TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

3 ประเภทยอดนิยมของแผนภูมิ Forex ที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

สิงหาคม 3, 2022

ไขความลับ 3 แผนภูมิ Forex ยอดนิยม: สุดยอดเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับนักเทรด

ภาพรวมแผนภูมิ Forex 3 ประเภท

ในโลกของการซื้อขาย Forex ที่เต็มไปด้วยความผันผวน การตัดสินใจอย่างชาญฉลาดคือกุญแจสู่ความสำเร็จ และหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่นักเทรดใช้คือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งการทำนายทิศทางราคาในอนาคต โดยอาศัยการศึกษาพฤติกรรมราคาในอดีต และวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงข้อมูลพฤติกรรมราคาเหล่านี้คือการทำความเข้าใจ แผนภูมิ (Charts) ของคู่สกุลเงินต่างๆ

แผนภูมิสกุลเงินเปรียบเสมือนแผนที่นำทางที่แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของราคาในกรอบเวลาที่กำหนดของคู่สกุลเงินหนึ่งๆ มันเป็นวิธีการที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันของตลาด แผนภูมิถูกสร้างขึ้นบนพิกัดสองแกนหลัก ได้แก่ แกนตั้ง ซึ่งบ่งบอกถึงราคาของคู่สกุลเงิน และแกนนอน ซึ่งแสดงถึงกรอบเวลาของการเคลื่อนไหวของราคา การเรียนรู้การอ่านและการใช้แผนภูมิอย่างเชี่ยวชาญจึงเป็นขั้นตอนสำคัญและเป็นรากฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างแท้จริง นักเทรดมืออาชีพส่วนใหญ่ใช้แผนภูมิเพื่อศึกษาและทำความเข้าใจ ความเชื่อมั่นของตลาด และเมื่อรวมกับข้อมูลเชิงลึกอื่นๆ พวกเขาก็สามารถค้นหาโอกาสในการซื้อขายที่มีความเสี่ยงต่ำและมีศักยภาพในการทำกำไรสูงได้

ความสำคัญของแผนภูมิ Forex ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

แผนภูมิ Forex ไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นกราฟหรือแท่งเทียนที่แสดงข้อมูลราคาเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้นักเทรดสามารถ:

  • ระบุแนวโน้มราคา: ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend), ขาลง (Downtrend) หรือ Sideways แผนภูมิจะช่วยให้เห็นทิศทางโดยรวมของตลาดได้อย่างชัดเจน
  • ค้นหารูปแบบราคา (Chart Patterns): แผนภูมิช่วยเผยให้เห็น รูปแบบกราฟต่างๆ ที่มักจะเกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงการกลับตัว (Reversal) หรือการต่อเนื่อง (Continuation) ของแนวโน้มได้
  • กำหนดแนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance): จุดสำคัญเหล่านี้แสดงถึงระดับราคาที่ตลาดมีแนวโน้มที่จะหยุดหรือกลับตัว การระบุแนวรับและแนวต้าน ที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวางแผนการเข้าและออกจากการซื้อขาย
  • ทำความเข้าใจจิตวิทยาตลาด: การเคลื่อนไหวของราคาที่แสดงบนแผนภูมิสะท้อนถึงการรวมกันของความกลัวและความโลภของผู้เข้าร่วมตลาด การทำความเข้าใจสิ่งนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจโดยอิงจากความเป็นจริงมากกว่าอารมณ์
  • ทดสอบกลยุทธ์: นักเทรดสามารถใช้ข้อมูลราคาในอดีตบนแผนภูมิเพื่อ ทดสอบกลยุทธ์การซื้อขาย ของตนเองก่อนที่จะนำไปใช้จริง

ดังนั้น การเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงวิธีการทำงานและตีความแผนภูมิประเภทต่างๆ จึงเป็นทักษะที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกคนที่ต้องการประสบความสำเร็จในการซื้อขาย Forex

กรอบเวลา (Timeframe) คืออะไร และความสำคัญในการเทรด Forex

ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึงแผนภูมิแต่ละประเภท สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจแนวคิดของ “กรอบเวลา” (Timeframe) ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการวิเคราะห์แผนภูมิและการตัดสินใจซื้อขาย

กรอบเวลาคืออะไร?

กรอบเวลาคือช่วงเวลาที่ใช้ในการรวมข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาเข้าไว้ด้วยกันเพื่อสร้างแท่งราคา (หรือเส้นกราฟ) หนึ่งแท่งบนแผนภูมิ ตัวอย่างเช่น หากคุณเลือกกรอบเวลา 1 ชั่วโมง แต่ละแท่งบนแผนภูมิจะแสดงข้อมูลราคาที่เกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมงนั้นๆ ซึ่งรวมถึงราคาเปิด (Open), ราคาสูงสุด (High), ราคาต่ำสุด (Low) และราคาปิด (Close) ในช่วงเวลานั้น

ความสำคัญของกรอบเวลาที่แตกต่างกัน

การเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับ รูปแบบการเทรด (Trading Style) ของนักเทรด:

  • กรอบเวลาสั้น (เช่น 1 นาที, 5 นาที, 15 นาที): เหมาะสำหรับนักเทรดแบบ Scalping และ Day Trading ที่ต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยและรวดเร็วในระยะสั้น การวิเคราะห์ในกรอบเวลาเหล่านี้จะแสดง “Noise” ของตลาด (การเคลื่อนไหวที่ไม่สำคัญ) ได้มาก ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังและวินัยสูง
  • กรอบเวลากลาง (เช่น 1 ชั่วโมง, 4 ชั่วโมง, รายวัน): เป็นที่นิยมสำหรับนักเทรดแบบ Swing Trading ซึ่งถือสถานะเป็นเวลาหลายชั่วโมงถึงหลายวัน กรอบเวลาเหล่านี้ให้ภาพที่สมดุลระหว่างรายละเอียดราคาและแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้น
  • กรอบเวลายาว (เช่น รายสัปดาห์, รายเดือน): เหมาะสำหรับนักเทรดแบบ Position Trading ที่ถือสถานะเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน โดยเน้นการวิเคราะห์แนวโน้มใหญ่ของตลาด และไม่สนใจความผันผวนในระยะสั้นมากนัก

นักเทรดมืออาชีพหลายคนมักใช้เทคนิค Multi-Timeframe Analysis ซึ่งเป็นการวิเคราะห์แผนภูมิในหลายกรอบเวลาพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น การดูแนวโน้มหลักในกรอบเวลา H4 (4 ชั่วโมง) หรือ D1 (รายวัน) และหาจุดเข้าซื้อขายที่แม่นยำยิ่งขึ้นในกรอบเวลา H1 (1 ชั่วโมง) หรือ M15 (15 นาที) วิธีนี้ช่วยให้สามารถมองเห็นภาพรวมของตลาดในวงกว้างพร้อมกับการจับจังหวะการเข้าเทรดที่ดีที่สุดได้

กรอบเวลามาตรฐานที่พบในซอฟต์แวร์สร้างแผนภูมิ

กรอบเวลามาตรฐานที่มีให้เลือกในแพลตฟอร์มการซื้อขายส่วนใหญ่ ได้แก่:

  • M1 (1 นาที)
  • M5 (5 นาที)
  • M15 (15 นาที)
  • M30 (30 นาที)
  • H1 (1 ชั่วโมง)
  • H4 (4 ชั่วโมง)
  • D1 (รายวัน)
  • W1 (รายสัปดาห์)
  • MN (รายเดือน)

การเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและเป้าหมายของคุณจะช่วยให้การวิเคราะห์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

3 ประเภทยอดนิยมของแผนภูมิ Forex ที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

แผนภูมิเป็นหัวใจสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีหลายรูปแบบที่นำเสนอข้อมูลราคาในลักษณะที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละประเภทก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่เหมาะสมกับสไตล์การวิเคราะห์และวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน นักเทรดส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับ 3 แผนภูมิหลักดังต่อไปนี้:

  1. แผนภูมิเส้น (Line Charts)
  2. แผนภูมิแท่ง (Bar Charts)
  3. แผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick Charts)

1. แผนภูมิเส้น (Line Charts): ภาพรวมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

แผนภูมิเส้นเป็นรูปแบบที่ง่ายที่สุดและเป็นพื้นฐานที่สุดของแผนภูมิการเคลื่อนไหวของราคา มันถูกสร้างขึ้นโดยการลากเส้นเชื่อมต่อจุดราคาปิด (Closing Price) ของแต่ละช่วงเวลาเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นเส้นต่อเนื่องที่แสดงถึงเส้นทางของราคา

ลักษณะและการอ่านแผนภูมิเส้น

  • การก่อตัว: แผนภูมิเส้นจะใช้เฉพาะราคาปิดของแต่ละกรอบเวลาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นราคาปิดรายวัน, รายชั่วโมง หรือ 5 นาที เส้นจะเชื่อมจากราคาปิดหนึ่งไปยังราคาปิดถัดไป
  • ข้อมูลที่แสดง: แผนภูมิเส้นให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มหลักของราคา เนื่องจากมันกรอง “Noise” หรือความผันผวนเล็กน้อยที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาออกไป โดยมุ่งเน้นที่จุดสิ้นสุดของการเคลื่อนไหวราคาในแต่ละกรอบเวลา

ข้อดีของแผนภูมิเส้น

  • ความเรียบง่าย: ง่ายต่อการทำความเข้าใจสำหรับมือใหม่ ทำให้สามารถมองเห็นภาพรวมของแนวโน้มตลาดได้อย่างรวดเร็วและไม่ซับซ้อน
  • การระบุแนวโน้มหลัก: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการระบุ แนวโน้มระยะยาว และการสร้างแนวรับแนวต้านขนาดใหญ่ เพราะมันช่วยลดความสับสนจากข้อมูลราคาอื่นๆ
  • การเปรียบเทียบ: สามารถใช้เปรียบเทียบราคาของสินทรัพย์หลายรายการพร้อมกันได้ง่าย เนื่องจากมีความสะอาดและไม่รกตา

ข้อจำกัดของแผนภูมิเส้น

  • ขาดรายละเอียด: ไม่แสดงข้อมูลสำคัญอื่นๆ เช่น ราคาเปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการวิเคราะห์ราคาแบบละเอียด
  • ไม่เหมาะกับการวิเคราะห์เชิงลึก: นักเทรดที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมราคาภายในแท่งเทียนแต่ละแท่งจะไม่สามารถใช้แผนภูมิเส้นได้อย่างเต็มที่

หากคุณต้องการมองภาพรวมตลาดอย่างรวดเร็วและเข้าใจแนวโน้มหลักโดยไม่สนใจรายละเอียดปลีกย่อยมากนัก แผนภูมิเส้นคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้น

คู่สกุลเงิน EURUSD – แผนภูมิเส้น 1 ชั่วโมง

ตัวอย่างแผนภูมิเส้น EURUSD H1

ในแผนภูมิเส้นด้านบน คุณจะเห็นเส้นที่ไม่กระจายตัวที่เรียบง่ายและชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงราคาปิดของ EURUSD ในแต่ละวันบนแกนตั้งและวันที่บนแกนนอน แสดงให้เห็นแนวโน้มโดยรวมของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด

2. แผนภูมิแท่ง (Bar Charts): เปิดเผยข้อมูลราคาแบบสมบูรณ์

แผนภูมิแท่ง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แผนภูมิ OHLC” (Open-High-Low-Close) ให้ข้อมูลที่ละเอียดกว่าแผนภูมิเส้นอย่างมาก โดยแต่ละแท่งจะแสดงข้อมูลราคาครบถ้วน 4 จุดภายในกรอบเวลาที่เลือก ซึ่งรวมถึงราคาเปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด และราคาปิด

การก่อตัวของแท่งราคาเดียว (Single Bar)

แต่ละแท่งประกอบด้วยเส้นแนวตั้งและขีดสั้นๆ สองขีด ดังนี้:

  • เส้นแนวตั้ง (Vertical Line): แสดงช่วงราคาที่ซื้อขายได้ทั้งหมดภายในกรอบเวลานั้น โดยจุดสูงสุดของเส้นคือราคาสูงสุด (High) และจุดต่ำสุดของเส้นคือราคาต่ำสุด (Low)
  • ขีดแนวนอนซ้าย (Left Dash): แทนราคาเปิด (Open Price) ซึ่งเป็นราคาที่การซื้อขายเริ่มต้นขึ้นในกรอบเวลานั้นๆ
  • ขีดแนวนอนขวา (Right Dash): แทนราคาปิด (Close Price) ซึ่งเป็นราคาที่การซื้อขายสิ้นสุดลงในกรอบเวลานั้นๆ

การเข้าใจองค์ประกอบเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ รูปแบบของแท่งบาร์ ที่อาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมตลาด

แท่งราคาขาขึ้น (Bullish Bar) และแท่งราคาขาลง (Bearish Bar)

  • Bullish Bar (แท่งขาขึ้น): เกิดขึ้นเมื่อราคาปิด (ขีดขวา) สูงกว่าราคาเปิด (ขีดซ้าย) บ่งบอกถึงแรงซื้อที่เหนือกว่าในกรอบเวลานั้น
  • Bearish Bar (แท่งขาลง): เกิดขึ้นเมื่อราคาปิด (ขีดขวา) ต่ำกว่าราคาเปิด (ขีดซ้าย) บ่งบอกถึงแรงขายที่เหนือกว่าในกรอบเวลานั้น

ข้อดีของแผนภูมิแท่ง

  • ข้อมูลครบถ้วน: ให้ข้อมูลราคา OHLC ที่จำเป็นสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิคในเชิงลึก ช่วยให้เห็นภาพรวมของความผันผวนและขอบเขตการซื้อขายในแต่ละช่วงเวลา
  • ใช้ระบุรูปแบบ: นักเทรดสามารถใช้แผนภูมิแท่งเพื่อระบุรูปแบบการกลับตัวหรือการต่อเนื่องต่างๆ ได้ เช่น Pin Bar, Inside Bar
  • เหมาะสำหรับการวิเคราะห์โมเมนตัม: สามารถประเมินแรงซื้อแรงขายได้จากตำแหน่งของราคาเปิดและราคาปิดเทียบกับช่วงราคา High-Low

ข้อจำกัดของแผนภูมิแท่ง

  • ความซับซ้อนสำหรับมือใหม่: การอ่านแผนภูมิแท่งอาจดูซับซ้อนกว่าแผนภูมิเส้นสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากมีข้อมูลที่ต้องตีความมากขึ้น
  • การแสดงผล: อาจไม่สวยงามและเข้าใจง่ายเท่าแผนภูมิแท่งเทียน

แผนภูมิแท่งเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเทรดที่ต้องการข้อมูลราคาที่ละเอียดกว่าแผนภูมิเส้น และพร้อมที่จะลงทุนเวลาในการทำความเข้าใจโครงสร้างของแต่ละแท่ง

คู่สกุลเงิน EURUSD – แผนภูมิแท่ง H1

ตัวอย่างแผนภูมิแท่ง EURUSD H1

ในแผนภูมิด้านบน คุณจะเห็นชุดของแท่งกราฟ แต่ละแท่งจะสะท้อนกิจกรรมการซื้อขายเต็มรูปแบบในหนึ่งวันจากราคาซื้อขายสูงสุดไปจนถึงราคาที่ซื้อขายต่ำสุด และราคาเปิดผ่านเส้นประด้านซ้ายและราคาปิดผ่านเส้นประขวา ซึ่งช่วยให้เห็นแรงผลักดันของตลาดได้อย่างชัดเจน

3. แผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick Charts): การแสดงผลที่เข้าใจง่ายและเต็มไปด้วยสัญญาณ

แผนภูมิแท่งเทียน เป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่นักเทรด Forex ทั่วโลก เนื่องจากมีการแสดงผลข้อมูลราคาที่สวยงาม เข้าใจง่าย และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ จิตวิทยาตลาด ได้อย่างรวดเร็ว แผนภูมิแท่งเทียนยังแสดงข้อมูล OHLC เช่นเดียวกับแผนภูมิแท่ง แต่ด้วยรูปแบบกราฟิกที่แตกต่างกัน โดยมี “ตัวแท่งเทียน” (Body) และ “เงา” (Shadows หรือ Wicks)

การก่อตัวของแท่งเทียนเดียว (Single Candlestick)

แท่งเทียนแต่ละแท่งประกอบด้วยสองส่วนหลัก:

  • ตัวแท่งเทียน (Real Body): บ่งบอกถึงช่วงระหว่างราคาเปิด (Open) และราคาปิด (Close)
  • เงา (Shadows/Wicks): เส้นเล็กๆ ที่ยื่นออกมาจากด้านบนและด้านล่างของตัวแท่งเทียน โดยเงาด้านบน (Upper Shadow) แสดงถึงราคาสูงสุด (High) และเงาด้านล่าง (Lower Shadow) แสดงถึงราคาต่ำสุด (Low)

สีของแท่งเทียนและความหมาย

สีของตัวแท่งเทียนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดเข้าใจทิศทางราคาได้ทันที:

  • แท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick): มักจะเป็นสีเขียวหรือสีขาว แสดงว่าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด บ่งบอกถึงแรงซื้อที่เข้ามาในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
  • แท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick): มักจะเป็นสีแดงหรือสีดำ แสดงว่าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด บ่งบอกถึงแรงขายที่เข้ามาในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ

การใช้สีช่วยให้นักเทรดสามารถ อ่านกราฟแท่งเทียน และประเมินสถานการณ์ตลาดได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่เหลือบมอง

ข้อดีของแผนภูมิแท่งเทียน

  • การแสดงผลที่ชัดเจน: เข้าใจง่ายและสบายตากว่าแผนภูมิแท่ง สามารถแยกแยะแท่งเทียนขาขึ้นและขาลงได้อย่างรวดเร็ว
  • ระบุรูปแบบแท่งเทียน: เป็นพื้นฐานสำหรับการระบุ รูปแบบแท่งเทียนต่างๆ ที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น Marubozu, Doji, Bullish Engulfing, Morning Star, Three Black Crows และ Tweezer Tops/Bottoms ซึ่งแต่ละรูปแบบมีนัยยะในการคาดการณ์ราคาที่แตกต่างกัน
  • ข้อมูลเชิงลึกด้านอารมณ์ตลาด: รูปร่างของแท่งเทียนและเงาสามารถบอกเล่าเรื่องราวของความพยายามระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายได้

ข้อจำกัดของแผนภูมิแท่งเทียน

  • ความซับซ้อนของรูปแบบ: มีรูปแบบแท่งเทียนจำนวนมากที่ต้องจดจำและทำความเข้าใจ ซึ่งอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับมือใหม่
  • การตีความผิดพลาด: หากไม่เข้าใจบริบทของตลาด อาจตีความรูปแบบแท่งเทียนผิดพลาดได้

ด้วยความสามารถในการนำเสนอข้อมูลราคาที่สมบูรณ์และเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ แผนภูมิแท่งเทียนจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่นักเทรดทุกคนควรเรียนรู้และฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ

คู่สกุลเงิน EURUSD – แผนภูมิแท่งเทียน H1

ตัวอย่างแผนภูมิแท่งเทียน EURUSD H1

ในแผนภูมิด้านบน คุณจะเห็นชุดของแท่งเทียน แต่ละแท่งสะท้อนกิจกรรมการซื้อขายเต็มรูปแบบในหนึ่งวันจากราคาซื้อขายสูงสุดไปจนถึงราคาซื้อขายต่ำสุด และยังเข้าใจได้ง่ายด้วยสีของตัวแท่งเทียนว่าวันนั้นเป็นขาขึ้นหรือขาลง

ตารางเปรียบเทียบแผนภูมิ Forex ยอดนิยม

เพื่อให้นักเทรดสามารถเลือกใช้แผนภูมิได้อย่างเหมาะสม เราได้สรุปคุณสมบัติเด่นของแผนภูมิทั้งสามประเภทไว้ในตารางเปรียบเทียบนี้:

คุณสมบัติ แผนภูมิเส้น (Line Charts) แผนภูมิแท่ง (Bar Charts) แผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick Charts)
ข้อมูลราคาที่แสดง ราคาปิด (Close Price) เท่านั้น ราคาเปิด (Open), สูงสุด (High), ต่ำสุด (Low), ปิด (Close) – OHLC ราคาเปิด (Open), สูงสุด (High), ต่ำสุด (Low), ปิด (Close) – OHLC
ความซับซ้อน ง่ายที่สุด ปานกลาง ปานกลางถึงซับซ้อน (เมื่อวิเคราะห์รูปแบบ)
การระบุแนวโน้ม ยอดเยี่ยมสำหรับแนวโน้มหลักระยะยาว ดี สามารถเห็นความผันผวนภายในแท่ง ยอดเยี่ยม มองเห็นแนวโน้มและสัญญาณกลับตัว/ต่อเนื่องได้ง่าย
การแสดงผลอารมณ์ตลาด จำกัด ดี สามารถเห็นแรงซื้อ/ขายจากตำแหน่ง OHLC ยอดเยี่ยม สีและรูปร่างบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อ/ผู้ขายได้ดี
ความนิยม นิยมในหมู่นักลงทุนระยะยาว มีผู้ใช้น้อยลงเมื่อเทียบกับแท่งเทียน เป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่นักเทรด

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับแผนภูมิ Forex

Q1: การวิเคราะห์ทางเทคนิคใน Forex คืออะไร?

A: การวิเคราะห์ทางเทคนิคใน Forex คือการศึกษาพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตและปริมาณการซื้อขาย เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต โดยเชื่อว่าราคาจะเคลื่อนไหวในรูปแบบที่ซ้ำๆ กัน นักเทรดจะใช้แผนภูมิและตัวชี้วัดทางเทคนิคต่างๆ (Indicators) ในการตัดสินใจซื้อขาย

Q2: กรอบเวลา (Timeframe) มีความสำคัญอย่างไรในการวิเคราะห์แผนภูมิ?

A: กรอบเวลามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันกำหนดมุมมองที่คุณมีต่อตลาด กรอบเวลาสั้น (เช่น 1 นาที) จะแสดงรายละเอียดและความผันผวนในระยะสั้น ซึ่งเหมาะสำหรับนักเทรดแบบ Scalping ขณะที่กรอบเวลายาว (เช่น รายวันหรือรายสัปดาห์) จะแสดงแนวโน้มหลักที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับนักเทรดระยะยาว การเลือกกรอบเวลาที่ไม่เหมาะสมกับสไตล์การเทรด อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ การใช้ Multi-Timeframe Analysis มักเป็นวิธีที่ดีที่สุด

Q3: แผนภูมิประเภทใดดีที่สุดสำหรับนักเทรดมือใหม่?

A: สำหรับมือใหม่ แผนภูมิเส้น (Line Charts) เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด เนื่องจากมีความเรียบง่ายและช่วยให้เห็นแนวโน้มหลักได้โดยไม่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับตลาดแล้ว แผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick Charts) จะเป็นประโยชน์มากกว่าอย่างมาก เนื่องจากให้ข้อมูลที่ละเอียดกว่าและเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญ หากต้องการฝึกฝนโดยไม่มีความเสี่ยง สามารถเริ่มต้นด้วย บัญชีทดลอง (Demo Account) ได้

Q4: แผนภูมิแท่งเทียนบอกอะไรเราได้บ้าง?

A: แผนภูมิแท่งเทียนบอกข้อมูล OHLC (Open, High, Low, Close) รวมถึงอารมณ์ของตลาดและแรงผลักดันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายได้อย่างชัดเจน ตัวแท่งเทียนจะแสดงว่าราคาปิดสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาเปิด (ขาขึ้น/ขาลง) และความยาวของเงาจะแสดงถึงความผันผวนของราคาภายในกรอบเวลานั้นๆ นอกจากนี้ การรวมกันของแท่งเทียนหลายแท่งยังสามารถสร้าง รูปแบบแท่งเทียน ที่มีนัยยะในการคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคตได้

Q5: OHLC ในแผนภูมิแท่งและแท่งเทียนหมายถึงอะไร?

A: OHLC ย่อมาจาก:

  • O (Open): ราคาเปิด คือราคาแรกที่มีการซื้อขายในกรอบเวลาที่เลือก
  • H (High): ราคาสูงสุด คือราคาสูงสุดที่ซื้อขายได้ในกรอบเวลาที่เลือก
  • L (Low): ราคาต่ำสุด คือราคาต่ำสุดที่ซื้อขายได้ในกรอบเวลาที่เลือก
  • C (Close): ราคาปิด คือราคาสุดท้ายที่มีการซื้อขายในกรอบเวลาที่เลือก

ข้อมูล OHLC เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจพฤติกรรมราคาและ การวิเคราะห์แนวรับแนวต้าน

สรุป

การทำความเข้าใจแผนภูมิ Forex ทั้งสามประเภทนี้ ได้แก่ แผนภูมิเส้น แผนภูมิแท่ง และแผนภูมิแท่งเทียน เป็นรากฐานสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาด Forex แม้ว่าแผนภูมิเส้นจะให้ภาพรวมที่เรียบง่าย แต่แผนภูมิแท่งและโดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนภูมิแท่งเทียนจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นสำหรับการตัดสินใจซื้อขายอย่างมีข้อมูล การเลือกใช้แผนภูมิที่เหมาะสมกับกรอบเวลาและสไตล์การเทรดของคุณจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมาก

นักเทรดควรเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ จากนั้นจึงฝึกฝนการอ่านและการตีความอย่างสม่ำเสมอใน บัญชีทดลอง เพื่อสร้างความคุ้นเคยและความมั่นใจก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดจริง การผสมผสานความรู้เกี่ยวกับแผนภูมิกับกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่ดี จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวในตลาด Forex ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

You Might Also Like

Contact Us on Line