ประเภทของคู่เงิน Forex ที่นักเทรดควรรู้: เจาะลึก Major, Minor และ Exotic Pairs
การเทรด Forex หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นการซื้อสกุลเงินหนึ่งและขายอีกสกุลเงินหนึ่งไปพร้อมๆ กัน ซึ่งหมายความว่าทุกการเทรดในตลาดนี้จะต้องดำเนินการในรูปแบบของ “คู่เงิน” เสมอ โดยมีสกุลเงินหลายร้อยคู่ที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด แต่ไม่ใช่ทุกคู่จะเหมาะสมกับการเทรดสำหรับทุกคน ในปัจจุบัน มีคู่เงินประมาณ 180 คู่ที่ได้รับการยอมรับและมีการซื้อขายอย่างแพร่หลาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ คู่เงินหลัก (Major Currency Pairs), คู่เงินรอง (Cross Currency Pairs หรือ Minor Currency Pairs) และคู่เงินเกิดใหม่ (Exotic Currency Pairs) การทำความเข้าใจประเภทของคู่เงินเหล่านี้ถือเป็นรากฐานสำคัญสำหรับนักเทรดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ เพื่อให้สามารถวางแผนกลยุทธ์และจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3 ประเภทหลักของคู่เงินในตลาด Forex
ในตลาด Forex คู่เงินที่ซื้อขายกันอย่างแพร่หลายสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะตัวด้านสภาพคล่อง ความผันผวน และปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคา การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้นักเทรดสามารถเลือกคู่เงินที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
1. คู่เงินหลัก (Major Currency Pairs)
คู่เงินหลักเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงสุดและมีการซื้อขายมากที่สุดในตลาด Forex ทั่วโลก เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายสูงมาก จึงมี สภาพคล่อง สูง และมี สเปรด (ค่าส่วนต่างราคาซื้อขาย) ที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับนักเทรดทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทรดเดอร์มือใหม่ ที่ต้องการเริ่มต้น
สกุลเงินหลัก 8 สกุลที่เป็นส่วนประกอบ
สกุลเงินหลัก 8 สกุลที่สำคัญและมีการซื้อขายอย่างกว้างขวางทั่วโลก ได้แก่:
- ดอลลาร์สหรัฐ (USD): เป็นสกุลเงินสำรองของโลกและมีอิทธิพลอย่างมากต่อตลาดการเงินทั่วโลก
- ยูโร (EUR): สกุลเงินของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- เยนญี่ปุ่น (JPY): สกุลเงินของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี
- ปอนด์อังกฤษ (GBP): สกุลเงินของสหราชอาณาจักร มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การเงินโลก
- ฟรังก์สวิส (CHF): สกุลเงินของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความมั่นคงและสถานะเป็นแหล่งพักเงินที่ปลอดภัย (Safe-haven)
- ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD): สกุลเงินของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่
- ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD): สกุลเงินของประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเศรษฐกิจพึ่งพาสินค้าเกษตรและท่องเที่ยว
- ดอลลาร์แคนาดา (CAD): สกุลเงินของประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและทรัพยากรธรรมชาติรายใหญ่
คู่เงินหลัก 7 คู่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด
คู่เงินหลักจะประกอบด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) จับคู่กับสกุลเงินหลักอื่นๆ โดยมีทั้งหมด 7 คู่ ดังนี้:
- EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ): เป็นคู่เงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลก แสดงถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างยุโรปและสหรัฐอเมริกา
- USD/JPY (ดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น): เป็นคู่เงินที่สะท้อนถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางญี่ปุ่น รวมถึงความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย
- GBP/USD (ปอนด์อังกฤษ/ดอลลาร์สหรัฐ): หรือที่รู้จักกันในนาม “เคเบิล” เป็นคู่เงินที่มีความผันผวนสูงและสะท้อนเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร
- AUD/USD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์สหรัฐ): อ่อนไหวต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และเศรษฐกิจของจีนอย่างมาก
- USD/CAD (ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์แคนาดา): ได้รับอิทธิพลจากราคาน้ำมัน เนื่องจากแคนาดาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่
- USD/CHF (ดอลลาร์สหรัฐ/ฟรังก์สวิส): มักถูกมองว่าเป็นคู่เงิน Safe-haven เนื่องจากฟรังก์สวิสเป็นสกุลเงินที่มีความมั่นคง
- NZD/USD (ดอลลาร์นิวซีแลนด์/ดอลลาร์สหรัฐ): คล้ายกับ AUD/USD คืออ่อนไหวต่อราคาสินค้าเกษตรและเศรษฐกิจโลก
ราคาของคู่เงินหลักมีการเคลื่อนไหวบ่อยครั้งและคาดการณ์ได้ง่ายกว่าคู่เงินประเภทอื่น ทำให้มีโอกาสในการเทรดสูง การเริ่มต้นเทรดด้วยคู่เงินหลักจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับนักเทรดที่ต้องการความเสถียรและสภาพคล่องที่ดี

2. คู่เงินรอง (Cross Currency Pairs หรือ Minor Currency Pairs)
คู่เงินรอง หรือที่เรียกว่า Cross Currency Pairs เป็นคู่เงินที่ประกอบด้วยสกุลเงินหลักสองสกุลที่ไม่ได้จับคู่กับดอลลาร์สหรัฐ (USD) ถึงแม้จะไม่มีปริมาณการซื้อขายมากเท่าคู่เงินหลัก แต่ก็ยังคงมีสภาพคล่องที่ดีพอสมควร และเปิดโอกาสในการเทรดที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นสำหรับนักเทรดที่มองหาความแตกต่าง
ลักษณะและคุณสมบัติของคู่เงินรอง
- ไม่มี USD เป็นส่วนประกอบ: นี่คือคุณสมบัติหลักที่ทำให้คู่เงินเหล่านี้แตกต่างจากคู่เงินหลัก
- สภาพคล่องปานกลาง: แม้จะน้อยกว่าคู่เงินหลัก แต่ก็ยังถือว่าเพียงพอสำหรับการซื้อขายโดยทั่วไป
- สเปรดที่สูงขึ้นเล็กน้อย: โดยปกติจะมีสเปรดที่กว้างกว่าคู่เงินหลักเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพคล่องที่น้อยกว่า
- ได้รับอิทธิพลจากข่าวเศรษฐกิจของสองประเทศโดยตรง: การเคลื่อนไหวของราคาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และเหตุการณ์สำคัญของประเทศที่เกี่ยวข้องโดยตรง
- เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์: เนื่องจากความผันผวนที่อาจจะสูงกว่าและสเปรดที่กว้างกว่า ทำให้ต้องใช้ความเข้าใจและประสบการณ์ในการวิเคราะห์มากขึ้น
คู่เงินรองที่ได้รับความนิยม
คู่เงินรองที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดมักจะเกี่ยวข้องกับสกุลเงินหลักอย่าง ยูโร (EUR), เยนญี่ปุ่น (JPY) และปอนด์อังกฤษ (GBP) ตัวอย่างเช่น:
- คู่เงิน Cross-Euro (EUR ครอส):
- EUR/GBP (ยูโร/ปอนด์อังกฤษ)
- EUR/JPY (ยูโร/เยนญี่ปุ่น)
- EUR/AUD (ยูโร/ดอลลาร์ออสเตรเลีย)
- EUR/CAD (ยูโร/ดอลลาร์แคนาดา)
- EUR/CHF (ยูโร/ฟรังก์สวิส)
- EUR/NZD (ยูโร/ดอลลาร์นิวซีแลนด์)
- คู่เงิน Cross-Yen (JPY ครอส):
- GBP/JPY (ปอนด์อังกฤษ/เยนญี่ปุ่น)
- AUD/JPY (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/เยนญี่ปุ่น)
- CAD/JPY (ดอลลาร์แคนาดา/เยนญี่ปุ่น)
- CHF/JPY (ฟรังก์สวิส/เยนญี่ปุ่น)
- NZD/JPY (ดอลลาร์นิวซีแลนด์/เยนญี่ปุ่น)
- คู่เงิน Cross-Pound (GBP ครอส):
- GBP/AUD (ปอนด์อังกฤษ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย)
- GBP/CAD (ปอนด์อังกฤษ/ดอลลาร์แคนาดา)
- GBP/CHF (ปอนด์อังกฤษ/ฟรังก์สวิส)
- GBP/NZD (ปอนด์อังกฤษ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์)
การเทรดคู่เงินรองอาจให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่มากกว่าคู่เงินหลัก นักเทรดควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและใช้ กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง ที่รัดกุม
3. คู่เงินเกิดใหม่ (Exotic Currency Pairs)
คู่เงินเกิดใหม่ หรือ Exotic Currency Pairs เป็นคู่เงินที่จับคู่ระหว่างสกุลเงินหลัก (โดยส่วนใหญ่คือ USD) กับสกุลเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจกำลังพัฒนา หรือเศรษฐกิจขนาดเล็ก โดยทั่วไปแล้วคู่เงินประเภทนี้จะมีสภาพคล่องต่ำและมีความผันผวนสูงมากเมื่อเทียบกับคู่เงินหลักและคู่เงินรอง
ลักษณะและคุณสมบัติของคู่เงินเกิดใหม่
- ประกอบด้วยสกุลเงินหลักและสกุลเงินตลาดเกิดใหม่: ตัวอย่างเช่น USD/THB (ดอลลาร์สหรัฐ/บาทไทย), USD/MXN (ดอลลาร์สหรัฐ/เปโซเม็กซิกัน), USD/BRL (ดอลลาร์สหรัฐ/เรียลบราซิล)
- สภาพคล่องต่ำ: เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายไม่มากนัก ทำให้ยากต่อการเข้าและออกจากตำแหน่งเทรด
- สเปรดสูงมาก: เป็นผลมาจากสภาพคล่องที่ต่ำและมักจะมีค่าคอมมิชชั่นในการเทรดที่สูงกว่าคู่เงินประเภทอื่นอย่างเห็นได้ชัด
- ความผันผวนสูง: ราคาอาจเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและคาดเดาได้ยาก เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายในประเทศ เช่น นโยบายการเมือง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และเหตุการณ์เฉพาะประเทศ
- ความเสี่ยงสูง: ด้วยสภาพคล่องที่ต่ำ สเปรดที่กว้าง และความผันผวนสูง ทำให้การเทรดคู่เงินเกิดใหม่มีความเสี่ยงสูงมาก
- เหมาะสำหรับนักเทรดผู้เชี่ยวชาญ: คู่เงินประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับ นักเทรดมือใหม่ ควรเป็นนักเทรดที่มีประสบการณ์สูงและเข้าใจถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้
ตัวอย่างคู่เงินเกิดใหม่ที่น่าสนใจ
ตัวอย่างคู่เงินเกิดใหม่ที่มักจะมีการซื้อขายในตลาด Forex:
- USD/MXN (ดอลลาร์สหรัฐ/เปโซเม็กซิกัน)
- USD/BRL (ดอลลาร์สหรัฐ/เรียลบราซิล)
- USD/TRY (ดอลลาร์สหรัฐ/ลีราตุรกี)
- USD/ZAR (ดอลลาร์สหรัฐ/แรนด์แอฟริกาใต้)
- USD/THB (ดอลลาร์สหรัฐ/บาทไทย)
- USD/HUF (ดอลลาร์สหรัฐ/โฟรินต์ฮังการี)
การเทรดคู่เงินเกิดใหม่อาจให้ผลตอบแทนที่สูงหากคาดการณ์ได้อย่างถูกต้อง แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะขาดทุนอย่างรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้น การวิจัยข้อมูลและ การจัดการความเสี่ยง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

คู่เงินอื่นๆ ที่น่าสนใจและควรทราบ
นอกเหนือจากสามประเภทหลักข้างต้นแล้ว ยังมีกลุ่มคู่เงินอื่นๆ ที่น่าสนใจและเป็นที่รู้จักในหมู่นักเทรด ซึ่งมักจะจัดกลุ่มตามภูมิภาคหรือลักษณะทางเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกัน การทำความเข้าใจกลุ่มเหล่านี้จะช่วยให้นักเทรดมีมุมมองที่กว้างขึ้นในการเลือกคู่เงินที่อาจมีศักยภาพในการทำกำไร
The Scandies: สกุลเงินกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย
กลุ่มสกุลเงิน “The Scandies” หมายถึงสกุลเงินของประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งได้แก่:
- โครนเดนมาร์ก (DKK): สกุลเงินของประเทศเดนมาร์ก
- โครนนอร์เวย์ (NOK): สกุลเงินของประเทศนอร์เวย์
- โครนาสวีเดน (SEK): สกุลเงินของประเทศสวีเดน
คู่เงินในกลุ่มนี้มักจะจับคู่กับสกุลเงินหลัก เช่น EUR/DKK, USD/NOK, EUR/SEK เป็นต้น เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้มักได้รับอิทธิพลจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (สำหรับนอร์เวย์) และมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกับสหภาพยุโรป
CEE: สกุลเงินกลุ่มประเทศยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก
กลุ่ม “CEE” ย่อมาจาก Central and Eastern Europe ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศในภูมิภาคยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ตัวอย่างสกุลเงินในกลุ่มนี้ ได้แก่:
- เลกแอลเบเนีย (ALL): สกุลเงินของประเทศอัลบาเนีย
- เลฟบัลแกเรีย (BGN): สกุลเงินของประเทศบัลแกเรีย
- คูนาโครเอเชีย (HRK): สกุลเงินของประเทศโครเอเชีย
- โครูนาเช็ก (CZK): สกุลเงินของสาธารณรัฐเช็ก
- และสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น โฟรินต์ฮังการี (HUF), ซวอตีโปแลนด์ (PLN)
คู่เงิน CEE มักจะจับคู่กับ EUR หรือ USD การเคลื่อนไหวของราคาสกุลเงินเหล่านี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคในยูโรโซน รวมถึงปัจจัยเฉพาะประเทศ
BRIICS: สกุลเงินกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพิเศษ
กลุ่ม “BRIICS” เป็นการขยายตัวมาจากกลุ่ม BRICS เดิม ซึ่งหมายถึงกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก ได้แก่:
- Brazil (บราซิล) – เรียลบราซิล (BRL)
- Russia (รัสเซีย) – รูเบิลรัสเซีย (RUB)
- Indonesia (อินโดนีเซีย) – รูเปียห์อินโดนีเซีย (IDR)
- India (อินเดีย) – รูปีอินเดีย (INR)
- China (จีน) – หยวนจีน (CNY)
- South Africa (แอฟริกาใต้) – แรนด์แอฟริกาใต้ (ZAR)
สกุลเงินในกลุ่ม BRIICS มักจะจับคู่กับ USD หรือ EUR การเทรดคู่เงินเหล่านี้มีความผันผวนสูงและมีความเสี่ยงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมภายในประเทศเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ก็อาจให้ผลตอบแทนที่สูงได้เช่นกัน
การทำความเข้าใจในรายละเอียดของแต่ละกลุ่มคู่เงินจะช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจเลือกคู่เงินที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรด ความรู้ และระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ การกระจายความรู้ไปยังคู่เงินที่หลากหลายจะเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาคู่เงินใดคู่เงินหนึ่งมากเกินไป
ตารางสรุปประเภทของคู่เงิน Forex
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถสรุปคุณสมบัติหลักของคู่เงินแต่ละประเภทได้ดังตารางนี้:
| ประเภทคู่เงิน | ลักษณะ | สภาพคล่อง | สเปรด | ความผันผวน | ความเสี่ยง | ระดับที่แนะนำสำหรับนักเทรด |
|---|---|---|---|---|---|---|
| คู่เงินหลัก (Major Pairs) | USD จับคู่กับสกุลเงินหลักอื่นๆ | สูงมาก | ต่ำ | ปานกลาง | ต่ำ-ปานกลาง | มือใหม่ถึงมืออาชีพ |
| คู่เงินรอง (Cross/Minor Pairs) | สกุลเงินหลัก 2 สกุล ไม่รวม USD | ปานกลาง | ปานกลาง-สูง | ปานกลาง-สูง | ปานกลาง-สูง | มีประสบการณ์ |
| คู่เงินเกิดใหม่ (Exotic Pairs) | สกุลเงินหลัก (ส่วนใหญ่ USD) จับคู่กับสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ | ต่ำ | สูงมาก | สูงมาก | สูงมาก | ผู้เชี่ยวชาญ |
FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคู่เงิน Forex
Q1: ทำไมนักเทรดมือใหม่ควรเริ่มต้นเทรดด้วยคู่เงินหลัก (Major Currency Pairs)?
A1: นักเทรดมือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยคู่เงินหลัก (Major Currency Pairs) เนื่องจากคู่เงินเหล่านี้มี สภาพคล่อง สูงที่สุดในตลาด Forex ทำให้ง่ายต่อการเข้าและออกจากตำแหน่งเทรดโดยไม่เกิด Slippage มากนัก นอกจากนี้ยังมี สเปรด (ค่าส่วนต่างราคาซื้อขาย) ที่ต่ำกว่าคู่เงินประเภทอื่น ซึ่งช่วยลดต้นทุนการเทรด และราคาของคู่เงินหลักมักจะเคลื่อนไหวตามข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญและสามารถวิเคราะห์ได้ง่ายกว่า ทำให้มือใหม่สามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจกลไกตลาดได้ดีขึ้น
Q2: คู่เงินรอง (Cross Currency Pairs) มีความแตกต่างจากคู่เงินหลักอย่างไร?
A2: ความแตกต่างหลักคือคู่เงินรองจะไม่มีสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นส่วนประกอบ แต่จะจับคู่กันระหว่างสกุลเงินหลักอื่นๆ เช่น EUR/JPY, GBP/AUD เป็นต้น ในทางกลับกัน คู่เงินหลักจะประกอบด้วย USD เสมอ (เช่น EUR/USD, USD/JPY) คู่เงินรองโดยทั่วไปมี สภาพคล่อง ต่ำกว่าและมี สเปรด ที่กว้างกว่าคู่เงินหลัก ทำให้ต้นทุนการเทรดสูงขึ้น และอาจมีความผันผวนมากกว่า ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังและประสบการณ์ในการเทรดมากกว่า
Q3: การเทรดคู่เงินเกิดใหม่ (Exotic Currency Pairs) มีความเสี่ยงอย่างไร?
A3: การเทรดคู่เงินเกิดใหม่มีความเสี่ยงสูงมากเนื่องจากหลายปัจจัย ประการแรกคือมี สภาพคล่อง ต่ำมาก ทำให้การเข้าและออกจากตำแหน่งเทรดทำได้ยากและอาจเกิด Slippage ขนาดใหญ่ ประการที่สองคือ สเปรด ที่กว้างมาก ทำให้ต้นทุนการเทรดสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และประการสุดท้ายคือความผันผวนของราคาที่สูงและคาดเดาได้ยาก เนื่องจากได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศนั้นๆ ซึ่งอาจไม่สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่อย่างจำกัด
Q4: คู่เงิน BRIICS คืออะไร และมีประเทศใดบ้าง?
A4: คู่เงิน BRIICS เป็นกลุ่มสกุลเงินของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งประกอบด้วย บราซิล (Brazil – BRL), รัสเซีย (Russia – RUB), อินโดนีเซีย (Indonesia – IDR), อินเดีย (India – INR), จีน (China – CNY) และแอฟริกาใต้ (South Africa – ZAR) การรวมกลุ่มนี้มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศสมาชิก โดยสกุลเงินเหล่านี้มักถูกจับคู่กับสกุลเงินหลัก เช่น USD หรือ EUR ในการเทรด Forex และมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจเฉพาะประเทศ
Q5: อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนเลือกคู่เงินสำหรับการเทรด?
A5: ก่อนเลือกคู่เงินสำหรับการเทรด ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่:
- สภาพคล่อง: เลือกคู่เงินที่มีสภาพคล่องสูงเพื่อลด สเปรด และลดความเสี่ยงจาก Slippage
- ความผันผวน: พิจารณาว่าระดับความผันผวนของคู่เงินนั้นเหมาะสมกับ สไตล์การเทรด ของคุณหรือไม่
- ข่าวสารและปัจจัยทางเศรษฐกิจ: เลือกคู่เงินที่คุณสามารถติดตามข่าวสารและปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อสกุลเงินนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย
- ความรู้และประสบการณ์: เริ่มต้นจากคู่เงินที่คุณมีความรู้พื้นฐานและค่อยๆ ขยายไปยังคู่เงินที่ซับซ้อนขึ้นเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น
- การบริหารความเสี่ยง: ไม่ว่าจะเลือกคู่เงินประเภทใด การบริหารความเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อปกป้องเงินทุนของคุณ
Conclusion: สรุปและข้อคิด
การทำความเข้าใจประเภทของคู่เงินในตลาด Forex ไม่ว่าจะเป็นคู่เงินหลัก (Major Currency Pairs), คู่เงินรอง (Cross Currency Pairs) หรือคู่เงินเกิดใหม่ (Exotic Currency Pairs) ถือเป็นรากฐานสำคัญสำหรับนักเทรดทุกคน การเลือกคู่เงินที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรด ระดับความรู้ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
สำหรับ นักเทรดมือใหม่ การเริ่มต้นด้วยคู่เงินหลักที่มี สภาพคล่อง สูงและ สเปรด ต่ำ เช่น EUR/USD หรือ USD/JPY จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและช่วยให้เรียนรู้กลไกตลาดได้ดีที่สุด เมื่อมีประสบการณ์และความเข้าใจมากขึ้น การขยับไปเทรดคู่เงินรองหรือคู่เงินเกิดใหม่ที่ให้โอกาสในการทำกำไรสูงขึ้นแต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่มากขึ้น ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อราคาคู่เงิน และที่ขาดไม่ได้คือ การบริหารจัดการความเสี่ยง อย่างเคร่งครัด การมีวินัยในการเทรดและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะนำไปสู่การเป็นนักเทรด Forex ที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
- XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
- Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
- Exness – โบรกเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด


