในช่วงนี้ก็มักจะไม่สูงมากนักเช่นกัน การเคลื่อนไหวของราคาอาจเป็นไปอย่างช้าๆ หรืออยู่ในกรอบแคบๆ
- กิจกรรม: เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ตลาด, วางแผนการเทรด, หรือตั้งค่าคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า (Pending Orders) สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการความสงบและไม่เร่งรีบ
- สกุลเงินที่น่าสนใจ: สกุลเงินหลักที่ได้รับอิทธิพลมากที่สุดในช่วงนี้คือสกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคโอเชียเนีย ได้แก่ ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) และดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD)
- คู่เงินยอดนิยม: AUD/USD, NZD/USD, และ AUD/JPY มักจะมีการเคลื่อนไหวที่สังเกตเห็นได้
- ปัจจัยขับเคลื่อน: ข่าวเศรษฐกิจหรือข้อมูลสำคัญจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เช่น ตัวเลขการจ้างงาน, ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI), หรือการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางของทั้งสองประเทศ (RBA และ RBNZ) จะมีผลกระทบโดยตรงต่อคู่เงินเหล่านี้
- ข้อควรพิจารณา: การเทรดในช่วงนี้อาจต้องใช้ความอดทนสูง เนื่องจากตลาดอาจไม่คึกคักเท่าช่วงอื่น หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่ชอบความผันผวนสูง อาจไม่เหมาะกับช่วงเวลาดังกล่าว
2. ตลาดโตเกียว (Tokyo Session): ศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชีย
ตลาดโตเกียวเป็นตลาดหลักแห่งแรกในโซนเอเชียที่เปิดทำการ โดยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของสกุลเงินเอเชีย
- เวลาเปิด-ปิด (ตามเวลาไทย): โดยประมาณ 07:00 น. – 15:00 น. (เวลาของตลาดโตเกียวค่อนข้างคงที่เนื่องจากญี่ปุ่นไม่มี Daylight Saving Time)
- ลักษณะเด่นและสภาวะตลาด:
- สภาพคล่องและปริมาณการซื้อขาย: ตลาดโตเกียวมีความคึกคักมากกว่าซิดนีย์ และมีปริมาณการซื้อขายสูงเป็นอันดับสามของโลก รองจากลอนดอนและนิวยอร์ก
- ความผันผวน: ความผันผวนจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับตลาดซิดนีย์ โดยเฉพาะคู่สกุลเงินที่มี JPY เป็นส่วนประกอบ
- กิจกรรม: มักมีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญจากญี่ปุ่นและจีน ซึ่งเป็นสองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย
- สกุลเงินที่น่าสนใจ: สกุลเงินเยนของญี่ปุ่น (JPY) จะเป็นสกุลเงินหลักที่ได้รับความสนใจมากที่สุด
- คู่เงินยอดนิยม: USD/JPY, EUR/JPY, GBP/JPY และคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับ AUD, NZD, SGD (ดอลลาร์สิงคโปร์) มักจะมีการเคลื่อนไหวที่โดดเด่น
- ปัจจัยขับเคลื่อน: การประกาศนโยบายการเงินจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ), ตัวเลขเศรษฐกิจของญี่ปุ่น เช่น GDP, ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม, และข่าวสารจากประเทศจีน จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
- ข้อควรพิจารณา: เทรดเดอร์ควรระมัดระวังการเทรดในช่วงที่มีการประกาศข่าวสำคัญ เพราะอาจทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและคาดเดายาก
3. ตลาดลอนดอน (London Session): ศูนย์กลางสภาพคล่องและพลังขับเคลื่อนของโลก
ตลาดลอนดอนได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของโลกในด้านปริมาณการซื้อขาย Forex
- เวลาเปิด-ปิด (ตามเวลาไทย): โดยประมาณ 14:00 น. – 23:00 น. (เวลานี้จะมีการเปลี่ยนแปลงตาม Daylight Saving Time ของสหราชอาณาจักร)
- ลักษณะเด่นและสภาวะตลาด:
- สภาพคล่องสูงสุด: เป็นช่วงเวลาที่มีปริมาณการซื้อขายและสภาพคล่องสูงที่สุดในรอบวัน เนื่องจากเป็นจุดที่ตลาดเอเชียกำลังจะปิดและตลาดอเมริกาเหนือกำลังจะเปิด ทำให้เกิดการคาบเกี่ยวกันของกิจกรรมการซื้อขายจากหลายภูมิภาค
- ความผันผวนสูง: ความผันผวนของราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แนวโน้มราคาที่ชัดเจนมักจะก่อตัวขึ้นในช่วงนี้
- สเปรด (Spread) แคบลง: ด้วยสภาพคล่องที่สูง ทำให้ สเปรด (Spread) หรือส่วนต่างราคา Bid-Ask มักจะแคบลง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเทรดเดอร์
- สกุลเงินที่น่าสนใจ: สกุลเงินหลักของยุโรปจะมีความเคลื่อนไหวสูงมาก
- คู่เงินยอดนิยม: ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP), ยูโร (EUR), และฟรังก์สวิส (CHF) จะเป็นที่จับตา โดยเฉพาะคู่ Major Pairs เช่น EUR/USD, GBP/USD, EUR/GBP, USD/CHF มักจะแสดงแนวโน้มที่ชัดเจน
- ปัจจัยขับเคลื่อน: ข่าวเศรษฐกิจสำคัญจากสหราชอาณาจักรและกลุ่มยูโรโซน เช่น การตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE), ตัวเลข GDP, อัตราเงินเฟ้อ, และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) จะมีอิทธิพลอย่างมาก
- ข้อควรพิจารณา: เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ชื่นชอบความผันผวนและโอกาสในการทำกำไรอย่างรวดเร็ว แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
4. ตลาดนิวยอร์ก (New York Session): เมื่อยักษ์ใหญ่ตื่นขึ้นและปิดท้ายวันเทรด
ตลาดนิวยอร์กเป็นตลาดสุดท้ายในแต่ละวันที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD)
- เวลาเปิด-ปิด (ตามเวลาไทย): โดยประมาณ 19:00 น. – 04:00 น. (เวลานี้จะมีการเปลี่ยนแปลงตาม Daylight Saving Time ของสหรัฐอเมริกา)
- ลักษณะเด่นและสภาวะตลาด:
- สภาพคล่องสูง: เป็นช่วงที่มีสภาพคล่องสูงเป็นอันดับสองรองจากลอนดอน และเป็นช่วงที่ตลาดโลกมีความอ่อนไหวต่อข่าวเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามากที่สุด
- ความผันผวนรุนแรง: การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ สามารถสร้างความผันผวนรุนแรงในระยะสั้นได้ ซึ่งเป็นโอกาสทองของเทรดเดอร์ข่าว
- ช่วงท้ายตลาด: ช่วง 00:00-04:00 น. (ตามเวลาไทย) ตลาดจะเริ่มมีสภาพคล่องลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งปิดทำการ
- สกุลเงินที่น่าสนใจ: ดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) คือสกุลเงินที่มีบทบาทสำคัญที่สุด และเป็นสกุลเงินหลักที่ใช้ในการจับคู่กับสกุลเงินอื่น ๆ ทั่วโลก
- คู่เงินยอดนิยม: ทุกคู่เงินที่จับคู่กับ USD จะมีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY, USD/CAD, XAU/USD (ทองคำ)
- ปัจจัยขับเคลื่อน: การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ เช่น Non-Farm Payrolls, อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED), ตัวเลข GDP, อัตราเงินเฟ้อ (CPI), และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค สามารถสร้างการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรุนแรง
- ข้อควรพิจารณา: เทรดเดอร์ต้องระมัดระวังการเทรดในช่วงที่มีการประกาศข่าวสำคัญของสหรัฐฯ และควรใช้ Stop Loss (SL) เสมอเพื่อจำกัดความเสี่ยง การเทรดในช่วงท้ายตลาดนิวยอร์กซึ่งสภาพคล่องเริ่มลดลงอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากสเปรดที่กว้างขึ้น
ตารางสรุปเวลาเปิดปิดตลาด Forex ตามเวลาประเทศไทย (GMT+7) และผลกระทบ Daylight Saving Time (DST)
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นและสะดวกต่อการอ้างอิง เราได้สรุปช่วงเวลาทำการของแต่ละตลาดหลัก พร้อมทั้งลักษณะเด่นและผลกระทบของการปรับเวลาตามฤดูกาล (Daylight Saving Time – DST) ซึ่งจะทำให้เวลาเปิด-ปิดในบางช่วงเลื่อนไป 1 ชั่วโมง
| ตลาด (Session) | ช่วงเวลาปกติ (ตามเวลาไทย) | ช่วงเวลา (Daylight Saving) | ลักษณะเด่น | คู่เงินที่น่าสนใจ |
|---|---|---|---|---|
| ซิดนีย์ (Sydney) | 05:00 – 13:00 น. | 04:00 – 12:00 น. | สภาพคล่องต่ำ, เริ่มต้นสัปดาห์, ผันผวนน้อย | AUD/USD, NZD/USD, AUD/JPY |
| โตเกียว (Tokyo) | 07:00 – 15:00 น. | 06:00 – 14:00 น. | สภาพคล่องปานกลาง, ตลาดเอเชียคึกคัก, ข่าวญี่ปุ่น/จีน | USD/JPY, EUR/JPY, GBP/JPY |
| ลอนดอน (London) | 15:00 – 23:00 น. | 14:00 – 22:00 น. | สภาพคล่องสูงสุด, ผันผวนสูง, สเปรดแคบ | GBP/USD, EUR/USD, EUR/GBP, Major Pairs |
| นิวยอร์ก (New York) | 20:00 – 04:00 น. | 19:00 – 03:00 น. | สภาพคล่องสูง, อ่อนไหวต่อข่าว US, ผันผวนรุนแรง | USD/JPY, GBP/USD, XAU/USD (ทองคำ), ทุกคู่ USD |
หมายเหตุ: การปรับเวลา Daylight Saving Time (DST) จะเกิดขึ้นประมาณเดือนมีนาคม/เมษายน และสิ้นสุดประมาณเดือนตุลาคม/พฤศจิกายน ของทุกปี โดยมีผลต่อเวลาเปิด-ปิดของตลาดยุโรปและอเมริกา เทรดเดอร์ควรตรวจสอบปฏิทินเศรษฐกิจและเวลาตลาดอย่างสม่ำเสมอเพื่อความถูกต้อง

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเทรด Forex คือตอนไหน? การเลือกช่วงเวลาให้เหมาะกับกลยุทธ์
คำถามที่เทรดเดอร์ทุกคนต่างต้องการคำตอบคือ “ควรเทรดช่วงไหนดีที่สุด?” คำตอบสำหรับคำถามนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่ใช้ได้กับทุกคน เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ กลยุทธ์การเทรด, เป้าหมายในการทำกำไร, ความอดทนต่อความเสี่ยง, และไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของเทรดเดอร์แต่ละคน อย่างไรก็ตาม มีช่วงเวลาหนึ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามี “ศักยภาพ” ในการทำกำไรสูงเป็นพิเศษ นั่นคือ “ช่วงที่ตลาดคาบเกี่ยวกัน” (Market Overlaps)
ช่วงเวลาที่ตลาดคาบเกี่ยวกัน (Market Overlaps): ขุมทรัพย์ของนักเทรดผู้ชาญฉลาด
ช่วงเวลาที่ตลาดคาบเกี่ยวกัน หมายถึงช่วงเวลาที่ศูนย์กลางทางการเงินขนาดใหญ่ตั้งแต่สองแห่งขึ้นไปเปิดทำการพร้อมกัน ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) พุ่งสูงขึ้นมหาศาล สภาพคล่องในตลาดอยู่ในระดับสูงสุด และที่สำคัญที่สุดคือ ความผันผวนของราคา (Price Volatility) ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย สภาวะตลาดเช่นนี้เป็นที่ชื่นชอบของเทรดเดอร์จำนวนมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ราคาเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญและมีโอกาสในการทำกำไรสูง
- ช่วงคาบเกี่ยว ลอนดอน – นิวยอร์ก (London – New York Overlap): “ช่วงเวลาทอง” ที่ไม่ควรมองข้าม
- เวลาโดยประมาณ (ตามเวลาไทย): 19:00 น. – 23:00 น.
- ทำไมถึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด?: นี่คือ “ช่วงเวลาทอง” ที่แท้จริงของการเทรด Forex และเป็นช่วงที่ปริมาณการซื้อขายสูงสุดในรอบวัน เพราะเป็นช่วงที่ศูนย์กลางการเงินที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งของโลก (ลอนดอนและนิวยอร์ก) เปิดทำการพร้อมกัน เทรดเดอร์จากทั้งยุโรปและอเมริกาต่างก็เข้ามามีส่วนร่วมในตลาด
- ลักษณะเด่น:
- สภาพคล่องสูงสุด: สเปรด (Spread) มักจะแคบที่สุด ทำให้ต้นทุนการเทรดต่ำลง
- ความผันผวนสูงสุด: ราคาเคลื่อนไหวรวดเร็วและมีแนวโน้มที่ชัดเจน มักจะเกิดการเบรกเอาท์ (Breakout) และสร้างเทรนด์ใหม่ๆ
- การประกาศข่าวสำคัญ: เป็นช่วงเวลาที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญจากทั้งฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งมักจะส่งผลกระทบต่อราคาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
- เหมาะสำหรับ: เทรดเดอร์ที่ต้องการจับการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและรวดเร็ว Scalpers, Day Traders และ Swing Traders ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดในช่วงที่แนวโน้มกำลังก่อตัวอย่างชัดเจน
- ช่วงคาบเกี่ยว ซิดนีย์ – โตเกียว (Sydney – Tokyo Overlap): โอกาสในตลาดเอเชีย-แปซิฟิก
- เวลาโดยประมาณ (ตามเวลาไทย): 07:00 น. – 13:00 น.
- ทำไมถึงน่าสนใจ?: แม้จะมีความคึกคักไม่เท่าช่วงคาบเกี่ยวลอนดอน-นิวยอร์ก แต่ก็เป็นช่วงที่มีสภาพคล่องสูงกว่าช่วงที่ตลาดใดตลาดหนึ่งเปิดเดี่ยวๆ และมีความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากตลาดซิดนีย์
- เหมาะสำหรับ: เทรดเดอร์ที่เน้นคู่สกุลเงินในโซนเอเชีย-แปซิฟิก เช่น AUD/JPY, NZD/JPY, AUD/USD และผู้ที่ต้องการเทรดในช่วงเช้าตามเวลาประเทศไทย
- ข้อดี: เป็นช่วงที่สามารถจับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินที่ได้รับอิทธิพลจากข่าวสารในภูมิภาคเอเชียและออสเตรเลีย
กลยุทธ์การเลือกช่วงเวลาเทรดให้เหมาะกับสไตล์ของคุณ: ปรับให้เข้ากับบุคลิกของตลาดและตัวคุณเอง
การเลือกช่วงเวลาเทรดที่เหมาะสมเป็นส่วนหนึ่งของ กลยุทธ์การเทรดที่ประสบความสำเร็จ คุณควรพิจารณาสไตล์การเทรดและเป้าหมายของคุณเอง
- สำหรับ Scalpers และ Day Traders (เทรดสั้นและเทรดรายวัน):
- แนะนำ: ควรเน้นเทรดในช่วงที่มีความผันผวนและสภาพคล่องสูงที่สุด นั่นคือ ช่วงคาบเกี่ยวระหว่างลอนดอนและนิวยอร์ก (19:00 น. – 23:00 น. ตามเวลาไทย)
- เหตุผล: ช่วงเวลานี้มีการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและรวดเร็ว ทำให้มีโอกาสในการเข้าและออกออเดอร์อย่างฉับไว เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคาเล็กๆ หรือ Pip หลายๆ ครั้ง
- เคล็ดลับ: การตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit ที่แม่นยำเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง
- สำหรับ Swing Traders (เทรดตามรอบสวิง):
- แนะนำ: อาจไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา แต่การเข้าออเดอร์ในช่วงเริ่มต้นของตลาดลอนดอน (14:00 น. ตามเวลาไทย) ซึ่งมักจะเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มสำคัญในแต่ละวัน ก็เป็นกลยุทธ์ที่ดี
- เหตุผล: ช่วงเริ่มต้นตลาดลอนดอนมักจะแสดงทิศทางของตลาดที่ชัดเจน ซึ่งเหมาะสำหรับการจับรอบสวิงของราคาที่ยาวนานกว่าการเทรดสั้น
- เคล็ดลับ: การวิเคราะห์กราฟใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น H4, D1) ประกอบกับการพิจารณาข่าวสารพื้นฐาน จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ
- สำหรับเทรดเดอร์ Part-time ในประเทศไทย:
- แนะนำ: ช่วงคาบเกี่ยวลอนดอน-นิวยอร์ก (ช่วงค่ำ ประมาณ 19:00 น. – 23:00 น. ตามเวลาไทย) ถือเป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
- เหตุผล: เป็นช่วงหลังเลิกงานประจำ ทำให้สามารถโฟกัสกับการเทรดได้อย่างเต็มที่และใช้ประโยชน์จากสภาพคล่องและความผันผวนสูงสุดของตลาด
- เคล็ดลับ: การจัดสรรเวลาให้เหมาะสมกับการเทรดและพักผ่อน จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถรักษาสมดุลและประสิทธิภาพในการเทรดได้ในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับเวลาเปิด-ปิดตลาด Forex
ตลาด Forex ปิดทำการในวันเสาร์-อาทิตย์จริงหรือไม่ และเพราะอะไร?
จริงครับ ตลาด Forex จะหยุดทำการซื้อขายในวันเสาร์และวันอาทิตย์ของทุกสัปดาห์
เหตุผลหลักคือ:
- สถาบันการเงินหลักหยุดทำการ: ธนาคารกลาง, ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่, และสถาบันการเงินทั่วโลกซึ่งเป็นผู้เล่นหลักและเป็นแหล่งสภาพคล่องสำคัญในตลาด Forex นั้น มักจะหยุดทำการในช่วงสุดสัปดาห์ ส่งผลให้การทำธุรกรรมขนาดใหญ่และสภาพคล่องในตลาดลดลงอย่างมาก
- ปริมาณการซื้อขายต่ำ: เมื่อไม่มีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาซื้อขาย ปริมาณการซื้อขายในตลาดจะเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด จนแทบไม่มีการเคลื่อนไหวของราคาที่มีนัยสำคัญเกิดขึ้น การเทรดในช่วงนี้จึงไม่คุ้มค่าและอาจมีความเสี่ยงสูงจากสเปรดที่กว้างผิดปกติ
ตลาดจะกลับมาเปิดทำการอีกครั้งในเช้าวันจันทร์ตามเวลาของตลาดซิดนีย์ (ประมาณ 05:00 น. ตามเวลาประเทศไทย) และจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงปิดตลาดของนิวยอร์กในคืนวันศุกร์ (ประมาณ 04:00 น. ของเช้าวันเสาร์ตามเวลาประเทศไทย)
เวลาเปิดปิดตลาด Forex มีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลหรือไม่ และส่งผลอย่างไร?
ใช่ครับ มีการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า Daylight Saving Time (DST) หรือการปรับเวลาตามฤดูกาล ซึ่งประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือจะมีการปรับเวลาให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมงในช่วงฤดูร้อน (ประมาณปลายเดือนมีนาคม/ต้นเมษายน ถึงปลายเดือนตุลาคม/ต้นพฤศจิกายน) เพื่อให้มีช่วงเวลากลางวันในตอนเย็นมากขึ้น และจะปรับเวลากลับมาเป็นปกติเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว
ผลกระทบต่อเวลาตลาด Forex ตามเวลาประเทศไทย:
- ตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก: การปรับเวลา DST นี้จะส่งผลโดยตรงต่อเวลาเปิด-ปิดของตลาดลอนดอนและนิวยอร์กตามเวลาประเทศไทย ทำให้เวลาเปิดและปิดของทั้งสองตลาด เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง ในช่วงฤดูร้อนของประเทศเหล่านั้น
- ตัวอย่าง:
- ตลาดลอนดอน: จากปกติ 15:00 น. – 23:00 น. จะกลายเป็น 14:00 น. – 22:00 น.
- ตลาดนิวยอร์ก: จากปกติ 20:00 น. – 04:00 น. จะกลายเป็น 19:00 น. – 03:00 น.
สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องทำ: เทรดเดอร์จึงต้องตรวจสอบและปรับเปลี่ยนตารางการเทรดของตนเองตามไปด้วย เพื่อให้สามารถเข้าถึงช่วงเวลาตลาดที่ต้องการได้อย่างถูกต้องและไม่พลาดโอกาสสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงคาบเกี่ยวลอนดอน-นิวยอร์กที่เป็น “ช่วงเวลาทอง”
ควรหลีกเลี่ยงการเทรดช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษในตลาด Forex?
แม้ว่าตลาด Forex จะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่เทรดเดอร์ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ หรือหลีกเลี่ยงการเทรดไปเลย เพื่อลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น:
- ช่วงท้ายตลาดนิวยอร์ก (หลัง 04:00 น. ตามเวลาไทย):
- ลักษณะ: เป็นช่วงที่สภาพคล่องต่ำที่สุดของวัน หรือที่เรียกกันว่า “ตลาดวาย” เพราะธนาคารและสถาบันการเงินส่วนใหญ่ในฝั่งตะวันตกได้ปิดทำการไปแล้ว และตลาดยุโรปยังไม่เปิด
- ผลกระทบ: สเปรด (Spread) อาจกว้างขึ้นอย่างมาก ทำให้ต้นทุนการเทรดสูงขึ้น และราคาอาจเคลื่อนไหวผิดปกติ หรือมีการเหวี่ยงตัวอย่างรุนแรงโดยไม่มีปริมาณการซื้อขายรองรับ (Slippage) ซึ่งเป็นอันตรายต่อการเทรด
- ช่วงเปิดตลาดเช้าวันจันทร์ (ประมาณ 05:00 น. ตามเวลาไทย):
- ลักษณะ: เป็นช่วงที่ตลาดซิดนีย์เปิดทำการ แต่ยังคงมีความเสี่ยงสูง
- ผลกระทบ: ราคาอาจเกิด “Gap” หรือช่องว่างของราคาที่กระโดดขึ้นหรือลงจากราคาปิดของวันศุกร์อย่างรุนแรง เนื่องจากมีข่าวสารหรือเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งอาจส่งผลให้คำสั่ง Stop Loss ไม่ทำงานตามราคาที่ตั้งไว้ หรือเปิดออเดอร์ได้ที่ราคาที่ไม่พึงประสงค์ (Gap คืออะไร)
- ช่วงวันหยุดธนาคารสำคัญ (Bank Holidays) ของศูนย์กลางทางการเงินหลัก:
- ลักษณะ: เช่น วันคริสต์มาส, วันปีใหม่, Good Friday หรือวันหยุดสำคัญของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, ญี่ปุ่น
- ผลกระทบ: ตลาดการเงินหลักๆ ของโลกปิดทำการ จะทำให้สภาพคล่องในตลาดลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ความผันผวนอาจต่ำมากจนไม่คุ้มค่ากับการเทรด หรือบางครั้งก็อาจเกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติจากปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง
- ช่วงการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญที่มีผลกระทบสูง:
- ลักษณะ: เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง, ตัวเลข Non-Farm Payrolls ของสหรัฐฯ, การประชุมของผู้นำกลุ่ม G7/G20
- ผลกระทบ: ราคาจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและรุนแรง อาจเกิด Slippage และ Stop Loss ลาก ทำให้เทรดเดอร์ที่ไม่ได้เตรียมตัวรับมือหรือไม่เข้าใจกลยุทธ์การเทรดข่าวอาจขาดทุนได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการเปิดออเดอร์ก่อนหรือในขณะที่มีการประกาศข่าวเหล่านี้ หากคุณไม่มีประสบการณ์ในการเทรดข่าว (ข่าวที่มีผลกระทบต่อตลาด)
บทสรุป: กุญแจสู่การเทรด Forex อย่างชาญฉลาดและยั่งยืน
การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับ “เวลาเปิด-ปิดตลาด Forex” ไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำตารางเวลาเท่านั้น แต่คือการหยั่งรู้ถึง “จังหวะและชีพจร” ของตลาดโลก การที่เทรดเดอร์สามารถรู้ได้อย่างแม่นยำว่าช่วงเวลาใดมีสภาพคล่องสูง ช่วงเวลาใดมีความผันผวนมากน้อยเพียงใด และสกุลเงินใดมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ จะเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถวาง กลยุทธ์การเทรด Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งสามารถลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นจากการเทรดในสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย
เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงคือผู้ที่สามารถปรับตัวและเลือกใช้ช่วงเวลาของตลาดให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสไตล์การเทรดส่วนตัวของตนเอง ไม่ว่าคุณจะเป็น Scalper ที่ชื่นชอบความรวดเร็ว Day Trader ที่มองหาโอกาสรายวัน หรือ Swing Trader ที่เน้นการจับรอบเทรนด์ในระยะยาว การรู้จักเวลาตลาดคือข้อได้เปรียบที่สำคัญ
ดังนั้น จงนำข้อมูลเชิงลึกและเคล็ดลับที่ได้จากบทความนี้ไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนการเทรดของคุณ เพื่อเริ่มต้นสร้างความได้เปรียบในตลาดที่มีการแข่งขันสูงนี้ และพัฒนาตนเองให้เป็นเทรดเดอร์มืออาชีพที่มี วินัยและจิตวิทยาการเทรด ที่แข็งแกร่ง สำหรับ มือใหม่ที่สนใจ ในการเริ่มต้น การฝึกฝนใน บัญชีเดโม่ (Demo Account) ในช่วงเวลาตลาดต่างๆ จะช่วยให้คุณค้นพบช่วงเวลาที่ใช่และเหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณมากที่สุด ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่การเทรดด้วยบัญชีจริง


