TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

5 ปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุให้ตลาด Forex มีการเคลื่อนไหว

มิถุนายน 13, 2022

5 ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด Forex: เจาะลึกกลไกความผันผวนของคู่สกุลเงิน

5 ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด Forex

ตลาด Forex หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงถึงหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ความเคลื่อนไหวของราคาคู่สกุลเงินในตลาดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไร้ทิศทาง แต่ถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยที่ซับซ้อนและหลากหลาย ซึ่งนักลงทุนทุกคนควรทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่มีประสิทธิภาพและสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืน การทำความเข้าใจแนวโน้มตลาดตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ของการซื้อขายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนกลยุทธ์และบริหารความเสี่ยง

การวิเคราะห์ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาด Forex

ความผันผวนของราคาคู่สกุลเงินในตลาด Forex เป็นผลลัพธ์ของแรงซื้อและแรงขายที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองของนักลงทุนต่อข้อมูลและเหตุการณ์ต่างๆ ทั่วโลก โดยเราสามารถแบ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาด Forex มีการเคลื่อนไหวออกเป็น 5 หมวดหมู่หลัก ดังต่อไปนี้

1. ข้อมูลทางเศรษฐกิจมหภาค: หัวใจของการเคลื่อนไหวในตลาด Forex

ข้อมูลทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อมูลค่าของสกุลเงิน ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงสุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นตัวกำหนดว่านักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินนั้นๆ มากน้อยเพียงใด เมื่อมีข่าวเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มักส่งผลให้สกุลเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น และในทางกลับกัน หากข่าวออกมาอ่อนแอ สกุลเงินก็จะอ่อนค่าลง ตัวอย่างข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่:

  • การประกาศอัตราดอกเบี้ย: ธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะประกาศอัตราดอกเบี้ยหลัก ซึ่งมีผลโดยตรงต่อต้นทุนการกู้ยืมและการลงทุน หากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น มักดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ ทำให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น เพราะนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากการฝากเงินหรือลงทุนในประเทศนั้นๆ (ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรด Forex)
  • รายงานการประชุมของธนาคารกลาง (Meeting Minutes): รายงานนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวคิดและมุมมองของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญสำหรับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต หากรายงานมีแนวโน้ม Hawkish (สนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ย) สกุลเงินก็มีแนวโน้มแข็งค่า
  • การจ้างงาน โดยเฉพาะ Non-Farm Payroll (NFP): เป็นข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดข่าวหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยจะประกาศในวันศุกร์แรกของทุกเดือน ข่าวนี้สะท้อนถึงจำนวนการจ้างงานนอกภาคเกษตร ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน หากตัวเลข NFP ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ มักส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • ยอดค้าปลีก (Retail Sales): บ่งบอกถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนการเติบโต หากยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจมีการเติบโตที่ดี สกุลเงินก็มีแนวโน้มแข็งค่า
  • รายงาน ISM/PMI (Purchasing Managers’ Index): เป็นดัชนีที่สะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตและภาคบริการ หากดัชนีสูงกว่า 50 แสดงถึงการขยายตัวของภาคส่วนนั้นๆ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสกุลเงิน
  • ธุรกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Business and Consumer Confidence): ดัชนีเหล่านี้สะท้อนถึงมุมมองและความคาดหวังของภาคธุรกิจและผู้บริโภคต่อสภาพเศรษฐกิจในอนาคต หากความเชื่อมั่นสูง มักนำไปสู่การลงทุนและการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
  • ข้อมูลที่พักอาศัย (Housing Data): ข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างบ้านใหม่ การอนุญาตก่อสร้าง และยอดขายบ้าน เป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้จ่ายและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
  • เงินเฟ้อ (Inflation): วัดจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หากเงินเฟ้อสูงเกินไป ธนาคารกลางอาจจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุม ซึ่งส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้นได้
  • ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product – GDP): คือมูลค่ารวมของสินค้าและบริการที่ผลิตได้ในประเทศ เป็นตัวชี้วัดหลักของขนาดและการเติบโตทางเศรษฐกิจ หาก GDP เติบโตแข็งแกร่ง แสดงถึงเศรษฐกิจที่แข็งแรง ทำให้สกุลเงินน่าสนใจมากขึ้น
  • ดุลการค้า (Trade Balance): แสดงถึงความแตกต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกและการนำเข้า หากประเทศมีการส่งออกมากกว่านำเข้า (เกินดุลการค้า) มักส่งผลให้สกุลเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น เนื่องจากมีความต้องการสกุลเงินของประเทศนั้นๆ มากขึ้นในการชำระค่าสินค้าและบริการ (ข่าวเศรษฐกิจ)

2. การแทรกแซงของธนาคารกลาง: ปัจจัยกำหนดทิศทางค่าเงิน

ธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจและค่าเงิน การแทรกแซงของธนาคารกลางมักเกิดขึ้นเมื่อค่าเงินของประเทศเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง ที่อาจทำให้มูลค่าต่ำลงหรือสูงขึ้นจนเกินไปจากกลไกตลาดปกติ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากกิจกรรมของนักเก็งกำไร ธนาคารกลางสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ในการแทรกแซง เช่น:

  • การซื้อขายสกุลเงินในตลาด: ธนาคารกลางอาจเข้าซื้อหรือขายสกุลเงินของตนเองในตลาด Forex โดยตรง เพื่อเพิ่มหรือลดอุปทานของสกุลเงินนั้นๆ และส่งผลต่อมูลค่า ตัวอย่างเช่น หากธนาคารกลางต้องการให้สกุลเงินอ่อนค่าลง ก็อาจขายสกุลเงินของตนเองออกไปจำนวนมาก
  • การปรับอัตราดอกเบี้ย: แม้จะกล่าวถึงในหัวข้อข้อมูลเศรษฐกิจ แต่การปรับอัตราดอกเบี้ยก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่ธนาคารกลางใช้ในการแทรกแซงตลาด หากต้องการดึงดูดเงินทุนเข้าประเทศเพื่อทำให้สกุลเงินแข็งค่า ก็อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ย
  • การใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing – QE) หรือการรัดเข็มขัดทางการเงิน (Quantitative Tightening – QT): QE เป็นการที่ธนาคารกลางเข้าซื้อพันธบัตรและสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ มักทำให้สกุลเงินอ่อนค่าลง ส่วน QT คือการลดขนาดงบดุลของธนาคารกลาง มักส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น
  • การออกแถลงการณ์หรือคำเตือน: บางครั้งเพียงแค่คำแถลงการณ์จากผู้บริหารธนาคารกลางก็สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดได้ นักลงทุนจะจับตาดูท่าทีและถ้อยแถลงเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

3. ภัยธรรมชาติ: เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เขย่าตลาด

แม้จะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก แต่ภัยธรรมชาติและเหตุการณ์ไม่คาดฝันขนาดใหญ่ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ น้ำท่วม หรือโรคระบาดร้ายแรง สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดค่าเงินได้อย่างมีนัยสำคัญและฉับพลัน เหตุการณ์เหล่านี้มักนำมาซึ่งความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และสร้างความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุน ซึ่งอาจส่งผลให้สกุลเงินของประเทศที่ได้รับผลกระทบอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การผลิต และการฟื้นตัวของประเทศนั้นๆ นักลงทุนมักจะย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า (Safe Haven Assets) เช่น ทองคำ หรือสกุลเงินที่ถือว่าปลอดภัย เช่น XAUUSD (ทองคำเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือ JPY (เยนญี่ปุ่น)

4. การเก็งกำไร: พลังขับเคลื่อนจากกิจกรรมของนักลงทุน

ในตลาด Forex การเก็งกำไรเป็นกิจกรรมหลักที่เกี่ยวข้องกับการซื้อและการขายสกุลเงิน โดยคาดหวังผลกำไรจากการแกว่งตัวของตลาด นักเก็งกำไรพยายามที่จะทำนายทิศทางของราคาในอนาคตโดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจ, ข่าวสาร, และปัจจัยทางเทคนิค (ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรด Forex สำหรับมือใหม่) กิจกรรมการเก็งกำไรจำนวนมหาศาลนี้เองที่สร้างสภาพคล่องและความผันผวนให้กับตลาด:

  • การคาดการณ์ข่าวสาร: นักเก็งกำไรจะพยายามคาดการณ์ผลลัพธ์ของข่าวเศรษฐกิจที่กำลังจะประกาศ และวางตำแหน่งการซื้อขายล่วงหน้า หากข่าวออกมาตามที่คาดการณ์ไว้ การเคลื่อนไหวของราคาจะยิ่งรุนแรงขึ้น
  • การใช้ปัจจัยทางเทคนิค: นักเก็งกำไรจำนวนมากใช้ การวิเคราะห์กราฟ และตัวชี้วัดทางเทคนิคต่างๆ (เช่น Moving Average, RSI, MACD) เพื่อระบุจุดเข้าและออกจากการซื้อขาย ทำให้เกิดรูปแบบราคาและแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้น
  • ผลกระทบจาก High-Frequency Trading (HFT): การซื้อขายด้วยความถี่สูงโดยใช้ Algorithm คอมพิวเตอร์สามารถสร้างปริมาณการซื้อขายและส่งผลต่อราคาในระยะเวลาอันสั้นได้
  • ความเชื่อมั่นของตลาด (Market Sentiment): ความเชื่อมั่นโดยรวมของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจหรือสกุลเงินหนึ่งๆ ก็เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ หากตลาดมี Sentiment ที่เป็นบวก สกุลเงินนั้นก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้น

5. ปัจจัยทางการเมือง: ความไม่แน่นอนที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่น

สถานการณ์ทางการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศมีผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความน่าดึงดูดใจของสกุลเงิน ในช่วงเวลาที่การเมืองเกิดความสับสนวุ่นวาย ความไม่แน่นอนทางการเมือง การเลือกตั้งที่ไม่คาดฝัน การเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญ หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ จะส่งผลให้เกิดความกังวลในหมู่นักลงทุน:

  • ความเสี่ยงด้านนโยบาย: การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้สกุลเงินผันผวน
  • ความไม่แน่นอน: ความไม่แน่นอนทางการเมืองสูงมักทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และย้ายเงินลงทุนไปยังแหล่งพักพิงที่ปลอดภัย (Safe Haven) ซึ่งอาจทำให้สกุลเงินของประเทศที่มีปัญหาสั่นคลอนอ่อนค่าลง
  • ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความขัดแย้งทางการค้า สงคราม หรือความตึงเครียดทางการทูตระหว่างประเทศ สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกและตลาด Forex ได้
  • การเลือกตั้ง: ผลการเลือกตั้งที่เหนือความคาดหมายสามารถสร้างความผันผวนอย่างมากให้กับสกุลเงิน เนื่องจากนักลงทุนประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากรัฐบาลชุดใหม่

ตารางสรุปปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด Forex

เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถสรุปปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด Forex ได้ดังตารางด้านล่างนี้:

ปัจจัยขับเคลื่อน คำอธิบายโดยละเอียด ตัวอย่างผลกระทบต่อสกุลเงิน
1. ข้อมูลทางเศรษฐกิจมหภาค ตัวชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย, NFP, GDP, เงินเฟ้อ, ยอดค้าปลีก, ดุลการค้า, รายงาน PMI/ISM, ความเชื่อมั่น อัตราดอกเบี้ยขึ้น -> สกุลเงินแข็งค่า
NFP แข็งแกร่ง -> USD แข็งค่า
GDP เติบโตสูง -> สกุลเงินแข็งค่า
2. การแทรกแซงของธนาคารกลาง การที่ธนาคารกลางเข้าซื้อ/ขายสกุลเงิน, ปรับอัตราดอกเบี้ย, หรือใช้ QE/QT เพื่อควบคุมค่าเงินและเสถียรภาพเศรษฐกิจ ธนาคารกลางขายสกุลเงิน -> สกุลเงินอ่อนค่า
ประกาศขึ้นดอกเบี้ย -> สกุลเงินแข็งค่า
3. ภัยธรรมชาติ เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ เช่น แผ่นดินไหว, สึนามิ, โรคระบาด ประเทศประสบภัยพิบัติ -> สกุลเงินอ่อนค่า
เงินไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
4. การเก็งกำไร กิจกรรมการซื้อขายสกุลเงินเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคา โดยอาศัยการวิเคราะห์ข่าวสารและเทคนิค นักเก็งกำไรคาดการณ์ข่าวเชิงบวก -> ซื้อสกุลเงินล่วงหน้า -> เพิ่มแรงซื้อ
5. ปัจจัยทางการเมือง ความไม่แน่นอนทางการเมือง, การเลือกตั้ง, การเปลี่ยนแปลงนโยบาย, ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่สงบทางการเมือง -> สกุลเงินอ่อนค่า
เงินไหลไปยังแหล่งพักพิงที่ปลอดภัย

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัจจัยขับเคลื่อนตลาด Forex

Q1: ข่าวเศรษฐกิจใดที่มีผลกระทบต่อตลาด Forex มากที่สุด?

A1: ข่าวเศรษฐกิจที่มีผลกระทบมากที่สุดมักจะเป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยและตลาดแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “Non-Farm Payroll (NFP)” ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการประกาศในวันศุกร์แรกของเดือน นอกจากนี้ การประกาศอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักๆ เช่น Fed (สหรัฐฯ), ECB (ยุโรป), BoJ (ญี่ปุ่น), BoE (อังกฤษ) ก็มีผลอย่างมาก เนื่องจากส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินและความน่าสนใจของสกุลเงินนั้นๆ หากนักลงทุนต้องการติดตามข่าวสารเหล่านี้ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่บทความ ข่าวที่มีผลกระทบต่อตลาด

Q2: การแทรกแซงของธนาคารกลางส่งผลต่อตลาด Forex อย่างไร?

A2: การแทรกแซงของธนาคารกลางมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและควบคุมค่าเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เมื่อธนาคารกลางเข้าแทรกแซง เช่น การซื้อหรือขายสกุลเงินของตนเองในตลาดเปิด หรือการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย จะส่งผลโดยตรงต่ออุปทานและอุปสงค์ของสกุลเงินนั้นๆ ทำให้มูลค่าของสกุลเงินเปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น หากธนาคารกลางต้องการให้สกุลเงินอ่อนค่าลง ก็อาจจะขายสกุลเงินของตนเองออกมาในตลาด ซึ่งเป็นการเพิ่มอุปทานและลดมูลค่าลง

Q3: นักลงทุนมือใหม่ควรให้ความสำคัญกับปัจจัยใดมากที่สุด?

A3: สำหรับนักลงทุนมือใหม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจพื้นฐานของปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค และเรียนรู้ที่จะติดตาม ข่าวเศรษฐกิจ สำคัญๆ เนื่องจากข่าวเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของตลาด นอกจากนี้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ การบริหารความเสี่ยง และการมีวินัยในการเทรดก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อปกป้องเงินทุนและสร้างประสบการณ์ในการลงทุนที่ดี

Q4: ภัยธรรมชาติมีผลกระทบต่อตลาดค่าเงินในระยะสั้นหรือระยะยาว?

A4: ภัยธรรมชาติมักส่งผลกระทบต่อตลาดค่าเงินในระยะสั้นและระยะกลางอย่างรุนแรงและฉับพลัน เนื่องจากสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภัยพิบัติ ศักยภาพในการฟื้นตัวของประเทศ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐและธนาคารกลาง หากประเทศสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ผลกระทบระยะยาวอาจจำกัด

Q5: การเก็งกำไรในตลาด Forex ถือเป็นสิ่งดีหรือไม่?

A5: การเก็งกำไรเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของตลาด Forex เพราะช่วยสร้างสภาพคล่อง (Liquidity) ทำให้มีการซื้อขายได้ตลอดเวลาและลดช่องว่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย (Spread) อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนแต่ละคน การเก็งกำไรมีความเสี่ยงสูงและต้องใช้ความรู้ ประสบการณ์ และการบริหารความเสี่ยงที่ดี หากไม่มีความเข้าใจที่เพียงพอ การเก็งกำไรอาจนำไปสู่การขาดทุนได้ง่าย ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการศึกษาและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

บทสรุป

การเคลื่อนไหวของตลาด Forex เป็นผลลัพธ์ของปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค, นโยบายของธนาคารกลาง, เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์, ภัยธรรมชาติ และกิจกรรมการเก็งกำไรของนักลงทุน การทำความเข้าใจในปัจจัยเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์แนวโน้มตลาดได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น วางแผนกลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ และบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและการติดตามข่าวสารเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในตลาด Forex (กลับสู่หน้าแรก fttinvesting.com)

หากคุณต้องการยกระดับการเทรดของคุณให้ดียิ่งขึ้น เราขอเสนอโอกาสพิเศษ! รับฟรี! ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA indicator) เพื่อช่วยคุณวิเคราะห์ตลาดและเข้าออกออเดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสิทธิ์เข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกและการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ เพียง สมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ที่เราแนะนำ ซึ่งเป็นโบรกเกอร์คุณภาพสูงและได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนทั่วโลก ได้แก่:

  • XM – โบรกเกอร์อันดับหนึ่งในไทยตลอดสิบปีที่ผ่านมา
  • Mtrading – โบรกเกอร์ที่มีสเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip และค่าคอมมิชชั่นต่ำ
  • Exness – โบรกเกอร์ที่ได้รับการยอมรับว่าฝากและถอนเงินได้รวดเร็วที่สุด

เมื่อสมัครเสร็จสิ้นและเปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว กรุณาส่งเลขบัญชี MT4 ของคุณไปที่ Line ID: @ft.th เพื่อขอรับ EA ระบบเทรดอัตโนมัติได้ฟรีทุกตัว พร้อมเข้าถึง EA ตัวใหม่ๆ ที่จะพัฒนาขึ้นในอนาคต

ช่องทางการพูดคุยและติดตามข้อมูล:

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line