FOREX FUTURES: ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการซื้อขายและสร้างผลกำไร

การลงทุนในตลาด Forex และอนุพันธ์ทางการเงินเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FOREX FUTURES ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ในอนาคตได้ บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมาย ประเภท กลไกการทำงาน ตลอดจนวิธีการซื้อขายและสร้างผลกำไรจากสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเหล่านี้ เพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจที่ถูกต้องและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
FUTURES คืออะไร: สัญญาแห่งอนาคตที่กำหนดราคาปัจจุบัน
คำว่า “FUTURES” หมายถึง “อนาคต” ซึ่งบ่งบอกถึงลักษณะสำคัญของสัญญาประเภทนี้ได้อย่างชัดเจน สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ Futures Contract คือ ข้อตกลงมาตรฐานระหว่างสองฝ่ายในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) ในปริมาณที่กำหนด ณ ราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า (Futures Price) โดยมีกำหนดส่งมอบและชำระราคากันในอนาคต
ความแตกต่างจากสัญญาซื้อขายทั่วไป
- การกำหนดราคาล่วงหน้า: สัญญา Futures ช่วยให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถ “ล็อกราคา” ของสินทรัพย์ได้ตั้งแต่ปัจจุบัน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในอนาคต
- ภาระผูกพัน: ผู้ซื้อสัญญา Futures มีภาระผูกพันที่จะต้อง “ซื้อ” สินทรัพย์อ้างอิงในวันที่กำหนดไว้ ส่วนผู้ขายมีภาระผูกพันที่จะต้อง “ขาย” สินทรัพย์นั้น การซื้อขายนี้เป็นไปตามปริมาณและคุณภาพมาตรฐานที่กำหนดโดยตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Exchange)
- การชำระราคา: การชำระราคาของสัญญา Futures จะเกิดขึ้นในวันที่ระบุในสัญญา ไม่ใช่ ณ วันที่ทำสัญญา
ตัวอย่างสินทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาด Futures
สัญญา Futures มีความหลากหลายครอบคลุมสินทรัพย์หลายประเภทที่พบได้ในชีวิตประจำวันและภาคเศรษฐกิจจริง ได้แก่:
- สินค้าโภคภัณฑ์: แก๊สธรรมชาติ, น้ำมันดิบ, น้ำมันเบนซิน, ทองคำ, ข้าว, ฝ้าย, ไม้ เป็นต้น
- โลหะมีค่า: ทองคำ, เงิน, แพลตินัม
- สกุลเงิน: คู่สกุลเงินต่างๆ ในตลาด Forex
- ดัชนีหุ้น: ดัชนีหลักทรัพย์ต่างๆ เช่น S&P 500, Dow Jones
- อัตราดอกเบี้ย: สัญญา Futures ที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ย
การทำความเข้าใจพื้นฐานของสัญญา Futures นี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน เนื่องจากเป็นรากฐานในการเรียนรู้กลยุทธ์การลงทุนและการบริหารความเสี่ยงในตลาด Futures ต่อไป
ประเภทของ FUTURES: เพื่อการส่งมอบจริงหรือการเก็งกำไร
สัญญา Futures สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก โดยมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ได้แก่ สัญญาที่เรียกร้องให้มีการส่งมอบสินทรัพย์จริง และสัญญาที่ไม่ต้องการการส่งมอบสินทรัพย์
1. สัญญาที่เรียกร้องให้มีการส่งมอบสินทรัพย์ (Physical Delivery Futures)
สัญญาประเภทนี้มักใช้ในภาคเศรษฐกิจจริง โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดการส่งมอบและรับมอบสินทรัพย์อ้างอิงจริงๆ ณ วันหมดอายุของสัญญา
- วัตถุประสงค์: หลักๆ คือการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากความผันผวนของราคาในอนาคต
- ตัวอย่าง:
- เกษตรกร: อาจทำสัญญา Futures เพื่อขายผลผลิตทางการเกษตรของตนในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อรับประกันรายได้และป้องกันความเสี่ยงจากราคาผลผลิตที่อาจตกต่ำลงเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว
- ผู้ผลิต: อาจทำสัญญา Futures เพื่อซื้อวัตถุดิบ (เช่น น้ำมัน หรือโลหะ) ในราคาที่ตกลงกันไว้ เพื่อควบคุมต้นทุนการผลิตและป้องกันความเสี่ยงจากราคาวัตถุดิบที่อาจปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
- กลไก: คู่สัญญา (ผู้ซื้อและผู้ขาย) ต่างมีภาระผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญา ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบหรือรับมอบสินทรัพย์จริง เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับสินค้าหรือขายสินค้าได้ในราคาที่เหมาะสม
2. สัญญาที่ไม่ต้องการการส่งมอบสินทรัพย์ (Cash-Settled Futures)
สัญญาประเภทนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนและผู้ค้าที่ต้องการทำกำไรจากความผันผวนของราคา โดยไม่จำเป็นต้องมีการส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิงจริงเมื่อสัญญาหมดอายุ การชำระราคาจะทำด้วยเงินสด โดยอ้างอิงจากความแตกต่างระหว่างราคาที่ตกลงไว้กับราคาตลาด ณ วันหมดอายุ
- วัตถุประสงค์: หลักๆ คือการเก็งกำไร (Speculation) จากการเปลี่ยนแปลงของราคา
- ตัวอย่าง:
- นักลงทุนเก็งกำไรน้ำมัน: สมมติว่านักลงทุนซื้อสัญญา Futures น้ำมันที่ราคา 48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากราคาตลาดน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ วันหมดอายุ นักลงทุนจะได้รับกำไร 8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยไม่จำเป็นต้องรับมอบน้ำมันจริง แต่หากราคาลดลงเหลือ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นักลงทุนก็จะขาดทุน 8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
- ความสะดวก: นักลงทุนไม่จำเป็นต้องจัดการกับการจัดเก็บหรือขนส่งสินทรัพย์จริง ทำให้การซื้อขายทำได้ง่ายและรวดเร็ว เพียงแค่คลิกไม่กี่ครั้งก็สามารถชำระสัญญาได้
- กลไก: เมื่อสัญญาหมดอายุ ระบบจะคำนวณกำไรหรือขาดทุนตามส่วนต่างของราคา และชำระเงินสดให้กับผู้ที่ทำกำไร หรือหักเงินจากผู้ที่ขาดทุน
การทำความเข้าใจประเภทของสัญญา Futures จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และกลยุทธ์การลงทุนของตนเองได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงหรือการเก็งกำไร
สัญญาซื้อขาย FUTURES มีการซื้อขายที่ไหน: ตลาดหลักทรัพย์ Futures ทั่วโลก
สัญญาซื้อขาย Futures ไม่ได้มีการซื้อขายกันทั่วไป แต่จะถูกซื้อขายในตลาดเฉพาะที่เรียกว่า “ตลาดหลักทรัพย์ Futures” หรือ “Futures Exchange” ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่ถูกกฎหมายและมีการกำกับดูแล เพื่อให้มั่นใจถึงความโปร่งใสและยุติธรรมในการซื้อขาย ตลาดเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันในนามตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และ Futures
บทบาทของตลาดหลักทรัพย์ Futures
- กำหนดมาตรฐาน: ตลาดหลักทรัพย์ Futures มีหน้าที่กำหนดมาตรฐานของสัญญา เช่น ประเภทของสินทรัพย์อ้างอิง ปริมาณ มาตรฐานคุณภาพ และวันหมดอายุ เพื่อให้การซื้อขายเป็นไปอย่างเป็นระบบและสอดคล้องกันทั่วโลก
- สร้างสภาพคล่อง: การรวมศูนย์การซื้อขายช่วยให้มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดสภาพคล่องในตลาดสูง นักลงทุนสามารถเข้าและออกจากสถานะการลงทุนได้ง่าย
- การกำกับดูแล: ตลาดหลักทรัพย์มีกลไกในการกำกับดูแลและตรวจสอบกิจกรรมการซื้อขาย เพื่อป้องกันการปั่นป่วนราคาและการกระทำที่ไม่เป็นธรรม
ตลาดหลักทรัพย์ Futures ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาด Futures ทั่วโลกผ่านโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาต โดยตลาดที่มีบทบาทสำคัญได้แก่:
- New York Mercantile Exchange (NYMEX): เป็นส่วนหนึ่งของ CME Group มีความโดดเด่นในการซื้อขายสัญญา Futures สินค้าโภคภัณฑ์พลังงาน เช่น น้ำมันดิบ (WTI), ก๊าซธรรมชาติ
- Chicago Board of Trade (CBOT): ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ CME Group เช่นกัน มีชื่อเสียงในการซื้อขายสัญญา Futures สินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพด, ถั่วเหลือง, ข้าวสาลี และยังเป็นศูนย์กลางการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
- Chicago Mercantile Exchange (CME): เป็นตลาด Futures ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภท ตั้งแต่สกุลเงิน (Forex Futures), ดัชนีหุ้น (Equity Index Futures), อัตราดอกเบี้ย, โลหะมีค่า ไปจนถึงสินค้าเกษตร
- Intercontinental Exchange (ICE) (เดิมคือ International Petroleum Exchange – IPE): เป็นตลาดชั้นนำสำหรับการซื้อขายสัญญา Futures พลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันดิบ Brent ซึ่งเป็นมาตรฐานราคาน้ำมันที่สำคัญของโลก
- London International Financial Futures Exchange (LIFFE): ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ ICE Futures Europe เป็นตลาดสำคัญสำหรับการซื้อขายสัญญา Futures อัตราดอกเบี้ย, ตราสารหนี้ และดัชนีหุ้นยุโรป
- London Metals Exchange (LME): เป็นตลาดโลหะอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก มีการซื้อขายสัญญา Futures โลหะพื้นฐาน เช่น ทองแดง, อะลูมิเนียม, สังกะสี และนิกเกิล
การทำความเข้าใจว่าสัญญา Futures ซื้อขายที่ใด จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกแพลตฟอร์มและโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ตนสนใจได้ นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการซื้อขายผ่านตลาดที่มีการกำกับดูแลเพื่อความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
ข้อมูลจำเพาะของการซื้อขาย FUTURES: ความแตกต่างที่สำคัญจาก Forex
แม้ว่าการซื้อขาย Futures จะมีหลักการบางอย่างที่คล้ายคลึงกับการซื้อขาย Forex โดยเฉพาะการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน เช่น การใช้ตัวบ่งชี้ (Indicators), แผนภูมิ (Charts) และการวางคำสั่งซื้อขาย (Orders) แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจ
1. วันหมดอายุของสัญญา (Expiration Date)
- Futures: สัญญา Futures มี วันหมดอายุที่แน่นอน ซึ่งระบุไว้ในเงื่อนไขของสัญญา หากนักลงทุนไม่ปิดสถานะการลงทุนก่อนวันหมดอายุ สัญญาจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ ณ ราคาล่าสุดที่กำหนดไว้ในวันซื้อขายสุดท้าย นั่นหมายความว่านักลงทุนไม่สามารถถือสถานะ Futures ไว้ได้ตลอดไปเหมือนการซื้อขายคู่สกุลเงินในตลาด Forex
- Forex: การซื้อขายคู่สกุลเงินในตลาด Forex (ตลาด Spot) โดยทั่วไปไม่มีวันหมดอายุ นักลงทุนสามารถเปิดสถานะไว้ได้นานหลายเดือนหรือหลายปี ตราบใดที่บัญชีมีหลักประกันเพียงพอ
- ความหมายสำหรับนักลงทุน: นักลงทุน Futures ต้องให้ความสำคัญกับการติดตามวันหมดอายุของสัญญาที่ถืออยู่ และตัดสินใจว่าจะปิดสถานะก่อนหมดอายุ หรือปล่อยให้มีการชำระราคาตามเงื่อนไขของสัญญา การพิจารณาเลือกสัญญา Futures ระยะยาวที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
2. รหัสสัญญา Futures (Futures Symbol)
- โครงสร้างรหัส: รหัสสัญญา Futures ไม่ได้บอกแค่ชื่อสินทรัพย์ แต่ยังรวมถึงเดือนและปีที่ส่งมอบด้วย
- สัญลักษณ์แรก: ระบุสินทรัพย์อ้างอิง เช่น NG (ก๊าซธรรมชาติ), GC (ทองคำ), CL (น้ำมันดิบ)
- สัญลักษณ์ถัดไป: แสดงเดือนที่ส่งมอบ โดยใช้รหัสตัวอักษรเฉพาะ
- ตัวเลขสุดท้าย: แสดงปีที่ส่งมอบ (มักจะเป็นเลขตัวสุดท้ายของปี)
ตัวอย่าง: NGQ0 หมายถึง สัญญา Futures สำหรับก๊าซธรรมชาติ (NG) ที่ส่งมอบในเดือนสิงหาคม (Q) ปี 2020 (0)
- รหัสสัญลักษณ์แทนเดือนที่ส่งมอบ:
- มกราคม – F
- กุมภาพันธ์ – G
- มีนาคม – H
- เมษายน – J
- พฤษภาคม – K
- มิถุนายน – M
- กรกฎาคม – N
- สิงหาคม – Q
- กันยายน – U
- ตุลาคม – V
- พฤศจิกายน – X
- ธันวาคม – Z
3. ราคาและการซื้อขาย (Price and Trading)
- Futures: การซื้อขาย Futures ดำเนินการในตลาดหลักทรัพย์ที่มีการกำกับดูแล ดังนั้น ราคาจะคงที่และเป็นมาตรฐานสากล ไม่เปลี่ยนแปลงตามโบรกเกอร์แต่ละราย ใบเสนอราคาแต่ละรายการมีมูลค่าและปริมาณที่ชัดเจน เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ Futures จะให้ราคาที่ถูกต้องสำหรับช่วงการซื้อขายก่อนหน้า นั่นเป็นเหตุผลที่โบรกเกอร์ Futures ทั้งหมดมีราคาที่ใกล้เคียงกันมาก
- Forex: ตลาด Forex เป็นตลาดแบบ Over-the-Counter (OTC) หรือตลาดนอกศูนย์กลางการซื้อขาย ราคาเสนอซื้อ-เสนอขาย (Bid-Ask Price) อาจแตกต่างกันไปในแต่ละโบรกเกอร์ เนื่องจากโบรกเกอร์แต่ละรายเป็นผู้กำหนดราคาเอง
4. ปริมาณสัญญาที่เป็นมาตรฐาน (Standardized Contract Size)
- Futures: ตลาดหลักทรัพย์ Futures เป็นผู้กำหนดคุณภาพและปริมาณของสินทรัพย์อ้างอิงสำหรับแต่ละสัญญา Futures โดยมีขนาดสัญญาที่เป็นมาตรฐานและคงที่ทั่วโลก
- ตัวอย่าง: สัญญา Futures หมูสามชั้น (PB) กำหนดการส่งมอบเนื้อหมูสามชั้น 40,000 ปอนด์ สัญญา Futures ทองคำ (GC) กำหนดการส่งมอบทองคำ 100 ทรอยออนซ์ ที่มีความละเอียด 995 ขึ้นไป สัญญา Futures น้ำมันดิบ (CL) เรียกร้องให้ส่งมอบน้ำมันดิบ 1,000 บาร์เรล
- Forex: ในตลาด Forex นักลงทุนสามารถเลือกขนาด Lot ได้หลากหลาย ตั้งแต่ Micro Lot, Mini Lot ไปจนถึง Standard Lot ซึ่งให้ความยืดหยุ่นในการจัดการขนาดการลงทุนมากกว่า
ความแตกต่างเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณาและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อวางแผนกลยุทธ์การซื้อขายและการบริหารความเสี่ยงในตลาด Futures ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จะซื้อสัญญาซื้อขาย FUTURES ได้อย่างไร: ขั้นตอนและข้อควรพิจารณา
การซื้อขายสัญญา Futures ต้องดำเนินการผ่านโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตและมีความเชี่ยวชาญ ขั้นตอนและข้อควรพิจารณาในการเริ่มต้นมีดังนี้:
1. การเปิดบัญชีซื้อขายกับโบรกเกอร์
- เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม: นักลงทุนต้องลงทะเบียนบัญชีซื้อขายกับโบรกเกอร์ Futures ที่น่าเชื่อถือและได้รับการกำกับดูแล ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโบรกเกอร์นั้นให้บริการเข้าถึงตลาด Futures ที่คุณสนใจ
- การยืนยันตัวตน: ขั้นตอนการเปิดบัญชีจะมีการยืนยันตัวตน (KYC – Know Your Customer) ตามข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อความปลอดภัยและความถูกต้องตามกฎหมาย
2. การฝากเงินทุน (มาร์จิ้น)
สิ่งสำคัญในการซื้อขาย Futures คือ “มาร์จิ้น” (Margin) ซึ่งเป็นเงินประกันชนิดหนึ่งที่นักลงทุนต้องวางไว้กับโบรกเกอร์ เพื่อรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา
- มาร์จิ้นเริ่มต้น (Initial Margin): คือจำนวนเงินขั้นต่ำที่นักลงทุนต้องมีในบัญชีเพื่อเปิดสถานะสัญญา Futures ใหม่ จำนวนนี้ไม่ใช่การชำระราคาเต็มของสัญญา แต่เป็นเงินประกันที่โบรกเกอร์เรียกเก็บเพื่อป้องกันความเสียหาย
- การคำนวณ: โดยทั่วไปมาร์จิ้นเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 2-10% ของมูลค่าสินทรัพย์อ้างอิงของสัญญา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์และความผันผวนของตลาด
- ระบบ SPAN: มาร์จิ้นเริ่มต้นมักคำนวณโดยใช้ระบบ SPAN (Standard Portfolio Analysis of Risk) ซึ่งเป็นระบบการคำนวณมาร์จิ้นที่ซับซ้อน โดยพิจารณาจากความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตโฟลิโอ รวมถึงการประเมินการเปลี่ยนแปลงราคาที่เป็นไปได้ของสินทรัพย์อ้างอิง
- ตัวอย่าง: หากต้องการซื้อขาย Futures น้ำมันดิบเบรนท์ อาจต้องมีมาร์จิ้นเริ่มต้นประมาณ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
- มาร์จิ้นเพื่อการบำรุงรักษา (Maintenance Margin): คือจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องรักษาไว้ในบัญชีหลังจากเปิดสถานะแล้ว หากมูลค่าในบัญชีลดลงต่ำกว่าระดับมาร์จิ้นเพื่อการบำรุงรักษา นักลงทุนจะได้รับการเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) และจะต้องฝากเงินเพิ่มเข้ามาในบัญชีเพื่อให้ถึงระดับที่กำหนด มิฉะนั้นโบรกเกอร์อาจปิดสถานะการลงทุนโดยอัตโนมัติ
- ตัวอย่าง: สำหรับ Futures น้ำมันดิบเบรนท์ อาจมีมาร์จิ้นเพื่อการบำรุงรักษาที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
3. การวางคำสั่งซื้อขาย
- เมื่อบัญชีมีเงินทุนเพียงพอ นักลงทุนสามารถวางคำสั่งซื้อหรือขายสัญญา Futures ได้ผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายของโบรกเกอร์
- การปิดสถานะและการชำระราคา:
- หากนักลงทุนปิดสถานะก่อนวันหมดอายุ กำไรหรือขาดทุนจะถูกคำนวณและปรับเข้าบัญชีทันที
- หากถือสถานะจนถึงวันหมดอายุ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์จะคำนวณกำไรหรือขาดทุนโดยอัตโนมัติจากส่วนต่างของราคาที่ตกลงไว้กับราคาตลาด ณ วันหมดอายุ และชำระผลลัพธ์ด้วยเงินสด (สำหรับ Cash-Settled Futures) หรือดำเนินการส่งมอบ/รับมอบสินทรัพย์จริง (สำหรับ Physical Delivery Futures)
การทำความเข้าใจเรื่องมาร์จิ้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการซื้อขาย Futures เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีเลเวอเรจสูง ซึ่งหมายถึงโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน นักลงทุนควรบริหารเงินทุนและกำหนดกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
วันหมดอายุของ FUTURES คืออะไร: ความสำคัญและการจัดการ
วันหมดอายุ (Expiration Date) เป็นคุณสมบัติเฉพาะที่สำคัญของสัญญา Futures ที่นักลงทุนทุกคนต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด วันหมดอายุคือวันที่สัญญา Futures จะ “กลายเป็นโมฆะ” หรือสิ้นสุดลง ซึ่งหมายความว่าคู่สัญญาจะต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันที่ตกลงไว้ หรือมีการชำระราคาด้วยเงินสดตามกลไกของสัญญา
ความสำคัญของวันหมดอายุ
- ภาระผูกพัน: ณ วันหมดอายุ ผู้ซื้อมีภาระผูกพันที่จะต้องรับมอบสินทรัพย์ (หรือชำระด้วยเงินสด) และผู้ขายมีภาระผูกพันที่จะต้องส่งมอบสินทรัพย์ (หรือชำระด้วยเงินสด) หากเป็นสัญญาแบบส่งมอบจริง
- การสิ้นสุดสัญญา: หลังจากวันหมดอายุ สัญญานั้นจะไม่มีผลบังคับใช้ในการซื้อขายอีกต่อไป
ความหลากหลายของวันหมดอายุ
วันหมดอายุของสัญญา Futures จะแตกต่างกันไปตามประเภทของสินทรัพย์อ้างอิงและกฎของตลาดหลักทรัพย์ที่ทำการซื้อขาย:
- รายเดือน: สัญญา Futures ส่วนใหญ่มักมีวันหมดอายุทุกเดือน เช่น สัญญา Futures น้ำมันดิบมักจะหมดอายุรายเดือน
- รายไตรมาส: สัญญา Futures ที่อ้างอิงกับดัชนีหุ้น เช่น ดัชนี S&P 500 มักจะหมดอายุปีละสี่ครั้ง ในเดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม
- ช่วงเวลาอื่นๆ: สินทรัพย์บางประเภทอาจมีวันหมดอายุเป็นรายสัปดาห์ หรือช่วงเวลาอื่นๆ ตามที่ตลาดกำหนด
การระบุวันหมดอายุ
วันหมดอายุนั้นง่ายต่อการตรวจสอบ เนื่องจากจะถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในข้อกำหนดของสัญญา Futures และในสัญลักษณ์ของสัญญา (ตามที่อธิบายไว้ในหัวข้อข้อมูลจำเพาะของการซื้อขาย Futures)
ผลกระทบต่อพฤติกรรมการซื้อขาย
เมื่อวันหมดอายุใกล้เข้ามา พฤติกรรมการซื้อขายในตลาด Futures มักจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ:
- การปิดสถานะ: ผู้ค้าและนักลงทุนจำนวนมากมักจะปิดสถานะการลงทุนก่อนวันหมดอายุ เพื่อหลีกเลี่ยงภาระผูกพันในการส่งมอบ/รับมอบสินทรัพย์จริง หรือเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้นในช่วงท้ายของวงจรสัญญา
- ความผันผวน: ในช่วงใกล้หมดอายุ ตลาดอาจมีความผันผวนสูงและคาดเดาทิศทางราคาได้ยาก เนื่องจากมีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาในตลาดเพื่อปรับพอร์ตโฟลิโอ หรือเพื่อทำการ rollover สัญญา (ปิดสัญญาที่กำลังจะหมดอายุและเปิดสัญญาใหม่ในเดือนถัดไป) ทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง
- วงจรการค้าใหม่: หลังจากสัญญาปัจจุบันหมดอายุ นักลงทุนจะรอให้วงจรการค้าของสัญญาใหม่เริ่มต้นขึ้น เพื่อเข้าสู่ตำแหน่งอีกครั้ง
ดังนั้น การบริหารจัดการวันหมดอายุจึงเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การซื้อขาย Futures นักลงทุนควรวางแผนล่วงหน้าว่าจะปิดสถานะเมื่อใด หรือจะทำการ rollover สัญญา เพื่อให้การลงทุนเป็นไปตามเป้าหมายและสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
จะใช้ FUTURES เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ตำแหน่งได้อย่างไร: กลยุทธ์การลดความเสี่ยง
สัญญา Futures ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการเก็งกำไรเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการ ป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ซึ่งเป็นการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในอนาคต โดยหลักการคือการใช้สถานะในตลาด Futures เพื่อชดเชยความเสี่ยงของสถานะที่มีอยู่ในตลาดจริงหรือตลาดอื่นๆ
หลักการของการ Hedging ด้วย Futures
การ Hedging มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความไม่แน่นอนของราคาในอนาคต แม้ว่าวิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้ แต่ก็อาจทำให้โอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้นลดลงด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นการ “ล็อก” ราคาไว้ล่วงหน้า
ประเภทของการป้องกันความเสี่ยงด้วย Futures
การป้องกันความเสี่ยงสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลัก ขึ้นอยู่กับทิศทางของความเสี่ยงที่ต้องการป้องกัน:
1. การป้องกันความเสี่ยงในการซื้อ (Buy Hedge หรือ Long Hedge)
- วัตถุประสงค์: ใช้เมื่อผู้ค้าหรือบริษัท คาดว่าจะต้องซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต และต้องการป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่อาจเพิ่มขึ้น
- วิธีการ: ผู้ค้าจะ ซื้อสัญญา Futures ของสินทรัพย์นั้นๆ ในปัจจุบัน
- ตัวอย่าง:
- ผู้ผลิตเครื่องดื่ม: คาดว่าจะต้องซื้อน้ำตาลจำนวนมากในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพื่อการผลิต แต่กังวลว่าราคาน้ำตาลอาจสูงขึ้น จึงทำการ ซื้อสัญญา Futures น้ำตาล ในวันนี้
- ผลลัพธ์: หากราคาน้ำตาลในตลาดจริงเพิ่มขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ต้นทุนการซื้อน้ำตาลของบริษัทจะสูงขึ้น แต่บริษัทจะได้รับกำไรจากสัญญา Futures น้ำตาลที่ซื้อไว้ ซึ่งจะช่วยชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนสุทธิในการได้มาซึ่งน้ำตาลยังคงใกล้เคียงกับราคาที่คาดการณ์ไว้
- ในทางกลับกัน: หากราคาน้ำตาลลดลง บริษัทจะซื้อน้ำตาลในตลาดจริงได้ถูกลง แต่จะขาดทุนจากสัญญา Futures ที่ซื้อไว้ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนสุทธิก็จะยังคงใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน
2. การป้องกันความเสี่ยงการขาย (Sell Hedge หรือ Short Hedge)
- วัตถุประสงค์: ใช้เมื่อผู้ค้าหรือบริษัท มีสินทรัพย์อยู่ในครอบครอง หรือคาดว่าจะผลิตสินทรัพย์ได้ในอนาคต และต้องการป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่อาจลดลง
- วิธีการ: ผู้ค้าจะ ขายสัญญา Futures ของสินทรัพย์นั้นๆ ในปัจจุบัน
- ตัวอย่าง:
- เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด: คาดว่าจะเก็บเกี่ยวข้าวโพดได้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า แต่กังวลว่าราคาข้าวโพดอาจลดลงเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว จึงทำการ ขายสัญญา Futures ข้าวโพด ในวันนี้
- ผลลัพธ์: หากราคาข้าวโพดในตลาดจริงลดลงในอีก 6 เดือนข้างหน้า รายได้จากการขายข้าวโพดของเกษตรกรจะลดลง แต่เกษตรกรจะได้รับกำไรจากสัญญา Futures ข้าวโพดที่ขายไว้ ซึ่งจะช่วยชดเชยรายได้ที่หายไป ทำให้รายได้สุทธิยังคงใกล้เคียงกับราคาที่ตกลงไว้ในสัญญา Futures
- ในทางกลับกัน: หากราคาข้าวโพดเพิ่มขึ้น เกษตรกรจะขายข้าวโพดในตลาดจริงได้ราคาสูงขึ้น แต่จะขาดทุนจากสัญญา Futures ที่ขายไว้ อย่างไรก็ตาม รายได้สุทธิก็จะยังคงใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน
การ Hedging เป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับธุรกิจและนักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนของราคาและสร้างความมั่นคงทางการเงิน แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าการ Hedging ไม่ได้หมายถึงการกำจัดความเสี่ยงทั้งหมด แต่เป็นการบริหารจัดการให้ความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
วิธีหาเงินจากการซื้อขาย FUTURES: กลยุทธ์การเก็งกำไร
การสร้างผลกำไรจากการซื้อขาย Futures โดยหลักการแล้วไม่ได้แตกต่างจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น พันธบัตร หรือ สกุลเงิน Forex หัวใจสำคัญคือการคาดการณ์ทิศทางราคาให้ถูกต้อง และเข้าซื้อในราคาที่ต่ำกว่าเพื่อขายในราคาที่สูงกว่า หรือในทางกลับกันคือขายในราคาที่สูงกว่าเพื่อซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่า
1. การซื้อต่ำ ขายสูง (Buy Low, Sell High)
นี่คือหลักการพื้นฐานของการทำกำไรในตลาดทุกประเภท รวมถึง Futures:
- ซื้อเมื่อคาดว่าราคาจะขึ้น: หากนักลงทุนวิเคราะห์แล้วเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงของสัญญา Futures มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต ก็จะทำการ “ซื้อ” สัญญา Futures ในราคาปัจจุบัน
- ขายเมื่อราคาถึงเป้าหมาย: เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนก็จะทำการ “ขาย” สัญญา Futures ที่ถืออยู่ เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขาย
- ตัวอย่าง: หากซื้อสัญญา Futures ทองคำที่ราคา 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และขายออกไปเมื่อราคาขึ้นไปที่ 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็จะทำกำไรได้ 20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ไม่รวมค่าธรรมเนียม)
2. การขายสูง ซื้อคืนต่ำ (Sell High, Buy Low – Short Selling)
ตลาด Futures ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้แม้ในสภาวะที่ราคาเป็นขาลง:
- ขายเมื่อคาดว่าราคาจะลง: หากนักลงทุนวิเคราะห์แล้วเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงของสัญญา Futures มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง ก็จะทำการ “ขาย” สัญญา Futures ก่อน (แม้จะยังไม่มีสินทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง)
- ซื้อคืนเมื่อราคาลดลง: เมื่อราคาปรับตัวลดลงตามที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนก็จะทำการ “ซื้อคืน” สัญญา Futures เพื่อปิดสถานะ ทำกำไรจากส่วนต่างของราคาขายและราคาซื้อคืน
- ตัวอย่าง: หากขายสัญญา Futures น้ำมันที่ราคา 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และซื้อคืนเมื่อราคาลงมาที่ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็จะทำกำไรได้ 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (ไม่รวมค่าธรรมเนียม)
เคล็ดลับในการทำกำไรจากการซื้อขาย Futures
- สัญญา Futures ที่มีวันหมดอายุใกล้เคียงที่สุด: สัญญา Futures ที่มีวันหมดอายุใกล้เคียงที่สุดมักจะดึงดูดนักลงทุนจำนวนมาก เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงกว่า และราคาของสัญญามักจะเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับราคาของสินทรัพย์จริงมากกว่า ทำให้การแกว่งตัวของราคาที่เฉียบขาดและคาดเดาไม่ได้มีโอกาสน้อยลง
- การวิเคราะห์ตลาด: การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เป็นสิ่งสำคัญในการคาดการณ์ทิศทางราคา
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ศึกษาพฤติกรรมราคาจากกราฟและใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Moving Average, RSI, MACD
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: ศึกษาข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจที่มีผลต่อราคาสินทรัพย์ เช่น รายงานผลผลิต, นโยบายการเงิน, เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
- การจัดการความเสี่ยง (Risk Management): กำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit อย่างชัดเจน เพื่อจำกัดการขาดทุนและรักษากำไร
- ความรู้และการฝึกฝน: การซื้อขาย Futures อาจดูซับซ้อนในตอนแรก แต่จะง่ายขึ้นหากนักลงทุนศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เช่น การอ่านหนังสือ, เข้ารับการอบรม, เข้าร่วมสัมมนาทางเว็บ และฝึกฝนการซื้อขายด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนที่จะใช้เงินจริง
ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ และการมีวินัยในการลงทุน นักลงทุนก็สามารถประสบความสำเร็จในการสร้างผลกำไรจากตลาด Futures ได้
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ FOREX FUTURES
Q1: FOREX FUTURES แตกต่างจากการเทรด Forex ทั่วไปอย่างไร?
A1: FOREX FUTURES คือสัญญามาตรฐานที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ Futures ที่มีการกำกับดูแล โดยมีวันหมดอายุที่แน่นอนและปริมาณสัญญาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ทำให้ราคาเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ในขณะที่การเทรด Forex ทั่วไป (ตลาด Spot) เป็นตลาดแบบ Over-the-Counter (OTC) ไม่มีวันหมดอายุของสัญญา และราคาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละโบรกเกอร์
Q2: การซื้อขาย Futures มีความเสี่ยงสูงหรือไม่?
A2: ใช่ การซื้อขาย Futures มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีการใช้เลเวอเรจ (Leverage) สูง ซึ่งหมายความว่านักลงทุนสามารถควบคุมมูลค่าสัญญาขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อย แม้ว่าจะเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างมาก แต่ก็เพิ่มโอกาสในการขาดทุนอย่างรวดเร็วเช่นกัน การบริหารจัดการเงินทุน (Money Management) และการกำหนดจุด Stop Loss ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
Q3: ต้องใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ในการเริ่มต้นซื้อขาย Futures?
A3: จำนวนเงินลงทุนเริ่มต้นสำหรับการซื้อขาย Futures จะขึ้นอยู่กับ “มาร์จิ้นเริ่มต้น” (Initial Margin) ที่โบรกเกอร์และตลาดหลักทรัพย์กำหนด ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2-10% ของมูลค่าสินทรัพย์อ้างอิงของสัญญา แต่ก็ควรมีเงินทุนสำรองเพิ่มเติมเพื่อรองรับความผันผวนของตลาดและเพื่อหลีกเลี่ยง Margin Call การเริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนการใช้เงินจริงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้
Q4: สามารถถือสัญญา Futures ได้นานแค่ไหน?
A4: สัญญา Futures มีวันหมดอายุที่แน่นอน นักลงทุนไม่สามารถถือสัญญาไว้ได้ตลอดไปเหมือนการเทรด Forex ทั่วไป โดยทั่วไป สัญญา Futures จะมีอายุตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึงหลายเดือนหรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิงและข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ หากนักลงทุนต้องการถือสถานะการลงทุนต่อเนื่องเกินวันหมดอายุ จะต้องทำการ “Rollover” สัญญา คือการปิดสัญญาที่กำลังจะหมดอายุและเปิดสัญญาใหม่ในเดือนถัดไป
Q5: ควรเลือกโบรกเกอร์ Futures อย่างไร?
A5: การเลือกโบรกเกอร์ Futures ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ได้แก่ การกำกับดูแล (ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือหรือไม่), ค่าธรรมเนียมและสเปรด, แพลตฟอร์มการซื้อขายที่ใช้งานง่าย, การบริการลูกค้า, และสินทรัพย์ Futures ที่โบรกเกอร์นั้นเปิดให้ซื้อขาย นอกจากนี้ การอ่านรีวิวจากผู้ใช้งานรายอื่นๆ ก็สามารถช่วยในการตัดสินใจได้
สรุป: โอกาสและความท้าทายในตลาด FOREX FUTURES
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ FOREX FUTURES และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโดยรวมนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตโฟลิโอและแสวงหาโอกาสในการทำกำไรจากความผันผวนของตลาด สัญญา Futures เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีความเฉพาะตัว ด้วยกลไกการกำหนดราคาล่วงหน้า วันหมดอายุที่เป็นมาตรฐาน และการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ที่มีการกำกับดูแล ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขาย Forex แบบ Spot ทั่วไปอย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเพื่อการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) หรือการเก็งกำไรจากทิศทางราคา การประสบความสำเร็จในตลาด Futures นั้นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในกลไกตลาด การวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อราคา และที่สำคัญที่สุดคือ วินัยในการบริหารจัดการความเสี่ยงและเงินทุนอย่างเคร่งครัด
สำหรับผู้ที่สนใจ เราขอแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างรอบด้าน ฝึกฝนการซื้อขายด้วยบัญชีทดลอง และเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ การเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการลงทุนในตลาด Futures ที่มีความซับซ้อนแต่ก็เต็มไปด้วยโอกาส
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน: หากคุณต้องการสำรวจโลกของการซื้อขายอัตโนมัติและระบบการเทรดที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน เรามีข้อมูลเกี่ยวกับ ระบบเทรดอัตโนมัติฟรี และ EA Trading Profit System ฟรี ที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับคุณ
ขอให้ทุกท่านโชคดีและประสบความสำเร็จในการเดินทางสายการลงทุน!


